GUYGEEGEE แรปเปอร์สายกวน ที่อยากจะชวนทุกคนไปสนุกกับเสียงเพลง

“ไมค์เหมือนเป็นผ้าใบวาดภาพของผม ผมแค่ไม่ได้วาดแต่ทำเพลงแทน ใส่ความเป็นศิลปะผ่านเสียงเราที่สื่อออกไป”

        หากมองด้วยเลนส์แบบ stereotype ภาพลักษณ์ของแรปเปอร์มักมาพร้อมกับความดิบ มาดกวน XXX ความเฟล็กซ์ บ้าพลัง หรือมีกำแพงอะไรบางอย่างที่แม้ว่าเราจะชอบเพลงเขาแค่ไหน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเข้าหาพวกเขาอย่างไร 

        แต่ในวันที่ท้องฟ้าสดใส ไอแดดกำลังร้อนแรงนี้ เรากำลังจะไปทำความรู้จักกับ GUYGEEGEE หรือ ‘กาย’ – กล้าไม้ ไมเกิ้ล แรปเปอร์หนุ่มมาดกวนเจ้าของเพลงที่มีท่อนฮิตว่า “พี่ไม่มีหลุยส์พี่ไม่มี Louis Vuitton” …ท่อนนี้เขาไม่ได้ร้อง แต่เป็นศิลปินรุ่นน้องอย่าง SPRITE หรือ ‘สไปร์ท’ – ศุกลวัฒน์ พวงสมบัติ ที่มาร่วม Feat. ด้วย และนี่คือเพลง ทน ผลงานแจ้งเกิดอย่างอลังการด้วยการได้ขึ้นชาร์ตบิลบอร์ด 

“อยู่กับพี่น่ะมันลำบากนะ หรือว่าน้องจะทน อยู่กับพี่ลำบากนะหรือว่าน้องจะทน”

ทักครัช GUYGEEGEE (what’s up)

        เราเดินทางไปหากายที่ 22 Sep. Cafe & Space เขาแต่งตัวสบายๆ สไตล์สตรีททั่วไป สิ่งโดดเด่นสุดก็คงจะเป็นสีรองเท้าที่ค่อนข้างจะแรงสุดในบรรดาเครื่องแต่งกายทั้งหมด แต่สิ่งที่สะท้อนถึงความสนุก ทะเล้น มาดกวนของเขาได้ดีที่สุดเรายกให้เป็นผม ที่ออกแบบมาให้เป็นลวดลายแบบเสือดาว 

        ย้อนกลับไปในวันที่ยังเป็นเด็กชาย กายเป็นคนที่ชอบดนตรีมาตั้งแต่เด็กๆ ทุกครั้งที่มีเรียนดนตรีเขาก็จะสนุกไปกับมัน ตลอดจนเข้าร่วมวงดนตรีของโรงเรียนจึงรู้สึกว่าตัวเองไปได้ดีในทางนี้ หลังจากโตขึ้นตามช่วงวัย ขอบข่ายความรู้ทางดนตรีก็กว้างขึ้นตามไปด้วย และเขาก็ได้รู้จักกับดนตรีแนวฮิปฮอปแร็ป

        “ผมฝึกร้องเล่นๆ ดู เพื่อนๆ ก็ว่าผมร้องได้ดีนะ ก็เลยฝึกบ่อยขึ้นเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีก็ชอบมากๆ ไปแล้ว” เขาพูดพร้อมรอยยิ้ม

        และในปี 2563 เป็นปีที่กายเริ่มเข้าวงการบันเทิงอย่างจริงจัง จากการเข้าร่วมแข่งแรปเปอร์ในรายการ Show Me The Money Season 2 ด้วยความสามารถ และเสน่ห์การแรปอันเหลือล้น กายจึงพาตัวเองเข้าไปจนถึงรอบ Semi Final จนได้ 

        กายเล่าให้ฟังว่านอกจากประสบการณ์อันล้ำค่าจากการได้เข้าร่วมแข่งขันรายการนี้ เขายังได้เจอคนประเภทเดียวกัน เจอเพื่อนที่ชอบแร็ปเหมือนกัน ได้รู้จักรุ่นพี่ในวงการมากมาย จึงได้ของแถมเป็นช่องทางในการทำงานที่กว้างขึ้น แม้บรรยากาศตอนแข่งหรืออยู่บนเวทีจะเดือดแค่ไหน แต่เมื่อลงจากสปอตไลต์ตรงนั้นมา ทุกคนก็คือเพื่อนที่เดินบนเส้นทางเดียวกัน

