การรีไซเคิลขยะของความรู้สึกจนกลายเป็นเพลงที่จับใจคนฟังของสาวหัวใจสิงโต BOWKYLION

เรารู้จัก BOWKYLION ครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน ในฐานะนักร้องหญิงที่หยิบเพลงจากศิลปินหลายๆ คนมาร้องคัฟเวอร์ในแบบของตัวเอง ด้วยเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ และการถ่ายทอดอารมณ์ที่ให้ความรู้สึกร่วมไปกับเนื้อหาของเพลงนั้นๆ ผ่านน้ำเสียงหวานแกมเศร้านิดๆ จนต้อง subscribe ยูทูบของเธอทันที ต่อมาเธอได้เข้ามาเป็นนักร้องในสังกัดค่าย What The Duck และมีอัลบั้มแรกออกมาในชื่อ Lionheart ซึ่งหลายเพลงในอัลบั้มก็ทยอยเป็นเพลงฮิตอย่างเป็นว่าเล่น มียอดคนฟังมากมายตามแพลตฟอร์มเพลงสตรีมมิงต่างๆ

        เมื่อชื่อเสียงเพิ่มขึ้น บรรดาข่าวคราวต่างๆ ก็เริ่มเข้ามาทักทาย ทั้งข่าวคราวในแง่ดี และเรื่องที่เป็นด้านลบมากมาย โดยเฉพาะกระแสคอมเมนต์ในอินเทอร์เน็ตจากคนที่ไม่เข้าใจในตัวตนของเธอและลุกลามไปถึงการบูลลีในเรื่องส่วนตัวต่างๆ แต่เธอก็แสดงให้เห็นถึงพรสวรรค์ในการแต่งเพลงที่ตัวเองมี ด้วยการหยิบเอาข้อความบั่นทอนใจเหล่านั้นมาแต่งเป็นเพลงสะท้อนให้สังคมได้ฉุกคิดถึงสิ่งแย่ๆ ที่เป็นเหมือนขยะในโซเชียลเน็ตเวิร์ก

        สิ่งนี้ยิ่งทำให้เรานับถือและชื่นชมเธอมากขึ้นไปอีก เมื่อมีโอกาสได้พูดคุยกันก็พบว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ได้มีแต่ด้านของความแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียว ในอีกมุมหนึ่ง เธอก็เป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่มีความอ่อนแอ ความไม่มั่นใจ และความกลัวในหลายๆ เรื่องราว จนเราเข้าใจแล้วว่าทำไมหลายคนมักพูดว่าเธอเป็นคนที่ร่วมงานด้วยยาก 

        ซึ่งเธอก็ยอมรับว่าเป็นความจริง เพราะสิ่งเดียวที่เธอต่อสู้และไม่ยอมแพ้คือ การสร้างผลงานให้ออกมาดีที่สุดแม้จะต้องแลกกับความไม่เข้าใจของใครต่อใคร แต่สุดท้ายเพลงที่ BOWKYLION ทำออกมาก็พิสูจน์แล้วว่า มันคุ้มค่ากับสิ่งที่เธอยอมเหน็ดเหนื่อยเพื่อต่อสู้ให้ได้งานที่ดีที่สุดออกมา

        เชื่อว่าหลังจากอ่านบทสัมภาษณ์นี้จบ คุณจะเป็นหนึ่งคนที่ ‘ลงใจ’ ไปให้กับผู้หญิงหัวใจเจ้าป่าคนนี้ไปแบบเต็มๆ เหมือนเราก็ได้

อัลบั้มแรกของคุณคือ Lionheart ที่เพลงส่วนใหญ่จะเป็นเพลงเศร้า คงไม่ช้าเกินไปถ้าเราขอให้คุณเล่าถึงวิธีการทำงานเพลงของคุณให้ฟังสักหน่อย

        เราเป็นคนชอบจดความรู้สึกของตัวเองทุกอย่างลงไปในโทรศัพท์มือถือ สมมติถ้าหิวข้าวก็จะเขียนลงไปว่าวันนี้หิวข้าวจังเลย วันนี้นอนตื่นสาย วันนี้รู้สึกแย่มาก หรือเรารออะไรสักอย่างนานมากจนรู้สึกไม่ดีกับเรื่องนี้ ก็จะจดเก็บไว้หมด พอมานั่งสังเกตก็ตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไมตัวเองถึงมีแต่ความรู้สึกด้านลบในสิ่งที่เราจดเอาไว้หมดเลย และตกใจเหมือนกันที่พบว่าตัวเองเป็นคนที่คิดแต่เรื่องอะไรที่เป็นด้านลบตลอดเวลาขนาดนี้ เราไม่เคยเขียนอะไรที่เป็นด้านบวกลงไปเลย เพราะเวลาเรามีความสุข เราก็ไปดื่มด่ำกับความสุขตอนนั้น ก็จะไม่มีเวลาใส่ใจหรือนั่งจดว่าวันนี้ฉันกินข้าวอร่อยมาก ก๋วยเตี๋ยวอร่อยมาก จนกลายเป็นว่าทุกอย่างที่จดมามีแต่ขยะของความรู้สึก ซึ่งมีแต่ความรู้สึกทางลบที่ไม่ควรเกิดขึ้นมา เราจึงมาคิดต่อว่าแล้วความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีแบบนั้น เราสามารถนำมาใช้ให้เป็นข้อดีได้แบบไหนบ้าง จึงเอาขยะความรู้สึกเหล่านั้นมารีไซเคิลด้วยการหยิบคำบางคำที่เป็นความรู้สึกไม่ดีมาแต่งเป็นเพลง เหมือนเป็นการระบายออกอะไรสักอย่างด้วย แต่กลายเป็นว่าการแสดงออกมาเป็นผลงานศิลปะชิ้นหนึ่ง

จากคำแค่หนึ่งคำหรือวลีแค่สั้นๆ คุณนำมาต่อยอดจนเป็นเพลงที่มีเรื่องราวสมบูรณ์ได้อย่างไร

        คงเป็นเหมือนเวลาเราเขียนจดหมายหรือว่าเขียนเรียงความก็ได้ สมมติจะบอกว่าฉันหิวข้าว แล้วจากนั้นจะทำอย่างไรให้การหิวข้าวเป็นสัญลักษณ์ที่น่าสนใจได้บ้าง เพราะการหิวข้าวทุกคนก็พูดกันทั่วไปว่าฉันหิว แต่เราจะมาคิดต่อว่าทำไมฉันถึงหิวข้าว ก็เพราะว่าฉันยังไม่ได้กินข้าว จากนั้นขยายต่อไปว่าฉันหิวข้าวเพราะฉันรอเธอมากินข้าวด้วยกัน จากนั้นอาจจะต่อเรื่องราวว่าถ้าจะได้เจอเธอฉันจะยอมปวดท้องไม่กินข้าวก็ได้ แค่ขอให้กินข้าวกับเธอสักมื้อ สำหรับเราการแต่งเพลงเหมือนเป็นการเรียงความเรียงประโยคอย่างหนึ่งหรือเป็นการใช้ภาษาที่บางทีเราก็นึกไม่ถึงหรอกว่ามันสามารถเอามาร้อยเรียงได้ด้วย ยิ่งถ้าเราสามารถหยิบจับคำที่ดูไม่น่าจะเอามาทำเป็นเพลงได้ แล้วเอามาทำจนออกมาเป็นเพลงและมีความหมายที่แข็งแรงสู่คนฟังได้ เราถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว

แต่บางคำเช่นเพลง คือราย (So What) ถ้าเป็นเราก็นึกไม่ออกจริงๆ ว่าจะแต่งออกมาเป็นเพลงได้อย่างไร

