บอย โกสิยพงษ์

บอย โกสิยพงษ์ | ความหมายของชีวิตบนเส้นทางแห่งความรัก การวางอีโก้ และการเติมน้ำมันให้แก่กัน

กว่าจะได้รับฉายาว่าเป็น ‘เจ้าพ่อเพลงรัก’ หนทางของเขาก็ไม่ได้ราบรื่น ไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ

ด้วยโชคชะตา พรหมลิขิต ความบังเอิญ หรือแรงพลังของอะไรก็ตามแต่ ได้ทดสอบความอดทนกับเขามาหลายครั้งหลายครา บางครั้งก็ต้องเจอกับพายุฝนซัดกระหน่ำ ที่ต้องอดทนจนกว่าจะถึงวันที่ท้องฟ้ากลับมาสว่างสดใสอีกครั้ง หรือบางครั้งก็ต้องเรียนรู้ว่าการล้มลงบ้างก็ไม่ได้เป็นเรื่องแย่สักเท่าไร เพราะนั่นคือชีวิตที่มีทั้งความสุขและความผิดหวัง

     เรื่องราวทั้งหมดทั้งปวงมันเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2536 ยุคที่เพลงไทยกำลังรุ่งเรืองขึ้นไปถึงจุดสูงสุด พร้อมๆ กับความซ้ำซากจำเจที่กัดกินใจเราอยู่ จนทำให้คนฟังเพลงจริงจังเรียกร้องผลงานที่แตกต่างจากเพลงกระแสหลัก ชื่อของ บอย โกสิยพงษ์ เริ่มฉายแสงออกมาเล็กๆ จากเพลง ลมหายใจ ที่อยู่ในอัลบั้ม Volume 10 ของ สมเกียรติ อริยะชัยพาณิชย์ (Mr. Z)

     จนกระทั่งอัลบั้ม Rhythm & Boyd ผลงานแบบเต็มตัวครั้งแรกของเขาถูกปล่อยออกมา ในจังหวะที่คนฟังเพลงเริ่มมองหาอะไรใหม่ๆ ที่นอกเหนือจากเพลงแนวอัลเทอร์เนทีฟร็อก อัลบั้มนี้กล้าฉีกทุกความคุ้นเคยของเพลงไทยในตอนนั้นทิ้งไปจนหมด ตั้งแต่การให้นักร้องทั้งหน้าใหม่และหน้าเก่าเข้ามาสลับกันร้อง อีกทั้งยังถือเป็นงานเพลงอาร์แอนด์บีแบบเต็มตัวจริงๆ ครั้งแรกในบ้านเรา ซึ่งไม่ได้มีมาแค่กลิ่นบางๆ เหมือนก่อน

     เพลง ฤดูที่แตกต่าง (Seasons Change) ฮิตถล่มทลายติดชาร์ตยาวนานหลายเดือน พร้อมกับแจ้งเกิดศิลปินที่หลายสำนักยกย่องว่าเป็น ‘ตัวจริง’ อย่าง นภ พรชำนิ, ‘ต๊งเหน่ง’ – รัดเกล้า อามระดิษ, ‘น้อย’ – กฤษดา สุโกศล แคลปป์ หรือพาเราไปรู้จักอีกมุมหนึ่งที่ไม่ได้มีแค่ความเป็นร็อกสตาร์ของ ‘ป๊อด’ – ธนชัย อุชชิน

     จากความสำเร็จถึงขีดสุด แฟนเพลงสามารถสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงขึ้นลงในชีวิตของเขาได้ จากผลงานทั้งสามอัลบั้มของเขา Rhythm & Boyd, Simpliffiied และ Million Ways to Love Part 1 บรรยากาศของการต่อสู้ดิ้นรน ก้าวขึ้นไปถึงจุดสูงสุด แล้วก็ตามมาด้วยความวิตกกังวลหวาดกลัวภายในใจเมื่อได้ไปยืนอยู่บนจุดนั้น ความผิดพลาดที่เกิดจากความลำพองใจในความสำเร็จที่ได้มา จนกระทั่งมาถึงจุดคลี่คลายและลงตัว เมื่อเขาเรียนรู้ว่าชีวิตของคนนั้นมีทั้งความสุขสมหวัง และกลับมารู้จักตัวเองอีกครั้ง

     เรื่องราวเหล่านั้นถูกเล่าผ่านคอนเสิร์ต BOYdKO 50th #1 Rhythm & BOYd Concert และ BOYdKO 50th #2 Simpliffiied The Concert ที่ผ่านมา ก่อนที่เราจะได้ไปพบกับบทสรุปของคอนเสิร์ตไตรภาคของ บอย โกสิยพงษ์ ใน BOYdKO 50th #3 Million Ways to Love Part 1

     บทสนทนาต่อไปนี้คือมุมมองของชายที่เข้าใจโลก เข้าใจชีวิต และส่งต่อความรักไปยังทุกคน เพื่อทำให้รู้ว่าแท้จริงแล้วมนุษย์นั้นเกิดมาเพื่ออะไร

 

บอย โกสิยพงษ์

 

คุณได้แต่งเพลงที่ยอดเยี่ยมไว้มากมาย อยากรู้ว่าคุณรู้ตัวได้อย่างไรว่าคุณเกิดมาเพื่อแต่งเพลงพวกนี้ เทียบกับคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่ยังไม่พบจุดประสงค์ของชีวิตตัวเอง

