ถ้าคุณเข้ามาอ่านถึงตรงนี้ แสดงว่าถ้าคุณไม่ใช่แฟน ‘หนังเต๋อ’ หรืออย่างน้อยคงอยากทำความรู้จัก ‘เต๋อ’ – นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ ผู้กำกับกึ่งอินดี้กึ่งแมสที่เพิ่งมีผลงานใหม่เรื่อง FAST & FEEL LOVE เร็วโหด..เหมือนโกรธเธอ เข้าฉายในโรงภาพยนตร์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สำหรับใครที่เพิ่งติดตามงานของเขาคนนี้ เราขอย้อนผลงานของเขาสั้นๆ เริ่มจากหนังเรื่องแรกชื่อ 36 ที่พูดถึงการสูญหายของบางสิ่งบางอย่างในชีวิต ต่อมาเป็นเรื่องของความวุ่นวายของชีวิตวัยรุ่นใน Mary is happy, Mary is happy ตามมาด้วยการย้อนรำลึกถึงความสุขที่หายไปตามการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีใน The Master และเริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างจากหนังเรื่อง ฟรีแลนซ์..ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ สู่ผลงานที่เหมือนการตกผลึกทางความคิดของชีวิตใน Die Tomorrow และ ฮาวทูทิ้ง..ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ
ผลงานทั้งภาพยนตร์ งานเขียน หรืองานโฆษณามากมายในรอบสิบปีที่ผ่านมา ค่อยๆ สั่งสมฐานแฟนคลับของของเขาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งสร้างเอกลักษณ์ที่เป็นลายเซ็นอันชัดเจนอยู่ในงานแต่ละชิ้นมากขึ้นเป็นลำดับ คนดูที่ติดตามผลงานกันมาอย่างเหนียวแน่นมักจะพูดกันว่านี่แหละ ‘หนังเต๋อ’ รวมถึงงานธีสีสของนักศึกษาด้านภาพยนตร์ที่ในแต่ละปี ต้องมีงานที่ได้รับอิทธิพลมาจากหนังเต๋อ ออกมาอยู่เสมอ
จึงไม่แปลกที่เมื่อมีข่าวว่าเขามีผลงานใหม่ออกมา ทุกคนต่างคาดหวัง และเดากันไปต่างๆ ว่าหนังเรื่องต่อไปของเขาจะพาคนดูไปพบกับอะไร ในเมื่องานล่าสุดของเขา (ฮาวทูทิ้ง..ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ) ที่เราคิดว่ายังมีเรื่องอะไรจะเอามาเล่าได้อีก ในเมื่อทิศทางหนังของเขาเหมือนเป็นไทม์ไลน์ของชีวิตใครสักคนที่เติบโต เรียนรู้ เข้าใจ ปล่อยวาง และพร้อมจากไป
เมื่อตัวอย่างของ FAST & FEEL LOVE เร็วโหด..เหมือนโกรธเธอ ปรากฏขึ้นมา เชื่อว่าคงมีแฟนหนังเต๋อไม่น้อยที่อึ้งและงุนงงไปกับหนังเรื่องใหม่นี้ ที่ทั้งรวดเร็ว ฉูดฉาด และอาจพูดได้ว่าแมสที่สุดในจักรวาลหนังเต๋อ
ดังนั้น เพื่อไขข้อข้องใจว่าเขากำลังทำการรีเซตจักรวาลใหม่ของตัวเองหรือไม่ เราขอชวนคุณรัดเข็มขัดให้แน่น และออกเดินทางไปสำรวจ Multiverse หรือ พหุจักรวาลในความเป็นหนังเต๋อไปด้วยกัน
ภาพยนตร์เรื่อง FAST & FEEL LOVE เร็วโหด..เหมือนโกรธเธอ คุณบอกว่านี่คือเรื่องของตัวละครช่วง Midlife Crisis ซึ่งตัวคุณเองก็อยู่ในช่วงวัยนี้ด้วยเช่นกัน สภาวะวิกฤตวัยกลางคนที่ว่านี้ส่งผลกระทบกับคุณแค่ไหน
ตอนผมอายุ 28-29 ปี เวลาดูหนังผมมักจะเจอประโยคนี้ ซึ่งเราไม่เข้าใจว่า Midlife Crisis คืออะไร แต่ก็คิดว่าเดี๋ยวพอถึงช่วงเวลานั้นก็คงเข้าใจเองแหละ จนมาถึงช่วงอายุ 35-36 ปี จะเรียกว่าอยู่ดีๆ ก็ถึงช่วง Midlife Crisis ได้หรือเปล่า (หัวเราะ) แต่ผมนิยามช่วงเวลานี้ว่าเหมือนกับ ‘สะพานขาด’ เพราะเป็นช่วงอายุที่ตัวเองได้ทำเป้าหมายที่ตั้งไว้สำเร็จหมดแล้ว ผมจึงเกิดคำถามว่า What’s next? ซึ่งสำหรับคนทั่วไป What’s next อาจจะเป็นการสร้างครอบครัว และ What’s next ต่อไปสำหรับผมคืออะไร จากที่ตอนเด็กๆ ผมจะมองเห็นว่าปลายทางของผมอยู่ตรงไหน เราจะไปที่นั่น ตอนนี้มาถึงสถานีนั้น แล้วกางแผนที่ออกว่ามันจะพาเราไปที่ไหนต่อ แต่กลับไม่รู้ว่าเราจะไปที่ไหน ถามว่าน่ากลัวไหม ก็เป็นภาวะเคว้งๆ มากกว่า เหมือนตอนอายุ 20 เรายังถือว่าเด็กอยู่ ความฝันชัดเจนว่าอยากทำอะไร แล้วเราก็เผลอคิดไปว่าจะเป็นแบบนั้นตลอดไป