        เพลงของเราจะเริ่มจากคำบางคำที่เหมือนเป็นคำคอนเซปต์ก่อน ตั้งแต่เพลงแรกๆ อย่างเพลง แขนซ้าย (Your Arm) ซึ่งครั้งแรกที่กำลังจะปล่อยออกมา ทุกคนคัดค้านว่าเพลงอะไรชื่อ ‘แขนซ้าย’ ซึ่งทุกคนที่ว่ามีแค่ตัวเราคนเดียว (หัวเราะ) แล้วเรานี่แหละที่ถกเถียงกับตัวเองว่าจะเอาอย่างไรกับเพลงนี้ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจว่าเพลงแรกของเราจะเป็นเพลงนี้ พอเอาไปเสนอกับทีมงานในค่าย What The Duck ทุกคนก็รู้สึกแบบเดียวกันว่านี่คือชื่อเพลงจริงๆ เหรอ (หัวเราะ) จนสุดท้ายเมื่อปล่อยเพลงนี้ออกมา ความตั้งใจของเราคือถ้าเพลงนี้จะไม่ได้การตอบรับกลับมาก็ไม่เป็นไร เพราะเราถือว่าเพลงนี้มันประสบความสำเร็จแล้ว โดยมาจากความตั้งใจที่เรามีจุดเริ่มต้นจากคำว่า ‘แขนซ้าย’ คำเดียวเท่านั้น หรืออย่างเพลง ลงใจ (Longjai) ก็มาจากโมเมนต์เล็กๆ ตอนเรากินหมูกระทะกับเพื่อนๆ แล้วเพื่อนบอกเราให้ลงหมูหน่อย (หัวเราะ)

เพลงที่เศร้าซึ้งจับใจคนฟังทั่วบ้านทั่วเมืองมีที่มาจากเตาย่างหมูกระทะได้อย่างไร

        ตอนนั้นในหัวเรามีหลายเรื่องตีกันอยู่ เรานั่งกินหมูกระทะกับเพื่อนด้วยความรู้สึกเหม่อลอย เพราะเป็นช่วงเวลาที่กำลังย่ำแย่เกี่ยวกับความรักอยู่ด้วย เราก็นั่งเหม่อๆ มือถือตะเกียบนิ่งๆ จนเพื่อนบอกว่า “แกช่วยเอาหมูลงกระทะหน่อย แกจะเหม่ออะไรหนักหนา” เราก็ซึมๆ งงๆ แล้วก็ตอบไปว่า “แต่กูลงใจไปแล้วว่ะ” จากนั้นเราก็มีสติ เมื่อกี้เราพูดว่าลงใจเหรอ เราพูดคำนี้ไปเหรอ เรารีบจดคำนี้ลงไปในโทรศัพท์มือถือ เพื่อนก็ทำหน้างงๆ ว่าหมายถึงอะไร ซึ่งมีแค่เราเท่านั้นที่เข้าใจความหมายของคำนี้ คำว่า ‘ลงใจ’ หมายถึงเราลงหัวใจให้เขาไปหมดแล้ว นั่นคือสิ่งที่เราอยากบอกว่าเพลงที่เกิดขึ้นมาจากคำแต่ละคำนั้นต่อให้มันจะไม่ดังก็ตาม แต่มันคือสิ่งที่มีความสุขมาจากการที่เราได้สร้างมันจากอะไรก็ไม่รู้ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันแล้วเกิดเป็นเพลงขึ้นมา

“เรากล้าพูดตรงๆ ว่าการร้องเพลง การแต่งเพลง คืออาชีพของฉัน ฉันก็ต้องการเงินจากอาชีพนี้อยู่แล้ว แต่เราไม่เคยขายวิญญาณเพื่อมาทำเพลงของตัวเอง นั่นหมายถึงถ้าทำเพลงสักเพลงแล้วรู้สึกว่างานยังไม่ค่อยดีก็ไม่เป็นไร ปล่อยๆ ไปเถอะยังไงก็มีคนฟัง หรือเพลงนี้ก็ใส่ๆ ยัดๆ ลงไปเดี๋ยวก็ได้เงิน คุณมั่นใจจากเราได้เลยว่าเราจริงใจกับคนฟังเพลงมากๆ ค่ะ”

ถึงคุณจะบอกว่าไม่สนใจเรื่องผลตอบรับ แต่ในฐานะนักดนตรี เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องใหญ่ในการทำเป็นอาชีพเลยนะ

        เรื่องนี้ก็พูดได้สองแบบ ใช่! เรารู้สึกดีที่ได้ทำงานหรือได้สร้างงานศิลปะขึ้นมา ต่อให้มีคนไม่กี่คนมาดู แต่ถ้ามีคนที่อินกับมันแค่คนเดียว เราก็มีความสุขแล้วนะ แต่ในอีกแง่หนึ่ง งานที่เราทำอยู่ในปัจจุบันคือการร้องเพลง การแต่งเพลง แล้วงานอดิเรกของเราคืออะไร ก็คือการร้องเพลง การแต่งเพลง ถ้าถามว่าสิ่งที่ชอบคืออะไร ก็คือการร้องเพลง การแต่งเพลง อยู่ว่างๆ ทำอะไรก็คือการร้องเพลง การแต่งเพลง ดังนั้น สิ่งที่ชอบ สิ่งที่รัก รวมทั้งงานอดิเรก ทุกอย่างเป็นสิ่งเดียวกันหมดเลย แต่ในคราวเดียวกัน สิ่งที่เราทำอยู่ทุกวันนี้ เราทำเพื่อให้มันได้เงิน เลยต้องมีตรงกลางว่างานศิลปะนั้นจะมีค่าก็ต่อเมื่อมีผู้ชม ถ้าเงินลอยมาจากไหนไม่รู้ให้เราใช้ได้ตลอด เราคงคิดแค่ว่าเราทำเพลงเพราะชอบก็พอแล้ว 

        แต่เมื่อมันกลายเป็นอาชีพที่เราต้องทำมาหากินกับมัน เพียงแต่มันบวกด้วยการเป็นสิ่งที่เรารัก บวกกับการเป็นทุกสิ่งในชีวิต จึงกลายเป็นว่าเราทำเพลงเพื่อตัวเองด้วย เพราะเราจะมีชีวิตอยู่ในอาชีพนี้ แล้วเราก็ทำเพื่อสนองความต้องการของเรา เราจะได้สร้างสรรค์ศิลปะที่รักด้วย สุดท้ายแล้วสองสิ่งนี้ต้องมาคู่กัน 

        เรารู้สึกว่าคนที่เข้ามาฟังผลงานของเราทุกคนเป็นคนที่ทำให้เรามีทุกวันนี้จริงๆ พวกเขาทำให้ผลงานของเรามีคุณค่า ดังนั้น ในแง่ที่เป็นเรื่องของเงินๆ ทองๆ เรากล้าพูดตรงๆ ว่าการร้องเพลง การแต่งเพลงคืออาชีพของฉัน ฉันก็ต้องการเงินจากอาชีพนี้อยู่แล้ว แต่เราไม่เคยขายวิญญาณเพื่อมาทำเพลงของตัวเอง นั่นหมายถึงถ้าทำเพลงสักเพลงแล้วรู้สึกว่างานยังไม่ค่อยดีก็ไม่เป็นไร ปล่อยๆ ไปเถอะยังไงก็มีคนฟัง หรือเพลงนี้ก็ใส่ๆ ยัดๆ ลงไปเดี๋ยวก็ได้เงิน คุณมั่นใจจากเราได้เลยว่าเราจริงใจกับคนฟังเพลงมากๆ ค่ะ 

        เพลงของเราเป็นเหมือนน้ำที่ไหลผ่านชั้นหิน มีการกลั่นกรองมาแล้วไม่รู้กี่กระบวนการเพื่อให้ออกมาเป็นเพลงที่สมบูรณ์แบบที่สุดในแบบของเราที่อยากจะส่งต่อให้คนฟังได้ฟัง และเราอยากให้เพลงของเราเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขา

สุดท้ายเวลาก็พิสูจน์ว่าเพลงของคุณมันทำงานด้วยตัวมันเองแล้วจริงๆ เพราะวันนี้หลายคนรู้จักเพลงของคุณมากกว่าตัวคุณแล้ว คุณคิดอย่างไรกับเรื่องนี้