     ไม่แปลกหรอกที่หลายคนจะเป็นแบบนี้ ลองจินตนาการดูว่าถ้าอยู่ดีๆ เราเกิดมาเป็นทารกอยู่บนดาวอังคาร แล้วก็ไม่มีใครมาบอกเราว่าจุดประสงค์ของการอยู่บนดาวอังคารคืออะไร เราก็โตมาพร้อมกับการมองเห็นว่าก้อนหินกองนี้สวยดี ต้องเก็บเอาไว้ก่อน เดี๋ยวคงเอาไปทำอะไรได้ พอเก็บไปเก็บมาได้สักพัก ก็เกิดเป็นความรู้สึกว่านี่แหละคือจุดประสงค์ ฉันต้องเก็บ ฉันต้องโกย ต้องให้ตัวฉันก่อน เพราะนี่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ เราไม่มีหนังสือคู่มือติดตัวตอนเกิดว่าทั้งหมดนี้เพื่อที่เราจะมาทำอะไรบนโลกใบนี้

     แต่สำหรับผม ผมมีหนังสือคู่มือให้กับตัวเองนั่นคือไบเบิล ซึ่งเป็นคู่มือในการดำรงชีวิตอยู่ และบอกว่ามนุษย์เราเกิดมาเพื่ออะไร เราเกิดมาเพื่อกันและกัน (One another) เราไม่ได้เกิดมาเพื่อตัวเราคนเดียว เราเกิดมาเพื่อรักคนอื่น พอรักคนอื่นแล้วสิ่งที่ต้องทำก็ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่ต้องทำเพื่อให้เกิดประโยชน์กับคนอื่น และคนอื่นๆ ก็จะทำประโยชน์เพื่อกันและกันต่อไปเรื่อยๆ นั่นคือสิ่งที่จะทำให้คนบนโลกนี้อยู่ร่วมกันได้

 

จะรู้ได้อย่างไรว่าคนอื่นเขาจะทำอะไรๆ เพื่อเรา และจะรู้ได้อย่างไรว่าความรักที่เราให้ไป คนอื่นเขาต้องการ

     ไม่รู้หรอก ไม่มีทางรู้ว่าใครต้องการเราหรือเปล่า ผมรู้แค่ว่าโลกนี้ต้องการความรัก ซึ่งไม่ใช่จากผมด้วย ไม่ใช่ผมคนเดียว แต่ต้องการจากกันและกัน อย่างเวลาผมเดินไปไหนมาไหน ได้พบเจอกับใครๆ ก็ตาม ผมจะยิ้มและทักทายเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่มักจะถูกเมินเฉย เช่น คนเปิดประตู รปภ. พนักงานทำความสะอาด เพราะผมจะรู้ว่าพวกเขามักจะถูกเดินผ่าน ผมอยากยิ้มแล้วก็พูดจาทักทาย หรือพูดขอบคุณพวกเขาบ้าง เพื่อให้พวกเขารู้ว่ามียังมีคนที่ให้ความสำคัญกับเขาอยู่นะ และเมื่อทำแบบนี้ไปทุกๆ ครั้ง เมื่อเราได้เจอกันอีกเขาก็จะยิ้มให้ผมกลับมา และจะต้อนรับผมอย่างดี เมื่อเราแสดงความรักให้กันและกัน เราก็จะได้รับความรู้สึกดีกลับมาเหมือนกัน ทั้งที่เราไม่ต้องให้สตางค์หรือมอบสิ่งของอะไรแก่กันเลย ลองทำดู แล้วคุณจะรู้สึกถึงความสุขจากรอยยิ้มที่จริงใจเวลาที่ได้เจอใครๆ พอเริ่มต้นทำได้แบบนี้ ต่อไปเราก็จะส่งต่อไปยังคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นคนใกล้ตัวหรือคนที่ต้องร่วมงานด้วย

 

ด้วยประเด็นเรื่องความรักนี้ จึงเป็นต้นกำเนิดของค่ายเพลง LOVEiS ตั้งแต่เมื่อ 14 ปีที่แล้วใช่ไหม อยากรู้ว่าสิบกว่าปีที่ผ่านมา จักรวาลความรักของคุณขยายตัวไปขนาดไหนแล้ว

     ก็ยังคงขยายออกไปเรื่อยๆ ผมชอบเปรียบเทียบกับถ่านหุงข้าวก้อนแดงๆ ถ้ามันอยู่ก้อนเดียวลำพัง มันอาจจะแดงไปได้สักพัก แป๊บเดียวก็มอด แต่ถ้าถ่านหลายก้อนมาอยู่รวมกัน บางก้อนมอดไปบ้าง แต่บางก้อนยังแดงอยู่ มันก็จะผลัดกันมอด ผลัดกันแดง ก็จะช่วยส่งเสริมให้เกิดพลังร่วมกันได้ งานทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำจึงไม่สามารถทำได้ด้วยตัวคนเดียว พวกเราพยายามปลูกความคิด ปลูกความหวังลงไปในใจของคน ผ่านบทเพลงหรือผ่านการที่พวกเราไปพูดตามโรงเรียน ตามมหาวิทยาลัย ตามสำนักงานต่างๆ เพื่อให้เกิดเครือข่ายของการปลูกความหวังด้วยกัน