“ผมรู้สึกว่าเวลาผมได้ทำงานที่รัก ก็เหมือนไม่ได้ทำงาน แต่ไม่ได้แปลว่าไม่เหนื่อยนะ มันเหนื่อย แต่เป็นความรู้สึกที่เราสามารถผ่านไปได้ง่ายมากกว่า แต่ถ้าเราไม่ได้ทำงานที่เรารัก ความเหนื่อยจะคูณมากกว่านี้ไปอีกแปดเท่าเลย มันจะหนักกว่าเดิม เวลาทำงานที่ไม่ชอบ นอกจากจะเหนื่อยกว่าเดิมแล้ว เวลายังผ่านไปช้าด้วย”
แล้วคุณก้าวข้าม ‘สะพานที่ขาด’ นั้นด้วยวิธีไหน
ผมก็ใช้ชีวิตไปตามปกติ เพียงแต่ใช้เวลากลับมาตั้งหลักในการถามตัวเองว่า “จะทำอะไรต่อ” แล้วพอดีกับโควิด-19 เกิดขึ้น เวลาก็เลยหยุดนิ่ง ผมใช้เวลาช่วงนั้นทบทวนตัวเองว่าชอบอะไร ไม่ชอบอะไร เบื่ออะไรแล้ว อะไรที่ยังไม่เบื่อ ลองค้นหาความสนใจใหม่ๆ โดยที่ไม่ได้พยายามกดดันตัวเองขนาดนั้น แค่ปล่อยไปตามที่ตัวเองรู้สึก แล้วมันนำมาซึ่งวิธีคิดในการใช้ชีวิตใหม่ๆ รวมถึงในการทำงานด้วยจึงได้หนังเรื่องนี้ออกมา ผมว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนึ่งในช่วง Midlife แต่ไม่รู้จะเรียกว่า Crisis ขนาดไหน
หนังของคุณตั้งแต่ 36 ที่พูดถึงการสูญหายของอะไรบางอย่าง ไล่เรียงมาถึง ฮาวทูทิ้ง ซึ่งว่าด้วยการตกผลึกของสิ่งที่ต้องเก็บและทิ้งในชีวิต ที่เหมือนคนเดินทางมาสู่บทสรุปอะไรบางอย่างของชีวิตแล้ว อยู่ๆ ก็มี FAST & FEEL LOVE ซึ่งฉีกแนวออกมาเลย เหมือนคุณกำลังรีเซตจักรวาลหนังของตัวเองขึ้นมาใหม่หรือเปล่า
คนทั่วไปอาจจะมีคอนเซปต์ว่า ‘เราเป็นแบบไหน เราก็จะเป็นแบบนั้น’ แต่ผมแค่รู้สึกว่า ‘ความจริงคนเราเปลี่ยนไปทุกวัน’ เพื่อนบางคนไม่เคยสนใจกีฬา อยู่ดีๆ วันนี้เล่นบาสเกตบอลเฉยเลย เพราะฉะนั้น พอเรามานั่งคิดว่าเราชอบอะไรอย่างอื่นอีกหรือเปล่า ถ้าเราเปิดใจว่าสิ่งที่ชอบไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งเดิมๆ เราก็จะเริ่มเห็นอะไรใหม่ๆ
พอเริ่มคิดแบบนี้ก็เริ่ม… อ๋อ จริงๆ เรามีความสนใจนี้นี่หว่า และอยากทำอะไรแบบนี้เหมือนกัน ซึ่งจริงๆ แล้วใน 5 ปีที่ผ่านมาผมทำไปแล้วด้วยซ้ำในโฆษณาต่างๆ เหมือนเราแอบทดลองไปก่อนแล้ว เป็นไปตามธรรมชาติมากเลย อยู่ดีๆ ผมก็พูดขึ้นมาว่า “เราทำแบบนี้กันไหมล่ะ” โฆษณาอำนวยให้ทำแบบนี้ได้ก็ลองดู จึงทำให้เราเจอสิ่งใหม่ในเวลาไม่นานมาก เพราะเราตั้งตัวทัน ไม่ได้เคว้งเป็นปีๆ พวกความสนใจต่างๆ ในชีวิตก็เริ่มหาใหม่หมดเลย
แม้เนื้อเรื่องของ FAST & FEEL LOVE จะว่าด้วยความเร็วของ Sport Stacking แต่มันจะเป็นแค่ด่านหน้าที่พูดถึงคนที่เก่งอะไรมากๆ แล้วอย่างอื่นไม่ได้เลย ซึ่งมันสัมพันธ์กับเรื่องของวัยด้วย คือ ‘ต่อให้คุณหนีชีวิตจริงอย่างไร มันจะมาไล่ล่าคุณจนได้ในวัยหนึ่ง’ นี่คือผลผลิตจากการที่เราอายุเท่านี้ด้วย พอเราโตขึ้นเรื่อยๆ จะรู้สึกว่ามีเรื่องอื่นที่ โอ๊ย! มันเกาะเราเต็มไปหมดเลย แล้วไม่เคยเกิดขึ้นช่วงอายุ 20-30 ก็เลยเป็นที่มาของพล็อตเรื่องนี้
แต่สุดท้ายมันคือการทำหนังตามวัย หมายความว่าให้ผมย้อนกลับไปทำหนังวัยรุ่น ก็คงเป็นวัยรุ่นจากแว่นของคนที่แก่มากกว่า อาจจะเป็นตัวละครวัยรุ่น แต่สิ่งที่จะพูดไม่ได้วัยรุ่นขนาดนั้น เราก็ทำหนังตามวัยไปเรื่อยๆ พอเราอายุเท่านี้ เรารู้สึกแบบนี้กับชีวิต ก็เลยทำหนังแบบนี้ขึ้นมา เพียงแต่ว่า Sport Stacking เป็นแค่พล็อตไลน์เฉยๆ แต่ใจความของมันจะพูดถึงเรื่องของคนมากกว่า
การเล่าหนังที่มีความขัดแย้งกับสิ่งที่ตัวละครต้องต่อสู้กับเรื่องพวกนี้ ยังไม่มีใครเคยเล่าในมุมนี้อย่างจริงๆ จังๆ อาจจะเป็นซีนเดียวในหนังแล้วจบไป แต่เรารู้สึกว่าคนวัยนี้ต้องเจอเรื่องพวกนี้ตลอดเวลา อะไรก็ไม่รู้ วันๆ เดี๋ยวเจอคนส่งของโทร.มา ประกันโทร.มาคุยชั่วโมงกว่าไม่ได้ประชุมสักที เราต้องเจอกับอะไรแบบนี้เต็มไปหมด เลยคิดว่าดูจะเป็นเรื่องที่เล่าเป็นหนังได้ แล้วคงจะสนุกดีถ้าได้เล่าเป็นหนังแอ็กชัน
