ชานน สันตินธรกุล

ชานน สันตินธรกุล: หนุ่มน้อยผู้พยากรณ์ชีวิตตัวเองว่าจะต้องได้ไปฮอลลีวูด

โชคชะตาอาจจะถูกกำหนดไว้แล้ว… ย้อนกลับไปราวปี 2014 ขณะที่เรากำลังอมยิ้มกับเรื่องราวของพัชชา ในหนังสั้นเรื่อง Patcha is sexy กำกับโดย เต๋อ  นวพล บทของพี่สราวุฒิ หนึ่งในตัวละครที่เป็นต้นเหตุให้เกิดเรื่องราวฮาๆ นั้นแสดงโดย ‘นน’ – ชานน สันตินธรกุล แม้ส่วนใหญ่เขาจะออกมาทำหน้านิ่งๆ มีบทพูดไม่มาก แต่ด้วยเสน่ห์บางอย่างก็ทำให้เรารู้สึกสะดุดกับนักแสดงหน้าใหม่คนนี้

     ต่อมา ปี 2015 หนุ่มน้อยคนนี้ก็เริ่มเป็นที่คุ้นตามากขึ้น เมื่อได้เข้าไปเป็นหนึ่งในโลกว้าวุ่นกับซีรีส์ ฮอร์โมนส์ วัยว้าวุ่น ซีซัน 3 ก่อนจะมาเป็นที่รู้จักในระดับเอเชียจากบทของเด็กหนุ่มยอดอัจฉริยะ ในภาพยนตร์เรื่อง ฉลาดเกมส์โกง
ดูแล้วก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องแปลกประหลาดอะไร เส้นทางการไต่ระดับขึ้นทีละเล็กละน้อยของนักแสดงหน้าใหม่ จนกระทั่งเขาบอกว่าเป้าหมายจริงๆ ของตัวเองนั้นคือการได้ไปเป็นนักแสดงฮอลลีวูด

     เป้าหมายไกลสุดกู่กับความมุ่งมั่นที่แรงกล้า ทำให้สายตาที่เรามองหนุ่มน้อยคนนี้เปลี่ยนไปทันที ยิ่งเมื่อได้เริ่มพูดคุยกันไม่นานก็พบว่าเขาได้ทำการขีดทางเดินของชีวิตเอาไว้แล้ว ไม่ได้หวังพึ่งดวงหรือโชคชะตาให้พาตัวเองไป แต่เป็นความเชื่อมั่นว่าต้องไปถึงให้ได้ด้วยการพัฒนาศักยภาพของตัวเองจนเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์

     เป้าหมายคือสิ่งที่ย้ำเตือนความเชื่อในตัวเองในทุกวัน จนกลายเป็นแรงผลักดันให้ทำงาน มีชีวิต และเรียนรู้แต่ละวันๆ อย่างไม่ท้อถอย

     เราได้มาจับเข่าสนทนาถึงความฝัน ความหวัง และชีวิตการทำงานในวงการบันเทิง กลายเป็นหนุ่มน้อยคนนี้สอนเราว่า โชคชะตาในอนาคตข้างหน้านั้นแท้จริงแล้วคือการทำงานหนัก และการเรียนรู้บทเรียนครั้งแล้วครั้งเล่า

     นั่นแปลว่าโชคชะตานั้น แท้จริงแล้วคือสิ่งที่เรากำหนดได้เองในวันนี้

 

ชานน สันตินธรกุล

 

ตั้งแต่ความสำเร็จจากภาพยนตร์เรื่อง ฉลาดเกมส์โกง คุณก็กลายเป็นนักแสดงดาวรุ่งที่น่าจับตามอง ตอนนี้เพิ่งมามีผลงาน Bangkok รัก Stories เราคิดว่าคุณมีผลงานออกมาน้อยกว่าที่คาดไว้

     เป็นเรื่องของจังหวะชีวิตมากกว่าที่จะทำงานเยอะหรือทำงานน้อย แต่ต่อให้มีผลงานออกมาน้อย ผมก็ไม่หยุดพัฒนาตัวเองแน่ๆ วันว่างของผมที่อาจจะดูเหมือนสบายๆ ว่างๆ แต่ในความจริงผมจะไปเรียนแอ็กติ้ง ร้องเพลง เต้น ภาษาจีน ไปเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มด้วย เพื่อไม่ให้ตัวเองว่างเกินไป พอมีโอกาสใหม่เข้ามา เราจะได้มีความสามารถพอที่จะรับมือกับมัน ผมคิดว่าการไปเรียนแต่ละอย่างๆ และในการทำงานแต่ละชิ้นๆ อาจทำให้เราก้าวไปสู่อีกขั้นหนึ่งของตัวเราเองได้ ซึ่งนอกจากผลงานที่เผยแพร่ไป ตอนนี้ผมก็มีงานที่ถ่ายเก็บไว้นะ แต่ยังไม่รู้ว่าจะออนแอร์เมื่อไหร่ เช่น ถ่ายซีรีส์ที่จีนจบไป 2 เรื่องแล้ว และมีโปรเจ็กต์ของไทยอีกประมาณ 2-3 โปรเจ็กต์

