อนุชิต สพันธุ์พงษ์

อนุชิต สพันธุ์พงษ์ | ระยะทางและความเร็วระดับพอดีเพื่อพิชิตความสุขและความสำเร็จ

เส้นทางเดินชิลๆ นั้นโรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่ถ้าเป็นเส้นทางวิ่ง มันมักจะโรยไว้ด้วยหยาดเหงื่อแรงงาน ภาพฝันที่เรามักจะเห็นจากงานมาราธอนส่วนใหญ่ คือนักวิ่งตรากตรำและเคี่ยวกรำตัวเองอย่างหนักหน่วง กว่าจะทำได้ถึงระยะที่ตั้งใจ เขาต้องใช้พละกำลังของร่างกายและหัวใจในการขับเคลื่อนตัวไปข้างหน้าสู่เป้าหมาย ‘โอ’ – อนุชิต สพันธุ์พงษ์ ก็เป็นหนึ่งคนที่อยู่ในเส้นทางแบบนี้ ผู้มุ่งมั่นทุ่มเทเพื่อไปสู่เป้าหมายที่ตนเองตั้งไว้ จากแดนเซอร์เบื้องหลัง สู่ดาราเบื้องหน้าเฉิดฉาย จากคนที่วิ่งเพื่อความผ่อนคลาย สู่การวิ่งเพื่อพิชิตมาราธอนแรกในชีวิต

     ถ้าชีวิตเปรียบเหมือนมาราธอน โดยมีความสำเร็จอันยิ่งใหญ่เป็นเป้าหมายเส้นชัย ขนาดความสำเร็จที่เหมาะสมต่อเรี่ยวแรงที่มีอยู่คือ ณ ตรงจุดไหนกันแน่? รวมทั้งการเคี่ยวกรำตัวเอง เราจะทนต่อความตรากตรำได้มากแค่ไหน ลองมาอ่านความคิดและทัศนคติของชีวิตของเขาในตอนนี้ ว่าการวิ่งช่วยให้เขาเรียนรู้ถึงระดับการเคี่ยวกรำตัวเอง และการตั้งเป้าหมายที่เหมาะสมกับตัวเองได้อย่างไร

 

อนุชิต สพันธุ์พงษ์

 

ช่วยเล่าถึงตอนที่คุณเริ่มต้นวิ่งให้ฟังหน่อย

     มีช่วงหนึ่งไปสิงคโปร์ ระหว่างที่เราเดินกลับที่พักแล้วติดไฟแดงอยู่ มีคนวิ่งมาแล้วหยุดยืนรอข้างๆ เฮ้ย วิ่งตอนตีสาม เอาจริงดิ? คนที่นั่นเขาวิ่งกันตลอดเวลาจริงๆ เที่ยงคืน ตีสอง ตีสาม จนเราสงสัยว่าทำไมเขาจริงจังกับการวิ่งขนาดนั้น ก็เลยเริ่มคุยกับเพื่อนชาวสิงคโปร์ว่าเราอยากลองวิ่งบ้าง เขาแนะนำให้ไปวิ่งที่ East Coast Park เป็นที่วิ่งเลียบชายหาดระยะทาง 8-9 กิโลเมตร ตอนนั้นนึกไม่ออกว่าจะวิ่งให้ครบระยะได้อย่างไร รองเท้าที่ใส่ก็เป็นรองเท้าออกกำลังกายทั่วไป ไม่ใช่รองเท้าวิ่ง แต่เราก็ลองวิ่งดู ใส่หูฟังไปด้วย พอวิ่งไปเรื่อยๆ เราก็คิดว่าตัวเองอยู่ในมิวสิกวิดีโอ ทุกอย่างเป็นฉากประกอบ มีกล้องอยู่ข้างหน้า เราก็แค่วิ่งไปแค่นั้นเอง แล้วค้นพบว่ามีความสุขมาก เหมือนเราหลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่ง นั่นคือสิ่งที่จุดประกายให้เราชอบวิ่ง จากนั้นก็เริ่มสนุกกับมันมากขึ้น โดยเฉพาะตอนที่ได้วิ่งในที่ที่วิวมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ

     เราค้นพบว่า ตัวเองวิ่งได้ดีในอากาศเย็น ตอนล่าสุดที่ไปญี่ปุ่น พอวิ่งที่งานเสร็จปุ๊บก็ยังสามารถตื่นมาวิ่งได้ทุกเช้า เพราะอากาศและบ้านเมืองของเขามันทำให้เราอยากออกมาวิ่ง city run จริงๆ มันสนุกมาก ได้เห็นผู้คน เห็นชีวิต เสียอย่างเดียวคือโดยทั่วไปมันเหม็น อากาศมันไม่สะอาด แต่พอไปวิ่งที่สิงคโปร์และญี่ปุ่น ต่อให้รถติด ก็ไม่มีกลิ่นควันรถ มันเลยเหมือนเราวิ่งถ่ายเอ็มวีไปเรื่อยๆ เพลินมาก

 

เมื่อพบว่าตัวเองวิ่งได้ดี คุณบังคับตัวเองให้วิ่งไกลขึ้น นานขึ้น หรือเปล่า

     หลักการคือต้องไม่คิดว่าเราจะวิ่งกี่กิโล ครั้งแรกวิ่ง 10 กิโลเมตร พอถึงกิโลเมตรที่ 8 เราเหนื่อยมากจนไม่อยากวิ่งต่อแล้ว แต่พอไปลงวิ่ง 16 กิโลเมตร พอถึงกิโลเมตรที่ 10 เรากลับยังไม่เหนื่อยเลย มาเหนื่อยตอนประมาณกิโลเมตรที่ 14 แทน ทำให้เราเรียนรู้ว่า ความเหนื่อยมันขึ้นอยู่กับการกำหนดเป้าหมายในใจ ว่าเราจะต้องวิ่งไกลถึงแค่ไหน แต่ถ้าวิ่งไปเรื่อยๆ ไม่ได้กำหนด มันจะวิ่งได้เอง

     อย่างล่าสุดงานวิ่งที่บางแสน เราไปวิ่งกับพี่ที่วิ่งด้วยกัน เขาขอว่างานนี้ไม่หยุดเดินเลยได้ไหม เราบอกตัวเองว่าไม่ได้หรอก ทำไม่ได้ ยิ่งเราหยุดวิ่งมานานแล้วด้วย แต่ปรากฏว่าทำได้ เขาเองรู้สึกเซอร์ไพรส์ว่าเราทำได้ยังไง ตอนเข้าเส้นชัยแล้วเกือบจะร้องไห้ ระยะทางแค่ 21 กิโลเมตรซึ่งเราวิ่งมาแล้วหลายครั้ง แต่เป็นระยะทางที่ต้องขึ้นเนิน ทางชันเต็มไปหมด แต่เราไม่หยุดเดินเลย ตอนนั้นรู้สึกตื้นตันที่เราทำได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม

     หรือไม่ก็ต้องเจอคนที่น่าหมั่นไส้ในงานวิ่ง (หัวเราะ) เห็นแล้วเราอยากแซง งานนั้นมีอยู่คู่หนึ่ง สวีทกันเหลือเกิน ถึง 500 เมตรสุดท้ายเขาวิ่งนำอยู่นะ แต่เราวิ่งใจจะขาดให้ชนะคู่นี้ ซึ่งเราก็ชนะ ช่วยได้เหมือนกันนะ เราก็ต้องขอบคุณเขา ที่เป็นคู่แข่งให้เราอย่างที่เขาไม่รู้ตัวหรอก บางทีเราก็ต้องหาคู่แข่งแบบนี้ ทำให้เรามีแรงผลักดันในการวิ่ง หรือถ้ามีอุปกรณ์ใหม่ๆ มันจะยิ่งทำให้การวิ่งสนุก ครั้งหนึ่งเราได้หูฟังมาใหม่มันดีมาก สามารถทำให้เราวิ่ง 21 กิโลได้เป็นครั้งแรก ตอนนั้นดีใจมาก มีความสุขสุดๆ