     แต่มันก็เป็นธรรมดาเหมือนกับเวลาเราปลูกต้นไม้ ก็จะมีบางต้นขึ้นงอกงาม บางต้นไม่ขึ้น อยู่กับว่าเราปลูกลงไปในดินแบบไหน ถ้าเรายังไม่หยุดเสียอย่าง ยังไงๆ ก็มีความหวังว่าอีก 20 ปี หรือ 30 ปี ก็ต้องมีบ้างสิ สิ่งที่เราปลูกไว้จะเติบโตและออกดอกออกผล มีคนนำไปปลูกกันต่อ ในทุกวันนี้ก็คือผลผลิตของอดีต เราได้เก็บเกี่ยวผลพวงของความเกรี้ยวกราด ความชั่วร้าย ความเกลียดชัง ก็เพราะในอดีตเราได้เพาะปลูกความเกลียดชัง ความชั่วร้าย ความเกรี้ยวกราดเอาไว้ วันนี้คนถึงได้เกลียดกัน ด่ากัน เอะอะอะไรก็ใส่กันเต็มๆ ถ้าเรามัวแต่ปล่อยให้ต้นไม้แบบนั้นเจริญเติบโต แล้วก็นั่งบ่นไปเรื่อยๆ ว่า โอ๊ย! ทำไมโลกโหดร้ายจัง เราก็จะเป็นได้แค่คนที่ขี้บ่น แต่ถ้าเราปลูกความรัก ความเมตตา เราก็จะมีความหวัง สามารถคาดหวังได้ว่าน่าจะมีโอกาสได้เก็บเกี่ยวต้นแห่งความรักได้

 

การปลูกต้นแห่งความรักต้องรอเวลานานเกินไปไหมกว่าจะได้รับผลพวงของมัน การปลูกต้นไม้เกรี้ยวกราดน่าจะได้ผลตอบรับกลับมารวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเสนอเนื้อหาในโซเชียลมีเดีย

     แต่เกษตรกรรมมันก็เป็นเรื่องของความจริงนะครับ ไม่ใช่แค่เรื่องของความเชื่อ เพราะถ้าเป็นแค่ความเชื่อ มันก็มีเป็นบางช่วงเท่านั้น อย่างบางช่วงก็มีคนมาบอกเราว่ากินน้ำมันพืชดีกว่า พอมาถึงบางช่วงก็มีคนมาบอกว่ากินน้ำมันหมูดีกว่า หรือบางช่วงบอกว่าไม่ควรกินไข่เกินวันละฟอง แต่พอมาถึงบางช่วงก็บอกว่ากินไข่เยอะๆ จะดี ความรู้ใหม่ๆ แบบนี้มันก็มาๆ ไปๆ แต่กฎของการเกษตรคือคุณปลูกอะไรก็จะได้เก็บเกี่ยวสิ่งนั้น นี่คือความแท้จริง ซึ่งความแท้จริงนี้ทำให้ผมเชื่อมั่นว่าเราสามารถปลูกความรักและความหวังให้อนาคตได้ ถ้าเราปลูกวันนี้สัก 20 คน อย่างน้อยก็ต้องมีต้นอ่อนขึ้นมาสัก 10 ต้น ถ้าเราหมั่นรดน้ำพรวนดินก็คาดหวังได้ว่ามันจะต้องออกดอกออกผล เราจึงต้องอดทนรอได้เพราะมีความมั่นใจ และต่อไปก็จะมีคนมาช่วยกันปลูกเยอะๆ ไม่อย่างนั้นโลกก็จะมีแต่ต้นไม้ที่ผิดเต็มไปหมด

 

บอย โกสิยพงษ์

 

ทำไมสภาพสังคมในตอนนี้จึงเอื้อให้ต้นไม้เติบโตไปแบบผิดทิศผิดทาง

     มันเป็นเพราะเรื่องของเวลา เวลาเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดในโลกนี้ คุณมีเงินเท่าไรก็ซื้อเวลาไม่ได้ แล้วตอนนี้ทุกอย่างมันเร็วไปหมด เราพยายามที่จะเร่งเวลา และทำให้ทุกอย่างเร็วขึ้นตามใจของเรา พอเร่งมากๆ ก็เหมือนเราพยายามใช้เวลาให้จำกัดลง อยากใช้เวลาน้อยแต่ได้ผลมาก ผลพวงที่นึกไม่ถึงจึงตามมา

     เหมือนเราใส่ปุ๋ยอย่างหนัก ใส่สารเคมีอย่างหนัก เพื่อให้ต้นไม้รีบโต ให้ไก่รีบอ้วน แน่นอนว่าสารพิษต่างๆ ก็ตกค้างอยู่ในของพวกนี้ แล้วเราก็กินมันเข้าไป เราต้องรับสภาพว่าสิ่งที่เรากินอยู่มีสารพิษปนเปื้อนอยู่ด้วย ก็เหมือนกับที่เราใช้ชีวิต ถ้าเราใช้ชีวิตให้ทุกอย่างต้องเร่งรีบได้ดั่งใจ ก็จะมีของเสียตามมาแล้วเราก็ต้องรับมันไปด้วย

 

เวลาดึกๆ ถ้าไถไปบนหน้าจอโซเชียลมีเดีย เราจะเห็นว่าผู้คนต่างร่ำร้อง ครวญคราง เรียกหาความรักกันเต็มไปหมด อะไรคือสิ่งที่ทำให้คนในตอนนี้อ้างว้างกันเหลือเกิน