 

ผลงานล่าสุดคือซีรีส์ Bangkok รัก Stories ตอน เรื่องที่ขอจากฟ้า คุณรับบทเป็นหมอดูที่เสียดวงตาไป นับว่าเป็นบทที่แปลกดี คุณคิดว่าบทนี้ท้าทายตัวเองอย่างไร

     กว่าจะมีความมั่นใจที่จะเล่นเป็นตัวละครตัวนี้ ผมต้องทำการบ้านหนักประมาณหนึ่งเลย ทั้งเข้าเวิร์กช็อปโดยทีมงานและการบ้านที่ผมทำเอง ผมไปสมาคมคนตาบอดฯ เพื่อไปเรียนรู้ว่าที่เคยมองเห็นแล้วต้องกลายเป็นคนตาบอดเขารู้สึกแบบไหน ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่นั่นน่ารักมาก เขาบอกผมละเอียดมาก บอกแม้กระทั่งวิธีใช้ไม้เท้าเดินขึ้นบันได รวมถึงวิธีสำหรับคนสายตาปกติที่ต้องเดินนำคนตาบอด

     มีวันหนึ่ง ผมลองปิดตาเดินเองจากเซ็นทรัลเอมบาสซีไปเซ็นทรัลเวิลด์โดยใช้ไม้เท้า ตอนแรกก็กลัวเพราะมองไม่เห็นอะไรเลย แล้วก็มีคนใจดีมากๆ สี่ห้าคนที่จำผมไม่ได้และคิดว่าผมเป็นคนตาบอดจริงๆ มาช่วยนำทางผมเป็นระยะ จนผมเดินไปถึงเซ็นทรัลเวิลด์ได้ ตอนนั้นก็รู้สึกสนุกมาก ประหลาดใจเหมือนกันว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ (หัวเราะ) นักแสดงอาชีพเขาต้องทำงานกันหนักแบบนี้เลยนะ แต่ผมเป็นพวกเนิร์ดๆ ด้วยมั้งที่อยากรู้ว่าคนตาบอดเขารู้สึกอย่างไรในตอนที่เขาออกไปสู่โลกภายนอก หรือตอนที่เพิ่งเริ่มตาบอดเขารู้สึกอย่างไร เพราะตามบท ตี้ไม่ได้ตาบอดตั้งแต่เกิด การบ้านนี้ช่วยผมเรื่องการแสดงได้ค่อนข้างมาก

 

ตอนที่ไปลองปิดตาเดิน คุณรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าต้องมีคนมาช่วย

     ไม่ๆ ไม่ได้คาดหวังขนาดนั้นว่าจะให้คนเข้ามาช่วยพาผมไปจนถึงเซ็นทรัลเวิลด์ แต่ก็คาดว่าคงจะมีคนช่วยถ้าผมเข้าไปถามเขา ซึ่งตอนที่เราเข้าไปถาม เราก็ไม่รู้ว่าหน้าตาเขาเป็นอย่างไรด้วยนะ แต่ก็ต้องพยายามทำให้เนียนๆ เพื่อไม่ให้เขารู้ว่าผมแกล้งเป็นคนตาบอด จะพูดอะไรไม่ได้เยอะ ผมต้องพูดประมาณว่า ผมอยากไปที่อะไรนะ ชื่อเซ็นทรัลเวิลด์หรือเปล่า ก็มีเรื่องตลกที่มีคนเข้ามาถามผมว่า จะไปเซ็นทรัลเวิลด์เหรอ รอพี่ตรงนี้แป๊บหนึ่งเดี๋ยวจะตามคนมาช่วย แต่เขาก็หายไปโดยที่ไม่กลับมาอีกเลย (หัวเราะ)