 

อนุชิต สพันธุ์พงษ์

 

ทราบมาว่าคุณมีทีมวิ่ง 7 Minutes Below เพื่อกำหนดความเร็วที่เหมาะสมกับตัวเองด้วย

     ตอนแรกๆ ที่เริ่มวิ่งจะมีแฟนคลับมาคอยส่งตัวและคอยรอรับเราที่เส้นชัย ส่วนใหญ่จะเป็นคนรุ่นเดียวกันหรืออายุมากกว่า วันหนึ่งก็มาคิดกันว่าทำไมระหว่างที่เขามารอ เราไม่มาวิ่งด้วยกันล่ะ เขาเลยเริ่มวิ่ง 3 กิโล 5 กิโล เราดีใจมากที่ทำให้เริ่มวิ่งจริงๆ จังๆ จนคิดต่อไปว่ามาตั้งทีมกันเถอะ ชื่อ 7 Minutes Below เพราะออกเสียงเพราะดี มันไม่ได้มีผลการวิจัยอะไรมารองรับขนาดนั้นนะ (หัวเราะ) เมื่อเราวิ่งไประยะหนึ่งจะพบว่า ถ้าวิ่งช้ากว่า pace 7 มันจะดูเหยาะๆ เหมือนเดินมากกว่า แต่เมื่อวิ่งได้ pace 7 จะเป็นการวิ่งที่ความเร็วกำลังดี ไม่เร็วไป ไม่ช้าไป ไม่ยากเกินไปสำหรับคนทั่วไป ก็เลยกลายมาเป็นชื่อทีม

 

เหมือนกับว่าเราต้องตั้งเป้าหมายและระดับความเร็วที่เหมาะสม ทุกอย่างจึงจะออกมาดี

     ใช่ครับ แล้วการวิ่งให้สนุกเราต้องมีบัดดี้ด้วย ตอนเราวิ่งมาเกิน 5 ปี ไฟเริ่มหมด เราไม่ได้อยากเอาชนะอะไรขนาดนั้น แค่วิ่งให้ถึงเส้นชัย เพราะฉะนั้น เวลามีบัดดี้เข้ามาเราจะวิ่งได้ดีมาก แล้วเราจะเจอสปีดที่ดีของตัวเอง

     มีพี่คนหนึ่งเขาวิ่งโดยไม่ได้ใช้อุปกรณ์วัด Heart Rate อะไรทั้งสิ้น เขาแค่วิ่งไป คุยไป ร้องเพลงไป แต่เขามีวิธีวัดว่าถ้าเราวิ่งและยังพูดรู้เรื่อง แสดงว่า Heart Rate ยังโอเคอยู่ การวิ่งไปร้องเพลงไปได้มันเจ๋งมากนะ แต่ถ้าวิ่งแล้วหอบ หายใจติดขัด แสดงว่า Heart Rate ไม่โอเคแล้ว วิ่งผิดไปจากจังหวะที่ควรวิ่ง เราก็ต้องช้าลงมาเพื่อให้พูดรู้เรื่อง การพูดคือการวัด Heart Rate โดยธรรมชาติ ไม่ต้องมาคอยดูแอพฯ หรือนาฬิกา เพราะตัวเราเองรู้อยู่แล้วว่าหัวใจเราทำงานปกติไหม เร่งไปหรือเปล่า ควรผ่อนไหม

     อีกอย่างที่สำคัญ เราจะยึดสปีดจากเพลงที่ฟัง แต่ข้อเสียก็มีนะ ถ้าวันไหนที่เราลืมหูฟังมันจบเลย กลายเป็นว่าเราเอาตัวเองไปพึ่งกับสิ่งอื่นมากเกินไป เพื่อนเคยบอกว่า แชมป์โลกไม่มีใครใส่หูฟังไปแล้ววิ่งไปหรอก อ้าว แต่กูไม่ใช่แชมป์โลกนะ (หัวเราะ) ก็แค่วิ่งตามความสนุกของเรา แต่เข้าใจนะว่าเขาอยากฝึกให้เราโฟกัสที่เท้าและการวิ่งจริงๆ