     เมื่อคนขาดความรักหรือไม่ได้รับความรักแบบที่เป็นจำนวนยอดไลก์หรือคนที่เข้ามาชื่นชม ก็จะเกิดเป็นพลังงานลบ แล้วเขาก็จะเอามาเขียนสเตตัสที่เป็นพลังงานลบเพื่อไปสร้างแรงกระเพื่อมให้กับคนที่เขาอยากบอก ซึ่งคนคนนั้นก็ไม่อยากจะเห็นอะไรอย่างนั้น ทำให้ไม่มีผลอะไรเกิดขึ้นกับตัวคนเขียน และพลังงานลบเหล่านี้ก็พร้อมที่จะเติบโตต่ออย่างรวดเร็ว

 

คุณเคยเล่าว่าตอนที่ทำอัลบั้ม Rhythm & Boyd ก็มีช่วงที่เกือบจะยอมแพ้ รู้สึกว่าถอดใจอยู่เหมือนกัน อะไรที่ทำให้ความมั่นใจในการทำงานเสื่อมถอยลงในตอนนั้น

     เพราะทุกอย่างมันเร็วขึ้นเรื่อยๆ ตอนเด็กๆ ผมดูการ์ตูน ไอ้มดแดง พอถึงช่วงการต่อสู้ท้ายเรื่อง พระเอกกำลังเพลี่ยงพล้ำใกล้จะไม่รอดแล้ว แล้วทางช่องก็ตัดจบให้ไปดูตอนต่อไปอาทิตย์หน้า โอ้โห! กว่าจะได้ดูต่อ ผมต้องมานั่งลุ้นว่าไอ้มดแดงจะตายไหม ซึ่งก็ต้องอดทนรอ แต่คนเรารู้สึกไม่ค่อยอดทนรออะไรมากขึ้นเรื่อยๆ อยากดูตอนจบ ก็รูดแถบไทม์ไลน์ด้านล่างคลิปไปตอนท้ายได้เลย ดังนั้น ผมว่าเราต้องฝึกที่จะรอคอยให้มากขึ้น เพราะการรอคอยเป็นอุปนิสัยอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้เราทำงานอะไรก็ตามไปพร้อมกับคนอื่น ซึ่งมันก็คือการอยู่กับความเป็นจริง

     ขนาดเราปลูกต้นไม้ยังต้องรอเป็นสิบปี กว่าต้นไม้จะโตออกดอกออกผลให้เราเก็บเกี่ยว ถ้าอยากจะปลูกอะไรในวันนี้แล้วเอาผลพรุ่งนี้เลย คุณก็ปลูกได้แค่ถั่วงอกอย่างเดียวแล้วล่ะ

 

เคยมีศิลปินรุ่นน้องใน LOVEiS มาคุยกับคุณเรื่องนี้ไหม ว่าทำไมชื่อเสียงหรือความสำเร็จยังไม่เข้ามาหาเขาสักที

     มี ซึ่งผมก็จะคอยบอกไปว่าเราต้องหมั่นพรวนดินรดน้ำไป จะหวังให้ออกผลเลยไม่ได้ ต้นไม้บางต้นอย่างต้นมังคุดอาจจะต้องรอถึงร้อยปีเลยนะกว่าจะได้ผลที่อร่อยที่สุด ดังนั้น ถ้าคุณอยากได้ผลที่อร่อยคุณก็ต้องรอ อยากได้เร็วก็ต้องไปปลูกถั่วงอก จำไว้เลยว่ากฎของการเกษตรคือสัจธรรม ปลูกอะไรก็เก็บเกี่ยวสิ่งนั้น การเริ่มปลูกอะไรก็ตามไม่มีคำว่าสายเกินไปหรอก ถ้าเราปลูกตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ถึงแม้จะปลูกตอนแก่ๆ แล้ว แต่ดอกผลที่ได้มาหลังจากที่เราไม่อยู่แล้ว ก็ส่งไปยังลูกหลานของเรา ทุกวันนี้กลายเป็นว่าเราถูกทำให้เชื่อว่าต้องทำเดี๋ยวนี้ ล้มแล้วก็ต้องรีบลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้ ประสบความสำเร็จเดี๋ยวนี้ ต้องไปให้ถึงเป้าหมายให้เร็ว พวก faster, bigger, stronger คำเหล่านี้มันหลอกเรา ผมหลุดจากตรงนี้มาได้เพราะคำสอนของคุณพ่อคุณแม่ และการสูญเสียของคนในครอบครัว การที่ต้องอยู่โดยไม่มีพวกเขา ตอนนั้นผมโดดเดี่ยวมากๆ จนได้พบกับพระเจ้า และผมยังมีสิ่งที่เหลืออยู่ คือครอบครัวที่ยังอยู่กับผม

 

บอย โกสิยพงษ์

 

ช่วงเวลาที่ท้อแท้ที่สุดในตอนนั้นคือตอนทำอัลบั้มไหน

     เป็นช่วงที่กำลังเริ่มอัลบั้ม Million Ways to Love Part 1 หลังจากที่จบอัลบั้ม Simpliffiied ซึ่งตอนทำอัลบั้ม Simpliffiied ชีวิตผมเริ่มมีความกดดัน เพราะเป็นช่วงที่เบเกอรี่มิวสิคประสบความสำเร็จอย่างมาก แต่เป็นช่วงเวลาที่ผมสูญเสียคุณพ่อ คุณแม่ คุณยาย พี่ชาย พี่เขย พวกเขาเสียชีวิตไปในช่วง 5 ปีนั้น 5 คน แบบเรียงๆ กันเลย เป็นสิ่งที่หนักหนามากสำหรับผม และเป็นช่วงเวลาเดียวกันที่ผมได้พบกับพระเจ้า ได้รู้ว่าเหตุผลของการมีชีวิตอยู่คืออะไร

