Patrickananda ที่เลือกเขียนเพลงเองทุกเพลง เพราะอยากให้ทุกคนรู้จักตัวตนของเราจริงๆ

ลิฟต์จากชั้นล่างเคลื่อนตัวขึ้นมาจอดยังชั้น 9 ของโรงแรม Somerset Sukhumvit Thonglor ชั้นนี้เป็นที่ตั้งของร้าน white café x black bar เมื่อเราก้าวเท้าออกมาจากตัวลิฟต์ เสียงดนตรีก็แทรกเข้ามาในโสตประสาททันที แต่เสียงที่สะกดให้จังหวะหัวใจเราเริ่มเต้นรัวขึ้น คงหนีไม่พ้นนักร้องหนุ่มวัยไล่เลี่ยกันที่ตั้งใจจะมาพูดคุยด้วยวันนี้ Patrickananda หรือ ‘แพทริค’ – อนันดา ชื่นสมทรง ศิลปินเบอร์แรกจากค่าย D.U.M.B. Recordings

        อันที่จริงแพทริคเดบิวต์เป็นศิลปินตั้งแต่ปลายปี 2562 ด้วยเพลง Polaroid และ 12th หลังจากนั้นเขาก็ปล่อยซิงเกิลออกมาเรื่อยๆ ทั้งเพลง คนไกล, แสงใดใด, Oasis, จันทร์อังคารพุธพฤหัสศุกร์เสาร์อาทิตย์ (Everyday) และ Lavender  แต่เรากลับรู้จักเขาจากคลิปไวรัลของ Tiktoker ชื่อ pugun.wisad ซึ่งเราติดตามมาสักระยะแล้ว 

“ลองมองขึ้นไปบนฟ้าเธอจะเห็นดวงดาวมากมาย อยู่กระจัดกระจาย ไปทุกทางและทุกแห่งหน

มองขึ้นไปบนฟ้าเธอจะเห็น ว่ามีดาวอยู่ดวงหนึ่ง เฉิดฉายมีแสงสว่างยิ่งกว่าใคร”

        หลังจากฟังเขาร้องเพลง คนไกล ในคลิปนั้น ความทรงจำในหัวก็ทำงานทันที เราเคยได้ยินเพลงนี้มานานมาก แต่ด้วยความนิสัยเสียของตัวเองที่มักจะไม่ค่อยหาชื่อนักร้อง จึงทำให้เพิ่งรู้จักเขาเอาป่านนี้ หลังจากนั้นไม่ใช่แค่เรา แต่ใครหลายคนก็ได้กลายเป็น lavndr team ในที่สุด พลังนี้ผลักดันให้ตัวแพทริคกลายเป็นที่รู้จักมากขึ้น อีกทั้งยังทำให้ยอดการสตรีมเพลงพุ่งขึ้นติดชาร์ตในหลายแพลตฟอร์ม 

“ลองมองขึ้นไปบนฟ้าเธอจะเห็นดวงดาวของเธอ เป็นตัวแทนของฉันในวันที่เรานั้นต้องห่างไกล

ทำให้เธอได้รู้ว่าตัวฉัน ไม่เคยจะไปไหน แค่ขอให้เธอมองขึ้นไปบนฟ้า มองไปที่ดาวของเรา”

1

        ก่อนจะแวะมานั่งคุยกับเรา เสียงร้องอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งยังคงก้องกังวานต่อไปอีกพักใหญ่ เพราะวันนั้นเป็นการเล่นสดครั้งแรกในบรรยากาศของการออกงานหลังจากปล่อยเพลงมา 2 ปีกว่า หลังพักหายใจหายคอจากการซ้อมแล้ว เขาจึงเดินมาหาที่โต๊ะ พวกเราทักทายกันประมาณหนึ่ง ก่อนจะเริ่มต้นพูดคุยกันแบบสบายๆ  

        “ตอนแรกเลือกเล่นเปียโน แต่เปียโนเต็มก็เลยโดนไล่ให้ไปตีกลองเพราะไม่มีคนเล่น (หัวเราะ) กลายเป็นว่าผมตีกลองได้ดี อาจารย์ให้แบบฝึกหัดมาเราก็ไปได้ไกลกว่าคนอื่น ซึ่งตอนนั้นผมก็ไม่รู้ว่าความรู้สึกตอนที่ไปซ้อมทุกเช้าทุกเย็นคือผมชอบมัน แค่คิดว่ามันเจ๋งดีที่เราทำได้เร็ว”