 

อนุชิต สพันธุ์พงษ์

 

ยากแค่ไหนกว่าชีวิตเราจะเจอเป้าหมายและระดับความพยายามที่เหมาะสมกับตัวเอง

     ทุกอย่างขึ้นอยู่กับระยะทาง ระยะเวลา เพราะท้ายที่สุดแล้วค่า pace สูงหรือต่ำ มันอยู่ที่ว่าเราจะรักษาระดับไว้ได้มากขนาดไหน การวิ่งแค่ 3-5 กิโลเมตร แล้วอยากได้ความเร็ว pace 7 มันง่ายมาก แต่ถ้าเป็น 10 กิโลเมตรแล้วอยากได้ pace 7 สำหรับบางคนมันก็จะยากมาก ขึ้นอยู่กับการฝึกซ้อม การวิ่งเป็นกีฬาที่ต้องการความอยากเอาชนะ อยากทำลายสถิติของตัวเอง เราเคยคิดนะว่าวิ่งมานานๆ ไม่เห็นต้องแข่งกับใครเลย แข่งกับตัวเองอย่างเดียวก็พอ แต่สุดท้ายมันกลายเป็นข้ออ้างทำให้เราไม่ได้ไปไหน แข่งกับตัวเองก็ไม่ต้องรีบหรอก ทำให้เราไม่ได้ขวนขวายและพัฒนาเท่าที่ควร เพราะเราตามใจตัวเองมากเกินไป

 

การที่ค้นพบระดับการวิ่งของตัวเอง คุณนำมาปรับใช้กับชีวิตอย่างไร ในยุคที่ทุกอย่างเร่งรีบและรวดเร็วไปเสียหมด

     มันทำให้เราเข้าใจว่าระยะทางของแต่ละคนไม่เท่ากัน ถ้าพูดถึงสปีด เรามองเป็นเรื่องระยะทางมากกว่า เราเคยไปต่างจังหวัดแล้วถามคนแถวนั้นว่ามีสวนสาธารณะไหม เราจะตื่นไปวิ่ง เขาบอกว่ามีแต่ไกล เดินไปไม่ได้หรอก แต่พอดูระยะทางประมาณ 800 เมตรเท่านั้น สำหรับคนที่ไม่เคยเดิน เขาจะรู้สึกว่าไกล

     สิ่งเหล่านี้สามารถนำมาปรับใช้เข้ากับทุกๆ เรื่องได้ เพราะคำหนึ่งคำไม่เท่ากันสำหรับทุกคน เช่น มีคนพูดว่าวันนี้ร้อนจัง แต่สำหรับเราไม่เห็นจะร้อนเลย หรือคุณประสบความสำเร็จแล้วนะ จริงเหรอ ฉันว่าฉันยังไม่ประสบความสำเร็จอะไรเลย กลายเป็นสิ่งที่ทำให้เราคิดว่าเราวัดจากใครไม่ได้หรอก แต่ละคนคิดไม่เหมือนกัน ขนาดระยะทางที่มีหน่วยที่ชัดเจน บางคนยังว่าไกล บางคนว่าไม่ไกลเลย

 