        “หลายคนกลายเป็นแรงบันดาลใจให้เรา จากที่ได้เห็นแรปหลายๆ สไตล์ เราก็รู้สึกว่า เฮ้ย ยอมไม่ได้ กึ่งๆ กดดัน แต่ว่ามันก็ผลักดันเราไปในตัว ทำให้เราพัฒนาได้เร็วขึ้น เพราะอยู่ในจุดนั้นทุกคนก็พยายามที่จะเอาสิ่งที่ดีที่สุดของตัวเองออกมา มันเป็นพลังงานดีที่มากกว่า เพราะสุดท้ายไม่ได้มีใครไม่ชอบกันจริงๆ ที่คุณเห็นมันเป็นแค่ส่วนหนึ่งของรูปแบบรายการที่เราต้องแข่งกันเท่านั้นเอง

GUY Kamikaze สู่ GUYGEEGEE

        คุณเคยอยู่ในตำนานแห่ง T-Pop อย่างค่าย Kamikaze ด้วย – เราถามกาย เนื่องจากเผอิญได้ชมรายการของ โอ๊ต ปราโมทย์ ที่เคยพูดถึงเส้นทางการทำงานของเขา

        เคยไปจอยตอนเด็กๆ ช่วง 15-17 ปี ตอนนั้นไปเดินห้างอยู่ก็มีแคสติ้งมาถามว่าผมสนใจไปลองแคสต์ดูที่ตึก RS ดูไหม ผมไม่เคยลองอะไรแบบนี้ก็เลยลองดู พอเข้าไปสักพักด้วยสไตล์ที่เขาจะปั้นให้เราเป็นวงดนตรี ด้วยเนื้อหาและสไตล์ที่ค่อนข้างไม่ตรงกับความชอบด้วย เราก็รู้สึกมันฝืนใจตัวเอง เหมือนเราทำในสิ่งที่เราไม่ได้อยากจะเป็น ผมก็คงแสดงได้ไม่เต็มที่ ผมก็ขอถอนตัวออกมาก่อนดีกว่า”

        กายเล่าว่าหลังจากนั้นก็หยุดไปพักใหญ่ ก่อนจะทำช่องยูทูบ ทำเพลง ปล่อยมิวสิกวีดิโอกันเองกับเพื่อน กระทั่งได้ไปร่วมรายการ Show Me The Money Season 2 กลายเป็นความเอาจริงเอาจังขึ้นมา และหลังจากจบการแข่งขันก็ถูกชักชวนจาก Prod. By NINO หรือ ‘นีโน่’ – เกริก ชาญกว้าง ผู้ก่อตั้งค่าย HYPE TRAIN 

        “ตอนนั้นผมได้ไปเจอกับพี่นีโน่ ก็ไปแร็ปกวนๆ ใส่เขา เขาก็ทักมาในเฟซบุ๊กว่าสนใจอยู่ค่ายไหม ผมก็ตอบกลับไปว่า ก็จัดไปดิคร้าบพี่*” 

(*ช่วยอ่านออกเสียงแบบแรปเปอร์ให้เขาสักหน่อย เพื่อความอรรถรส) 

        แล้วเพลง ‘ทน’ ที่ปล่อยออกมาก็ได้สร้างตำนาน และกลายเป็นการแจ้งเกิดอย่างจริงจังให้ทั้งกายและรุ่นน้องที่กลายเป็นคู่หูที่สนิทกันมากอย่างสไปรท์ 

        “ตอนเพื่อนส่งมาให้ดูว่าได้ขึ้นบิลบอร์ด ยังแอบคิดว่าเพื่อนตัดต่อแกล้งเราหรือเปล่า พอส่งไปให้ที่ค่ายดู เฮ้ย มันคือของจริง มันก็เป็นการได้รับการยอมรับจากหลายๆ คนที่มองว่าเราไม่ได้จริงจัง นี่ก็เป็นเครื่องแสดงว่าเราจริงจังนะ”

Rap แบบกวนๆ GUYGEEGEE

        “ผมใช้ประสบการณ์ทุกอย่างในการเขียนเพลงเลย ไปตามอารมณ์ ถ้าอกหักก็ทำเพลงเศร้า เปลี่ยนไปตามสิ่งที่เรารู้สึก ผมเปรียบไมค์เหมือนเป็นผ้าใบวาดภาพของผม ผมแค่ไม่ได้วาดแต่ทำเพลงแทน ใส่ความเป็นศิลปะผ่านเสียงเราที่สื่อออกไป”