     ตอนเราปิดตาอยู่ มันต้องใช้ความกล้าระดับหนึ่ง กล้าในการที่จะเข้าไปหาคนอื่น เข้าไปขอความช่วยเหลือ เข้าไปถามใครสักคน ผมยืนรอเขานานประมาณ 15 นาทีหรือมากกว่านั้น เพราะผมไม่ได้ดูเวลาก็เลยไม่รู้ แต่ผมรอนานมากด้วยความลังเลที่ไม่รู้ว่าควรไปต่อเองหรือควรรอเขากลับมา รอจนสักครึ่งชั่วโมงจึงไปถามอีกคนหนึ่ง แต่สุดท้ายผมก็เดินทางโดยสวัสดิภาพ

 

ชานน สันตินธรกุล

 

โดยส่วนตัวคุณเองเป็นคนประเภทที่เชื่อหมอดูไหม คุณเชื่อในเรื่องโชคลางหรือเรื่องเหนือธรรมชาติไหม

     พอมาเล่นซีรีส์เรื่องนี้แล้วก็ต้องเชื่อแหละ (หัวเราะ) แต่ในชีวิตจริง ผมไม่เชิงว่าไม่เชื่อไปเสียทั้งหมด เพียงแต่ผมไม่เอาตัวเองเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้มากนัก เพราะรู้สึกว่าคำทำนายชีวิตคนเรามันอาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้ ถึงแม้ต่อให้เป็นจริง การที่เราไปรู้มันก่อนก็ไม่ช่วยอะไรเราอยู่ดี เพราะในเมื่อมันจริงไปแล้วก็แค่ว่าในอนาคตมันจะเกิดเรื่องขึ้นตรงกับคำทำนายเท่านั้นเอง จริงไหม? ผมแค่ไม่ชอบให้ใครมาสปอยล์ชีวิตผมแค่นั้นเอง ไม่ต้องมาคอยเตือนว่าจะเกิดอะไรวันนี้ หรือตรงนี้ ถ้าคำทำนายนั้นจริงมันก็จริงอยู่ดี ถ้าไม่จริงก็ไม่ได้มีผลอะไรกับผมอยู่ดีเช่นกัน

 

บางทีคนเราก็ต้องการหมอดูมาช่วยทำนาย เพื่อเป็นกำลังใจเล็กๆ น้อยๆ เพราะเรื่องเลวร้ายในแต่ละวัน มันทำให้ชีวิตเสียศูนย์และเราส่วนใหญ่รู้สึกแย่

     เรื่องแบบนี้พูดยากเหมือนกัน เพราะแต่ละวันมันเต็มไปด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ คำทำนายก็น่าจะช่วยให้เราเตรียมตัวรับมือ แต่ผมเป็นคนประเภทที่ชอบทำตรงกันข้าม ถ้าเครียดๆ ก็เครียดหนักไปเลย และผมก็เชื่อว่าถ้าได้นอนสักตื่น พรุ่งนี้ตื่นมาทุกอย่างก็จะดีขึ้น ซึ่งมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ นะ ทีแรกผมก็ไม่เชื่อหรอก เวลามีคนบอกว่าไปนอนเถอะ พรุ่งนี้ตื่นขึ้นมาแล้วทุกอย่างจะดี แต่จากประสบการณ์ที่สั่งสมมา พอได้นอนแล้วตื่นขึ้นมา เรื่องเมื่อวานที่เราเครียดก็เบาลง แต่สิ่งที่เราควรจะเข้มงวดกับตัวเองมากๆ ก็คือการเรียนรู้จากบทเรียน เพื่อให้ตัวเองจำและรู้ว่านั่นคือสิ่งที่เราทำผิด และเราจะไม่ทำผิดอีก

 

นั่นแปลว่าโชคชะตาที่แท้จริงก็คือบทเรียนต่างๆ ที่ผ่านเข้ามา และเราได้เรียนรู้

     ใช่ ผมเชื่อเรื่อง โชค มันคือส่วนประกอบหนึ่ง คนเราต้องมีทั้งความสามารถและมีทั้งโชคด้วยถึงจะไปด้วยกันได้ แต่ในเมื่อมันมีสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ สิ่งที่เราควบคุมได้คือความสามารถของเรา เราก็ต้องทำให้ดีที่สุด เมื่อวันหนึ่งที่อะไรเข้ามาเมื่อไหร่ เราก็จะได้เรียนรู้ แล้วมันจะบวก ช่วยทำให้ชีวิตเราไปได้ไกลขึ้นอีก

 

ดูคุณเป็นคนที่ชอบพัฒนาตัวเอง อยากรู้ว่าคุณมองเรื่องความสุขและความสำเร็จในชีวิตอย่างไร