ตัวละครในเรื่องเป็นตัวแทนของคนประเภทไหนที่เราจะสามารถพบได้ในชีวิตประจำวัน หรือเป็นตัวแทนของ เต๋อ นวพล นี่แหละ
ก็มีเสี้ยวหนึ่ง (หัวเราะ) ถ้าถามผมด้วยคำถามนี้ตอนอายุน้อยกว่านี้อาจจะใช่ก็ได้ เพียงแต่ตอนนี้ผมผ่านจุดนั้นมา แล้วมองย้อนกลับไปมากกว่า ผมคิดว่าจริงๆ เป็นตัวแทนของคนทุกคนเลย ที่สุดแล้วชีวิตต้องปะทะกับเรื่องจริงที่เลี่ยงไม่ได้ เวลาเราทำอะไรที่เป็นความฝัน หรือเป้าหมายของตัวเอง จะมีเรื่องอื่นในชีวิตประจำวันที่คอยฉุดรั้งเราตลอดเวลา บางคนจะคิดว่าอุปสรรคในการตามหาความฝันคือการที่เราฝึกฝนไม่พอ แต่ความจริงมีเยอะกว่านั้น เราเลยรู้สึกว่าจริงๆ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นแค่นักกีฬา เวลาเข้าไปดูผมคิดว่าคนจะแทนค่าตัวเองได้ว่า “สิ่งนี้กูก็เจอ” แม้ไม่ได้เล่นสแต็กกิ้งก็จะรู้
สมมติว่าแค่จะไปหาแฟนแล้วแม่บอกว่าไปซื้ออันนี้ก่อนได้ไหม “ถ้าไปซื้ออันนี้ จะไปหาเขาไม่ทันแล้วแม่” (หัวเราะ) ผมว่าเป็นเรื่องทั่วไปที่ผู้คนต่างเจอเหมือนกัน เพียงแต่ว่าเราเลือกเล่าในความเป็นคนที่เล่น Sport Stacking ผู้มุ่งมั่น เพราะเรารู้สึกว่าสนุกดี แล้วมันก็ฉูดฉาดในแง่ที่ดูเป็นหนังแล้วสนุกกว่า โอ้โฮ! นี่คือคนที่เร็วที่สุดในโลกนะครับ แต่ว่าในอีกจักรวาลหนึ่งเขาเป็นคนที่ช้าที่สุดในโลก อะไรประมาณนี้
สำหรับชุดความคิดที่ว่า “ถ้าได้ทำงานที่รัก ก็เหมือนว่าเราไม่ได้ทำงาน” ในมุมมองของคุณวันนี้มีความเห็นอย่างไร
ผมยังคิดแบบเดิม แต่ปัญหาของวลีนี้คือสามารถตีความได้หลายแบบมาก คนเรามีมุมอย่างไรก็จะตีความวลีนี้ไปในมุมที่ต่างกัน แต่ในมุมของผมเองคือ ผมรู้สึกว่าเวลาผมได้ทำงานที่รัก ก็เหมือนไม่ได้ทำงาน แต่ไม่ได้แปลว่าไม่เหนื่อยนะ มันเหนื่อย แต่เป็นความรู้สึกที่เราสามารถผ่านไปได้ง่ายมากกว่า แต่ถ้าเราไม่ได้ทำงานที่เรารัก ความเหนื่อยจะคูณมากกว่านี้ไปอีกแปดเท่าเลย มันจะหนักกว่าเดิม เวลาทำงานที่ไม่ชอบ นอกจากจะเหนื่อยกว่าเดิมแล้ว เวลายังผ่านไปช้าด้วย เมื่อไหร่จะจบ ซึ่งความรู้สึกว่า “เมื่อไหร่จะจบ” ทรมานนะ
“ถ้าคุณคิดว่ากำลังทำงานเพื่อพิชิตใจคน ผมเชื่อว่าเราจะมีความทุกข์อย่างมหาศาล เพราะคุณพิชิตใจคนได้แค่ครึ่งเดียว ถ้าเป้าหมายของคุณคือทำหนังเพื่อให้ได้ใจคนดู ผลตอบรับที่ได้จาก ฮาวทูทิ้ง นั่นแสดงให้เห็นว่าคุณจะมีความปริ่มๆ ที่จะผิดหวังอยู่ เพราะคุณมีคนที่ชอบหนังเรื่องนี้อยู่แค่ครึ่งเดียว เสียงคนที่ชอบไม่ได้เอนไปทางชอบหรือไม่ชอบไปเลยสักทาง”
หลายคนจะตั้งความคาดหวังในความเป็น ‘หนังเต๋อ’ ไว้สูงขึ้นเรื่อยๆ คุณรับมือกับเรื่องนี้ได้หรือยัง
ผมเผชิญหน้ากับมันได้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ แต่มันก็มาถี่มาก (หัวเราะ) มาตั้งแต่ทำหนังเรื่อง 36 หนังของผมมีความ Love-Hate อยู่ตลอดเวลา อีกเรื่องหนึ่งเพิ่งคุยกับเพื่อนว่า “กูเนี่ยเป็นคนที่ทุกคนสามารถมีความคิดเห็นได้หมดเลย จะด่ากูก็ได้ จะชมกูก็ได้” ซึ่งผู้กำกับบางคนต่อให้คนดูแล้วไม่ชอบ เขาก็จะข้ามไป แต่ของผมเหมือนเป็น Public Figure ที่ถ้าไม่ชอบ เขาจะตั้งธงแล้วด่าเลย ส่วนคนชอบก็ชอบเลย ซึ่งเราจะเจออย่างนี้อยู่ตลอดเวลาจนสามารถรับได้
ผมรู้สึกว่านี่เป็นธรรมชาติโดยพื้นฐานของการทำงานแนวนี้อยู่แล้ว เพียงแต่ของเรามันมีกระแสมาในจำนวนมาก บางทีก็มีความคาดหวังในระดับสูง แต่จะไม่ให้เขาไม่คาดหวังก็ไม่ได้ เพราะ ‘ความเป็นหนังเต๋อ’ เกิดขึ้นไปแล้ว ซึ่งจริงๆ เราก็ไม่ได้นิยามเองด้วย แต่ทุกอย่างถูกกำหนดโดยคนอื่นหมด แต่โดยรวมแล้วก็ไม่เป็นไร พอยิ่งโตขึ้นเราก็เริ่มเข้าใจ