        “การแร็ปก็มีหลายสไตล์ (เหมือนศิลปะที่มีหลายแขนง) แล้วแต่คนชอบ แต่รวมๆ คนชอบจะแร็ปเป็นเรื่องราว ความรัก ชีวิต ปาร์ตี้ หรือแก๊งสเตอร์ แต่สุดท้ายแล้วผมว่ามันคือการคล้องจองคำ อาจจะต่างกันนิดๆ หน่อยๆ แต่โดยรวมก็มีองค์ประกอบที่เหมือนกันซึ่งก็เป็นฮิปฮอปเหมือนกัน 

        “อย่างผมชอบหาคำแปลกๆ อย่างบางคำมันมีพลังที่คนฟังเห็นภาพได้ เช่น ‘วิบวับ’ ก็พูดถึงซีนอะไรที่มันวิบวับ คือแค่หนึ่งคำก็ทำให้คนเห็นภาพได้ถ้ามาถูกจุด แต่ถ้าให้พูดอย่างหนึ่งที่ผมใส่ไปในทุกเพลงคือความกวนๆ ตลกๆ หรือในเพลงรักผมก็ยังมีเนื้อหาที่มันกวนๆ หรือเพลงจริงจังบางทีก็ยังใส่ในบาร์ที่มันกวนๆ ลงไป” 

“สวยๆ มีอีกอ๊ะป่าว ว่าไปคืนนี้ท่าจะยาว I wanna get it right now She be like
หมวยๆ ดีไปทุกทาง ถ้าได้ตัวเธอมาสักกะที รับรองพี่ตั้งใจทำงาน”

        “เพลงแร็ปไม่จำเป็นต้องหยาบหรือรุนแรงตลอดเพื่อที่จะสนุก เพราะเราก็เริ่มจากการแร็ปที่แซวเพื่อน คนนู้นคนนี้ เลยอาจจะเป็นสิ่งที่เราติดมาทุกเพลง

        “แต่ผมว่าก็ต้องรู้เรื่องนิดหนึ่ง คุณไม่จำเป็นต้องแร็ปหยาบแต่ว่ามันก็หนึ่งในองค์ประกอบของฮิปฮอป เราก็คงปฏิเสธไม่ได้ จะให้ไม่มีเลยคงดูปลอม เพราะว่าเพลงแนวนี้เริ่มมาจากตรงนั้น คนทำเพลงเขาก็หยิบเอาสิ่งที่ตัวเองเจอมาเล่า มาเปลี่ยนเป็นพลังงานบวกจะให้เขาไม่พูดเลยก็เป็นไปได้ยาก แต่ก็ขึ้นอยู่กับคนฟังด้วยว่าเขารับฟังตรงไหน จะรับฟังจุดแย่ๆ แล้วเอามาย้ำตัวเอง หรือมองให้เป็นแรงผลักดันก็ได้” 

กาย กล้าไม้ ไมเกิ้ล

        เรามารู้จักกายกันให้มากขึ้นอีกสักหน่อย นอกจากเติบโตมากับดนตรี “ผมเป็นคนชอบอยู่ข้างนอก มีเพื่อนเยอะตั้งแต่เด็กๆ ชอบออกไปเจอผู้คน ไม่ชอบอยู่คนเดียว เวลาอยู่คนเดียวแล้วเหงา ชอบเสพดนตรี แสง สี เสียง” 

        ด้วยความที่เป็นลูกเสี้ยวอังกฤษ ทางบ้านของเขาจึงนับถือศาสนาคริสต์ นิกายคาทอลิก เขาเติบโตมากับความเชื่อที่ไม่เชื่อเรื่องผี โชคลาง หรือหมอดู 

        “ผมจะเชื่อในพระเจ้า เข้าโบสถ์ จริงๆ ก็ไม่ได้มีกฎอะไรมาก แค่ให้รู้จักรัก การอภัย เราอยากให้คนอื่นทำกับเราอย่างไร เราก็ต้องทำแบบนั้นกับคนอื่นก่อน 

        “ถ้ารู้จักการรักและการให้อภัยกัน ผมว่าชีวิตเราจะง่ายขึ้นเยอะเลย จะโกรธแค้นกัน… ก็ต้องตาต่อตา ฟันต่อกัน (หัวเราะ) ไม่ใช่ๆ เราปล่อยไปได้ก็ดี…. หรือถ้าไม่ได้ก็ซัดคืนเลย (ผ่าม!) ล้อเล่น! ผมคิดว่าเรื่องพวกนี้ เราก็ต้องมีจุดที่ให้อภัยของเรา แต่อย่างว่านะ ในโลกนี้มีคนแปลกๆ เยอะ ถ้ามีคนมาย่ำยีเรามากๆ เราก็ต้องมีจุดยืนของเรา จุดที่ต้องสู้คืนเหมือนกัน” 