        เขาเล่าจุดเริ่มต้นของการเริ่มเล่นดนตรีให้ฟัง เรื่องราวเริ่มจากในห้องเรียน ป.4 ของเด็กชายแพทริคที่ต้องเลือกเล่นเครื่องดนตรีสักชิ้นหนึ่ง แต่ชิ้นที่ตั้งใจเลือกตอนแรกกลับไม่ได้เล่น จึงต้องไปตีกลองชุดแทน กลายเป็นว่าเขาทำได้ดีจนสามารถลงแข่งได้เลย จากนั้นเขาก็ตีกลองมาตลอดจนถึง ม.6 

       แต่ย้อนกลับไปอีกนิดหนึ่งช่วง ม.5 “วันหนึ่งรู้สึกว่าเราอยากมีเพลงเป็นของตัวเองบ้าง” เขากล่าว ก่อนจะหยิบน้ำมะพร้าวขึ้นมาจิบแก้กระหาย 

2

        “ผมดูรายการประกวดร้องเพลง ส่วนตัวเป็นคนชอบแข่งขันอยู่แล้วก็เลยมีความคิดว่าอยากไปลองบ้าง ผมเริ่มประกวดร้องเพลงครั้งแรกตอน ม.5 คือรายการ The Voice ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เข้าไปในห้องแล้วร้องได้ประมาณ 10 วินาที เขาก็ให้ออกแล้วบอกว่าเดี๋ยวส่งผลกลับมา ซึ่งเรารู้อยู่แล้วว่าไม่น่าได้” 

        หลังจากเวที The Voice Thailand แพทริคได้ผ่านการแข่งขันจากเวทีสานฝันทั้งหลายมาแล้วเกือบหมดทั้ง The Star La Banda Thailand และ The X Factor Thailand แต่เขาก็ไม่ประสบความสำเร็จในสายการประกวด   

        “ตอนนั้นผมว่าผมตื่นเต้นเลยไม่ได้ร้องได้ดีเท่าตอนที่อยู่คนเดียว ผมคิดว่าเป็นอย่างนั้นนะ ตอนไปประกวด The X Factor Thailand เป็นที่สุดท้ายแล้วไม่เข้ารอบ ผมก็ไม่เอาแล้ว เราก็กลับไปทำเพลงเองดีกว่า 

        “แต่ผมก็ยังทำเพลงไม่เป็นนะ แต่งเพลงเองไม่เป็น เล่นคีย์บอร์ด กีตาร์ เบส กลอง ในโปรแกรมไม่เป็นสักอย่าง เลยไปเปิดกูเกิลว่าต้องใช้อะไรบ้าง แล้วยืมเงินคุณป้ามาซื้ออุปกรณ์ทำเพลง เริ่มหัดทำช่วงเข้ามหา’ลัยปี 1 ทำเพลงที่หอพัก ตอนนั้นเราก็เรียน ทำเพลง ทำพาร์ตไทม์ เพื่อหาเงินไปผ่อนใช้ค่าเครื่องดนตรีที่ยืมคุณป้ามา”

        เขาเล่าเสริมว่าพอหัดทำเพลงเองแล้ว จุดโฟกัสในชีวิตก็เริ่มชัดเจนขึ้น เขามุ่งมั่นในการทำเพลงจนไม่ได้ไปเรียนอยู่หลายครั้ง เพราะอยากเอาจริงเอาจังในสิ่งที่ตัวเองชอบ ซึ่งแพทริคเรียกสิ่งนี้ว่า ‘แพสชัน’ ได้อย่างเต็มปาก

“ผมว่าตอนนั้นผมก็สู้เหมือนกันนะ เหมือนเราเสียสละหลายๆ อย่าง เช่น ช่วงชีวิตวัยนั้นที่เราไม่ได้ไปแฮงเอาต์กับเพื่อนเยอะ เพราะเราต้องแบ่งเวลามาทำตรงนี้ เลิกเรียนเราก็กลับห้องทำเพลงทุกวัน”

