สำรวจการเติบโตของ ‘พุฒิ ต้า เร’ เพื่อนตัวกวนคนเดิมแต่เพิ่มเติมโหมดที่จริงจังมากขึ้น

วัยรุ่นคือช่วงวัยแห่งการค้นหาตัวเอง และการตั้งคำถามตามบริบทของยุคสมัยที่แตกต่างกันไป และเราต่างมีใครสักคนเป็นไอดอลหรือแบบอย่างในการใช้ชีวิต สำหรับคนยุค 90s หรือที่เรียกว่าคนเจนฯ เอ็กซ์ (Generation X) ถ้าถามพวกเขาว่าคิดถึงใครที่เป็นตัวแทนแห่งยุคสมัยนั้นได้บ้าง แน่นอนว่าต้องมีชื่อของ ‘ลีโอ พุฒิ’ – พุฒิพงศ์ ศรีวัฒน์, ‘ต้า’ – เผ่าพล เทพหัสดิน ณ อยุธยา และ เร แม๊คโดแนลด์ อยู่ในลิสต์ด้วยแน่นอน

        คนสามคนที่ต่างบุคลิก และมีความโดดเด่นเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนกัน  เรคือชายหนุ่มที่ในวันนั้นอาจจะเรียกได้ว่ามีความมั่นใจในตัวเองสูง ชอบการผจญภัยท้าทาย และตั้งคำถามในแบบยียวนตามสไตล์ต่อสิ่งที่สงสัยอยู่เสมอ ส่วน ลีโอ พุฒ ก็คือนักร้องนักแสดงที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการบันเทิง มีเพลงที่ฮิตมาจนถึงทุกวันนี้ และหมั่นทดลองทำงานใหม่ๆ ที่ท้าทายความสามารถของตัวเองไม่หยุดนิ่ง และ ต้า Barbies ก็เป็นคนที่มีบุคลิกไม่เหมือนใคร (และไม่มีใครเหมือนได้) ซึ่งเป็นเสน่ห์ที่ถ้าใช้คำในยุคนี้คือ สามารถ ‘ตก’ หัวใจให้หลายๆ คนหลงรักในความติสต์ความเซอร์ของเขาได้โดยไม่มีข้อกังขา

        ทั้งสามมารวมตัวกันในภาพยนตร์เรื่อง Fake โกหก…ทั้งเพ (2003) และด้วยบุคลิกที่แตกต่างแต่กลับเป็นเคมีที่เข้ากันได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ทำให้พวกเขากลายเป็นเพื่อนซี้กัน และร่วมกันทำรายการชื่อ พุด-ต้า-เร ขึ้นมาโดยออกอากาศทางช่อง ITV ในปี 2006  ก่อนที่จะแยกย้ายห่างหายกันไปตามวิถีชีวิตของแต่ละคน 

        ด้วยมิตรภาพที่แน่นแฟ้น แม้จะจากกันไปนาน วันนี้พวกเขาทั้งสามก็กลับมาทำรายการ พุฒิ ต้า เร กันอีกครั้ง โดยรับชมได้ทางยูทูบ Rayron : เร่ร่อน พร้อมแขกรับเชิญที่มาช่วยเรียกคืนความทรงจำและวันชื่นคืนสุขของคนในยุค 90s กันอีกครั้ง รวมถึงยังต่อติดกับคนยุคนี้ได้อย่างแนบเนียน ซึ่งเป็นความสามารถเฉพาะตัวที่ใครก็ทำตามไม่ได้ง่ายๆ 

        วันนี้เราจึงชวนพวกเขาทั้งสามที่เคยได้ชื่อว่าเป็นรุ่นพี่ของเหล่า ‘เด็กแนว’ ในยุคต่อมา นั่งคุยกันถึงเรื่องการเติบโต และความคิดความอ่านในตอนนี้ว่าจะยังเหมือนเดิม เปลี่ยนแปลง หรือสงบนิ่งมากขึ้นแค่ไหน 