     ตัวผมพัฒนาตัวเอง แต่ผมไม่คาดหวังกับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ ยิ่งเป็นเรื่องผลลัพธ์ระยะสั้นๆ ด้วย ผมยิ่งไม่คาดหวัง ผมคิดว่าคนเราสามารถคาดหวังกับชีวิตได้โดยมองผลลัพธ์ระยะยาว เช่น เราอยากเป็นอะไรในอนาคต เป้าหมายในชีวิตของเราคืออะไร เรื่องแบบนี้ผมจะมุ่งมั่น แต่ผลลัพธ์ระยะสั้นๆ เช่น วันนี้ต้องเป็นวันที่ดีที่สุด ผมว่าเป็นเรื่องนามธรรมที่บอกอะไรเราไม่ได้ชัด

 

ชานน สันตินธรกุล

 

ทำไมถึงเลือกที่จะเชื่อในเป้าหมายระยะไกล ในขณะที่บางคนมองเป้าหมายระยะสั้นๆ เขาจะชอบบอกว่าแค่เราทำวันนี้ให้ดีที่สุด

     เพราะถ้าเรามีเป้าหมายที่ตั้งไว้ไกล ชีวิตในแต่ละวันๆ ทุกเรื่องที่ต้องทำในระยะสั้นๆ เราก็จะไม่เขว ในแต่ละวันที่ตื่นมา เราจะคิดถึงเป้าหมายสั้นๆ โดยอัตโนมัติอยู่แล้ว แล้วเราก็จะอยากทำทุกอย่างให้ดีไปโดยอัตโนมัติ ถ้าเรามีเป้าหมายระยะไกลเก็บไว้ข้างในลึกๆ เป้าหมายในชีวิตเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อที่ว่าวันหนึ่งสมมติเราเกิดท้อขึ้นมาจะรู้สึกว่าตัวเรายังไปไม่ถึงตรงนั้น เราจะได้มีกำลังใจกลับคืนมา การคิดแบบนี้ทำให้เราลุกขึ้นได้เร็วกว่าคนอื่น เพราะสมองจะคิดได้เองว่าต้องทำอะไรบ้าง หรือสิ่งที่ทำมันมีเปอร์เซ็นต์ช่วยให้เราไปถึงเป้าหมายระยะไกลนั้นมากขึ้นได้ไหม เกิดเป็นการลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ

 

คุณเคยพูดมาตลอดว่ามีเป้าหมายจะเป็นนักแสดงฮอลลีวูด นั่นหมายถึงคุณกำหนดคำพยากรณ์ชีวิตตัวเองในอนาคตไว้แล้ว

     ใช่ จะมองในมุมนั้นก็ได้ โดยส่วนตัว ผมว่าเป็นเรื่องของความเชื่อ ถ้าความเชื่อเราไม่แข็งแรงพอ มันก็ล้มได้ง่ายๆ ผมสร้างความเชื่อนี้ขึ้นมาด้วยการกล้าที่จะบอกคนอื่นเสมอๆ เริ่มจากบอกใครก็ได้ ที่ไหนก็ได้ เริ่มจากบอกพ่อแม่หรือเพื่อนเราก่อนก็ได้ เริ่มบอกจากนิตยสารที่มาสัมภาษณ์อย่างคุณ

     ตอนแรกเราอาจจะรู้สึกว่ายังมีน้ำหนักเบาๆ เพราะเราไม่ได้เชื่อในตัวเองขนาดนั้น แต่พอเริ่มบอกไปเรื่อยๆ เริ่มพูดถึงมันบ่อยขึ้น เราจะเริ่มรู้สึกว่าทุกสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ตรงนี้ เราจะไปถึงเป้าหมายที่ได้บอกคนอื่นไว้หรือยัง ถ้ายังไปไม่ถึง ผมก็จะกลับมาทบทวนตัวเองว่า แปลว่าเรายังไม่ได้ทำอะไร หรือทำแล้วแต่ยังทำได้ไม่ดีพอ แล้วตั้งคำถามกับตัวเองว่าถ้าจะไปถึงเป้าหมายระยะไกลของตัวเอง ต้องทำอะไร ทำอย่างไร เหมือนกลับมาคิดทบทวนแป๊บหนึ่งแล้วก็ไปต่อ เจออุปสรรคอีกนิดหนึ่งก็กลับมาคิดแล้วก็ไปต่อ วนลูปแบบนี้ไปเรื่อยๆ แล้วความเชื่อของตัวเองจะแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ

     ผมเคยอ่านคำคมของเจ้าของรถยี่ห้อหนึ่งมาว่า ‘ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อว่าคุณจะทำสำเร็จหรือไม่สำเร็จ คุณก็ถูกต้องทั้งนั้น’ ประโยคนี้บอกอะไรบางอย่างว่า ถ้าเราเชื่อว่าเราจะเป็นอย่างไร เราก็จะเป็นอย่างนั้นจริงๆ เช่น ถ้าคุณเชื่อว่าตัวคุณไม่ชอบเข้าสังคม มันก็เลยทำให้คุณเป็นคนไม่ชอบเข้าสังคมจริงๆ ทุกวันนี้ผมชอบการทำงานเป็นนักแสดงอย่างจริงจัง ผมเชื่อว่าผมรักการแสดง และผมจะไปให้ถึง ระหว่างทางจากที่เริ่มเชื่อแค่ตัวเองคนเดียว พอเริ่มพัฒนาขึ้นทีละก้าวไปเรื่อยๆ ก็จะเริ่มมีคนที่เชื่อในตัวผม เมื่อคนอื่นเริ่มเชื่อในตัวเราด้วยเมื่อไหร่ เมื่อนั้นจะทำให้จิตใจก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

 

แต่การไปบอกใครต่อใครว่าฉันจะโกฮอลลีวูด นับว่าเป็นการเริ่มต้นจะยากเกินไป ไกลเกินไป ใครจะไปเชื่อคุณ มีแต่คนจะหัวเราะเยาะละไม่ว่า

     โห ไม่เลย (หัวเราะ) ผมไม่เคยโดนพูดทับถมหรือหัวเราะเยาะ แต่ตอนแรกๆ อาจจะยังไม่ค่อยมีคนเชื่อ แม้แต่คนในครอบครัวก็บอกว่าจะไปหวังอะไรสูงขนาดนั้น เอาแค่ในไทยก่อนไหม แต่ผมก็แค่ปล่อยความคิดแบบนั้นไป เพราะเข้าใจว่าเราไม่ได้เกิดมาในครอบครัวที่ทำงานในวงการนี้ ก็ไม่แปลกที่เขาจะคิดแบบนั้น เราก็ได้แต่ทำงานต่อไปเรื่อยๆ แบบนี้ก็อาจจะเขวบ่อยหน่อยนะ บางทีแค่เล่นฉากหนึ่งได้ไม่ดี ก็จะคิดโกรธตัวเองเลยว่าฝีมือเราแย่ขนาดนี้จะไปถึงฝันได้เหรอ หรือมีความคิดอยากหาอาชีพอื่นทำก็มีเข้ามาเรื่อยๆ (หัวเราะ) ทุกวันนี้ก็ยังมีอยู่ แต่ก็น้อยลงเรื่อยๆ

 

ชานน สันตินธรกุล

 

เราจะเห็นจากชีวประวัติของนักแสดงฮอลลีวูดอย่าง แบรด พิตต์ ต้องไปทำงานเป็นคนใส่ชุดมาสคอตร้านไก่ทอด หรือ จอห์นนี เดปป์ ต้องไปเป็นเซลส์แมนขายของก่อน

     ก็พูดยากนะ เราก็คงต้องเตรียมใจไว้ลึกๆ แล้วว่าชีวิตย่อมต้องเจอกับความผิดหวังแน่นอน แต่ผมโฟกัสกับความเชื่อที่ว่าเราจะทำได้มากกว่า เพราะถ้าเราเองไม่เชื่อ มันก็เดินต่อไปไม่ได้ ความท้อแท้สิ้นหวังเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตอยู่แล้ว แต่การที่เรามีเป้าหมายจะทำให้ลุกขึ้นยืนได้เร็วกว่าคนอื่น

     ทุกวันนี้ก็เลยต้องพัฒนาศักยภาพตัวเองด้วยการเรียนรู้หลายๆ วิธี เช่น ไปเรียนร้องเพลงเพื่อช่วยเรื่องการเปล่งเสียง สังเกตได้ว่าเวลานักร้องที่มาเล่นละคร น้ำเสียงของเขาเวลาแสดงจะมีเสน่ห์บางอย่างที่เรารับรู้ได้ ไปออกอีเวนต์ก็ร้องเพลงได้ ไม่ใช่เป็นแค่นักแสดงที่ไปโชว์ร้องเพลง แต่ผมอยากจะเป็นนักแสดงที่ร้องเพลงได้ดี แต่ตอนนี้ผมก็ยังร้องเพลงได้ไม่ดีนะ (หัวเราะ) ผมไปเรียนเต้นเพื่อช่วยให้การเคลื่อนไหว เวลาแอ็กติ้งจะลื่นไหลเป็นธรรมชาติขึ้น นักเต้นที่มาเป็นนักแสดงเขาจะมีท่าทางบางอย่างที่มีเสน่ห์มากๆ อาจจะไม่ได้ปรากฏในหน้าจอ เพราะขึ้นอยู่กับคาแร็กเตอร์ ส่วนการเรียนภาษาอังกฤษและภาษาจีนก็เพราะเรื่องการงานโดยตรงเลย