คุณยึดมั่นอะไรมากกว่ากันระหว่างความเร็วหรือระยะทาง

     คนชอบถามระยะทางว่าระยะมากสุดเท่าไหร่ ระยะมากที่สุดของพี่คือซูเปอร์ฮาฟ ที่งาน จปร. จัดที่เขาชะโงก เป็นประสบการณ์ที่ดีที่สุดในชีวิตเพราะเข้าเป็นคนสุดท้ายของงาน ไม่มีใครรู้หรอกว่าคนที่เข้าเป็นคนสุดท้ายจะรู้สึกอย่างไร พอเราเข้าซุ้ม เขารื้อซุ้มเลย ทุกคนรอเราอยู่คนเดียว ระหว่างทางมีรถพยาบาล รถตำรวจ วิ่งล้อมตลอดเลยนะ ก็จะได้ความสำคัญเทียบเท่ากับคนแรกเหมือนกัน (หัวเราะ) คงเป็นประสบการณ์ที่ไม่ค่อยมีใครได้เจอแบบนี้บ่อยๆ แต่งานนั้นทำให้บาดเจ็บไปเลย หยุดวิ่งไปหลายเดือน

     เราเชื่อว่า เราจะรู้ตัวเองว่างานนั้นเราเอื่อยเชื่อย หรือว่าทำได้ดีแค่ไหน บางงานเราสมัครเพราะเพื่อนสมัครกัน แล้วก็วิ่งไป ถ่ายรูปไป คือเราจะรู้ตัวว่างานนี้เราวิ่งเต็มที่หรือยัง เพราะฉะนั้นระยะทางหรือความเร็วไม่ได้สำคัญเท่ากับเรารู้ว่าตัวเราเต็มที่กับงานนั้นไหม บางงานเราไม่ได้เต็มที่เลย บางงานคนเยอะๆ คนส่วนใหญ่เดินด้วย ถ่ายรูปด้วย จนรู้สึกว่าเราควรทำได้ดีกว่านี้ แต่เราก็มัวแต่เดิน เคยมีน้องคนหนึ่งบอกว่าเขาเห็นเราในงาน แต่วิ่งตามไม่ทัน พูงตรงๆ คือรู้สึกดีมากเลย เขาคงเจอโมเมนต์ที่เราตั้งใจวิ่ง ถ้าตามทัน เขาจะเห็นว่าอีกสักพักเราจะเริ่มเดินถ่ายรูป (หัวเราะ)

     ขึ้นอยู่กับว่าเราอยู่ในสภาวะไหนมากกว่าอย่างที่บอกไป ถ้างานนั้นเราสนุกกับการวิ่ง ตั้งใจวิ่ง มันจะกลายเป็นงานวิ่งที่เราประทับใจ งานวิ่งบางงานได้เหรียญมาเพราะเข้าเส้นชัย แต่เราจะรู้ตัวว่างานนี้เราแย่มาก เพราะไม่ตั้งใจวิ่งเลย น่าอายนะ

 

เคยมีช่วงเวลาไหนไหมที่รู้สึกว่าชีวิตตัวเองไม่ประสบความสำเร็จ ช้าเกินไป หรือพลาดไปจากเป้าหมายที่เหมาะสม

     อะไรก็ตามที่เร็วเกินไปไม่ใช่สิ่งที่ดี ทุกอย่างต้องปรับตัว ตั้งรับ เพื่อที่จะเป็นอีกแบบหนึ่ง เราไม่ได้ถูกสร้างมาให้ปรับตัวหรือเปลี่ยนแปลงให้เป็นอีกสิ่งหนึ่ง ด้วยความเร็วเกินไป ร่างกายไม่ได้ถูกเตรียมพร้อมมาแบบนั้น ในกิจกรรมทุกๆ รูปแบบมีเวลาของมันเพียงแต่เราต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง

     บางคนอาจจะชอบที่จะรู้อย่างรวดเร็ว การเปิดพจนานุกรมทีละหน้าเพื่อหาความหมายของคำศัพท์ทำให้เราจดจำได้ในยุคเรา แต่คนสมัยนี้รู้ทุกคำได้ในไม่กี่สัมผัสบนหน้าจอ ถามว่าอีกสักสองวันต่อมาจะจำคำศัพท์คำนั้นได้ไหม ก็อาจจะจำไม่ได้ สมองเราคงมีกลไกบางอย่างที่ไม่ได้รองรับกับอะไรที่เร็วเกินไป เราเชื่อว่าทุกคนมีจังหวะของตัวเองในทุกๆ กระบวนการ ซึ่งเราแต่ละคนต้องหาให้เจอ