        เราชอบมากๆ และเป็นสิ่งที่เราต้องการ เพราะที่ผ่านมาชื่อเสียงของเรา สไตล์ หรือภาพลักษณ์ต่างๆ ทำให้คนจำมากกว่าเพลง เพราะช่วงแรกเราไม่มีเพลงของตัวเอง คนจะจำผลงานของเราไม่ได้เลย แต่จะจำว่าผู้หญิงคนนี้คือ BOWKYLION ที่ร้องเพลงคัฟเวอร์ เราเคยรู้สึกว่าอยากมีวันที่คนไม่ได้สนใจว่าเราเป็นใคร เป็นแค่คนหนึ่งคนที่ทำเพลงและร้องเพลง แค่นั้นก็พอ เราดีใจที่วันนี้เริ่มเป็นแบบนั้นแล้ว เพราะสิ่งที่พาเรามาได้นั้นไม่ใช่อะไรเลย แต่คือความตั้งใจของเราซึ่งคือเพลง และเราไม่รู้สึกเสียใจเลยที่คนรู้จักเพลง ลงใจ (Longjai) แต่ไม่รู้จัก BOWKYLION ขอบคุณที่อย่างน้อยก็รู้จักเพลงของเรา แค่เขาร้องตามได้ก็รู้สึกว่าเพลงได้เข้าไปอยู่ในชีวิตของเขาแค่นั้นก็พอแล้ว ไม่ต้องพาเราเข้าไปในชีวิตก็ได้ค่ะ (หัวเราะ)

เรารู้ว่าคุณป่วยเป็นโรคซึมเศร้า แล้วการที่ต้องร้องเพลงเศร้าเสมอมันจะส่งผลกระทบต่อจิตใจคุณไหม

        วันนี้เราไม่เอาสิ่งเหล่านั้นมาบั่นทอนชีวิตอีกแล้ว เราใช้ชีวิตตามปกติ บางทีก็มีทำอะไรบ้าๆ บอๆ ให้เพื่อนงงบ้างเป็นบางครั้ง (หัวเราะ) แต่ก็มีบ้างที่มีความรู้สึกจมอยู่ในห้วงของความเศร้าจริงๆ แต่ถ้าเป็นเรื่องงาน เราแยกแยะได้เป็นส่วนใหญ่ นอกเสียจากว่าจะมีเพลงที่เราอินกับมันมากๆ อย่างเพลง คงคา (Still) ซึ่งเพลงนี้แต่งให้คุณแม่ ที่หลังแต่งเสร็จเราไม่มีเดโมให้ทางค่ายฟังนะ เพราะเราอัดเดโมเพลงนี้ไม่ได้จริงๆ ตอนไปบอกเพื่อนๆ ในวงว่าจะร้องเพลงนี้ให้ฟัง แต่ไม่มีเดโมนะ เพื่อนก็งง ซึ่งเราก็บอกว่าอัดไม่ได้จริงๆ ร้องแล้วจะร้องไห้ ซึ่งพอร้องให้เพื่อนฟังสดๆ เราก็ร้องไห้ออกมา กว่าจะร้องเพลงนี้ได้ต้องบังคับตัวเองมากๆ กว่าจะทำได้ จนเรารู้สึกว่าตัวเองเป็นนักร้องแบบไหน ทำไมไม่มีความเป็นมืออาชีพเลย และถ้าเรายังคงเอาเรื่องส่วนตัวมาปะปนอยู่กับการทำงานอย่างนี้เราจะใช่นักร้องจริงๆ เหรอ กลายเป็นว่าเราพัฒนาตัวเองขึ้น เรามีความรู้สึกน้อยลงในการร้องเพลง เพราะถ้าเรารู้สึกเศร้ากับมันมากๆ คนที่แบกรับความเจ็บนี้ไม่ใช่คนอื่นแต่คือเราเอง และเพลงก็เศร้าพออยู่แล้ว เราร้องเพลงให้เศร้าได้โดยที่เราไม่ต้องเศร้าก็ได้ แต่วิธีคิดแบบนี้ก็ไม่ได้หมายความว่ามันถูกต้อง เพราะนักแสดงบางคนถ้าเขารับบทบาทไหน เขาก็ต้องเป็นตัวละครตัวนั้น หรือนักร้องที่ดีควรจะอินกับเพลงที่ร้อง

        เมื่อก่อนเราเป็นคนที่ถ้าไม่อินไม่เชื่อ จะไม่ร้องเพลงนั้นเลย หรืออินแค่ท่อนไหนก็จะร้องแค่ท่อนนั้น ใครจะฟังหรือไม่ฟังก็แล้วแต่ จนต่อมาเราคิดได้ว่าการกระทำแบบนี้ไม่เป็นมืออาชีพเลย เป็นนักร้องต้องร้องได้ทุกเพลงสิ จะรู้สึกอะไรแล้วยังไงล่ะ ต้องแยกแยะให้ได้สิ เพราะนี่คือการทำงาน ไม่ใช่แค่ทำในสิ่งที่รักอย่างเดียว แต่คือการแสดงความเป็นมืออาชีพด้วย เราถามตัวเองว่าการประกอบอาชีพต้องมีอารมณ์ใส่ลงไปด้วยเหรอถึงจะทำได้ ก็เลยลองฝึกตัวเองว่าเราต้องทำให้ได้ เราต้องรู้สึกอะไรบางอย่างในสิ่งที่เราไม่รู้สึกให้ได้ และในขณะเดียวกัน สิ่งที่เราไม่รู้สึกก็ต้องรู้สึกกับมันได้ หรือบางอย่างที่เรารู้สึกมากเกินไปต้องลดน้อยลง และต้องอยู่ในอารมณ์ที่เราสามารถทำงานไปด้วยได้

        ช่วงที่เพลง ลงใจ (Longjai) ออกมาแรกๆ แล้วมีคนร้องตามได้ เราร้องไห้บนเวทีเลย แล้วกลายเป็นว่าเราร้องไห้ทุกงานเลย คนดูก็งงว่าเราเป็นอะไร ซึ่งเราไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้จะมีคนมาร้องเพลงเราได้ และเป็นเพลงที่ถูกแต่งออกมาจากคนแบบเรา คนที่รู้สึกมาตลอดว่าตัวเองแต่งเพลงไม่เป็นด้วยซ้ำ

แต่คุณก็เคยเอาข้อความที่เป็นคอมเมนต์แย่ๆ จากชาวเน็ตมาแต่งเป็นเพลงได้ นั่นหมายความว่าจริงๆ แล้วคุณก็สามารถคิดบวกได้เหมือนกันไม่ใช่หรือ

        เรื่องคอมเมนต์ในโซเชียลเน็ตเวิร์กเราเก็บมาคิดหมดเลย เราเคยคุยเรื่องนี้กับพี่บอล (ต่อพงศ์ จันทบุบผา) ที่เป็นเหมือนพ่อของทุกคนในค่าย What The Duck ว่าทำไมเราต้องโดนคนด่าด้วยเรื่องที่เราไม่ได้เป็น โอเค! บางอย่างที่เราบกพร่องจริงๆ เรื่องนั้นก็ยอมรับผิด แต่บางอย่างที่เราไม่ได้ทำ ทำไมถึงต้องโดนตราหน้าว่าเราทำอย่างนั้น หรือบางเรื่องก็กล่าวหาแบบมั่วซั่วมาก เช่น เราติดยาเสพติด กินเหล้า ติดบุหรี่ ซึ่งคนเหล่านี้ไม่ได้รู้จักเราเลย แล้วเราจะไปร้องไห้เพราะเขาทำไม แต่สุดท้ายเราก็ร้องไห้อยู่ดี 

        ซึ่งพี่บอลก็บอกว่า ยังไงเราก็ต้องเจอกับคนแบบนี้อยู่แล้ว มันเป็นอีกมุมหนึ่งของชีวิตที่ต้องเจอไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม ดังนั้น ให้ลองคิดว่าเราเป็นกระดาษสีขาวหนึ่งแผ่น แล้วมีคนเอาปากกามาจิ้มให้เป็นจุดสีดำหนึ่งจุดเล็กๆ แล้วเราก็มองแต่จุดสีดำตรงนั้น ซึ่งสิ่งที่พี่เขาบอกมาก็เป็นเรื่องจริง แต่เราก็คิดแบบนี้ได้บ้างไม่ได้บ้าง ยอมรับว่ายังเป็นคนอ่อนไหวกับเรื่องแบบนี้อยู่ ช่วงที่ปล่อยเพลงนั้นก็ไม่อ่านคอมเมนต์ในอินเทอร์เน็ตอยู่สักพักใหญ่ๆ เหมือนกัน แต่อีกใจก็อยากรู้ว่าคนคิดเห็นอย่างไรกับเพลงของเราบ้าง มีตรงไหนที่ร้องเพลงไม่ดีจะได้เอามาใช้ปรับปรุงตัวเอง ซึ่งคอมเมนต์ที่เขาติมาเพื่อให้เราแก้ไขข้อบกพร่องในงานจริงๆ เราก็ขอบคุณมากๆ จากใจ ที่ทำให้เรารู้จุดด้อยของตัวเอง และเราก็เอามาใช้แก้ไขจริงๆ เช่น ต่อไปเวลาร้องเพลงเราจะไม่หันหลังให้คนดู คนนี้บอกว่าท่อนนี้เรายังร้องได้ไม่แข็งแรง เราก็ปรับปรุง และเราก็ยอมรับในความผิดด้วยว่าตรงนี้เราพลาดจริงๆ