 

ปัจจัยภายนอกมากมายที่เข้ามารบกวนเป้าหมาย ทำให้การทำงานของเราไขว้เขว คุณรับมือกับมันอย่างไร

     ผมสนใจเรื่องคำวิจารณ์ ผมเคยอ่านกระทู้หนึ่งซึ่งเขียนถึงภาพยนตร์ที่ผมเล่น แล้วเขาชื่นชมว่านักแสดงหญิงที่เล่นด้วยไปได้ไกลแน่เลย แต่เขาไม่ได้พูดถึงผม แล้วก็จะมีอีกกระทู้หนึ่งที่พูดถึงผมว่าผมไปได้ไกลแน่เลย โดยไม่ได้พูดถึงนักแสดงหญิง ผมก็มามองว่า สุดท้ายความคิดเห็นก็เป็นแค่ความคิดเห็น เขาจะพูดถูกหรือไม่ถูกนั้นไม่สำคัญ เพราะมันขึ้นอยู่ที่ตัวเราจริงๆ ว่าต้องเป็นที่ตัวเราเท่านั้นที่ต้องมุ่งมั่น ไม่ว่าคนอื่นจะบังคับเราอย่างไร ถ้าเราไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจนเองก็ไร้ความหมาย

 

นักแสดงหลายคนเมื่อเจอคำวิจารณ์ด้านลบแล้วก็ท้อแท้ไปเลย

     ก็เพราะแบบนี้ไง ถ้าเรามีเป้าหมายที่ชัดเจน เป้าหมายจะกลับมาบอกว่าเราต้องปฏิบัติตัวอย่างไรบ้างในเวลาแบบนี้ เพื่อให้เราไม่พังพินาศ ไม่ว่าจะเรื่องการดูแลสุขภาพ การเที่ยวเล่น การมีข่าวที่ไม่ดี ถ้าเรามีข่าวที่ไม่ดี ถ้าเรามีเป้าหมายที่ชัดเจน มันจะทำให้กลับมาคิดว่าจะทำอย่างไรให้ทุกอย่างจบเร็วที่สุดด้วยผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ไม่บานปลาย บางคนคิดถึงปัจจุบันมากเกินไปจนทำให้การแก้ปัญหาของเขาเลวร้ายลงไปอีกเพราะมัวแต่กลัว

     ผมเองเคยเจอข่าวไม่ดีมารอบหนึ่ง เรื่องตอนนั้นก็ทำให้ใจหายไปเหมือนกัน เพราะทุกอย่างออกมาจากตัวผมทั้งหมด ผมพูดเองเออเอง ผิดเอง แต่ก็อย่างที่บอก ถ้ามีเป้าหมายที่ชัดเจน มันจะทำให้เรารู้ว่าสิ่งที่ต้องทำคือยอมรับผิดซะ บางคนอาจจะมองว่ามันเป็นการสร้างกระแส ซึ่งผมไม่ได้ไปสนใจตรงนั้น เพราะว่าผมบริสุทธิ์ใจที่จะขอโทษจริงๆ เรื่องที่เกิดนี้ทำให้ผมมีความคิดหนึ่งว่า มันเป็นแค่เรื่องเล็กๆ เอง ปล่อยไปก็ได้ ไม่เป็นไรหรอก เขาอาจจะไม่ได้คิดมากขนาดนั้นก็ได้ แต่ก็กลับมาถามตัวเองว่าเรื่องที่ทำไปผิดจริงหรือเปล่า ถ้าผิดจริงก็แก้ ไม่ว่าเรื่องจะเล็กแค่ไหนก็ตาม การแก้ไขความผิดเป็นการฝึกใจอย่างหนึ่ง

     ทุกอย่างที่เราทำจนชินจะแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเรื่องดีหรือไม่ดี เปรียบเหมือนกับตอนคุณขึ้นแท็กซี่ราคาค่าโดยสาร 61 บาท คุณจ่าย 61 บาทให้โชเฟอร์ไหม หรือจ่ายแค่ 60 บาท เพื่ออยากเอาเปรียบเขาเล็กๆ น้อยๆ เรื่องเล็กๆ แบบนี้จะช่วยฝึกใจตัวเองให้ทำในสิ่งที่ดีหรือไม่ดีขึ้นไปเรื่อยๆ