     เพราะบางครั้ง ถ้าเราเกิดมาเพื่อจะเป็นตู้เย็น แต่สังคมบอกว่าเราควรจะเป็นเตาไมโครเวฟ ตู้เย็นจะปล่อยความร้อนให้ตายยังไงมันก็ไม่เป็นเตาไมโครเวฟได้หรอก ดังนั้น ตู้เย็นเลยรู้สึกว่าตัวเองไร้ความสามารถ ตู้เย็นรู้สึกว่าตัวฉันไม่มีประโยชน์อะไรเลย ซึ่งหน้าที่ของตู้เย็นเอาไว้แช่เนื้อ แช่ผัก เอาไว้ทำความเย็น แต่สังคมที่นิยมเตาไมโครเวฟ ก็จะบอกว่ามันต้องร้อนนะ ต้องร้อน ถ้าเราไม่เข้าใจว่าเราเกิดมาทำไม จุดประสงค์ของชีวิตคืออะไร เราก็จะงง แล้วเราก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรกับชีวิตนี้ดี คุณพ่อสอนผมมาตั้งแต่เด็กว่าเราต้องทำในสิ่งที่เรารัก รู้สึกว่าทำแล้วมันไม่เบื่อ ทำแล้วมันไม่อยากจะเลิก นั่นแหละคือสิ่งที่เรารัก

 

ก็เลยวนกลับมาว่าคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่อาจจะยังไม่รู้ว่าเขารักอะไร

     เพราะเรามีทางเลือกเยอะมากเลยนะบนโลกใบนี้ ถ้าเราเลือกปลูกอะไรก็เก็บเกี่ยวสิ่งนั้น เราปลูกมะม่วงเราก็เก็บเกี่ยวมะม่วง เราปลูกชมพู่เราก็เก็บเกี่ยวชมพู่ ปลูกอนาคตก็เพื่อเก็บเกี่ยวอนาคตของเรา ถ้าเราได้เริ่มต้นปลูกอะไรสักอย่างโดยรู้ตัวว่าชอบ เช่น ชอบมะม่วง ชอบน้อยหน่า ชอบมังคุด เราก็ปลูกๆ ไปก่อน แม้จะไม่รู้ว่าอนาคตเราจะได้เป็นราชาแห่งมะม่วงได้หรือเปล่า แต่ก็ปลูกไปก่อน ปลูกแล้วก็หาเครือข่าย หาเพื่อนฝูงที่ชอบมะม่วงเหมือนเรา หากูรูที่รู้เรื่องนี้มากกว่าเรา เพื่อที่จะได้ถามว่าเขาปลูกกันยังไงให้ดีขึ้น ต้องพรวนดิน ต้องใส่ปุ๋ยยังไง พอเราเริ่มมีเครือข่าย เราก็จะโตขึ้นพร้อมสายใยที่จะโยงใยให้เราสามารถทำให้ต้นไม้เติบโตได้ จนถึงวันหนึ่งถ้าเราเริ่มรู้สึกว่าทั้ง 3 ต้นนี้ไม่ใช่สิ่งที่เรารักเลย มะม่วง น้อยหน่า มังคุด ไม่ใช่สิ่งที่รักจริงๆ แต่เราก็ยังมีต้นไม้ 3 ต้นนี้เอาไว้ให้เก็บเกี่ยวอยู่ พอถึงวันนั้นเราก็หันไปปลูกอย่างอื่นได้ ไม่เป็นไร แต่อย่างน้อยเราได้ปลูก 3 ต้นนี้มาแล้ว และเราได้รู้ว่า 3 อย่างนี้ไม่ใช่สิ่งที่เรารัก แต่มันก็ออกดอกออกผลให้เราแน่ๆ ในวันข้างหน้า

 

ถ้าเปรียบต้นไม้กับผลงาน 3 อัลบั้ม Rhythm & BOYd, Simpliffiied และ Million Ways to Love Part 1 คุณชอบต้นไหน และทุกวันนี้มันให้ผลพวงอะไรบ้าง

     Simpliffiied คือความกดดัน เพราะหลังจากอัลบั้ม Rhythm & BOYd ประสบความสำเร็จ หุ้นส่วนก็อยากให้ผมทำอัลบั้มใหม่ออกมา และตัวผมก็เริ่มมีอีโก้ อยากจะอวดอยากจะโชว์ว่าเรามีเพลงอย่างนี้ด้วยนะเว้ย (หัวเราะ) เรามีแนวคิดอย่างนี้ด้วย เรามีแนวดนตรีอย่างนี้ที่ทำได้ แล้วก็ทำงานไปโดยหวังว่าเพลงนี้ต้องดังแน่ๆ เพลงนั้นต้องโดนแน่ๆ ปรากฏว่าอัลบั้มนี้เงียบกริบ เพลงไหนที่มั่นใจ มันกริบทุกเพลง (หัวเราะ) แต่มันก็ดีนะ เพราะทำให้เราไม่ทันได้ลอยก็จมลงไปเสียก่อน ถึงใครต่อใครจะชมว่าอัลบั้ม Simpliffiied นั้นดีมากๆ เลยนะ ชอบมากๆ เลยพี่ แต่ด้านยอดขายมันก็สวนทางกับคำชมจริงๆ แต่ก็ทำให้ผมเข้าใจอะไรมากขึ้น เข้าใจเลยว่าอีโก้ไม่ได้ช่วยอะไรเลย จริงๆ แล้วอีโก้ทำให้ผมเด๋อด๋าเสียด้วยซ้ำ (หัวเราะ)