“เมื่อก่อนเราเป็นคนที่ถ้าไม่อินไม่เชื่อ จะไม่ร้องเพลงนั้นเลย หรืออินแค่ท่อนไหนก็จะร้องแค่ท่อนนั้น ใครจะฟังหรือไม่ฟังก็แล้วแต่ จนต่อมาเราคิดได้ว่าการกระทำแบบนี้ไม่เป็นมืออาชีพเลย เป็นนักร้องต้องร้องได้ทุกเพลงสิ จะรู้สึกอะไรแล้วยังไงล่ะ ต้องแยกแยะให้ได้สิ เพราะนี่คือการทำงาน ไม่ใช่แค่ทำในสิ่งที่รักอย่างเดียว แต่คือการแสดงความเป็นมืออาชีพด้วย “

        เราให้พี่ผู้จัดการเป็นคนคัดเลือกคอมเมนต์มาให้ เพราะพูดตรงๆ เลย เราไม่กล้าอ่านทั้งหมด ถ้าเป็นคอมเมนต์ติเพื่อให้เกิดประโยชน์ในอนาคต แบบนี้เราจะรู้ว่าคนเหล่านี้เขาหวังดี เขาไม่ได้มาด่าเราพร่ำเพรื่อ แต่คนอีกกลุ่มเราก็ไม่ควรไปอะไรกับเขา และเราก็รู้ว่าถ้าเข้าไปอ่านต้องร้องไห้ออกมาแน่นอน เราอาจจะดูเป็นคนที่แข็งแกร่ง แต่จริงๆ ก็ไม่ได้แข็งแรงอะไรขนาดนั้น บางทีเราก็ทำอะไรที่แสดงความไร้วุฒิภาวะออกมาบ่อยๆ โดยเฉพาะกับทางค่าย แต่ในโซเชียลเน็ตเวิร์กมันเหมือนเราเดินอยู่กลางถนนดีๆ แล้วก็มีคนออกมาด่าเราว่า ‘มึงติดยา’ หรือเดินๆ อยู่ก็มีคนเข้ามาตบหน้าเราเลย บางทีเราก็อยากจะตบเขากลับนะ (หัวเราะ) แต่ด้วยความที่เราเป็นคนไม่สู้ คุณอาจจะดูว่าเราเป็นคนที่พูดจาตรงไปตรงมาหรือพูดจาหยาบคายบ้าง แต่บอกตรงๆ ว่าเราเป็นคนที่ไม่ค่อยสู้คนเท่าไหร่ แต่เราก็รับไม่ได้จริงๆ ที่อยู่ดีๆ คุณก็เข้ามาด่าเราทางโซเชียลเน็ตเวิร์ก ซึ่งเราก็ด่าเขากลับเหมือนกัน สิ่งนี้ก็เป็นความไร้วุฒิภาวะของเราที่เรารู้ตัว และเราก็ทำใจอยู่นานมาก เพราะเราก็มีคำถามว่าทำไมตัวเองจะต้องรับเรื่องพวกนี้ให้ได้ถ้าจะอยู่ในวงการนี้ สุดท้ายก็ใช้เวลาค่อนข้างนานเหมือนกันกว่าจะทำใจให้ได้ว่า คอมเมนต์ด้านลบก็เป็นแค่คอมเมนต์หนึ่งที่ต้องปล่อยผ่านไป

เวลาที่ตัวเองอ่อนแอคุณปลุกพลังใจให้ตัวเองสามารถลุกขึ้นมาทำงานต่อได้ด้วยวิธีไหน

        เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ยากมากเลยค่ะ เพราะยอมรับว่าตัวเองไม่มีความเป็นมืออาชีพในการทำงาน เราเป็นคนบ้างานระดับหนึ่งหรือระดับสูงเลยดีกว่า แต่เป็นคนที่ไม่มีคุณสมบัติในการทำงานร่วมกับคนอื่นสักเท่าไหร่ ต้องทำงานคนเดียวเสียเป็นส่วนใหญ่ และไม่สามารถกำหนดเวลาได้ สิ่งเดียวที่จะมากำหนดเราได้คือเดดไลน์ แต่ไม่ได้หมายความว่าถึงเวลาต้องส่งงานพรุ่งนี้แล้วเราถึงจะรีบมาทำวันนี้ เราเป็นคนค่อนข้างคิดเผื่อในทุกอย่าง ถ้ามีเดดไลน์เราจะคิดทันทีว่าจะทำงานอย่างไรให้ทันและมีคุณภาพที่สุด

        การบูสต์ตัวเองจากความรู้สึกมืดมน ให้ตอบจริงๆ ก็ตอบไม่ได้ มันยากมากเลยค่ะ มันแทบไม่มีเลย มันอยู่ที่อารมณ์ของเราอย่างเดียวว่าเรารู้สึกกับสิ่งที่ทำอยู่ไหม ถ้าเราไม่รู้สึก ต่อให้ขุดตัวเองเท่าไหร่ ความรู้สึกอยากทำก็ไม่เกิดขึ้นเลย สิ่งที่ขับเคลื่อนเราได้จริงๆ อาจจะเป็นสุนัขที่เลี้ยงไว้ ฟังดูอาจจะไม่เกี่ยวอะไรเลย แต่เราแค่คิดว่าอยากดูแลหมาของตัวเองให้ดีที่สุด เพราะมันเป็นทุกอย่างในชีวิต เหมือนการเลี้ยงลูกก็ว่าได้ เรารู้สึกว่าการทำงานเพื่อเลี้ยงตัวเองได้ เลี้ยงครอบครัวได้ เป็นความสุขที่สุดแล้ว หรืออาจจะเป็นเรื่องของการที่เวลาเราคิดอะไรใหม่ๆ ขึ้นมาได้ แล้วสิ่งนั้นน่าจะดีสำหรับตัวเราเอง เราก็จะตั้งใจทำมันต่อ ก็อาจจะเป็นเรื่องเหล่านี้ก็ได้

คุณจัดระบบการทำงานของตัวเองอย่างไรให้ไม่ลนลานจนตาแตกเมื่อถึงวันใกล้เดดไลน์

        เราเป็นคนที่ไม่เคยวางแผนอะไรในการทำงานของตัวเองเลย แต่อย่างอื่นในชีวิตวางแผนหมด เช่น น้ำมันรถเหลือครึ่งถังถือว่าหมดแล้วต้องรีบเติม หรือแบตโทรศัพท์เหลือเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ถือว่าแบตหมดแล้วต้องรีบชาร์จ เรียกว่าเป็นคนที่เซฟตัวเองล่วงหน้ามากๆ แต่กับเรื่องงานในบางเรื่อง เรารู้สึกว่ามันไม่ต้องวางแผน เพราะว่าเป็นคนชอบปะทะกับเดดไลน์ เหมือนชอบต่อสู้กับเส้นตาย …ได้เลย มาเลย ถ้าเดดไลน์บอกว่าต้องส่งงานวันมะรืน วันนี้ฉันจะทำงานมันทั้งวันทั้งคืน เราเป็นคนบ้างานคนหนึ่งที่เวลาทำงานต้องยอมรับเลยว่ารู้สึกน่าเป็นห่วง เป็นคนที่ไม่ลุกไปไหนเลย ไม่เข้าห้องน้ำ ไม่กินข้าว บางทีตื่นมาตั้งแต่แปดโมงเช้า ออกกำลังกายนิดหนึ่งให้ร่างกายดูแข็งแรงขึ้นเล็กน้อย แล้วก็ทำงานเลย จากนั้นก็ทำไปเลยโดยที่ปวดปัสสาวะก็ไม่ไปเข้าห้องน้ำ หิวข้าวเหรอ ไม่เป็นไร เรายังไหวอยู่ ดูนาฬิกาอีกทีเป็นตอนเช้าของอีกวันแล้ว 