ผมคิดว่าสิ่งที่เราต้องโฟกัสเรื่อยๆ คือ เราทำโปรเจกต์นี้แล้วเราพอใจหรือเปล่า เพราะสำหรับผม สุดท้ายคือแค่ตรงนั้น หนังเวอร์ชันสุดท้ายก่อนฉาย มันคือสิ่งที่เราคิดไว้ในวันแรกหรือเปล่า ถ้าใช่ก็จบ นั่นคือหน้าที่ของเราจบแล้ว ส่วนที่เหลือก็ปล่อยให้หนังเดินทาง ดังนั้น ผมรับฟังได้ ยินดีอยู่แล้ว แต่เราชัดเจนในตัวเองอยู่แล้วว่าเป้าหมายในการทำหนังเรื่องหนึ่งของเราคืออะไร อีกข้อหนึ่งคือ ถ้าไม่เจ๊งก็ดี ซึ่งโชคดีที่ยังไม่เคยเจ๊ง (หัวเราะ)
ขอย้อนกลับไปที่หนังเรื่อง ฮาวทูทิ้ง..ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ ตอนที่ออกฉายมีเสียงตอบรับของคนที่ชอบและไม่ชอบหนังเรื่องนี้อย่างชัดเจนมากๆ สิ่งที่เกิดขึ้นนี้อยู่ในการคาดการณ์ของคุณหรือไม่
ผมคิดว่าเป็นความหนักหน่วงที่เจอมากกว่าหนังเรื่องก่อนๆ เท่านั้น ไม่รู้เป็นเพราะอะไรเหมือนกัน ซึ่งผมยังไม่สามารถตอบได้ เหมือนเราเจอความเห็นแบบนี้มาตลอด แต่ตอน ฮาวทูทิ้ง เหมือนคนดูสองฝั่งเป็นคนที่ตัวใหญ่มากๆ แล้วมาถกเถียงกัน ซึ่งผมแค่รู้สึกเหนื่อยเพราะตอนนั้นกระแสของคนดูโถมเข้ามาเป็นคลื่นขนาดใหญ่ที่ซัดเข้ามา แต่ผมคิดว่ามันก็ฝึกเราเหมือนกัน ถ้าคิดจะทำงานแขนงนี้ก็ต้องรับให้ได้ แม้ว่าสุดท้ายมันจะเป็นคลื่นที่ใหญ่มากก็ตาม แต่ทุกครั้งมันจะย้อนกลับไปยังสิ่งที่เราเสมอว่า เราได้ทำงานที่เราชอบแล้วหรือยัง และทุกอย่างก็จะสิ้นสุดลง
แต่กรณีเดียวกันนี้ ถ้าคุณคิดว่ากำลังทำงานเพื่อพิชิตใจคน ผมเชื่อว่าเราจะมีความทุกข์อย่างมหาศาล เพราะคุณพิชิตใจคนได้แค่ครึ่งเดียว ถ้าเป้าหมายของคุณคือทำหนังเพื่อให้ได้ใจคนดู ผลตอบรับที่ได้จาก ฮาวทูทิ้ง นั่นแสดงให้เห็นว่าคุณจะมีความปริ่มๆ ที่จะผิดหวังอยู่ เพราะคุณมีคนที่ชอบหนังเรื่องนี้อยู่แค่ครึ่งเดียว เสียงคนที่ชอบไม่ได้เอนไปทางชอบหรือไม่ชอบไปเลยสักทาง แต่สำหรับผมคิดงานเสร็จแล้วก็คือเสร็จ ถ้าเจอคนที่ชอบงานเรา แสดงว่าเราเป็นเพื่อนกันได้ เราดูอะไรที่คล้ายๆ กัน และพูดคุยกันต่อได้ ส่วนคนไม่ชอบผมก็ต้องบอกว่า “ขอโทษนะครับ ขอเป็นเรื่องหน้าแล้วกันนะ” (หัวเราะ) อย่าเพิ่งหมดหวังในตัวผม และอีกเรื่องคือ ผมคิดว่าพอเวลาผ่านไป เขากลับมาดูใหม่อีกครั้ง เขาอาจจะชอบก็ได้
และเวลาผมทำหนังขึ้นมา ผมมักจะคิดว่าบางทีมันไม่ได้พูดกับแค่คนดูหนังในประเทศไทย ซึ่งหนังอย่าง ฮาวทูทิ้ง ในประเทศไทยมีเสียงตอบรับแบบหนึ่ง แต่พอไปฉายที่โอซาก้ากลับได้รางวัลที่หนึ่ง มันเป็นเรื่องของอะไรก็ไม่รู้ พอเราเจออะไรแบบนี้บ่อยๆ ผมก็ปล่อยให้หนังมันเดินทางไปตามธรรมชาติ เดี๋ยวสิ่งที่เราทำก็คงพาเราไปอีกไทม์ไลน์หนึ่งว่าฉายที่นี่เสร็จแล้วต้องไปอีกที่ต่อนะ หนังจะบอกคุณเองว่ามันจะพาเราไปไหน ด้วยความคิดนี้ผมจึงรู้สึกว่าหนังแต่ละเรื่องมันผ่านมาแบบเป็นธรรมชาติมากๆ เพราะเรารู้เป้าหมายอยู่แล้วว่าหนังที่เราทำมาตั้งแต่เรื่องแรกนั้นไม่ได้พิชิตใจทุกคนอยู่แล้ว เราจึงค่อนข้างรับมือกับมันได้
มีหลายคนที่อาจจะไม่รู้ว่าคุณเองก็เป็นคอเกมตัวยงคนหนึ่งเหมือนกัน เลยอยากรู้ว่าคุณในวันนี้ยังเล่นเกมอยู่ไหม และคิดอย่างไรกับเกมที่ขึ้นชื่อว่ายากที่สุดในยุคนี้อย่างเกม Elden Ring
หลังจากยุค PlayStation 1 ผมก็ไม่ค่อยได้เล่นเกมแล้ว แต่ผมยังติดตามวงการเกมอยู่ ปีก่อนหน้านี้ที่โควิด-19 ระบาด เครื่อง PlayStation 4 ลดราคา ผมก็คิดอยู่เหมือนกันว่าควรจะซื้อดีไหม (หัวเราะ) ก็เลยไปลองเล่นเกมที่บ้านของคนตัดต่อหนังที่สนิทกัน ผมก็เอาเกมที่เขาชอบที่สุดในตอนนั้นมาลองเล่นคือเกม Death Stranding ซึ่งเขาบอกว่าผมเกิดมาพร้อมสิ่งนี้ ต้องลองดู ซึ่งสิ่งที่ต้องทำในเกมคือเราต้องแบกลังแบกของไปส่งให้ผู้รับที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของเมืองพร้อมๆ กับเลี้ยงเด็กไปด้วย นั่นทำให้ผมเข้าใจนิยามของเกมยุคนี้แล้วว่าเป็นเรื่องของความสมจริง ซึ่งผมโตมากับเกมแนวที่พาเราหนีออกไปจากโลกใบนี้เลย