     อย่างเวลาแสดง เราพบว่าการค่อยๆ เรียนรู้เข้าใจตัวละครไปอย่างช้าๆ เป็นเรื่องที่ดีกว่า ทำให้เข้าไปถึงได้ลึกกว่า เป็นตัวละครได้ดีกว่า แต่ก็ต้องระวัง เพราะเมื่อลึกมากก็เอาออกมายาก ความเจ็บปวดของตัวละครยังคงคั่งค้างอยู่ในตัว เหมือนเราเป็นร่างทรง ตัวละครจบไปแล้วแต่ความรู้สึกนั้นยังคงอยู่ เราต้องหาจุดที่เหมาะสมด้วย จริงๆ สปีดก็คือจังหวะของตัวเราเอง ซึ่งจังหวะของเราอาจจะไม่ได้สัมพันธ์กับจังหวะของใคร

 

อนุชิต สพันธุ์พงษ์

 

การที่คุณค้นพบสปีดที่เหมาะสมกับตัวเอง ทำให้คุณมีความสุขอย่างไร

     ทำให้เราไม่ต้องแข่งกับใคร มันโอเคนะ หรือถ้าแข่งกับคนอื่นบ้างบางครั้งมันก็สนุกดี ทำให้เรามีพลังในตัวเอง รู้สึกว่าต้องก้าวไปข้างหน้ามากกว่านี้ คือมีทั้งข้อดีข้อเสีย แข่งกับตัวเองก็ทำให้เอื่อยเฉื่อย ฉันรู้แล้วน่า ไม่ต้องเตือน รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่พอเราเจอคู่แข่ง เรามักจะก้าวไปเร็วขึ้นเสมอ แต่ถ้าแข่งมากไปก็เครียด เมื่อไหร่จะชนะสักที ดังนั้น ต้องบาลานซ์ให้ดี

     แต่อย่างหนึ่งที่บังเอิญรู้สึก คือทุกครั้งที่หยุดวิ่งไปนานๆ แล้วกลับมาวิ่ง ครั้งที่กลับมาวิ่งเราจะวิ่งได้ดีเสมอ ไม่รู้เพราะอะไร ทั้งๆ ที่ไม่ได้ซ้อม และการวิ่งครั้งนั้นจะสนุกมาก บางอย่างอาจจะต้องพัก ทิ้งมันไปบ้าง บางทีถ้าเราทำสิ่งที่รักให้กลายเป็นสิ่งที่ต้องทำ มันจะไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นหรือสนุกอีกต่อไปแล้ว หยุด ไปทำอย่างอื่นบ้าง พอกลับมาใหม่มันจะสนุกเหมือนเพิ่งทำใหม่ เราว่าแบบนี้ดีกว่า

 

คำว่าเส้นชัยสำหรับคุณคืออะไร

     (นิ่งคิด) เด็กๆ มีความฝันอยากเป็นแดนเซอร์ เมื่อได้เป็นจริงๆ เรารู้สึกว่าได้เข้าเส้นชัยแล้ว นี่คืออาชีพในฝัน ฝันอยากเป็นแดนซ์เซอร์ให้ ทาทา ยัง วันที่ได้เป็นก็ดีใจ เคยฝันอยากเป็นคนคิดท่าเต้น วันที่ได้เป็นก็ดีใจ ถึงจุดหนึ่งมันก็แค่รู้สึกว่าถ้าเราไปอยู่ ณ ตำแหน่งไหน ก็อยากที่จะเป็นแถวหน้าของอาชีพนั้น ตอนเป็นแดนเซอร์ที่แกรมมี่ เราก็เป็นแดนเซอร์ระดับเอ พอเรามาเป็นนักแสดง เราก็อยากเป็นนักแสดงที่คนยอมรับระดับแถวหน้า ไม่ใช่เรื่องชื่อเสียง แต่เป็นเรื่องที่เวลาคนพูดถึงเรา เราอยากให้เขาพูดถึงในแง่ความสามารถ งานที่เราทำ นั่นคือเส้นชัยของเรา