 

หลังจากความคาดหวังเรื่องชื่อเสียงและเงินทองใน Simpliffiied อะไรคือเป้าหมายในการทำเพลงของคุณในวันนี้

     เป็นการทำงานที่เติบโตไปตามอายุของตัวเอง ในอดีตผมก็มองเฉพาะเรื่องใกล้ตัว พอโตขึ้น ผมก็มองเรื่องที่มันใหญ่ขึ้น ผมทำงานไปโดยคาดหวังว่าเพลงเหล่านี้จะไปสะกิดใจ ไปทำอะไรกับเขาได้บ้าง เพื่อที่เขาจะเอาไปส่งต่อ โดยเราไม่คาดหวังแล้วว่าจะทำให้คนทุกหมู่เหล่าชอบเพลงของเราได้เหมือนแต่ก่อน

 

บอย โกสิยพงษ์

 

เราต้องเชื่อว่าตัวเองทำดีที่สุดแล้ว ทำดีที่สุดในชีวิตเราแล้ว ผู้ฟังเขาจะชอบหรือไม่ชอบก็เป็นสิทธิ์ของเขา สิ่งนี้คือการที่เราจะทำเพื่อตัวเราเอง การที่เราอ่อนน้อมต่อตัวเราเอง ก็เพื่อที่จะอยู่กับคนอื่น

ในฐานะนักแต่งเพลง คุณคิดว่าคนหนุ่มสาวยุคนี้ต้องการเมสเสจอะไรในบทเพลงมากที่สุด ต้องการพลังใจหรือคำตอบอะไรในชีวิตของพวกเขา

     สิ่งที่เขาต้องการกับสิ่งที่เขาอยากได้อาจจะไม่เหมือนกัน ผมเชื่อว่าทุกคนต้องการความหวัง ต้องการกำลังใจ ต้องการความรัก แต่เพลงที่เขาอยากฟังอาจเป็นอะไรที่สวนทางกับสิ่งที่เขาต้องการ เหมือนตอนที่ผมต้องผลิตเพลงออกมาเรื่อยๆ ช่วงหลังอัลบั้ม Simpliffiied ตอนนั้นผมรู้สึกแย่ และก็รู้สึกว่าต้องรับผิดชอบต่อบริษัท รับผิดชอบต่อผู้ฟัง และออกมายอมรับว่าผมทำได้ดีไม่พอ ความคาดหวังนั้นน่ากลัว ถ้าเราคาดหวังเมื่อไหร่ก็เตรียมตัวซวยได้เลย ดังนั้น เราต้องเชื่อว่าตัวเองทำดีที่สุดแล้ว ทำดีที่สุดในชีวิตเราแล้ว ผู้ฟังเขาจะชอบหรือไม่ชอบก็เป็นสิทธิ์ของเขา สิ่งนี้คือการที่เราจะทำเพื่อตัวเราเอง การที่เราอ่อนน้อมต่อตัวเราเอง ก็เพื่อที่จะอยู่กับคนอื่น

 

ในเมื่อเพลงแต่ละอัลบั้มดูขัดแย้งกันตามช่วงชีวิตของคุณ เวลาขึ้นคอนเสิร์ต คุณเอาเพลงมาเรียงร้อยกันอย่างไร

     ผมคิดว่ามันเป็นช่วงเวลาของชีวิต เหมือนกับหนังไตรภาค Star Wars ซึ่งอัลบั้ม Rhythm & BOYd คือ A New Hope เป็นการเริ่มต้น ความสำเร็จ ความสุขของผม ต่อมาอัลบั้ม Simpliffiied คือ The Empire Strikes Back (หัวเราะ) เป็นช่วงที่ชีวิตเข้าสู่ความดาร์ก แล้วก็วกกลับมาได้เพราะรู้แล้วว่าจะจัดการอย่างไรกับชีวิต Return of the Jedi นั่นคืออัลบั้ม Million Ways to Love Part 1 เนื้อเรื่องมันจะประมาณนี้เลย เพราะชีวิตของผมก็เป็นแบบนี้จริงๆ

 

คุณเทพอาจ กวินอนันต์ ที่เข้ามาช่วยจัดการเรื่องธุรกิจของค่าย ทำให้เข้าสู่โหมดของ Return of the Jedi ได้แล้วใช่ไหม

     เพราะผมรู้ตัวว่าแบกบริษัทไว้คนเดียวไม่ไหว แน่นอนว่ามนุษย์ไม่ได้มีตารอบหัว ดังนั้น เรามองได้ไม่ครบหรอก เรามองได้แค่นี้ แค่ด้านหน้า ผมเป็นคนทำเพลง เป็นฝ่ายศิลปะ ไม่เก่งด้านธุรกิจ ไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะดูแลคนหลายๆ คนได้ ผมมีความกังวลใจมากว่าจะหารายได้เลี้ยงบริษัทกับศิลปินของเราอย่างไร พอผมได้พาร์ตเนอร์ที่เข้ามาช่วยแบกด้านนี้ ผมก็รู้สึกว่า เออ เราได้เป็นตู้เย็นจริงๆ เสียที เราจะทำหน้าที่เป็นไมโครเวฟไปพร้อมๆ กับเป็นตู้เย็นไม่ได้ ต้องหาใครมาเป็นไมโครเวฟ ส่วนอีกคนก็เป็นตู้เย็นไปเพื่อให้บาลานซ์กันระหว่างความร้อนและความเย็น