        รับรองว่าเมื่อก่อนพวกเขาเคย ‘จ๊าบ’ อย่างไร วันนี้ก็ยังคงเป็นแบบนั้นอยู่  

พวกคุณช่วยทวนความทรงจำให้เราหน่อยว่ารายการ พุด-ต้า-เร ในวันนั้น รูปแบบและบรรยากาศของรายการเป็นอย่างไร

        เร: รายการออกอากาศครั้งแรกน่าจะ 15 ปีได้แล้ว มีคนดูเยอะไหม ตอบได้เลยว่าไม่เยอะ ถามว่าทำแล้วรายการเจ๊งไหม ก็เจ๊ง (หัวเราะ) ก็เป็นไปตามระเบียบนะครับ

        พุฒิ: ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น เราจะคิดคอนเซปต์ว่าจะทำเรื่องของยักษ์ของชิ้นใหญ่ เราก็จะไปถ่ายอาหารที่คนไทยทำ เช่น ไส้อั่วยักษ์ หรือธูปยักษ์ที่หล่นมาทับคนตาย จากนั้นช่วงท้ายเราก็จะไปทำของยักษ์ของตัวเอง และตั้งคำถามว่าจริงๆ แล้วของที่เราควรจะทำต้องเน้นที่ขนาดใหญ่อย่างเดียวเหรอ

        เร: แต่พูดตามตรง ตอนนั้นพวกเราเป็นส่วนหนึ่งของทีมครีเอทีฟด้วย และชั่วโมงบินยังไม่สูงมากนัก ก็อาจจะเร็วไปที่จะทำให้รายการมันออกมาดี แต่ทุกวันนี้แย่กว่าเดิมอีก (หัวเราะ) ด้วยความเคารพ

        ต้า: ตอนนั้นเป็นรายการที่เราอยากทำอะไรก็ทำ อยากไปเล่นลิเกก็ไป อยากไปเล่นตลกก็ทำ ไปขอเขาเล่นตามงานต่างๆ ความสนุกคือเราได้ทำสิ่งที่ตัวเองไม่ถนัด ส่วนใหญ่ก็ทำไม่สำเร็จหรอก จะล้มเหลวมากกว่า

        เร: บางตอนเราพยายามจะเล่าออกมาในเชิงสารคดี แต่เนื่องจากมันเป็นรายการที่ต้องออกอากาศทุกอาทิตย์ ซึ่งสำหรับ 15 ปีก่อน การทำรายการที่มี 13 ตอนในหนึ่งซีซัน เรามีเวลาตามหาข้อมูล และเตรียมตัวเพื่อให้ได้มาตรฐานที่ดีมันยาก และเหนื่อยเกินตัวจริงๆ

        ต้า: ดังนั้น ช่วงหลังรายการจึงออกมาเผาๆ เพราะเราคิดไม่ทันก็รีบทำไปให้เสร็จ

        เร: เป็นช่วงเวลา 2-3 ปีที่พวกเราแทบไม่ได้หลับได้นอน ถือเป็นการเรียนรู้ที่ได้อยู่ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง เป็นโรงเรียนที่ดีมาก

การกลับมารวมตัวกันใหม่ครั้งนี้เป็นเรื่องของมิตรภาพ ความคิดถึงหรือจริงๆ หรือเป็นเรื่องของรายได้การทำคอนเทนต์

        พุฒิ: จุดเริ่มต้นมาจากที่พวกเราไปนั่งกินชาบูด้วยกัน แล้วก็เอากล้องมาตั้งจนได้เป็นตอนชื่อว่า ติดคุย “พุฒิ ต้า เร ตอนพิเศษ” (EPที่ถูกลืม) ซึ่งตอนนั้นเรไม่มีคอนเทนต์จะปล่อย ก็เลยเอามาลงยูทูบของเขา ปรากฏว่ามีคนเข้ามาดูประมาณหนึ่ง

        เร: สำหรับเราถ้ามีคนดูหลักแสนก็ถือว่าโอเคแล้ว ซึ่งเป็นดาราที่ตกอันดับไปแล้ว แต่หลายคนที่โตมากับเราไม่ได้เจอพวกเราสามคนอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน เขาก็มีความถวิลหา

