ย้อนดูวิกฤตต้มยำกุ้ง และสิ่งที่ระลึกอยู่ในความทรงจำของนักแสดงสาว บี น้ำทิพย์

ก่อนเข้าสู่ปี พ.ศ. 2540 ประเทศไทยเป็นที่จับตามองว่ากำลังจะกลายเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชีย แต่เพียงพริบตาเดียวความสั่นคลอนทางเศรษฐกิจก็เข้ามาสู่บ้านเราอย่างรุนแรง เหมือนฟองสบู่สวยงามที่ลอยขึ้นไปบนฟ้าแล้วแตกสลายต่อหน้าต่อตา ซึ่งรู้จักกันดีในชื่อ วิกฤตต้มยำกุ้ง ‘บี’ – น้ำทิพย์ จงรัชตวิบูลย์ ก็เป็นหนึ่งคนที่มีชีวิตอยู่ในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งที่ผ่านมา และนั่นจึงทำให้เธอสนใจบทบาทของตัวละครหลักในภาพยนตร์เรื่องแรกของเธอ เพื่อนที่ระลึก จากค่าย GDH เป็นพิเศษ

 

วิกฤตต้มยำกุ้ง, การแสดง

 

เพื่อนที่ระลึก นับเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของคุณ ทำไมถึงใช้ตัดสินใจนานมากกว่าจะรับเล่นหนังสักเรื่อง

     จริงๆ แล้วเราชอบดูหนังไทยนะ เป็นแฟนคลับหนังไทยของทุกค่าย แต่ทุกครั้งที่มีคนเอาบทหนังมาเสนอให้ เราก็ต้องดูด้วยว่าตัวเองรักบทที่จะเล่นนั้นด้วยหรือเปล่า จะไปสุ่มสี่สุ่มห้ารับเล่นเลยคงไม่ได้ ทีนี้พอ GDH ติดต่อมาเราดีใจมาก และพออ่านบทก็รู้สึกชอบ เพราะจะได้เล่นเป็นตัวละครที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งเมื่อ 20 ปีที่แล้ว เป็นช่วงเวลาที่เรายังจดจำเรื่องราวต่างๆ ได้ มีคนที่เคยรวย ชีวิตล้มละลาย จากคนที่มีเงินเป็นสิบๆ ล้าน กลายเป็นคนที่มีเงินติดตัวอยู่ไม่กี่ร้อย ตัวละครก็เป็นส่วนหนึ่งของยุคนั้น เธอเป็นคนที่จมตัวเองไม่ลง เมื่อเจอกับเรื่องกดดันเข้ามาก็ชวนเพื่อนสนิทอีกคนไปฆ่าตัวตายที่ตึกร้างตรงสาทรด้วยกัน ซึ่งปูมหลังของตัวละครแบบนี้ เราว่ามีความน่าสนใจมาก

 

เล่าถึงช่วงปี 40 หน่อยสิ ตอนนั้นคุณก็เริ่มเข้าวงการพอดี มีผลกระทบอะไรเกิดขึ้นกับคุณบ้างไหม

     เรายังจำได้ดี ตอนนั้นอายุ 15 พอดี ถึงแม้เราจะยังไม่รู้เรื่องเศรษฐกิจในรายละเอียดของวิกฤตต้มยำกุ้งก็ตาม เพราะเรายังสนใจแต่เรื่องของการวิ่งเล่น การเรียน การไปเที่ยวกับเพื่อน แต่ก็ได้ติดตามดูข่าว และได้รับรู้ถึงความรู้สึกของคนที่ล้มละลาย เราจึงชอบไอเดียของหนังเรื่องนี้มาก เราอยากเล่าให้คนยุคนี้ฟัง ว่าครั้งหนึ่งโลกเราเคยเกิดเรื่องแบบนี้ ประเทศไทยเคยเกิดปัญหาเศรษฐกิจที่รุนแรงขนาดที่มีคนฆ่าตัวตายเยอะมาก ถึงแม้ว่าในปัจจุบันสังคมเราจะดีขึ้นแล้วก็ตาม แต่ใครจะรู้ล่ะ มันก็มีสิทธิ์ที่จะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ หากเราไม่รู้จักระมัดระวังการใช้เงิน การใช้สอย และการประหยัด

 

มีคนวิเคราะห์ว่าเศรษฐกิจดำเนินไปเป็นวัฏจักร สภาพตกต่ำอาจจะวนกลับมาทุกๆ 15-20 ปี ซึ่งก็คือช่วงนี้พอดีเลยนะ