        “แล้วเสียดายช่วงเวลานั้นหรือเปล่า” เราถามหลังจากนั่งฟังมาสักพัก

        “ก็เสียดายนะ แต่เรียกได้ว่าเป็นค่าเสียโอกาสแหละ สมมติว่าถ้าตอนนั้นเราไม่ได้ให้เวลากับดนตรีมาก วันนี้ก็คงไม่ได้อยู่ตรงนี้ ตอนนี้เราอาจจะมีเพื่อนหรือสังคมเยอะกว่านี้ แต่อาจจะไม่ได้มีสิ่งที่เรามีอย่างตอนนี้ก็ได้ ดังนั้นผมว่าเราก็ต้องเลือกแหละ” เขายิ้มให้เราบางๆ เหมือนกำลังสื่อสารว่าสิ่งที่เขาเลือกนั้นคุ้มค่าแล้ว 

3

 

        “ผมทำเพลงทั้งวันทั้งคืน ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าตอนนั้นซีเรียสเกินไปหรือเปล่า

        “จริงๆ นะ” เขาย้ำความคิดตัวเอง

        “แต่ผมเป็นคนซีเรียสมากๆ ถ้าพูดกันตามตรงคือเป็นคนเครียด อยากได้อะไรต้องได้ แล้วต้องทำให้ได้เท่านั้น ซึ่งตอนนั้นที่เริ่มทำเพลง ผมเริ่มจากศูนย์ เพราะทำอะไรไม่เป็นเลย เครียดไปหมด เลยต้องตั้งใจกับมันทุกวัน” 

        แพทริคเสริมว่าเขาจะตั้งเป้าหมายไว้เลยว่าภายในหนึ่งเดือนจะต้องเล่นเปียโนให้ได้ และภายในหนึ่งอาทิตย์ต้องเขียนเพลงให้ได้ 5 เพลง เขาจะกดดันตัวเองค่อนข้างมากเพื่อไปให้ถึงภาพที่วาดเอาไว้ 

        “ขนาดทีมมาบอกว่าเพลง Lavender ขึ้นที่ 1 ทุกแพลตฟอร์ม เชื่อไหมว่าผมเครียด เราดีใจอยู่แป๊บหนึ่งแล้วเครียดต่อว่าจะอยู่ได้นานแค่ไหน วันนี้มันจะร่วงหรือยัง” 

        พูดจบเขาก็หัวเราะให้กับตัวเองเล็กน้อย ด้วยความเป็นคนที่ชอบการแข่งขัน ดังนั้น เมื่อมีการแข่งขันเกิดขึ้น ความคาดหวังมักจะตามมาเสมอ แต่เจ้าตัวก็ยอมรับว่าความจริงจังของตัวเองมีทั้งด้านที่ส่งผลดีและผลเสีย ซึ่งทำให้เขากลายเป็นคนเครียด ทุกวันนี้จึงเริ่มฝึกผ่อนคลายตัวเองลงมาบ้าง 

        ส่วนหนึ่งเป็นเพราะช่วงที่แพทริคเดบิวต์เป็นศิลปิน เป็นช่วงที่โควิด-19 เริ่มระบาดพอดี แถมสถานการณ์ยังยาวจนมาถึงปัจจุบันนี้ ทำให้ช่วงเวลาดังกล่าว นักร้องหนุ่มจึงยิ่งเครียดเพราะอยู่แต่บ้าน 

        “แต่ตอนนี้ได้ออกมาเล่นบ้าง ได้ทำอย่างอื่นบ้าง ก็น่าจะทำให้หัวโล่งขึ้นแล้ว” เขาบอก 

 

4

           ภายนอกแพทริคดูเป็นคนมั่นใจ มีสไตล์ของตัวเอง ชอบแข่งขัน ไปแข่งมาแล้วหลายเวที แต่ไม่น่าเชื่อว่าเขาก็มีช่วงเวลาที่ไม่มั่นใจในตัวเองเหมือนกัน 

        “ผมเป็นคนที่ไม่เคยมั่นใจในตัวเองเลยนะ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร อาจเพราะว่าเราเป็นคนขี้เขินด้วย เพราะเราโดนล้อมาตั้งแต่เด็กว่าร้องเพลงไม่ชัด ร้องเพลงไม่อ้าปาก หรือร้องเหมือนกันทุกเพลงบ้าง ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังคิดอยู่ว่ามันแปลว่าอะไร แต่ก็มีคนเคยบอกว่าเราร้องเพลงใครก็เป็นสไตล์เรา