        พุฒิ: จากตอนนั้นเราก็ทิ้งช่วงไปอีกหลายเดือน เพราะก็ไม่มีใครคิดจะทำอะไรจริงจังต่อ แต่สุดท้ายเรก็เป็นคนรวบทุกอย่างแล้วมานั่งคุยกันว่าลองทำกันดูไหม

        เร: เราพบว่าความสุขคือการได้กลับมานั่งคุยกัน จะมีแขกรับเชิญมาหรืออะไรก็แล้วแต่ ซึ่งผมรู้สึกว่าทุกอีพีของเราตอนนี้สามารถเป็นตอนสุดท้ายได้เลย ซึ่งไม่ได้มองที่ยอดคนดูหากวันหนึ่งคนดูจะลดลง เพราะถึงคนดูจะน้อยลงก็ตามเราก็คิดว่าจะมาทำกันสักเดือนละครั้งอยู่แล้ว

        ต้า: ข้อดีของอีพีที่ถูกลืมคือ การที่พวกเราไม่ได้เจอกันมาหลายปีก็มาอัพเดตชีวิตกัน อ้าว! มึงป่วยนี่หว่า เรมีปัญหาเรื่องเส้นผม หรืออะไรก็แล้วแต่ ก็สนุกดี

เสียงตอบรับจากคนดูที่ผ่านมาเป็นอย่างไร

        เร: มีคอมเมนต์หนึ่งที่บอกว่าเขาเป็นพ่อลูกอ่อนที่ดูรายการของเราแล้วคิดถึงเพื่อน หลังจากนั้นเขาก็ไปหาเพื่อนสมัยมัธยม อ่านแล้วก็ชื่นใจ

        ต้า: นั่นแสดงว่าเราโตแล้ว ที่เราสามารถมีความสุขกับเรื่องเล็กๆ แบบนี้ได้

พวกคุณมักพูดเล่นกันว่า หากใครสนใจสามารถติดต่อมาเป็นสปอนเซอร์รายการได้ ถ้าเกิดมีเข้ามาจริงๆ คุณจะรับกับความต้องการไทอินสินค้าของเขาได้แค่ไหน

        เร: ยอมรับว่าเมื่อก่อนผมฉลาดไม่พอเองที่จะคิดว่าเราจะเอาผลิตภัณฑ์เหล่านั้นมาอยู่กับเราได้อย่างไรให้แยบยลที่สุด

        พุฒิ: ตอนนี้เราคิดว่าจะทาตัวเองเป็นสีน้ำเงินแล้วซ้อนโลโก้ของลูกค้าให้วิ่งอยู่บนตัวเราไปเลยก็ได้ (หัวเราะ)

        เร: แน่นอนว่าเราก็อยากได้เงิน แต่ทั้งหมดก็ต้องวิน-วินทั้งเราและลูกค้าด้วย ไม่อย่างนั้นพวกเราสามคนอาจจะเดินไปในทิศทางเดียวกันไม่ได้

พวกคุณในวันนี้ยังมีความเฟี้ยวฟ้าวในความเป็นตัวเองแค่ไหน

        ต้า: เราไม่ได้รู้สึกอะไร ก็มองว่าเป็นไปตามวัยมากกว่า สมัยวัยรุ่นเราก็มองโลกด้วยความก้าวร้าวนิดๆ อยู่แล้ว เรารู้สึกขวางหูขวางตาง่ายกว่าสมัยนี้อยู่แล้วเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งผมถือว่าโชคดีมากที่ชีวิตค่อนข้างราบเรียบ มีคนติดต่อมาถ้าทำแล้วรู้สึกไม่เขินก็ทำ แต่ถ้ารู้สึกอายๆ ก็ไม่รับงานนี้ แค่นั้น