 

ชานน สันตินธรกุล

 

ว่ากันว่าคนเราใช้ศักยภาพของตัวเองไปแค่ 70% แต่พอฟังที่เล่ามา เรารู้สึกว่าคุณพยายามดันตัวเองให้ใช้ความสามารถในระดับที่มากกว่านั้น

     ใช่ ดังนั้น ผมไม่เคยชิลๆ กับการทำงานเลย บางคนอาจจะบอกว่าเป็นนักแสดง ทำงานชิลๆ ไม่ต้องซีเรียส แต่ผมรู้สึกว่าการที่จะทำให้ไปถึงจุดที่ผมอยากเป็น เราต้องจริงจัง เพราะเราไม่ได้เกิดมามีพรสวรรค์ ไม่ได้เรียนการแสดงมาตั้งแต่เด็ก ไม่ได้รู้ภาษาจีนมาตั้งแต่เกิด ถ้าผมอยากจะรับบทที่ต้องพูดภาษาจีนให้ได้ ถามจริงๆ ว่าถ้าต้องการทำงานแบบนี้ เราจะเล่นไปแบบชิลๆ ได้เหรอ เอาบทมาอ่านโดยที่ไม่รู้ภาษาจีนเลย แล้วบอกว่าเล่นๆ ไปเถอะ ผ่านอยู่แล้ว เราจะทำงานแค่ผ่านๆ ไปแบบนั้นได้อย่างไร อยู่ดีๆ ตัวอักษรจีนจะผุดออกมาจากเซลล์สมองส่วนไหนที่จะทำให้ผมพูดได้เหรอ (หัวเราะ) ผมก็ต้องซีเรียสกับมันหรือเปล่าผมถึงจะทำได้

     ข้อดีเวลาที่เราเต็มร้อยกับงาน และพอเราชินกับความพยายามระดับนี้ เราก็จะเริ่มไม่รู้สึกว่าที่ทำอยู่นี้เต็มร้อยไปแล้วทั้งๆ งานที่ทำก็ออกมาดีและเต็มร้อยสำหรับคนอื่น แต่สำหรับเราเองที่คิดที่ทำงานแบบนี้มานาน จะรู้สึกว่าต้องทำให้ดีขึ้นไปกว่านี้อีก มันดีขึ้นไปกว่านี้ได้

 

ความเชื่อมั่นก็เหมือนเหรียญสองด้าน เราจะรู้ได้อย่างไรว่าตอนนี้เราไม่กดดันตัวเองมากเกินไป จนอาจจะทำร้ายตัวเองหรือทำร้ายคนอื่น

     ความเชื่อมั่นกับความมั่นใจไม่เหมือนกัน ความเชื่อมั่นคือเชื่อว่าเราจะไปถึงตรงนั้นได้ ผมเชื่อว่าคนที่มุ่งมั่นในเป้าหมายที่ไกลมากๆ แต่ตัวเองยังไปไม่ใกล้ที่จะถึงจุดนั้น เขาจะไม่มีทางเป็นคนที่ไปเหยียบย่ำคนอื่น เพราะเรารู้ว่าเรายังไปไม่ถึงจุดนั้น แล้วเรามีสิทธิ์อะไรไปเหยียบย่ำคนอื่นล่ะ แต่ถ้าผมต้องเจอกับคนที่ไม่น่ารักมากๆ ผมก็จะปล่อยเขาไป (หัวเราะ) จะไม่ไปยุ่งอะไรกับเขาทั้งสิ้น ผมเชื่อว่าคนเราไม่ได้มีด้านเดียวอยู่แล้ว เราก็ยุ่งกับเขาในด้านดี ด้านไม่ดีนั้นเราก็ไม่ต้องไปสนใจมาก เพราะเป็นเรื่องปกติที่คนเราจะมีอีโก้บางอย่างเวลาทำงานหรือใช้ชีวิต

 

ถ้าเชื่อมั่นแล้ว เราก็ไม่ต้องมีอีโก้มากนักก็ได้ ถูกไหม

     อีโก้จำเป็นกับการดำรงชีวิตในบางสถานการณ์ แต่บางสถานการณ์ก็ไม่ควรมีเลย เช่น ถ้าเราอยากเติบโตในเรื่องอะไรสักอย่าง เราไม่ควรมีอีโก้ แต่ถ้าเราอยากป้องกันตัวเองจากคนที่จะมาเอาผลประโยชน์หรือมาเอาเปรียบเรา แบบนี้เราต้องมีอีโก้ ช่วงแรกๆ ที่ผมเริ่มต้นทำงานในฐานะนักแสดง ผมพยายามจะไม่มีอีโก้เลย เพราะถูกสอนมาว่าคนมีอีโก้นั้นไม่ดี เราจึงไม่ควรมีอีโก้ แต่พอเราทำงานมาเรื่อยๆ ถึงรู้ว่ามันจำเป็นบ้าง ถ้าไม่มีอีโก้เลยเราจะเหนื่อย แถมการงานจะไม่เจริญก้าวหน้าด้วย