แต่เกมในตอนนี้พัฒนาในรูปแบบของความสมจริงที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ คุณสามารถหันซ้ายหันขวาได้ สามารถทำอะไรมากมายหลายอย่างได้ ซึ่งผมเล่นเกมแบบนี้แล้วเครียดมาก แต่น้องกลับบอกว่ามันไม่เห็นมีอะไรเลยพี่ มันจะยากอะไรพี่ก็เล่นไปเลย แต่สำหรับผมคือเล่นแล้วเหนื่อย (หัวเราะ) เหมือนตัวเองเข้ามาอีกจักรวาลหนึ่งเลย แต่ผมก็เข้าใจนะว่าสำหรับคนที่เป็นเกมเมอร์เขาสนุกแน่ๆ เพราะคุณสามารถทำอะไรได้มากกว่าสมัยเกม PlayStation 1 ที่ทำได้แค่เดินไปทางซ้ายหรือทางขวาเท่านั้น เกมตอนนี้มันจริงถึงขนาดที่ตัวละครสามารถกลั้นหายใจได้ด้วยซ้ำ มันละเอียดมากๆ
สุดท้ายปีที่แล้วผมก็ไปซื้อเครื่อง Nintendo Switch มาเล่น เลือกเกมที่บังคับง่ายที่สุดนั่นคือ Mario Kart แล้วก็พบว่าตัวเองเป็นคนชอบเล่นเกมประมาณนี้ที่สุด ผมโอเคกับเกมนี้มากๆ ตอนนั้นบอกตัวเองเลยว่ากูซื้อเครื่องถูกแล้ว กูเล่นได้ทุกวันเลย (หัวเราะ)
“ผมยังเชื่อว่าก้าวต่อไปของการเสพสื่อบันเทิงคือ สิ่งที่คนสามารถมีส่วนร่วมกับมันได้ ซึ่งเกมคือหนึ่งสื่อที่มีความตรงไปตรงมาที่สุด และเห็นได้ชัดเจนที่สุดของความบันเทิงที่คนสามารถมีส่วนร่วมกับมันได้ดีที่สุด ซึ่งสุดท้ายแล้วเดี๋ยวก็จะมีสิ่งที่ตอนนี้เราเรียกกันว่า Metaverse เกิดขึ้น หรืออะไรก็ตามที่สามารถพาผู้คนเข้าไปอีกโลกที่เขาสามารถมีปฏิสัมพันธ์ได้มากขึ้น”
คุณเคยบอกว่าความบันเทิงของผู้คนจะเปลี่ยนไป ภาพยนตร์อาจจะไม่ใช่ตัวเลือกแรกของคนอีกแล้วแต่เป็นวิดีโอเกม วันนี้คุณคิดว่าใกล้จะเป็นอย่างนั้นหรือยัง
ผมยังเชื่อว่าก้าวต่อไปของการเสพสื่อบันเทิงคือ สิ่งที่คนสามารถมีส่วนร่วมกับมันได้ ซึ่งเกมคือหนึ่งสื่อที่มีความตรงไปตรงมาที่สุด และเห็นได้ชัดเจนที่สุดของความบันเทิงที่คนสามารถมีส่วนร่วมกับมันได้ดีที่สุด ซึ่งสุดท้ายแล้วเดี๋ยวก็จะมีสิ่งที่ตอนนี้เราเรียกกันว่า Metaverse เกิดขึ้น หรืออะไรก็ตามที่สามารถพาผู้คนเข้าไปอีกโลกที่เขาสามารถมีปฏิสัมพันธ์ได้มากขึ้น ซึ่งเทรนด์ของโลกกำลังไปในทิศทางนั้น และเทคโนโลยีเองก็กำลังไปทางนั้นด้วยเช่นกัน
แต่ถ้าเป็นตัวผมเองซึ่งอาจจะแก่แล้วก็ได้ (หัวเราะ) ความบันเทิงของผมตอนนี้ขอเป็นอะไรที่ง่ายไว้ก่อน เพราะในชีวิตจริงเราเหนื่อยมากอยู่แล้ว ผมต้องติดต่อกับคนมากมาย ต้องคิดตลอดเวลาอยู่แล้ว ดังนั้น ความเอนเตอร์เทนเมนต์ของผมต้องน้อยที่สุด ถ้าเป็นเกมก็จะเป็นเกมที่น้อยที่สุด แต่ผมยังตื่นเต้นกับเทคโนโลยีใหม่ๆ อยู่ ซึ่งอาจจะไม่ใช่เกมแต่เป็นหนังหรือสื่อใหม่ๆ อยู่เช่นเดิม
คุณมอง Metaverse ที่เป็นเทรนด์ในตอนนี้อย่างไร
ในวันนี้ผมมองว่ามันเหมือนเฟซบุ๊กที่เราใช้กันอยู่ตอนนี้ เพียงแต่เฟสบุ๊กตอนนี้เป็นเหมือนระบบปฏิบัติการ DOS (Disk Operating System) ของ Metaverse ที่เป็นยุคของตัวหนังสือกับมีรูปภาพนิดๆ หน่อยๆ ซึ่งเมื่อ Metaverse จริงๆ เกิดขึ้น ก็คงเข้าสู่ยุคประมาณ Windows XP ที่เราเห็นความแตกต่างชัดเจน และเราก็เข้าไปอยู่ในนั้น เมื่อมันเข้ามาเต็มรูปแบบ ผมคงสนใจและกระโดดเข้าไปร่วมวงด้วยเหมือนที่ผมเล่นเฟซบุ๊กอยู่ทุกวันนี้ ซึ่งการเล่นเฟซบุ๊กสำหรับผมคือการใช้งานมันให้ตรงกับความสนใจของเรา เหมือน TikTok ที่ตอนนี้ผมยังไม่ได้เล่นอะไรกับมัน เพราะผมไม่สามารถไปเต้นๆ อยู่ใน TikTok ได้ (หัวเราะ) แต่ถ้าวันหนึ่งผมพบว่าเราสามารถใช้ TikTok เล่าอะไรบางอย่างได้ ผมก็อาจจะใช้ TikTok ด้วยก็ได้