 

ในโลกที่มีทั้งคนร้อนๆ และคนเย็นๆ เราจะอยู่และทำงานร่วมกันได้อย่างไร

     เปรียบเหมือนอาหารที่ต้องสดสะอาด อาหารสดของคุณต้องพร้อมที่จะนำไปปรุงในไมโครเวฟ สิ่งที่เราทำได้คือเป็นตัวเราเองให้ดีที่สุด ทำหน้าที่การงานที่เรารับผิดชอบให้ดีที่สุด คนอื่นจะได้ไม่ต้องกลุ้มใจว่าเธอเอาผักเน่ามาให้ฉันปรุงอาหารทำไม เราต้องรู้ว่าเขาก็รอพึ่งเราอยู่ เราเองก็รอพึ่งเขาอยู่ ดังนั้น เราจะอัพเกรดตัวเองอย่างไร จะเพิ่มประสิทธิภาพให้ตัวเองอย่างไร ทุกวันนี้ผมยังต้องทำเวิร์กช็อปกับน้องๆ นักดนตรีรุ่นใหม่อยู่เสมอ เพื่อเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ให้ตัวเราเองต่อไป เราเป็นตู้เย็น แต่อย่าเป็นตู้เย็นรุ่นโบราณเป็นใช้ได้ เพราะว่าในยุคสมัยนี้เราจะเป็นตู้เย็นรุ่นเก่าไม่ได้แล้ว

 

บอย โกสิยพงษ์

 

ปัญหายิ่งเยอะในชีวิตยิ่งทำให้เราถ่อมตัวลง ทำให้เรารู้ตัวมากขึ้นว่าเราไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร เราพร้อมที่โดนปัญหาเข้ามากระแทกได้เสมอ

 

เวลาเวิร์กช็อปกับศิลปินรุ่นน้อง คุณสอนอะไรพวกเขา คุณให้กำลังใจในการทำงานอย่างไร

     ผมมักจะเล่าถึงปัญหาชีวิต ปัญหายิ่งเยอะในชีวิตยิ่งทำให้เราถ่อมตัวลง ทำให้เรารู้ตัวมากขึ้นว่าเราไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร เราพร้อมที่จะโดนปัญหาเข้ามากระแทกได้เสมอ แล้วเราก็พร้อมที่จะร้องไห้ พร้อมที่จะเสียใจ งอแง ฟูมฟาย ดังนั้น สิ่งเหล่านั้นจะมาทำให้เราถ่อมตัวลง ผมจะคิดว่าปัญหาเข้ามาเป็นเพราะพระเจ้าอวยพร เมื่อเราไปถึงจุดที่ต่ำที่สุดในชีวิต ความเสียใจโศกเศร้าจากการสูญเสียคนในครอบครัวทีละคน ทีละคน ผมก็ดิ่งจนไม่รู้จะดิ่งยังไง ร้องไห้จนเบื่อการร้องไห้ ผมไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกในตอนนั้นอย่างไร

     ครั้งสุดท้ายก่อนที่คุณแม่จะเสีย ผมบอกว่าแม่อย่าตายเลย บอยไม่ต้องการไปงานศพอีกแล้ว บอยไม่ต้องการร้องไห้อีกแล้ว มันไม่ไหวแล้ว หัวใจมันพังจนไม่รู้จะพังยังไง พังจนเบื่อ แต่คุณแม่ท่านก็จากไปอยู่ดี ผมเชื่อว่าวันหนึ่งเราจะได้เจอกันอีกครั้งบนสวรรค์ ดังนั้น ผมจึงมีความหวังที่จะใช้ชีวิตดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงวันที่ตัวเองตาย เพื่อที่จะได้ไปเจอเขาอีกครั้งบนสวรรค์ ถ้าความหวังไม่มี ชีวิตต่อไปจากนี้ก็สูญเปล่า ไม่มีความหมายอะไร ถ้าชีวิตไม่มีความหวัง นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมระยะหลังๆ LOVEiS จึงใช้เวลาในการที่จะปลูกความหวังให้กับทั้งตัวเอง ให้กับทั้งคนใกล้ชิด และให้กับสังคมมากขึ้น

 

มนุษย์เรานั้นแท้จริงแล้วแข็งแกร่งหรือว่าอ่อนแอกันแน่

     การยอมรับว่าตัวเองอ่อนแอจะเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราได้รับการเติมเต็มด้วยความรักจากผู้อื่น วิธีการเติมเต็มซึ่งกันและกันก็ไม่เหมือนกัน เราต่างมีน้ำมันของการเติมเต็มกันคนละแบบ เราอาจจะต้องการน้ำมันดีเซลเพื่อมาเติมเต็มตัวเรา แต่อีกคนกลับเป็นน้ำมันเบนซิน จะเอาน้ำมัน 2 ชนิดนี้มาเติมให้กันก็อาจจะทำให้ไม่เข้ากัน

 