        ถ้าอย่างนั้นช่วยแชร์ประสบการณ์เด็ดๆ ที่เคยสู้ให้ฟังหน่อยสิ – เราถามต่อ กายนึกย้อนอดีตอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มแบบอรุ่มเจ๊าะออกมา แล้วเล่าให้ฟัง

        “ตอนเด็กๆ ผมไปเที่ยวผับกับเพื่อนแล้วไปมีเรื่องกัน ฝ่ายตรงข้ามเขาก็จะชักปืนออกมา ผมเห็นก็รีบเลย บอกเขาว่า ‘ใจเย็นๆ พี่ ผมขอแค่ 10 วิ ผมก็ไปแล้ว’ เขาก็นับถอยหลัง 10… 9… ผมก็หันไปมองเพื่อน ‘รออะไร วิ่งดิ’ แล้วผมก็วิ่งซิกแซ็กเลย ก็กลัวโดนยิ่งไล่หลัง” เขาเล่าพร้อมทำท่าประกอบ แล้วพวกเราก็ระเบิดหัวเราะกันออกมา

        ดังนั้น เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…. “อย่าไปมีเรื่องกับคนที่มีอาวุธครับ” เขาตอบกลับแบบมาดกวน 

 

กูก็ไม่รู้ …(ไม่รู้ๆๆๆ)

        มาถึงเพลงล่าสุดที่เพิ่งปล่อยออกมาของกายกับเพลง กูก็ไม่รู้ คำนี้น่าจะเป็นคำติดปากของใครหลายคนอยู่ในเวลานี้ และอีกความตลกร้ายหนึ่ง เพลงนี้ยังทำให้คนไทยนึกถึงใครคนหนึ่ง แต่เรามาฟังที่มาของเพลงจากปากแรปเปอร์เจ้าของเพลงกันดีกว่า

        “เพลงนี้เริ่มขึ้นมาจากตอนที่ผมหาของไม่เจอผมก็เลยแต่งเพลงนี้ขึ้นมา อารมณ์ประมาณตามหาของ สาระในเพลงนี้ก็จะไม่ค่อยมีเท่าไหร่ (หัวเราะ) เน้นอารมณ์สนุกๆ กวนๆ มากกว่า ผสมกับความเป็นฮิปฮอปกับเบสหนักๆ มันส์ๆ” 

        แล้วจริงๆ การไม่รู้นี่มันผิดมากไหมนะ – เราถามเพลงอธิบายให้เขาฟังต่อว่า หลายครั้งการตอบว่า “ไม่รู้” บ่อยๆ แม้ว่าจะไม่รู้จริงๆ กลายเป็นว่าทำให้บุคลิกคนพูดดูไม่ดี 

        “ผมว่ามันก็ไม่ผิดที่เราไม่รู้อะไรสักอย่าง แต่ถ้ารู้ก็บอกด้วยแล้วกัน” 

        เราถามกลับไปถึงเพลง ทน แม้จะเป็นเพลงที่ร่วมทำกับรุ่นน้องคนสนิท แต่ก็ถือว่าเป็นเพลงแรกของทั้งคู่ ช่วงที่ทุกคนรู้ข่าวว่าเพลงนี้ติดชาร์ตขึ้นบิลบอร์ด แน่นอนว่ามีคนชม มีคนชอบก็ต้องมีคนไม่ชอบ มีคนตั้งคำถาม จนมาถึงเพลงล่าสุด เขามีฟีดแบ็กอย่างไรกับคอมเมนต์ต่างๆ บ้าง 

        “ผมคิดว่าเอาแค่คนที่อินและเข้าถึงก็พอ เพราะเราให้คนทั้งโลกมารักเราไม่ได้หรอกครับ มันเป็นเรื่องธรรมดาต้องมีทั้งคนชอบและไม่ชอบอยู่แล้ว ขนาดเหรียญยังมีสองด้าน นับประสาอะไรกับคน

        “แต่แร็ปของผมมันก็เต็มไปด้วยความสนุก ผมอยากให้ทุกคนสนุกที่ได้ฟัง ในโลกนี้มีความเครียดเยอะแล้วอย่างน้อยคนต้องการผ่อนคลายบ้าง ทั้งจากความรัก ชีวิต คอนเซปต์ผมก็ยังคงเหมือนเดิมคือยากให้คนได้สนุก ฟังแล้วอินไปกับเพลง ดังนั้น ความสุขของผมคือการทำเพลงและการที่ทุกคนฟัง เป็นการคืนความสุขให้กับประชาชน” 

“มึงเอาเเต่พูดเเต่มึงไม่ทำ จำไว้มันไม่ good”


เรื่อง: คุลิกา แก้วนาหลวง | ภาพ: สันติพงษ์ จูเจริญ