        “คนรอบตัวมักจะบอกว่าผมมีเสียงที่ไม่เหมือนใครเลย แต่มีพลังมาก บางคนถามว่าที่ไม่อ้าปากคือตั้งใจให้เป็นกิมมิกหรือเปล่า เราก็ว่าเปล่า ถ้าผมอ้าปากมากกว่านี้เราจะร้องเพลงไม่ได้เลย มันก็จะไม่ใช่เราแล้ว” แพทริคหัวเราะน้อยๆ ก่อนเล่าต่อ

        “จริงๆ ก็เพิ่งมารู้สึกว่าเราร้องเพลงเพราะ เพิ่งมั่นใจในตัวเองหลังจากที่เริ่มมีแฟนคลับได้สักพัก รวมถึงพี่โปรดิวเซอร์กับทีมงานของค่ายบอกเราว่า เราเสียงดีนะ เรามีสไตล์ของเรา เราต้องมั่นใจในตัวเอง ไม่ต้องกลัวว่า หรือใครจะคิดอย่างไร ตอนนั้นก็เป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตเหมือนกันที่มาเจอพี่แต๊บ (ธนพล มหธร–โปรดิวเซอร์) ที่บอกเราว่าเรามีสิ่งที่พิเศษไม่เหมือนใคร” 

5

        “เป็นคนที่ไม่ค่อยออกไปไหน แล้วส่วนใหญ่หาแรงบันดาลใจ หาเรื่องราวจากอะไรมาแต่งเพลง” เราถามแพทริคด้วยความสงสัย

        “ถ้าเอาเป็นอัลบั้มล่าสุดที่แต่งไป 6 เพลง ตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว ผมได้มาจากแฟนเก่าคือนำเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาเขียน ผมชอบเอาเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเองมาเขียน ซึ่งถ้าตอนนี้จะทำอัลบั้มใหม่ คือในหัวโล่งมาก ไม่มีประสบการณ์ และไม่มีแรงบันดาลใจอะไรเลย (หัวเราะ) ก็คิดว่าจบอัลบั้มนี้อาจจะแพลนว่าไปเที่ยว หรือลองพักดู

        “แต่เหมือนจะไม่ได้พักแล้วเพราะมีงานเข้ามา แต่ตรงนี้ก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งในการใช้ชีวิตได้เหมือนกัน การที่เราได้ออกไปเล่นที่นู่นที่นี่ก็ไม่ได้เป็นแค่งาน แต่เป็นทั้งประสบการณ์ชีวิตด้วย” 

        เราถามแพทริคต่อว่าปกติเขาชอบเสพสื่อแนวไหนเป็นพิเศษ ทุกๆ เพลงถึงออกมาหลากหลาย แต่มีความลึกซึ้ง มีเนื้อเรื่องที่บ้างก็เรียบง่าย บ้างก็คมคาย เขาให้คำตอบกับเราว่า เขาเสพสื่อเป็นปกติ ไม่ได้มีอะไรแปลกกว่าคนอื่นเลย 

        “แต่เราจะเป็นคนที่ตั้งใจดู โดยเฉพาะหนังรัก เราจะอินมาก” 

        เขาเล่าให้ฟังต่อว่ามักจะอินกับซีนโศกเศร้าเสียใจ เช่นการจากกัน หรือใครคนใดคนหนึ่งตายจากไป เขาจะรู้สึกลึกซึ้งกับเรื่องราวเหล่านี้เป็นพิเศษ 

        “รู้สึกว่าโมเมนต์แฮปปี้เราเจอได้ทุกวันอยู่แล้ว แต่ถ้าโมเมนต์ที่ต้องจาก ต้องแยกกัน เราอาจจะไม่ค่อยมี แล้วก็ชอบเขียนเพลงเศร้าๆ ขึ้นมา จนที่ค่ายบอกว่าผมเป็นคนน้ำเน่า ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะเราเป็นคนเซนซิทีฟ ทำให้เขียนเพลงออกมาได้แบบนี้