ผมไม่ปฏิเสธเทคโนโลยีอยู่แล้ว เพราะผมโตมากับสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่แรก เหมือนเราโตมาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ผมจึงไม่ค่อยกลัวการเปลี่ยนแปลงเท่าไหร่ จะมีแค่เรื่องตามไม่ทันมากกว่า เพราะเดี๋ยวนี้อะไรก็เร็วไปหมด เร็วแบบปรู๊ดปร๊าดมาก ไม่ต้องไปถึง Metaverse ก็ได้ แต่ปัจจุบันหลายครั้งผมก็ไม่เคยรู้ว่าเรามีแอพฯ แบบนี้ให้ใช้งานด้วยเหรอ ทำไมเพิ่งมารู้ มันสะดวกฉิบหายเลย (หัวเราะ) มีอะไรเยอะแยะไปหมดที่เราตามไม่ทัน แต่ถ้าผมไม่ได้ต้องการที่จะเป็นคนแบบต้องอินเทรนด์ไปเสียทุกอย่าง ผมคิดว่าก็ไม่มีปัญหาอะไร ถ้าวันหนึ่งเราต้องใช้เทคโนโลยีนั้นจริงๆ เดี๋ยวชีวิตก็จะบอกเองว่าไปสมัคร Metaverse เถอะ แกต้องใช้แล้วว่ะ
เป็นชีวิตในวัยสามสิบกว่าๆ ที่เลือกคัดกรองสิ่งต่างๆ มากขึ้น
ในขณะที่คัดเลือกแล้วก็ยังต้องบอกตัวเองว่าต้องเปิดรูไว้ด้วย ไม่ใช่คัดเลือกแล้ว จบแล้ว มันทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะเราเป็นคนทำงานด้านนี้ จะปิดรับทุกสิ่งแล้วจะอยู่แบบนี้ตลอดไปก็แปลกๆ เราต้องเหลือรูไว้เปิดรับสิ่งใหม่ๆ บ้าง เหมือนเรามีเครื่องมือในการจัดการสิ่งใหม่ๆ ที่มันไม่เวิร์กสำหรับเราได้มากขึ้น สมมติว่าตอนเราเป็นเด็กพอมีทุกอย่างท่วมเข้ามา เราก็จะไม่รู้ว่าต้องยึดอะไรและไม่ยึดอะไร เราเป็นคนแบบไหนและเราไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนี้ก็ได้ แต่พอเราโตขึ้นก็จะพอรู้ว่าต่อให้สิ่งนี้ฮิตแต่เราไม่ชอบก็ไม่ต้องไป เราไปทำสิ่งที่เราสนใจให้น่าสนใจขึ้นมาได้ดีกว่า เราจะเริ่มรู้ว่าควรจับหรือยึดอะไรได้ดีขึ้น
“ผมเกิดมากับหนังเฉพาะทางอยู่แล้ว เวลาที่มีใครทำอะไรแบบเฉพาะทาง ผมก็จะบอกว่า สู้ๆ นะ แม้ว่าผมจะไม่ได้ดู หรือคนละคลื่นความถี่กับผมก็ตาม แต่ผมก็จะขอให้ทุกคนได้เจอพื้นที่ที่สามารถสร้างจักรวาลของตัวเองขึ้นมาได้ เพราะนั่นคือจุดสูงสุดของคนทำงานที่แสดงให้เห็นว่างานของเรามีคนดูมากพอที่จะอยู่กับเราไปด้วยกันได้”
คิดว่าตัวคุณในอีกไทม์ไลน์จะเป็นคนคล้ายๆ กันไหม เป็นคนที่แบบอายุสามสิบกว่าๆ แล้วยังฟังเพลงใหม่ๆ อยู่ แม้ว่าตัวคุณในอีกโลกนั้นจะไม่ได้ทำงานในวงการบันเทิงก็ตาม
ผมคิดว่าเต๋อ นวพล ในอีกไทม์ไลน์คงฟังแน่ๆ เพราะผมเองก็ยังคงฟังเพลงใหม่ๆ อยู่ ผมเดาว่าตัวผมในมิติอื่นๆ น่าจะเป็นคนคล้ายๆ กัน ตรงที่เป็นคนค่อนข้างชัดเจนว่าผมสนใจอะไร ต่อให้ผมไม่ทำหนัง สิ่งที่ผมไปทำอย่างอื่นก็น่าจะอยู่ในเครือข่ายเดียวกันอยู่ดี ผมไม่ได้เป็นคนที่ถึงขั้นมีความสนใจที่สองที่ไม่เหมือนกับงานที่ทำอยู่เลย มันเป็นแค่สาขาอีกสาขาหนึ่งเท่านั้น ถ้าผมไม่ได้ทำหนังผมก็คงเป็นแอดมินเพจ เพราะความสนใจรองลงมาคือการเขียน ผมมีความสุขกับการเขียนสเตตัสมาก มีความสุขถึงขนาดที่บางคนคิดว่าผมเสพติดการโพสต์เฟซบุ๊กหรือเปล่า ซึ่งตอนที่ผมเขียนหรือโพสต์อะไรก็ตาม ผมมีความสุขมากๆ เหมือนเลือดนักเขียนยังมี เพียงแต่เราไม่ได้เขียนลงนิตยสาร เราแค่มีความสุขในการเขียนเล่าเรื่องที่เราไปเจอมา เหมือนได้ไปวิ่งจ๊อกกิ้งตอนเช้า ดังนั้น ตัวผมในอีกไทม์ไลน์ก็คงเป็นคนที่ทำงานอยู่แถวๆ นี้ และยังจะฟังเพลงอัพเดตเหมือนเดิม แต่ว่าวิธีการสื่อสารของผมคนนั้นอาจจะไม่ใช่ภาพยนตร์ อาจจะเป็นการใช้ตัวหนังสือก็ได้
ตอนนี้ซีรีส์วายกำลังมาแรงมากๆ คุณคิดอย่างไรกับงานด้านนี้
ผมดีใจที่เขามีจักรวาลของเขา เพราะว่าจริงๆ เราก็ไม่ต่างกัน เหมือนที่คนพูดว่าหนังเต๋อมีจักรวาลของมัน เป็นดั่งจักรวาลวงหนึ่ง ซีรีส์วายเองก็เป็นจักรวาลอีกวงหนึ่ง เพียงแต่เรายังไม่เคยมาบรรจบกัน ผมเกิดมากับหนังเฉพาะทางอยู่แล้ว เวลาที่มีใครทำอะไรแบบเฉพาะทาง ผมก็จะบอกว่าสู้ๆ นะ แม้ว่าผมจะไม่ได้ดู หรือคนละคลื่นความถี่กับผมก็ตาม แต่ผมก็จะขอให้ทุกคนได้เจอพื้นที่ที่สามารถสร้างจักรวาลของตัวเองขึ้นมาได้ เพราะนั่นคือจุดสูงสุดของคนทำงานที่แสดงให้เห็นว่างานของเรามีคนดูมากพอที่จะอยู่กับเราไปด้วยกันได้ ทั้งในแง่ของรายได้และการตอบรับ โดยสามารถทำให้เราทำอะไรต่อไปได้ ผมเชื่อว่าจักรวาลของเราใหญ่เล็กไม่เท่ากัน การที่คุณมีจักรวาลของตัวเองได้ คือสิ่งที่คุณควรจะดีใจแล้ว เพราะมันยากจริงๆ ที่จะสร้างสิ่งนี้ขึ้นมา ไม่แน่ว่าในวันหนึ่งถ้าผมมีความรู้มากพอสำหรับทางนี้ ผมอาจจะทำผลงานแนวนี้ขึ้นมาบ้างก็ได้ แต่ตอนนี้คิดว่าทำไปก็ไม่น่าจะดี น่าจะออกมาห่วยนะ (หัวเราะ) ต้องขอเวลาหาความรู้ก่อน