     ใช่ และเราเตรียมตัวอยู่เสมอ เพราะแต่ไหนแต่ไรเราไม่ได้เป็นคนใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเกินตัวอยู่แล้ว ดูอย่างโทรศัพท์ของเราก็ได้ (ยื่นโทรศัพท์ที่มีเคสเก่าๆ ให้ดู) เราไม่ได้เป็นคนติดหรู ต้องใช้ของแพง หรือดำเนินชีวิตแบบแบบคนไฮโซ ใช้แต่ของแบรนด์เนม ตัวจริงของเราเป็นคนติดดินมากๆ เมื่อก่อนเคยเป็นยังไง ตอนนี้ก็เป็นอย่างนั้น และเราจะให้แม่เป็นคนเก็บเงินให้ เราไม่เก็บเอง ถ้าอยากได้อะไรก็ค่อยไปขอแม่ ทุกวันนี้ก็ยังขอเงินจากแม่อยู่ (หัวเราะ)

 

ถึงจะมีประสบการณ์จากงานละครมาระดับที่เรียกว่าเป็นรุ่นใหญ่ได้แล้ว เมื่อมาเจอภาพยนตร์เรื่องแรก ชีวิตเปลี่ยนเลยไหม

     พอรู้บทเราต้องเตรียมวอร์มร่างกายให้แข็งแรงเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอะไรก็ตามที่ต้องทำในเรื่องนี้ เรื่องของแอ็กติ้ง หนังแสดงไม่เหมือนละคร ละครถ่ายหนึ่งฉากใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง แต่พอเป็นหนัง เขาใช้การถ่ายเป็นคัตๆ ซึ่งฉากหนึ่งมี 10 กว่าคัต ถ่ายคัตละ 1 ชั่วโมงหรือมากกว่า ซึ่งมันยากกว่าเยอะ และต้องเล่นหลายเทก เพราะใช้กล้องตัวเดียว อย่างซีนอารมณ์ เราก็ต้องจมอยู่กับความรู้สึกนั้นหลายชั่วโมงแล้วค่อยลบมันออกไปจากหัว

 

ถึงแม้ว่าในปัจจุบันสังคมเราจะดีขึ้นแล้วก็ตาม แต่ใครจะรู้ล่ะ มันก็มีสิทธิ์ที่จะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ หากเราไม่รู้จักระมัดระวังการใช้เงิน

 

ถ้าไม่นับเรื่องการวิ่งขึ้นตึก 47 ชั้น ความยากของภาพยนตร์เรื่องแรกสำหรับคุณคืออะไร

     การถ่ายหนังเราไม่ได้เล่นอยู่คนเดียว ตากล้องก็ต้องเล่นไปกับเราด้วย เขาจะเป็นคนถ่ายและเล่าเรื่อง ระหว่างถ่ายอาจมีความผิดพลาดเกิดขึ้น อย่างถ่ายแล้วภาพไม่ชัดก็ต้องถ่ายใหม่ การแสดงของเราบางทีก็นอยด์ตัวเองเหมือนกันว่าเราเล่นไม่ดีหรือเปล่า ทำไมแสดงไม่ผ่านสักที เราคุยกับพี่จิม (โสภณ ศักดาพิศิษฏ์) ว่าถ้าพี่รู้สึกว่าอะไรไม่ดีหรือไม่ชอบ พี่ห้ามปล่อยผ่านเด็ดขาด พี่ต้องเข็นมันจนได้ ไม่ต้องกลัวเราจะรู้สึกไม่ไหวเลย หลังจากเปิดใจกันครั้งนั้น เราก็อัดกันไปเลย 40 เทก (หัวเราะ)

 

เคยมีวันแย่ๆ แต่ตัวเองก็ต้องไปถ่ายหนังบ้างไหม

     ไม่เลย เราจะเตรียมตัวมาก่อนด้วยการวิ่งหรือออกกำลังกาย แต่ขนาดวิ่งมาแล้ว คิดว่าไหว ก็ยังแทบตายเหมือนกัน แต่ไม่มีความรู้สึกที่ขนาดว่าวันนี้ชีวิตแย่จังแล้วยังต้องขึ้นไปถ่ายหนังอีก เราอาจจะมีเหนื่อยบ้าง บางทีถ่ายหนังติดกันสองวัน ขึ้นตึก 47 ชั้นทีเดียวทั้งสองวันในการเล่นหนังเรื่องนี้ แต่ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่รู้สึกไม่ดี เราจะตัดทิ้งไปก่อน ไม่คิดถึงมัน คิดถึงแต่งานก่อนเป็นอย่างแรก

 