 

ถ้าเปรียบชีวิตเป็นมาราธอน คุณมองว่าตัวเองอยู่กิโลเมตรที่เท่าไหร่

     คนคนหนึ่งจะวิ่งมาราธอนได้แค่ครั้งเดียวในชีวิต แต่ของเราก็ครั้งที่ 3 แล้ว ซึ่งเป็นที่เดียวกันหมด คือ Fuji Marathon ครั้งแรกไป อากาศ 4 องศาเซลเซียส วิ่งยังไงก็ไม่อุ่น แต่กำลังใจเราเยอะมาก วิ่งมองฟูจิก็รู้สึกว่าภูเขาไฟมันพูดกับเราอยู่ตลอดเวลา มีความสุขมาก ครั้งที่สอง 2 องศาเซลเซียสพร้อมหิมะ ครั้งที่สาม 4 องศาเซลเซียส และ cut off ทั้งสามครั้ง แต่ครั้งที่สามเสียใจสุด เพราะเราเตรียมตัวมาค่อนข้างโอเคสุด แล้วเราจะบอกตัวเองว่าไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวมันก็ได้ ตั้งใจไว้ว่า มาราธอนครั้งแรกขอเป็นที่ต่างประเทศ ก็เพ้อๆ ไป มาปีนี้สมัครเล่นๆ ที่โอซากา จับสลากแล้วได้ ตอนนี้อยู่ที่ตัดสินใจว่าจะไปวิ่งจริงๆ ไหม

     แต่สำหรับชีวิตยากจัง (หัวเราะ) เราอยู่ในวัยสามสิบปลายๆ ที่เริ่มปลง เพราะตื่นเต้นกับทุกๆ อย่างมาหมดแล้ว อาจจะอยู่กิโลเมตรที่ 35 ที่ใครๆ ก็ว่าเป็นปีศาจ อยู่แค่ว่าเราจะเดินหรือวิ่งเข้าเส้นชัยแค่นั้นเอง ส่วนหนึ่งอาจจะด้วยเรื่องอาชีพการงาน เรารู้สึกว่างานที่เราทำไม่ได้เป็นงานที่ยิ่งทำแล้วยิ่งก้าวหน้า งานดารา นักแสดง เป็นอาชีพที่ยิ่งนานไปจะยิ่งได้รับความนิยมน้อยลง คนมักจะไม่ได้ตื่นเต้นกับดาราที่ทำงานมาแล้ว 10 ปี คนตื่นเต้นกับดาราหน้าใหม่เสมอ เพราะฉะนั้น เราต้องหาจุดที่พอเหมาะในอาชีพตัวเองให้ได้ ต้องตื่นเต้นกับบทบาท ซึ่งสิ่งเหล่านั้นบางครั้งตัวเราก็ไม่ได้เป็นผู้กำหนด มันพูดยากนะ แต่สุดท้ายเราต้องทำสิ่งที่ทำให้ตัวเองรู้สึกถึงคุณค่าในอาชีพและตัวเราเอง

 

อนุชิต สพันธุ์พงษ์

อนุชิต สพันธุ์พงษ์

 

5 เพลงที่ โอ อนุชิต ฟังเสมอขณะวิ่ง

1. Toxic / Britney Spears : https://youtu.be/LOZuxwVk7TU

2. สุด สุดไปเลย / Nuvo : https://youtu.be/LKLH2E7uaMY

3. Automatic / Utada Hikaru : https://youtu.be/-9DxpPiE458

4. Circle of Life / The Lion King : https://youtu.be/GibiNy4d4gc

5. พริบตา / Bird Thongchai × Stamp : https://youtu.be/V7bwm5oDAiU