คุณเคยมีโปรเจกต์ว่าอยากทำหนังผีที่ไม่มีผี ตอนนี้แผนการพับไปหรือยัง
ยังมีแผนอยู่ แต่มันวางไว้หลายปีจนเริ่มแห้งแล้ว แต่สิ่งนี้ทำให้ผมเริ่มเดินออกไปสู่พื้นที่ใหม่ๆ รวมถึงหนังแนวอื่นที่เราอยากทำ ดังนั้น แผนการนี้จึงต้องค่อยเป็นค่อยไป เพราะเวลาที่เราทำหนังที่ไม่เคยทำอย่าง FAST & FEEL LOVE เรื่องนี้ ผมมีความสุขมาก ถึงจะมีความไม่คุ้นเคย หรือมีความเหนื่อยมากกว่าเดิมก็จริง เช่น ต้องคิดว่าฉากนี้จะถ่ายอย่างไร ต้องศึกษาข้อมูลเยอะกว่าเดิม แต่ในขณะเดียวกัน เราจะรู้สึกถึงความสดใหม่ เหมือนเวลาคุณไปเรียนตีเทนนิสแต่คุณตีไม่เป็น คุณจะรู้สึกว่านี่คือสิ่งใหม่ที่เราไม่เคยทำมาก่อน เป็นความสุข เป็นความท้าทายที่รู้สึกดีเวลาได้ทำอะไรใหม่ๆ ได้ทำอะไรที่ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมอาจจะกลัวและไม่กล้าทำ
หนังเรื่องนี้มีวิธีคิดว่า ถ้าไม่ชัวร์ก็ลองทำเลย ถ้าคิดว่าไม่รู้ทำได้หรือเปล่าก็ลองทำเลย อย่าถอย อย่าไม่เอาดีกว่า ให้ลองดูไปเลย และผมก็ค่อนข้างเชื่อในคนดูประมาณหนึ่งว่า คนดูจะตามเราทัน เพราะเดี๋ยวนี้คนดูก็เร็ว เขาก็ล้ำเหมือนกัน และเป็นการทำงานตามวัยด้วยที่ความสนใจมันเปลี่ยน ให้ผมกลับไปทำหนังแบบ 36 หรือ ฮาวทูทิ้ง ก็คงทำได้ แต่อาจจะไม่ได้สนุกขนาดนั้น หมายถึงตอนที่ทำอาจจะไม่ได้รู้สึกมีความสุข เหมือนตอนที่ทำก่อนหน้านี้ เพราะใน FAST & FEEL LOVE จะมีบางฉากที่คล้ายๆ กับหนังเก่าที่เราเคยทำ ซึ่งความตลกคือตอนที่กำกับอยู่เราจะรู้เลยว่า โอ้โฮ! กูเห็นแล้วบล็อกกิ้งในซีนนี้ รู้เลยว่าเดี๋ยวถ่ายตรงนี้จะต่อด้วยตรงนี้ กล้องจะเข้าตรงนี้แล้วจบที่ตรงนี้ ผมยังคุยกับทีมอยู่เลยว่า นี่สินะการทำ สิ่งที่คุ้นเคยเป็นอย่างนี้นี่เอง เพราะฉากอื่นเราไม่คุ้นเคยหมดเลย (หัวเราะ) ฉากอื่นเราจะต้องปรึกษาทีมงานว่าจะต้องเคลื่อนกล้องเร็วขนาดไหน แล้วเราต้องสะบัดกล้องไหม มันจะมีเรื่องใหม่ให้ต้องคิดเต็มไปหมด
เป็นลายเซ็นในแบบ ‘หนังเต๋อ’ ที่ต้องมี
ผมเรียกว่าเป็นความถนัดมากกว่า หนังเรื่อง FAST & FEEL LOVE สำหรับผม ผมคิดว่าเป็นเหมือนรถไฟเหาะตีลังกา ซึ่งทางเราได้แจ้งให้ทราบแล้วจากตัวอย่างว่า หนังอาจจะมีการตีลังกาสองชั้นแต่ก็ยังอยากชวนมาดูกัน ผมเชื่อว่าคนดูก็อยากเห็นอะไรใหม่ๆ ในพื้นที่ตรงนี้ ซึ่งการจะทำสิ่งนั้นได้ เราต้องอย่ากลัว จริงๆ การทำหนังเรื่องนี้ ผมได้แรงบันดาลใจจากยูทูเบอร์และคนใน TikTok หลายๆ งานที่ผมดู ผมดูงานของพวกเขาในแง่ของการเป็นวิดีโอ คนดูอาจจะดูเป็นรายการหรือเป็นโชว์การเต้น แต่วิดีโอที่ทำโดยคนทั่วไปนี้มีความสดใหม่มาก หลายอย่างเป็นสิ่งที่ผมไม่มีวันคิดได้เพราะเราจะกลัวเกินไป แต่พวกเขาไม่กลัว เขาก็แค่… ฉันอยากให้เป็นแบบนี้ ฉันก็ทำแบบนี้ กลายเป็นว่างานของพวกเขาน่าทึ่งมาก ผมยังคิดไม่ได้เลย ดังนั้น การที่จะเกิดความสดใหม่ขึ้นมา เราอาจจะต้องใช้แนวคิดแบบนี้เหมือนกัน ก็เลยทดลองดู
เราเห็นด้วยนะว่าสิ่งที่คนเรียกว่า ‘ละครคุณธรรม’ ที่อยู่ใน TikTok นั้นส่วนใหญ่ทำออกมาได้สดใหม่และน่าทึ่งในแง่ของการเล่าเรื่องมากๆ