อะไรที่เป็นครั้งแรกมักยากเสมอ ยังคิดอยากเล่นหนังเรื่องต่อไปอยู่ไหม

     ใจก็อยากเล่นอีก (หัวเราะ) เพราะเรามีความสุขที่ได้ทำสิ่งที่รัก การแสดงเป็นสายงานที่เราชอบที่สุด การได้มาเล่นหนัง ได้เรียนการแสดงกับครูเงาะ ทำให้รู้ว่าที่ผ่านมาเราเป็นนักแสดงที่ยังไม่ดีพอ ต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปเรื่อยๆ ขวนขวายความรู้ตลอดเวลาไม่ควรหยุดนิ่ง

 

วิกฤตต้มยำกุ้ง, การแสดง

 

นอกจากความสุขที่ได้จากงานแล้ว ความเครียดล่ะ เวลารับบทบาทหนักๆ คุณอินกับงานแค่ไหน กลับไปถึงบ้านแล้วงานยังตามมาหลอนไหม

     เมื่อก่อนเวลาเล่นละครแล้วอินกับบทมากๆ กลับมาถึงบ้านก็ทะเลาะกับแฟน (หัวเราะ) อย่างตอนที่เล่น มารยาริษยา พอกลับมาบ้านเราจะมีความรู้สึกค้างอยู่ คนรอบข้างอย่ามายุ่งกับฉัน ถึงจะบอกตัวเองเป็นคนสบายๆ ไม่เครียด แต่จริงๆ เราไม่รู้ตัวหรอก ความเครียดมันแฝงอยู่ และบางทีมันออกมาทางสีหน้าและแววตาของเรา คนรอบข้างอยู่ด้วยก็ไม่มีความสุข แต่ตอนนี้เราพยายามไม่เป็นแล้วนะ กลับบ้านปุ๊บคือปล่อยวาง เราเคยเครียดกับบทบาทถึงขนาดกลับมาบ้านแล้วร้องไห้ บอกกับแม่ว่าไม่ไหวแล้ว ไม่อยากทำงานนี้แล้ว แม่ก็บอกให้ใจเย็นๆ ทำใจดีๆ แล้วพรุ่งนี้เราไปทำบุญกัน ซึ่งก็ช่วยให้หายเครียดได้จริงๆ

 

ความเครียดของคุณมันถึงขั้นที่ตื่นขึ้นมาแล้วตั้งคำถามกับชีวิตของตัวเองเลยไหม

     ก็ไม่ถึงขนาดนั้น เพราะถ้าเครียดเราจะหาทางระบายออกไปมากกว่า จะไม่เก็บอยู่กับตัวเอง เพราะยิ่งมีเรื่องเครียดเราก็จะคอยคิดเยอะมาก คิดเยอะเกิน จนบางทีต้องคุยกับแฟน ซึ่งเขาเป็นคนที่ทำให้เราเข้าใจในจุดหนึ่งว่าทำไมเราต้องมาใส่ใจกับเรื่องไร้สาระแบบนี้ด้วย เวลาเราเครียดมากๆ เขาก็เป็นคนที่เดินมาบอกว่า หนึ่งวันมีแค่ 24 ชั่วโมง เราเครียดกับเรื่องนี้มา 6 ชั่วโมง เท่ากับเสียเวลาไปหนึ่งในสี่แล้ว แทนที่จะเอาเวลานี้ไปทำอะไรที่มีประโยชน์ มีความสุข ทำให้เราเริ่มที่จะตัดเรื่องเครียดๆ ออกไปเลย เรื่องอะไรทุกอย่างที่ทำให้เรารู้สึกไม่ดี ทำให้เราจมจนไม่มีความสุข คนอื่นเขากำลังเฮฮา ร่าเริง มีความสุขกับสิ่งที่เขาทำ แต่เรากลับมานั่งเครียด ก็เลยรู้สึกว่ามันไม่ใช่แล้ว จริงๆ มันเป็นเรื่องแค่นิดเดียวเอง อย่าไปคิดเยอะเลย อะไรผ่านแล้วก็ผ่านไป

 