ถ้าอย่างนั้น ถังน้ำมันความรักของแต่ละคนจะสามารถเติมเต็มให้กันด้วยวิธีไหน ในเมื่อเราต่างก็เป็นมนุษย์คนละจำพวกเดียวกัน

     สำหรับผม น้ำมันของผมคือคำพูด บทเพลง การเขียนการ์ดเพื่อบอกรักภรรยา ในขณะที่ภรรยาของผมเป็นน้ำมันแห่งการบริการ การดูแล เขาจึงเป็นคนที่ดูแลบ้านได้อย่างดี ถ้ามีอะไรภายในบ้านเสียหาย เขาจะรีบตามช่างมาซ่อม ไม่เหมือนผมที่ปล่อยไว้อย่างนั้น เขารู้สึกว่าได้ความรักจากผมก็ต่อเมื่อผมมาช่วยดูแลเขา เช่น มาช่วยเขาแยกสีเสื้อผ้าก่อนจะนำไปซัก

     ช่วงสิบปีแรกผมแต่งเพลงเยอะมากเพื่อบอกรักภรรยา แต่ภรรยาผมกลับบอกว่าเฉยๆ (หัวเราะ) เพราะความรักสำหรับเขาคือภาษาแห่งการดูแล เขาใช้การกระทำ เช่น การทำงานบ้าน ผมเองก็รู้สึกน้อยใจว่าทำไมไม่รักเราวะ เมื่อเราบอกรักเขาถึงขนาดนี้ แต่เขาแสดงความรักผมด้วยการทำให้ทุกอย่างในชีวิตผมสมูธมาก ทำให้บริษัทไปได้ด้วยดีในเรื่องของบัญชี ทำให้บ้านของเราน่าอยู่ นั่นคือความรักของเขา พอเราเติมน้ำมันให้กันผิด เราสองคนก็ไม่รู้สึกว่าได้รับความรักจากกันและกัน จนกระทั่งผมเพิ่งมาเข้าใจเรื่องนี้

     หลังๆ มานี้ผมก็เปลี่ยนเป็นไปช่วยเขาซักผ้า แยกสีเสื้อผ้า ช่วยถูบ้าน เขาก็ชมใหญ่เลย โอ๊ย น่ารักจัง (หัวเราะ) เราก็ได้รับคำชมกลับมา ซึ่งเป็นภาษารักของผม ผมก็รู้สึกว่าได้รับการเติมเต็ม และเขาก็ได้รับการเติมเต็ม ดังนั้น ผมจึงเริ่มหัดที่จะพูดภาษาเดียวกับเขา แล้วเขาก็จะมาพูดภาษาเดียวกับผม

 

เมื่อมีครอบครัวอันเป็นที่รักแล้ว คุณกังวลหรือกลัวไหมว่าสักวันเราก็ต้องสูญเสียสิ่งที่รักไปอยู่ดี

     ถ้าจะให้กังวล มันก็ต้องกังวลตลอดเวลา และมีชีวิตอยู่บนความกังวล มันไม่มีประโยชน์อะไร เวลาก็สูญเปล่าไปฟรีๆ สิ่งที่เราคิดมากมันช่วยต่อชีวิตให้เรายืนยาวขึ้นไปอีกวันหรือเปล่าล่ะ เพราะเดี๋ยวถึงวันพรุ่งนี้ ก็จะมีความกังวลใหม่ๆ เกิดขึ้นมา ดังนั้น วันนี้เราก็คิดแค่เรื่องในวันนี้ วันพรุ่งนี้ก็ให้พรุ่งนี้จัดการ แต่วันนี้เราต้องทำให้ดีที่สุด เพราะเราก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเรา

 

เรื่องราวในชีวิตที่คุณเล่ามาทั้งหมดนี้ จะเป็นแกนหลักที่อยู่ในอัลบั้ม Million Ways to Love Part 2 มากน้อยแค่ไหน

     (หัวเราะ) ผมเป็นคนที่ชอบชีวิตแบบรูทีนมาก ชอบการทำกิจวัตรแบบเดิมๆ ผมเป็นคนไม่รู้สึกสนุกกับการจะต้องไปเที่ยวสถานที่ใหม่ๆ ไปหาอะไรใหม่ๆ ผมเฉยๆ แต่ผมจะมีความสุขที่ได้อยู่บ้าน ได้โทรศัพท์ไปหาครอบครัวที่ต่างประเทศบ่อยๆ ในเวลาเดิมๆ แน่นอนว่าก็ต้องมีสิ่งที่ไม่เป็นดั่งใจ เราก็ทำใจยอมรับ

     Million Ways to Love Part 2 จะเป็นมุมมองใหม่ในช่วงอายุ 50 ปีของผม สำหรับคนฟังกลุ่มวัยรุ่นอาจจะไม่เข้าใจหรือไม่ชอบสักเท่าไร แต่ก็ช่วยไม่ได้ เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ผมคิดไว้แบบนี้ แต่จะไม่ใช่ Simpliffiied 2 แน่ๆ เพราะ Simpliffiied คืออีโก้ ตอนนี้ผมไม่อยากเหลืออีโก้แล้ว บรรยากาศโดยรวมของอัลบั้มก็จะเหมือนกับ Million Ways to Love Part 1 นั่นแหละ เป็นความคิดต่อเนื่องกัน แล้วก็จะมีแต่คนรุ่นผู้ใหญ่ๆ หน่อยที่ชอบฟัง เพราะเด็กรุ่นใหม่อาจจะไม่ฟังเพลงของผมแล้ว