ใช่ มีบางตอนที่ผมตกตะลึงมาก นี่คุณกล้าวางเพลงนี้ในช็อตนี้เลยเหรอ กูยังไม่กล้าทำเลย (หัวเราะ) แล้วมันเกิดความรู้สึกใหม่ขึ้นมาได้ด้วย เพราะสำหรับผม ภาพยนตร์เป็นเหมือนสารเคมีชนิดหนึ่งที่ประกอบไปด้วยภาพบวกกับเสียงแล้วทำปฏิกิริยากันจนเกิดเป็นหนัง ซึ่งละครคุณธรรมพวกนี้เป็นการผสมสารเคมีที่รุนแรงมาก เอาสิ่งที่ไม่น่าจะเข้ากันได้มารวมกันแล้วเกิดความรู้สึกใหม่ๆ เป็นความรู้สึกสนุก ซึ่งผมชอบเสพงานแบบนี้ เพราะการดูหนังนั้นจะมีทั้งแบบที่เราดูเอาเนื้อเรื่อง ดูเอาเนื้อหา แต่หนังบางเรื่องเราก็ไม่ได้ดูเอาเนื้อเรื่องหรอก แต่ดูว่าคนสร้างจะทำอะไรกับกู เข้ามาเลย มึงจะโยนอะไรใส่กู มาเลย เมื่อเราสามารถดูงานได้ในหลายโหมด หลายแบบ และจัดโหมดในการดูงานต่างๆ ได้ถูกต้อง เราก็จะได้เรียนรู้และรับอะไรบางอย่างกลับมาด้วย
“สำหรับผม ภาพยนตร์เป็นเหมือนสารเคมีชนิดหนึ่งที่ประกอบไปด้วยภาพบวกกับเสียงแล้วทำปฏิกิริยากันจนเกิดเป็นหนัง ซึ่งละครคุณธรรมพวกนี้เป็นการผสมสารเคมีที่รุนแรงมาก เอาสิ่งที่ไม่น่าจะเข้ากันได้มารวมกันแล้วเกิดความรู้สึกใหม่ๆ เป็นความรู้สึกสนุก ซึ่งผมชอบเสพงานแบบนี้”
คำถามนี้ทุกคนอยากรู้มากว่าเวลาที่ ‘เราสู้ชีวิต แล้วชีวิตสู้กลับ’ คุณจะทำอย่างไร
ต้องหาพวกมาช่วย เตะขัดขามัน (หัวเราะ) จริงๆ ก็ไม่ต้องทำยังไง เพราะว่าต้องสู้กันอยู่แล้ว ก็หาวิธีรับมือกับมันไป ผมว่าเรื่องนี้คือหนึ่งในคุณค่าของชีวิตที่มาพร้อมกัน ชีวิตมันจะมอบดาบให้คุณ แต่บางวันมันก็เอาดาบมาสู้กับเรา มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ต้องสู้กันไป แต่ทำไมผมรู้สึกว่าต้องสู้ทั้งชีวิตเลยวะ (หัวเราะ)
ผมคิดว่าชีวิตของผมจะเหมือนมีจอมยุทธ์คู่ปรับเข้ามาท้าประลองทุกปี เหมือนต้องสู้ตลอดเวลา แต่ก็ไม่ได้มีช่วงไหนที่ยากกว่าปกติ เพราะสิ่งที่เราทำมันต้องสู้ คุณไม่สู้ไม่ได้ แม้ว่าคุณจะทำหนังเล็กๆ หรือทำหนังที่มีแนวทางเฉพาะก็ตาม คุณต้องเจอสิ่งต่างๆ ที่ไม่ใช่แค่เรื่องของคนดู แต่เป็นการที่ต้องทำทุกอย่างให้สำเร็จ ต้องตอบคำถามคนรอบๆ ว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่
และในชีวิตจริงก็มีสิ่งที่ทำให้เราไม่สามารถทำสิ่งที่คิดไว้ได้ตลอดเวลา การออกกองมันคือชีวิตสู้กลับเหมือนกันนะ เมื่อคุณไปออกกองคุณจะไม่มีวันได้อะไรดังใจร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะต่อให้คุณเตรียมความพร้อมดีขนาดไหน พอถึงวันถ่ายให้เตรียมใจได้เลย บางสิ่งที่คิดอาจจะไม่เกิดขึ้น หรืออันนี้เกิดขึ้นแต่ไม่เวิร์ก แล้วคุณจะทำอย่างไร แผนบี แผนซี ต้องเตรียมเอาไว้เสมอ
แต่ผมกลับมองว่าเป็นเรื่องดี เพราะก่อนที่ผมจะได้มาทำหนังติดต่อกันในทุกวันนี้ ผมมีนิสัยที่เป็นคนทำอะไรต้องตามแผนงานมากๆ ทุกอย่างต้องชัวร์ไว้ก่อน แต่พอเรามาทำหนัง เราจะคิดอย่างนั้นไม่ได้ คุณเตรียมใจได้เลย ไม่ว่าจะพร้อมแค่ไหน เดี๋ยววันออกกองก็มีอะไรเปลี่ยนแปลง พอเราทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ วิธีการมันก็จะซึมเข้ามาในชีวิตเหมือนกัน โดยส่วนใหญ่จะเป็นปัญหาคล้ายๆ เดิมแต่ซับซ้อนขึ้น ข้ามาอีกแล้ว เจ้าจะเอาอย่างไร (หัวเราะ) การทำหนังเป็นงานที่ไม่สบาย ตอนทำก็ไม่สบาย ตอนฉายก็ไม่สบาย จะสบายที่สุดก็คือตอนเสร็จหมดทุกอย่างแล้ว เราไปหาข้อมูลอะไรไหม่ดีกว่า ซึ่งตอนนั้นจะเป็นช่วงที่โอเค
ที่บอกไม่สบายแต่ก็ยังทำมาเรื่อยๆ ก็แปลว่าใจรักนั่นแหละ
ใช่ เพราะรู้สึกว่าถ้าไปทำอย่างอื่นคงจะไม่สบายกว่านี้ (หัวเราะ) อย่างน้อยผมก็คิดว่าถ้าเราเก่งขึ้น เราอาจจะสบายขึ้น หมายถึงว่าเราเข้าใจวิธีการทำงานมากขึ้น ทำอะไรเป็นมากขึ้น เช่น เมื่อก่อนพอถึงวันจะออกกองผมจะนอนไม่หลับ แต่ทุกวันนี้ผมนอนหลับ แต่ไม่ได้หมายความว่าตอนไปทำงานมันจะราบรื่น เพราะเรารู้ว่าถึงอย่างไรก็ต้องเจออะไรประมาณนี้ เดี๋ยวแกก็ต้องเจอสิ่งที่ไม่คาดคิด แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อยว่ากัน มันยังมีทางออก เหมือนเราเข้าใจลักษณะของงานมากขึ้นมากกว่า
เรื่อง: ทรรศน หาญเรืองเกียรติ, คุลิกา แก้วนาหลวง | ภาพ: รังสันต์ พันไพรี