ความเครียดและนิสัยคิดมากนี่เป็นมาตั้งแต่เมื่อไหร่

     (หัวเราะ) เราคิดเยอะ ขี้หึง คิดมากจนถึงขั้นเป็นไมเกรน นอนไม่หลับ บางวันเราไม่ได้นอนทั้งคืน ตื่นแล้วไปทำงานต่อก็มี ทั้งๆ ที่ไม่อยากไปเลยนะ เพราะเราไม่ยอมปล่อยวาง ทั้งที่จริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องนิดเดียวเท่านั้นเอง พอหลังๆ มานี้เริ่มคิดได้แล้ว ทำให้เรามองคนที่เข้ามาในชีวิตหลายแบบมากขึ้น เมื่อก่อนเราจะเป็นคนขี้ระแวง เจอใครที่เข้ามาก็กลัว มองว่าเขาพูดแบบนี้ใส่เรา เขาต้องเป็นคนไม่ดีแน่ๆ คนนั้นทำไมต้องทำตัวเหมือนเหยียดๆ เรา ทำไมเขาต้องทำตัวเหวี่ยงๆ วีนๆ ใส่เรา แต่เดี๋ยวนี้เราไม่คิดแบบนั้นแล้ว เราไม่ได้มองคนอื่นแบบนั้น เขาจะเป็นคนยังไงก็ช่างเขา คนเรามีปูมหลังไม่เหมือนกัน อย่าไปคิดลบเยอะ หัดคิดบวกบ้าง บางทีเขาอาจจะเจอเรื่องอื่นมาก็ได้ คงไม่ได้คิดลบกับเราหรอก เขาแค่เป็นคนลักษณะนั้นเอง

 

วิกฤตต้มยำกุ้ง, การแสดง

 

ภาพของนางแบบที่สื่อนำเสนอ มักเป็นคนเหวี่ยงๆ วีนๆ คุณและเพื่อนนางแบบเป็นอย่างนั้นจริงหรือเปล่า

     ถ้าเป็นเมื่อก่อนต้องยอมรับว่ามีแบบนี้อยู่บ้าง แต่พอเราเห็นจากคนอื่นว่าเขาทำตัวไม่น่ารัก เราก็รู้ตัวแล้วล่ะว่าเราจะไม่ทำตัวแบบนั้น สมัยก่อนเรื่องเคารพผู้ใหญ่ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเจอผู้ใหญ่แล้วไม่ยกมือไหว้ เราจะถูกเรียกมาดุเลยว่าทำไมไม่ไหว้ และการนอบน้อมกับผู้ใหญ่จะทำให้เขาเอ็นดูเรา เราก็พยายามปลูกฝังความคิดนี้ให้กับน้องๆ นางแบบ เราบอกกับน้องๆ ว่า เจอใครก็ไหว้เขาไป ให้เขาเอ็นดูเรา ให้เขาจำเราในภาพที่ดีๆ ซึ่งดีกว่าการที่เราเดินเข้าไปเชิดๆ ไม่สน ไม่ทักใคร ไม่เห็นหัวใคร ซึ่งต่อไปทุกคนก็จะจำภาพเราแบบนั้น มาถึงทุกวันนี้เด็กรุ่นใหม่บางคนก็ไม่ให้ความสำคัญตรงนี้ เจอเราเขาก็ไม่ไหว้ ซึ่งตัวเราเองก็ไม่ได้ใส่ใจหรือถือสาเลยนะ แต่สำหรับคนอื่น ผู้ใหญ่บางคนเขาอาจจะรู้สึกก็ได้ และสุดท้ายแล้วหลังจากนี้ เขาจะไปเจออะไร เจอผู้ใหญ่คนไหนในอนาคตก็เป็นเรื่องของเขาแล้ว

 

คุณมองอนาคตของตัวเองไว้อย่างไร

     ที่แน่ๆ คือเราจะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง เราโฟกัสเรื่องงานมากกว่าการสร้างครอบครัว เพราะคิดว่าความมั่นคงคือการทำงาน ได้ทำสิ่งที่ตัวเองรัก และใช้เงินของตัวเอง ในชีวิตนี้ถ้าจะแต่งงานกับใครสักคน เราไม่ต้องการผู้ชายที่รวยหรือผู้ชายที่มาเลี้ยงเรา เราเห็นคุณค่าของงานมากกว่าการไปแต่งงาน มีผู้ชาย มีครอบครัว แล้วถึงวันหนึ่งก็ไม่ต้องทำงานแล้ว ขอเงินสามี มันไม่ใช่ เราอยากทำงาน ทำอะไรสักอย่างให้สำเร็จก่อนแล้วค่อยไปคิดเรื่องอื่น เรื่องครอบครัว เรื่องลูก เพราะคิดว่าการจะมีลูกสักคน เราต้องพร้อมมากๆ ถ้ามีก็คงมี 2 คน แล้วก็ต้องพร้อมสำหรับเขาทุกอย่าง ทั้งการเรียน ให้เขาเป็นเด็กดี การดูแลต้องโอเคที่สุด

 