        สังเกตได้เลยว่าทุกครั้งที่ทำงานเราจะป่วย เพราะว่าเราไม่รักตัวเองเลย เรารักงานมากเกินไป ถ้าเป็นไปได้ก็อยากรักตัวเองให้มากกว่านี้ ซึ่งก็พยายามอยู่ เพราะว่าทุกครั้งที่ป่วยไปโรงพยาบาลอยู่บ่อยๆ เกิดจากการทำงานหักโหมทั้งนั้นเลย ไม่ว่าจะเป็นงานโชว์หรืองานแต่งเพลงก็ตาม ซึ่งปกติเราทำเพลงก็จะทำคนเดียว เราจะคิดเพลงขึ้นมาก่อน แล้วก็ตบตีกับตัวเองจนเรียบร้อย ตั้งคอนเซปต์เพลงต่างๆ เริ่มแต่งเนื้อเพลง แต่งได้สักหน่อยก็จะเริ่มมีโครงดนตรีออกมา จากนั้นก็ส่งให้โปรดิวเซอร์คือ ยี่ Safeplanet (ชยปัญญ์ จันทรานุสนธิ์) เขาก็จะเอาโครงร่างของเราไปทำต่อ แล้วเราก็จะตบตีกันต่อว่าตรงนี้ได้ ตรงนี้ไม่ได้ ตรงนี้เอาคอร์ดนี้ เรียกว่าเขาเป็นพาร์ตเนอร์ที่เพอร์เฟกต์มาก จากคนอย่างเราที่ไม่เคยทำงานกับใครมาก่อนเลย ก็ดีใจที่ได้เขามาช่วยทำให้ภาพที่เราเคยร่างไว้เป็นจริงขึ้นมา

“คอมเมนต์ที่เขาติมาเพื่อให้เราแก้ไขข้อบกพร่องในงานจริงๆ เราก็ขอบคุณมากๆ จากใจ ที่ทำให้เรารู้จุดด้อยของตัวเอง และเราก็เอามาใช้แก้ไขจริงๆ เช่น ต่อไปเวลาร้องเพลงเราจะไม่หันหลังให้คนดู คนนี้บอกว่าท่อนนี้เรายังร้องได้ไม่แข็งแรง เราก็ปรับปรุง และเราก็ยอมรับในความผิดด้วยว่าตรงนี้เราพลาดจริงๆ”

คุณเป็นนักดนตรีที่มีสังกัดค่ายเพลง สุดท้ายแล้วก็ต้องทำงานร่วมกับคนอื่นๆ เพราะการออกเพลงมามีอีกหลายเรื่องต้องจัดการ ทั้งการทำประชาสัมพันธ์ ทำอาร์ตเวิร์กเพลง ในขั้นตอนนี้คุณทำอย่างไร

        เล่าตั้งแต่เพลงแรกๆ ก็แล้วกัน เราทำเพลงด้วยตัวเองคนเดียวเลย และกลายเป็นว่าเพลงที่ทำออกมาเราก็ไม่มั่นใจ ทั้งเรื่องดนตรีจะออกมาเป็นอย่างไร ซึ่งเราเรียนทางด้านดนตรีมาก็จริง เราอาจจะมีทักษะการฟังเพลงที่โอเค แต่เราเชื่อว่านักดนตรีหรือคนที่เขาใช้ชีวิตอยู่กับอยู่กับคอร์ดเพลงหรือเครื่องดนตรีที่เขาเล่นจนเหมือนเป็นอวัยวะหนึ่งของร่างกายเขาแล้ว เขาจะต้องมีอะไรที่ดีกว่าสิ่งที่เราคิดไว้ เพราะเรารู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่นักร้องที่ถ้าพูดตรงๆ ก็ไม่ได้เก่งเรื่องทฤษฎีอะไรขนาดนั้นเลย 

        แล้วเราก็เริ่มต้นจากการบังคับให้ยี่มาทำงานด้วยกันก่อน (หัวเราะ) ถึงยี่เขาจะเป็นนักดนตรี แต่เรื่องโปรแกรมทำเพลงต่างๆ ยี่ก็ไม่ได้ทำเป็นมาตั้งแต่แรก เราก็ให้เขาลองฝึกไปเรื่อยๆ เขาเริ่มฝึกมาตั้งแต่เพลงแรกจนถึงเพลงล่าสุด ดังนั้น ถ้าถามว่าต้องทำงานร่วมกับคนอื่นจะรู้สึกยังไง ตอนนี้คิดว่ายังไม่สามารถทำร่วมกับคนอื่นเท่าไหร่ แต่ว่าถ้ากับยี่ก็เริ่มชินต่อกันแล้ว เพราะเราทำอัลบั้มด้วยกันแล้ว เขารู้หมดแล้ว และเราเองก็รู้หมดแล้วว่าเขาเป็นยังไง เราต้องการอะไร เขารู้ความต้องการของเราคืออะไร เราอยากได้เพลงแบบไหน แล้วเราจะทำอะไรมาส่งให้เขาต่อ เรียกได้ว่าตอนนี้ยี่ไม่ใช่คนอื่นที่ทำงานร่วมกัน ยี่เป็นพาร์ตเนอร์ที่แบบเพอร์เฟกต์แมตช์มาก ซึ่งตอนนี้มีความสุขมากกับการทำงานด้วยกัน

        ส่วนตัวเราคิดว่าเป็นคนที่จัดการเรื่องการทำงานของตัวเองได้ดี เช่น ถ้าเรามีเดตไลน์ส่งงานคือวันที่ 15 เพลงต้องเสร็จสักวันที่ 8 เป็นต้น ต้องเสร็จล่วงหน้าเลย ถ้าเดตไลน์จากทางค่ายบอกมาว่าวันที่ 30 ต้องส่งงาน เพลงจะต้องมิกซ์เสียงเสร็จทุกอย่างตั้งแต่วันที่ 15 แล้ว เราเป็นคนที่ต้องทำอะไรให้เสร็จก่อนล่วงหน้ามากๆ เพราะสำหรับตัวเองเชื่อว่างานต้องการเวลา ไม่สามารถจิ้มๆ แล้วเสร็จเลย การทำเพลงคือสิ่งที่ต้องใช้จินตนาการร่วมด้วย ซึ่งจินตนาการไม่สามารถสร้างได้ตลอดเวลาสำหรับบางคน และการส่งเพลงไปให้เขามิกซ์เสียงก็ไม่ใช่ว่าเขาจะสามารถทำให้เราเสร็จในวันเดียวได้ ถ้ารีบขนาดนั้นผลงานจะออกมาดีที่สุดได้อย่างไร 

        เราเลยต้องให้เวลาในการมีความยืดเยื้อกับเขา เผื่อเขาจะเจออะไรที่ดีในช่องทางที่เราไม่ให้โอกาสเขา เราเลยเผื่อวันไว้ก่อนเพื่อที่จะทำทุกอย่างได้ทัน เพราะส่วนใหญ่เราเป็นคนที่ลงมือกับผลงานตัวเองทุกอย่าง ผลงานที่ผ่านมาทุกอย่างไม่ใช่แค่เพลง แต่เป็นรูปปก รูปแบนเนอร์ต่างๆ เราทำเองหมด เรารีทัชรูปด้วยตัวเอง ขอทางค่ายมาทำเองหมดเลย ปกอัลบั้มก็ออกแบบเอง หรือสตอรีบอร์ดในมิวสิกวิดีโอบางเพลงก็จะเขียนเอง ถ้าจะเลือกคนมาทำงานให้ ก็จะจิ้มเองว่าอยากได้คนนี้ (หัวเราะ) เราเป็นคนที่ชอบเข้าไปสิงอยู่ในงานตัวเองทุกอย่าง แต่เราก็จะบอกคนที่ร่วมงานว่า เราอาจจะเข้ามาสิงบ่อย ต้องขอโทษด้วย แต่บางเรื่องที่รู้สึกว่าถ้าสิ่งไหนที่เราบอกแล้วผู้กำกับรู้สึกไม่เป็นตัวเอง หรือรู้สึกฝืน ให้บอกได้เลย เรายอมอยู่แล้ว เพราะรู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำมันดีที่สุดอยู่แล้ว และเราก็เชื่อใจเขาอยู่แล้วค่ะ แต่ถ้าบางอย่างเราสามารถเรียกร้องอะไรได้บ้าง ถ้าใส่ลงไปให้เราได้ก็ใส่เลย แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร

        ดังนั้น ก่อนที่จะมีภาพก็ต้องมีเสียงที่ครบถ้วนก่อน เพลงต้องเสร็จก่อนที่จะถึงเดดไลน์จริงๆ เพราะหลังจากที่เพลงของเราเสร็จแล้ว เราจะรู้สึกว่า หนึ่ง เราแฮปปี้แล้ว เพลงเป็นรูปเป็นร่างแล้ว สองคือ เราเริ่มรู้แล้วว่าเดี๋ยวเราจะมีทิศทางแบบไหนต่อ เราจะสามารถทำอะไรกับตรงนี้ได้บ้าง เราจะมีเวลาคิดมากขึ้น ซึ่งเรื่องเดดไลน์เราพูดเลยได้ว่า ถ้าเป็นเรื่องงานของตัวเองจริงๆ เราไม่เคยส่งงานสาย เราส่งงานตรงเวลาเสมอ เพราะเราจะส่งก่อน (หัวเราะ)

คุณลงใจกับงานของตัวเองขนาดนี้ ตั้งระดับของตัวเองอย่างไรว่างานแบบไหนคือพอดีแล้ว ปล่อยได้แล้

        ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนเพอร์เฟกชันนิสต์แบบรุนแรงมาก เราสามารถอัดเพลงได้โดยไม่กินข้าวหรือไม่ทำอะไรเลยจนกว่าจะตกลงได้ว่าเพลงผ่านแล้ว แต่สุดท้ายหลังจากที่เราหักโหมตัวเองแล้วเสียงก็แหบ แถมยังป่วยจนอัดเพลงต่อไม่ได้ จนเรารู้สึกว่าต้องปล่อยวางบ้าง บางอย่างก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น บางเพลงก็ดีของมันอยู่แล้ว ถ้ายิ่งเติมแล้วฟังซ้ำไปเรื่อยจนรู้สึกว่าแย่จังเลย ก็ไม่เติมดีกว่า ตอนนั้นเราจะเริ่มคิดแล้วว่าพอแล้วไหม เราเข้าใจแล้วว่าบางอย่างก็ต้องปล่อยบ้าง ให้เพลงมีรสชาติของมันเอง เพลงจะมีรสจัดไปเสียทุกเพลงก็ไม่ได้

คุณใช้อะไรเป็นมาตรวัดความดีพอในงานแต่ละชิ้น

        ใช้ความรู้สึกค่ะ แต่เป็นความรู้สึกว่างานนี้โอเคแล้ว เพลงได้ผ่านการกลั่นกรองมาแล้วว่าท่อนนี้จะมีไดนามิกแบบนี้ ถ้าเติมเพิ่มไปเรื่อยๆ ก็เหมือนเราเติมน้ำสิบแก้วให้เท่ากันทุกแก้ว สุดท้ายพอทุกแก้วมีน้ำเต็มหมด แล้วเราจะเลือกแก้วไหน เพราะมันมีปริมาณเท่ากันหมดเลย แต่ถ้าเราเว้นไว้แก้วหนึ่งที่มันมีน้ำเหลือนิดหน่อย ก็จะเป็นสิ่งที่น่าสนใจที่สุด หรือเป็นไดนามิกบางอย่างที่มันโดดเด่นขึ้นมา เมื่อก่อนเรารู้สึกว่าตัวเองเติมทุกอย่างจนบ้าบอ จนไม่รู้จะสนใจท่อนไหนของเพลง เพราะทุกอย่างมันดูเยอะไปหมด ก็เลยรู้สึกว่าบางอย่างที่เราอยากเติมแล้วมันเยอะไป รู้สึกว่ามันเกินไปแล้ว เราอาจจะลองเอาไปไว้ด้านหลังหรือใส่ในด้านที่คนต้องตั้งใจฟังมากจริงๆ ถึงจะได้ยินมัน 

        แล้วบางไลน์ดนตรีที่รู้สึกว่ามันควรจะเป็นคาแรกเตอร์แบบนี้ เราก็จะยึดคาแรกเตอร์ที่เรากำหนดว่าแต่ละท่อนจะเป็นคาแรกเตอร์อย่างไร เช่น เพลงท่อนนี้ควรจะเงียบหรือใช้ดนตรีน้อย ควรจะเป็นเสียงกีตาร์เบาๆ เราก็จะพยายามไม่เติมอะไรมาก เราจะเติมกิมมิกแค่บางอย่างที่มันสมควรที่จะอยู่ตรงนั้นไปในความรู้สึก แต่ว่าจะพยายามไม่ยัดเข้าไปจนเต็มไปหมด เพลงก็เหมือนการวิ่ง คนมาฟังเพลงเราแล้วเหมือนวิ่งไปเรื่อยๆ พอรู้ตัวอีกทีเพลงจบแล้ว อ้าว! แล้วท่อนพีกอยู่ไหน ท่อนที่น่าฟังอยู่ตรงไหนล่ะ หรือถ้ามันน่าฟังไปหมดทุกท่อน แล้วมันจะยังน่าฟังจริงๆ เหรอ มันต้องมีท่อนที่เป็นคาแรกเตอร์ของมันว่าท่อนนี้ ฉันจะร้องไห้ ท่อนนี้ฉันจะโกรธแค้น ท่อนนี้ฉันจะอยู่เฉยๆ เพลงถึงจะน่าสนใจหรือเปล่า

“ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนเพอร์เฟกชันนิสต์แบบรุนแรงมาก เราสามารถอัดเพลงได้โดยไม่กินข้าวหรือไม่ทำอะไรเลยจนกว่าจะตกลงได้ว่าเพลงผ่านแล้ว แต่สุดท้ายหลังจากที่เราหักโหมตัวเองแล้วเสียงก็แหบ แถมยังป่วยจนอัดเพลงต่อไม่ได้ จนเรารู้สึกว่าต้องปล่อยวางบ้าง บางอย่างก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น บางเพลงก็ดีของมันอยู่แล้ว”

ย้อนกลับไปปี 2021 ภาพของคุณไปปรากฏอยู่บนบิลบอร์ดกลางนิวยอร์ก ถือว่าเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ของคุณได้ไหม

        บอกตรงๆ วันนั้นงงมาก เพราะตื่นมามีแต่คนตื่นเต้นฮือฮา แล้วเรายังสะลึมละลืออยู่ ก็เข้าใจว่าไทม์สแควร์คือย่านหนึ่งในกรุงเทพฯ ประมาณสยามสแควร์ ก็แค่พูดไปว่าแล้วทำไมเหรอ จนแฟนเราต้องบอกว่านี่มันไทม์สแควร์เลยนะ ที่นิวยอร์กเลยนะ เราตกใจตื่นทันที (ทำเสียงตกใจ) ตอนนั้นสับสนไปหมดเลย แล้วเราต้องพูดอะไรไหม ต้องขอบคุณใครบ้าง เราไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีโอกาสได้ไปอยู่ตรงนั้น มันเป็นความฝันที่เกินไปมากๆ เลยค่ะ เราอึ้งกับเรื่องนี้ไปหลายวันมาก เป็นความรู้สึกดีใจมากที่รูปตัวเองได้ไปขึ้นบิลลอร์ดที่นิวยอร์ก หน้าเราก็รีทัชเอง (หัวเราะ) โลกได้เห็นฝีมือทำโฟโต้ชอปของเราแล้ว ขอบคุณค่าย What The Duck ขอบคุณ Spotify ขอบคุณทุกฝ่ายเลย เพราะเรารู้ว่าไม่ใช่แค่เพลงเท่านั้นที่พาเราไปถึงตรงนั้น แต่มาจากค่ายที่ซัพพอร์ตเรา เป็นทาง Spotify ที่เลือกเราไป ถ้าไม่มีพวกเขาต่อให้มีเพลงดีแค่ไหน เราก็ไม่มีโอกาสไปอยู่ตรงนั้นได้แน่นอน