        “ผมเป็นคนที่ค่อนข้างรู้สึกลึกซึ้งกับความรักของผู้หญิง หรือกับผู้หญิงคนใดคนหนึ่ง เหมือนเราสัมผัสได้ว่าเขารู้สึกอย่างไร แล้วเราก็รู้สึกว่านั่นเป็นสิ่งที่สวยงาม และมีความอ่อนโยน ซึ่งเราเอาตรงนี้ที่เรารู้สึก หรือความรู้สึกที่เราสะท้อนจากเขามาเขียน” 

6

        “สำหรับแพทริคในวันนี้ นิยามความรักไว้อย่างไร” เราถามเขาอีกครั้ง

        “ถ้าให้พูดตรงๆ ตอนนี้ผมไม่รู้ คือในความสัมพันธ์ที่ผ่านมา เราเคยคิดว่าเป็นความรักที่ต้องการมาตลอด คือความรักที่ดีที่สุด ซึ่งอาจจะใช่ก็ได้ หรืออาจจะไม่ใช่ก็ได้ เพราะว่าเราก็ยังไม่เคยเจอความรักจากที่อื่น ผมยังเป็นแค่คนอายุ 20 กว่าๆ รู้สึกตัวเองยังเด็กไปที่จะรู้ว่าความรักจริงๆ คืออะไร” 

        แม้ในวันนี้เขาจะยังไม่เจอความรักครั้งใหม่ แต่หากถามว่ามูฟออนเป็น ‘วงกลม’ เป็นอย่างไร แพทริคในวันนี้อาจตอบได้ดีจากเพลงล่าสุด ซึ่งแต่งจากการมูฟออนเป็นลูปเดิมจากความรักครั้งเก่าของเขา 

        “เพลงนี้แต่งจากอาการปวดหัว แล้วผมต้องการระบายออกมา ผมปวดหัวเพราะคิดวนอยู่ในลูปนี้แล้วออกไปไม่ได้สักที คิดอยู่แบบเดิมๆ ว่าจะกลับไปไหม ไม่กลับ กลับไปไหม ไม่กลับ วนอยู่แค่นี้เป็นวงกลม เลยเขียนออกมาจากช่วงเวลาที่เราปวดหัวอยู่ ซึ่งเพลงก็น่าปวดหัวเหมือนกัน เป็นเพลงที่แต่งเองแล้วรู้สึกว่ามันน่ารำคาญเหมือนกันนะเพลงนี้ ทำไมมันวนอยู่แค่นี้วะ ซึ่งมันก็ถูกแล้ว” 

        เขาพูดจบพวกเราก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน 

8

        เราคุยกันมาเกือบชั่วโมง จนดวงอาทิตย์ผลัดมือให้กับดวงจันทร์ ท้องฟ้าเปลี่ยนจากสว่างกลายเป็นมืด จึงควรถึงเวลาที่เราจะปล่อยนักร้องหนุ่มไปเตรียมตัวขึ้นมินิคอนเสิร์ตเวทีแรกของเขา ก่อนจากกัน เราถามปิดท้ายว่าในวันที่เป็นศิลปินเต็มตัวแล้ว เขามีมุมมองต่ออาชีพนี้เป็นแบบไหน

        “ผมว่าการเป็นศิลปินคือการที่เราเชื่อในตัวเอง แล้วพยายามนำสิ่งนั้นออกมาเป็นชิ้นงานให้คนได้ฟังสิ่งที่เป็นตัวเราจริงๆ คิดว่าเรื่องเล่าน่าจะสำคัญสุด เหตุผลที่เลือกเขียนเพลงเองทุกเพลงเพราะผมอยากให้ทุกคนรู้จักตัวตนของเราจริงๆ” 

        พูดจบ แพทริคก็ยกแก้วขึ้นมาดื่มน้ำมะพร้าว สายตาของเขาทอดมองไปยังวิวนอกตึกชั่วครู่ หลังกล่าวร่ำลากันไป เราจึงเอ่ยปากให้กำลังใจเขาส่งท้าย เขาหันมายิ้ม พลางยกนิ้วโป้งให้แล้วบอกว่า 

        “จัดไปครับ” 


เรื่อง: คุลิกา แก้วนาหลวง | ภาพ: แพรวา ชัยแสงจันทร์