ถ้าธุรกิจล้มเหลวล่ะ ถ้าตื่นมาพบว่ากราฟชีวิตตัวเองดิ่งลง

     ก็ต้องอยู่ให้ได้ ต้องรับมือให้ได้ เราคิดว่าเราอยู่ได้ คนเราเมื่อถึงที่สุดก็ต้องดิ้นรนเพื่อให้ตัวเองอยู่รอด แต่เราไม่ใช่คนที่แบบว่าถ้าไม่มีงานไม่มีเงินแล้วฉันจะต้องทำอะไรบางอย่างที่มันไม่ดี และเราไม่กลัว ธุรกิจที่เราจะทำจะเกิดขึ้นภายในปีหน้า เราวางแผนไว้แล้ว และคิดว่าโซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือที่ดี เราสามารถใช้เป็นช่องทางทำมาหากินของคนที่ทำงานจริงๆ ได้ ที่ไม่ใช่เอามาด่ากัน อันนั้นเป็นเรื่องไร้สาระเกินไป

 

เหมือนกับในภาพยนตร์ เพื่อนที่ระลึก บางทีเมื่อล้มเหลวแล้วเราจมไม่ลง สำหรับคุณแล้ว คุณจมลงไหม และปล่อยวางได้แค่ไหน

     ด้วยความที่ครอบครัวเราไม่ได้มีเงินเยอะมากอยู่แล้ว เราเป็นคนแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร เคยเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น การได้เข้ามาในวงการบันเทิงก็ถือเป็นบุญคุณที่สูงส่งสำหรับคนที่พาเข้าวงการ ซึ่งคือพี่อาร์ต (อารยา อินทรา) ที่เป็นสไตลิสต์ แล้วก็พี่โต (วิทยา มารยาท) ซึ่งเราขอบคุณมากๆ เลยที่วันนั้นเขาเดินมาเจอเราและชวนไปถ่ายแบบให้ Jaspal นั่นคือจ็อบแรกในวงการ เราเป็นคนที่ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย และรู้ตัวเองว่ามีภาระต้องดูแลอยู่แล้ว ก็เลยไม่ติดกับแสงเสียงในวงการบันเทิง เคยกินอยู่อย่างไรก็อยู่อย่างนั้น แต่เราเป็นคนที่ทำอะไรแล้วมีความสุขก็ทำ ถ้าไม่มีความสุขก็จะเดินออกมา เราชัดเจนมากสำหรับเรื่องงาน เหมือนในวงการนี้คนมันเยอะ ก็จะมีคนหลากหลายเต็มไปหมด อาจจะเป็นคนที่เฟก ต่อหน้าดี ลับหลังไม่ดี ยิ่งอยู่ในวงการยิ่งเรียนรู้ว่าคนไหนดีไม่ดี ถ้าเขาเฟกมาก เราก็เลือกที่จะเดินออกมาดีกว่า ทำอะไรก็ได้ที่เรามีความสุข

 

เคยคิดว่าจะหยุดตัวเองเพื่อไปหาอะไรใหม่ๆ มาเติมให้ชีวิตสักหน่อยไหม

     อืม (หยุดคิด) ไม่ค่ะ ยังไม่อยากหายไปไหนนะ (หัวเราะ) คิดว่าถ้ามีโอกาสได้ทำงานอื่นๆ อีกก็จะดูว่าเราทำได้ไหม ถ้าทำไม่ได้หรือไม่มีความสุขที่จะทำก็ไม่ทำ แต่ถ้างานที่เข้ามาเป็นสิ่งที่เราอยากลอง และท้าทาย ก็จะทำแล้วก็จะทำให้ดีที่สุดเท่าที่เราทำได้

 

ดาราบางคนพอไปได้ดีในการทำธุรกิจเขาก็จะออกจากวงการบันเทิงไปเลย ถ้าคุณประสบความสำเร็จในสายงานใหม่คุณจะหายไปไหม

     ไม่หาย ไม่หายแน่นอน ยังไงเราก็รักการแสดง เรามีความสุขมากๆ กับวงการบันเทิง อย่างการเล่นหนังเรื่องนี้เราก็เต็มที่ ทีมงานทุกคนก็เต็มที่มาก นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกผูกพันกัน เหมือนเราต้องพร้อมใจไปด้วยกัน ทั้งแรงกายแรงใจ การเดินขึ้นตึก 47 ชั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ทีมงานทุกคนแสดงสปิริตให้เราเห็นถึงความตั้งใจ ซึ่งสิ่งนี้สำหรับเราคือความเจ๋งโคตรๆ

 


สไตลิสต์: Hotcake เครื่องแต่งกาย: Levi’s