ฝันที่ไม่กล้าฝันนี้ ทำให้เป้าหมายหรือมาตรฐานของตัวเองถูกยกระดับขึ้นไปด้วยหรือไม่

        เราไม่รู้เลยค่ะ ที่ไม่รู้เพราะว่าเราไม่วางแผนอะไรเลย เราไม่อยากกดดันตัวเองว่าเราต้องมีเรื่องนั้นเรื่องนี้ เพลงที่เราจะปล่อยต่อไป เราก็ไม่ได้วางแผนว่าเพลงจะปล่อยอีกทีเมื่อไหร่ เพราะถ้าวางแผนไว้แล้วทำไม่ได้ กลายเป็นเราไปกดดันตัวเองอีกว่าทำไมไม่ทำตามคำพูด แล้วก็บ่นพึมพำอยู่กับตัวเอง ซึ่งเราไม่อยากเป็นคนแบบนั้น แต่พอมาคุยกับทางค่าย ค่ายพบคำตอบว่าเราไม่มีแผนการอะไร พวกเขาก็เย่! จบ (หัวเราะ) เราก็คิดนะว่าแล้วค่ายเขาจะทำงานกันต่อยังไง เพราะสิ่งที่ค่ายจะได้ยินเพลงของเราครั้งแรกก็ต่อเมื่อเราทำมาสเตอร์เสร็จเรียบร้อยแล้ว หรือเราจะส่งเดโมให้เขาฟังในคุณภาพที่เรามั่นใจแล้วว่าสิ่งนี้คือเกือบจะสมบูรณ์แล้ว จะเปลี่ยนไปมากกว่านี้ได้ไม่เกินยี่สิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น เพราะเราต้องการความมั่นใจว่าเพลงของเราจะออกมาประมาณนี้ หรือช่วงแรกๆ เดโมของเราจะดนตรีน้อยมาก เสียงร้องก็เบา ทีมงานก็เข้าใจว่าเราจะทำเพลงอะคูสติก แต่พอเสร็จสมบูรณ์ดนตรีมาเต็มเลย เราก็บอกเขาว่า “เซอร์ไพรส์” (หัวเราะ) ถ้าทางค่ายผ่านมาเจอก็อยากจะบอกว่าวิ่งไล่จับกับเราต่อไปนานๆ นะคะ ฝากตัวด้วยค่ะ หลายครั้งเราก็อยากทำให้พวกเขาแปลกใจว่าเราสามารถทำงานให้ออกมาดีกว่าเดโมที่เขาได้ฟังครั้งแรกจริงๆ เพียงแต่มันจะไปสร้างความยุ่งยากในการวางแผนงานของเขาด้วย

คุณประสานความเข้าใจกับทางค่ายอย่างไรให้พวกเขายอมรับการทำงานที่เฉพาะตัวของ BOWKYLION ได้สำเร็จ

        เริ่มต้นจากเราเข้าไปนำเสนอทิศทางที่อยากได้ก่อน อันไหนเป็นไปได้ทางค่ายก็ช่วยสนับสนุน เรื่องไหนเป็นไปไม่ได้ก็จะต่อรองกันไปว่าขอตรงนี้ได้ไหม งานตรงส่วนนี้เราขอดูเองได้ไหม รูปนี้ขอรีทัชเอง ภาพนี้ขอทำเอง ปกอัลบั้มขอทำเอง คุณบอกขนาดมาว่ารูปขนาดเท่าไหร่ ความละเอียดกี่พิกเซล ต้องส่งเป็นไฟล์อะไร เราจะขอว่ารูปที่ถ่ายเสร็จแล้วช่วยส่งเป็นไฟล์ดิบมาให้เลยนะ ส่งมาให้ที่บ้านเลย จะไม่มีใครได้ดูรูปนอกจากเราแค่คนเดียว (หัวเราะ) รูปไหนยังไม่ได้แต่งห้ามลงเดี๋ยวมันโป๊ะ (หัวเราะลั่น) 

        เรายอมรับนะว่าเราแต่งรูปตัวเอง เราบีบสัดส่วนในรูปเพราะเราคิดว่าขนาดเพลงเรายังต้องแต่ง ต้องเกลาคำออกมาให้เพราะเลย แล้วทำไมเราถึงจะบีบหรือแต่งรูปของเราไม่ได้ล่ะ ซึ่งรูปที่ใช้ทำประชาสัมพันธ์จะอยู่ต่อไปจนเราตาย ดังนั้นิ รูปต้องเพอร์เฟกต์ที่สุด ซึ่งโอเค อาจจะมีคนบอกว่ารูปเสียความเป็นธรรมชาติไป แต่ส่วนตัวเราชอบทำรูปของตัวเองให้มีความเป็น AI อยู่ในภาพด้วย เราอยากเป็นตัวละครอะไรสักอย่างที่ไม่มีอยู่จริง อยากเป็นตัวละครแบบเกม The Sims

        ดังนั้น จึงมีการพูดคุยกับทางค่ายค่อนข้างเยอะ ซึ่งทางค่ายเขาก็ทำหน้าที่ของเขาอย่างเต็มที่อยู่แล้ว เราก็เคลียร์กับทุกคนนะที่เราเป็นคนที่เอาแต่ใจ แต่อยากให้รู้ว่าทุกคนใน What The Duck รักกันดีมากๆ แต่เรื่องงานนี่เราต้องตบตีกันเพราะว่ามันเป็นงาน แล้วเราก็อยากได้สิ่งที่ดีที่สุด ถ้าสิ่งไหนที่เราเห็นว่ามันสมควรกว่า เราก็จะยอมรับ แต่ถ้าเรื่องไหนไม่ดีเราจะตัดออกเลย ถ้าข้อเสนอไหนที่ไม่ฝืนความรู้สึกเราจนเกินไป เราก็จะทำให้

        ดังนั้น เราจึงกำหนดเองทุกเรื่อง แม้กระทั่งวันที่จะปล่อยเพลง เราก็จิ้มเลยว่าขอเป็นวันนี้ ซึ่งไม่ได้มีเหตุผลอะไรเลย เป็นแค่ความรู้สึกว่าต้องเป็นวันนี้เท่านั้น แต่เหตุผลคือ ถ้าเราปล่อยเพลงในวันนั้นแล้วเพลงไม่ปัง ความผิดอยู่ที่เราเอง ไม่เป็นไรหรอก เรารู้สึกว่าทุกอย่างถ้าเราทำเองแล้วมันเกิดผิดพลาด เราก็โทษตัวเอง จบ ไม่ต้องโทษใครเลย เพราะว่าเราเลือกเอง แต่ถ้ามันไปได้ดี เราก็ยอมรับว่าเราก็โอเคเหมือนกันนะ ซึ่งค่ายก็ดีมาก ซัพพอร์ตเราทุกอย่าง เขาไม่เคยขัดข้องอะไรกับเราเลย เราโชคดีที่ได้อยู่ตรงนี้ เหมือนเราได้อยู่ในจุดที่ถูกที่ถูกทาง

“เรายอมรับนะว่าเราแต่งรูปตัวเอง เราบีบสัดส่วนในรูปเพราะเราคิดว่าขนาดเพลงเรายังต้องแต่ง ต้องเกลาคำออกมาให้เพราะเลย แล้วทำไมเราถึงจะบีบหรือแต่งรูปของเราไม่ได้ล่ะ ซึ่งรูปที่ใช้ทำประชาสัมพันธ์จะอยู่ต่อไปจนเราตาย ดังนั้นิ รูปต้องเพอร์เฟกต์ที่สุด”

ต้องทำอย่างไรถึงจะโน้มน้าว BOWKYLION ให้ใจอ่อนลงได้

        เขายกมือไหว้เรากันทั้งค่าย (เสียงเบาลง) ทีมงานต้องพนมมือให้เรา (ทำท่าประกอบ) ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนดื้อด้านมากในเรื่องการไปทำประชาสัมพันธ์ การไปให้สัมภาษณ์ การเดินสายโปรโมต แม้กระทั่งการออกสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะได้เงินหรือไม่ได้ก็ตาม เราไม่ใช่คนหยิ่งหรือคิดว่าตัวเองดังแล้ว แต่เรารู้ว่าตัวเองมีข้อบกพร่องในการพูดหรือการสื่อสารอย่างมาก ถ้าเป็นการร้องเพลง เราว่าตัวเองทำได้ดี แต่ถ้าให้พูดคุย เรารู้สึกว่าตัวเองดูแย่มาก เพราะเราเป็นคนที่บางทีก็พูดไปแบบไม่ได้มีการเตรียมความคิดไว้เลย บางทีเจอคำถามว่า เรามีผลงานอะไรบ้าง เราก็ตอบไปว่าไม่มีค่ะ ไม่ต้องติดตามก็ได้ ผู้จัดการเอามือก่ายหน้าผากเลย ซึ่งเราไม่ได้กวนตีนหรือพูดให้มันตลกนะ แต่เหมือนว่าบางวันสมองของเรามันมาไม่ครบ เรามีอาการเหม่อเพราะอะไรก็ไม่รู้ แล้วเราเสแสร้งไม่เก่ง เราไม่สามารถพูดตามสคริปต์ที่เขาเขียนมาให้อย่างเป็นธรรมชาติได้ ถ้าให้พูดตามสคริปต์ คำพูดของเราจะออกมาเหมือนคนท่องจำ พูดเป็นคำๆ ไร้ความรู้สึก 