 

ชานน สันตินธรกุล

 

สิ่งที่คุณเชื่อมั่นในวันนี้ในเรื่องของการทำงาน สามารถส่งพลังบางอย่างไปเติมให้กับคนรอบข้างที่ทำงานกับคุณได้บ้างไหม

     ไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะไม่รู้เบื้องหลังของคนแต่ละคน ผมไม่ได้ไปอยู่กับคนพวกนั้นตลอดเวลา แต่สิ่งหนึ่งที่ผมดีใจคือครั้งหนึ่งตอนขึ้นรับรางวัลทางด้านการแสดง แล้วพูดประมาณว่า เมื่อถึงวันที่ผมได้เป็นในสิ่งที่อยากเป็น ผมอยากให้คุณพ่อคุณแม่ของผมยังอยู่ตรงนั้นด้วย และขอฝากให้คุณพ่อคุณแม่ผมออกกำลังกายรักษาสุขภาพ ทีนี้มีอยู่วันหนึ่งผมอยู่ข้างนอก น้องสาวของผมส่งไลน์มา เป็นรูปพ่อผมวิ่งลู่วิ่งอยู่ที่บ้าน นั่นเป็นความรู้สึกที่ดีมากๆ เลย

 

คุณวางเป้าหมายไว้สูงมากขนาดนี้ ต้องพยายามทำงานอย่างหนัก สักวันมันจะมาถึงจุดที่เบื่อหน่ายหรือรู้สึกซ้ำซากหรือเปล่า

     ผมเคยอ่านบทความจิตวิทยาว่าถ้าเราทำอะไรซ้ำๆ ได้เป็นเวลา 40 วัน สิ่งนั้นจะกลายเป็นนิสัยใหม่ของเรา และต่อให้เราเบื่อ เราก็จะยังทำมันอยู่ดี ซึ่งผมว่าแนวคิดนี้สำคัญ และเป็นเรื่องจริง เช่น การเดินทางออกไปเรียน ตอนแรกการเรียนก็ไม่ใช่สิ่งที่เราชอบ และเป็นการเสียเวลามากที่ต้องเดินทางไปนั่นไปนี่ ไหนต้องไปหาอาจารย์ ไปรับการบ้าน เป็นเรื่องที่ใช้พลังงาน แต่พอทุกอย่างลงตัว เราเริ่มไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกว่าไม่หนักหนาแล้ว แค่ช่วงแรกจะเหนื่อยหน่อย ส่วนเชื้อเพลิงที่เราจำเป็นต้องใช้สำหรับ 40 วันนั้นก็คือเป้าหมายไกลๆ นั่นแหละ เพียงแต่ว่าหลังจาก 40 วันแล้วอะไรที่ไปต่อไม่ได้ ก็ต้องมานั่งคิดแล้วว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นถูกต้องจริงๆ หรือเปล่า

 

เป้าหมายที่แน่ชัด ความมุ่งมั่นในความเชื่อ พอมีสิ่งเหล่านี้แล้วสามารถเปลี่ยนทัศนคติของตัวเราได้จริงๆ ใช่ไหม

     ทัศนคติของคนเราเปลี่ยนได้แน่นอน ผมเชื่อว่าถ้าเราอยากเปลี่ยนตัวเองจริงๆ จะเปลี่ยนได้ทุกคน เพียงแต่บางคนอาจจะไม่มีเป้าหมายว่าจะเปลี่ยนไปเพื่ออะไร คนเราก็เลยอยู่กับตัวตนเดิมๆ เพราะรู้สึกว่าการเป็นตัวเองแบบนี้ก็ไม่ได้ผิดอะไร เพราะคุณก็เป็นแบบนี้มาทั้งชีวิตแล้ว ทำให้คุณมีชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งการคิดแบบนี้ก็ถูก ผมจึงบอกว่าเราต้องมีเป้าหมายก่อนว่าคุณอยากเป็นอะไร ผมเชื่อว่าทุกคนพร้อมจะเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้ไปถึงจุดนั้น

 


สไตลิสต์: Akekaluk TTF