        เราไม่สามารถทำอะไรก็ตามที่ถูกเซตหรือสร้างขึ้นมาได้ ทั้งๆ ที่สิ่งนั้นมันจะช่วยให้เราเป็นคนที่ดีขึ้นก็ตาม ดังนั้น มันยากมากถ้าจะทำสคริปต์ให้เราพูดตาม ต่อให้ท่องมาแปดวันแปดคืนก็พูดไม่ได้ บางงานที่เราไปเล่นโชว์ เขาก็จะมีสคริปต์เขียนมาให้เราพูด ซึ่งตอนแรกเราก็พูดแบบปกติขอบคุณทุกคน ขอบคุณทุกอย่าง ขอบคุณทุกสปอนเซอร์ ขอบคุณทีมงานทุกคนที่ทำให้เราได้มาเล่นที่นี่ แต่พอถึงส่วนที่ต้องพูดตามสคริปต์ที่เขาเขียนมา เราจะตะกุกตะกักขึ้นมาทันที ทั้งๆ ที่เป็นประโยคง่ายๆ ว่า ชวนคนดูมาสนุกและเรียกรอยยิ้ม เรียกเสียงเฮด้วยกัน แต่กลายเป็นว่าเราพูดไม่ได้ แล้วประโยคนั้นเป็นแค่วงเล็บว่าให้เราชวนพูดแค่ว่าชวนทุกคนมาสนุกด้วยกัน ซึ่งเราน่าจะเป็นคนที่สมองช้ามากๆ ในเรื่องนี้ 

        เมื่อรวมกับการที่เราเป็นคนคิดทุกอย่าง คิดตลอดเวลา เรานั่งคุยกันอยู่ตอนนี้ในหัวเราอาจกำลังคิดเรื่องเพลงอยู่ก็ได้ ซึ่งทำให้เราเป็นคนที่นอนไม่หลับ ตื่นง่าย บางที่หลับไปแล้วแต่ในหัวก็ยังคิดอยู่เลย เราเป็นคนคิดตลอดเวลา เราถึงเหมือนเป็นคนที่ไม่มีสมาธิอะไรเลย ทำให้เราไม่อยากพูดออกสื่อ บางทีพูดแล้วอาจจะมีประเด็นอะไรบางอย่างที่เราไม่สมควรพูด ด้วยความที่เป็นคนพูดตรงมากๆ บางทีหลุดพูดออกไปทางค่ายเห็นก็ปวดหัว ซึ่งถ้าเป็นศิลปินคนอื่นเขาอาจมีการวางแผนทำการโปรโมตกันเป็นเรื่องเป็นราว แต่ BOWKYLION จะเป็นนักวางแผนในการหนีการโปรโมตอยู่ตลอด 

        เวลารับโทรศัพท์จากทางค่ายก็จะฟังเขาพูดจนจบแล้วก็บอกเขาว่าไม่ไปค่ะ ทางค่ายคงปวดหัวกับเรามาตลอด แต่ยืนยันว่าเราไม่ได้หยิ่ง เราก็อยากคุยกับคนอื่นๆ แต่เราก็ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เราพูดออกไปวันไหนจะมีอะไรย้อนกลับมาทำร้ายเราได้ไหม ด้วยความที่เราเป็นคนพูดแล้วแทบจะเป็นความจริงจากข้างในเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ เราไม่มีความเสแสร้งในการพูดและเป็นคนกล้าพูดมากๆ แล้วความจริงบางอย่างเป็นเรื่องส่วนตัวมากๆ ที่เป็นอาจจะเป็นประเด็นที่อ่อนไหว ทำให้เราไม่กล้าที่จะไปให้สัมภาษณ์ที่ไหนบ่อยๆ ไม่กล้าที่จะพูดให้ใครฟัง เพราะว่าเป็นคนที่เหมือนจะปากไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ด้วย

ถ้าเป็นงานของลูกค้าล่ะ

        โอย ไม่ได้เลยค่ะ (ร้องเสียงหลง) ถ้ากับงานลูกค้า เราให้ความเคารพเขาเหมือนเป็นพระเจ้าเลย ถ้าเขาต้องการเรา เราก็ต้องทำให้เขาค่ะ ลูกค้าจะของานพรุ่งนี้ เราก็จะทำให้เสร็จ ลูกค้าอยากได้คำว่าสลากกินแบ่งรัฐบาลหรือคำอะไรอยู่ในท่อนไหน เราทำให้ได้หมดเลย จะขอฟังเดโมแรกก่อนก็ทำให้ได้ แม้ว่าเขาจะเพิ่งมาบอกเมื่อวานก็ตาม ฟังดูกลับกันเลยใช่ไหม แต่ต่อให้ลูกค้าบอกอะไรก็ตามที่เราเคยบอกกับทางค่ายว่าไม่ได้ เราจะทำให้ได้ เพราะเขาเลือกเรา เขาจ้างเรา เราก็จะให้ความสำคัญกับเขาเป็นสิ่งแรก แต่กับทางค่ายที่เราไม่อยากให้เขาฟังเดโมก่อน ส่วนหนึ่งเพราะเราเป็นคนที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาบ่อย แก้เพลงนิดหนึ่งก็ถือว่าเป็นอัพเดตใหญ่แล้ว แล้วถ้าต้องคอยแจ้งอัพเดตให้ทางค่ายฟัง เขาจะได้ฟังเดโมเราเป็นพันเดโมเลย เราจะส่งงานให้เขาทุกวันก่อนกินข้าว หลังกินข้าว ก่อนเข้านอน ตอนเช้าก็ส่ง ตอนเย็นก็ส่ง ฟังดูอาจจะตลก แต่เราเคยทำแบบนี้กับพี่บอลมาแล้ว จนพี่เขาไม่ได้หลับไม่ได้นอนไปพร้อมกับเรา

สุดท้ายเราเชื่อว่าต้องได้คำตอบที่ไม่ธรรมดาจากคุณแน่นอนกับคำถามนี้ นั่นคือผ่านมาสองปีกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ผลกระทบที่เกิดกับคุณเป็นอย่างไร

        ชีวิตเราแฮปปี้มากค่ะ (หัวเราะ) ถึงขนาดที่นั่งคิดกับตัวเองเลยว่า หรือเราเป็นคนที่เกิดมาเพื่ออยู่ว่างๆ ไปวันๆ ไม่ได้เกิดมาเพื่อแต่งเพลง เราเกิดมาเพื่อเลี้ยงหมา เลี้ยงแกะ เลี้ยงไก่ รดน้ำต้นไม้ พรวนดิน กินข้าวให้ตรงเวลา เราเกิดมาเพื่อชีวิตแบบนั้นหรือเปล่า ช่วงที่ผ่านมา เราไม่มีความเครียดเลย จะเครียดก็เรื่องเดียวคือ ไม่มีงาน ไม่มีเงิน ไม่มีรายได้ แต่การไม่ต้องออกจากบ้าน ได้อยู่ในสถานที่พักพิงของตัวเอง ไม่ต้องเจอใครเลย ไม่ต้องเจอความวุ่นวาย ไม่ต้องเจอมลภาวะ แล้วก็ไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องทำงาน ไม่ต้องคิดเรื่องงาน วันๆ ก็เล่นเกมเลี้ยงวัว เฮ้ย! มันคือชีวิตที่เราอยากจะให้เป็นในบั้นปลายของเรา และตอนนั้นพูดเลยว่าเรามองไม่เห็นภาพอะไรเลยว่าตัวเองจะสามารถกลับมาอยู่ในพื้นที่ตรงนี้ได้อีกแล้วด้วย เพราะตัวเองไม่มีแรงบันดาลใจในการทำงานอะไรเลย


เรื่อง:ทรรศน หาญเรืองเกียรติ | ภาพ: What The Duck