        พุฒิ: ในช่วงวัยหนึ่งเราพยายามตะโกนเพื่อให้โลกเข้าใจเรา แต่พอเป็นวันนี้เราเข้าใจแล้วว่าโลกเป็นอย่างไร ดังนั้น เราไม่จำเป็นต้องทำตัวเฟี้ยวฟ้าวหรือเฟียร์ซเพื่ออะไร เรารู้แล้วว่าเดี๋ยวจะจบแบบไหน ชีวิตมันก็เท่านี้

        เร: เส้นทางในวงการบันเทิงของผม ถ้าเป็นกราฟก็มีทั้งตอนที่พุ่งขึ้นสูงสุดแล้วก็ลงมาต่ำสุด จากนั้นก็ขึ้นไปอีกนิดหน่อยเหมือนถูกรางวัล เป็นกราฟที่มีขึ้นมีลง บางทีก็หายไปเลยแล้วจู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมา แต่ใช่ว่าจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป ขนาดไอดอลของเราเองวันหนึ่งเขายังหายไปเลย แล้วเราจะไปเหลืออะไร แต่งานทั้งหมดที่พวกเราทำออกมา 99.8 เปอร์เซ็นต์ ไม่ว่าจะออกมาดีหรือร้ายทั้งหมดเราเป็นคนเลือกเอง

“ในช่วงวัยหนึ่งเราพยายามตะโกนเพื่อให้โลกเข้าใจเรา แต่พอเป็นวันนี้เราเข้าใจแล้วว่าโลกเป็นอย่างไร ดังนั้น เราไม่จำเป็นต้องทำตัวเฟี้ยวฟ้าวหรือเฟียร์ซเพื่ออะไร เรารู้แล้วว่าเดี๋ยวจะจบแบบไหน ชีวิตมันก็เท่านี้”
-ลีโอ พุฒิ

แต่ละคนคิดว่าเพื่อนของคุณในวัยนี้เผชิญกับความท้าทายอะไรในชีวิตบ้าง

        พุฒิ: ผมรู้ว่าเรเป็นคนที่คิดมากที่สุดในพวกเราสามคน ที่แน่ๆ คือกลัวเมีย (หัวเราะ) เขาเป็นคนคิดเยอะจนเม็ดสุดท้าย ซึ่งบางครั้งที่เขามาปรึกษาผมหรือต้าก็ตาม เขาจะมีคำตอบในใจแล้ว แต่อยากได้คนสนับสนุนความคิดของเขา ต่อให้บอกว่าไม่เขาก็ทำอยู่ดี ผมว่าจริงๆ เรเป็นคนที่กลัวว่าตัวเองจะไม่มีอะไรทำ หมายถึงความท้าทายใหม่ๆ ในชีวิต เขาจะหาเรื่องไปทำนั่นทำนี่เสมอ เขาเป็นคนที่อยู่เฉยๆ ไม่ได้ ซึ่งถ้าให้สรุปเองผมคิดว่าเขากลัวว่าถ้าปล่อยให้ตัวเองอยู่เฉยๆ แล้วจะหมดไฟก็ได้ ส่วนต้าเป็นคนที่ชัดเจนในตัวเองอยู่แล้ว เขารู้ว่าอะไรที่ใช่และไม่ใช่ ดังนั้น คนคนนี้ไม่มีอะไรต้องกลัว เพราะเป็นคนที่เข้าใจสิ่งต่างๆ ดีอยู่แล้ว

        ต้า: ส่วนตัวผมกลัวว่าสิ่งที่คิดหรือเข้าใจมาตลอดเวลาจะเป็นความเข้าใจผิด แต่สุดท้ายเราก็เข้าใจอีกทีว่ามึงไม่มีทางเข้าใจทุกอย่างบนโลกใบนี้ได้ ดังนั้น ก็อย่าไปกลัว เพราะมีเรื่องให้เราไม่เข้าใจอีกเยอะแยะจนวันตายเลย

        เร: พุฒิน่าจะเป็นคนที่ฉลาดและมีทักษะรอบด้านที่สุดสำหรับเรา ร้องเพลงก็ดี เล่นหนังก็ดี เป็นพิธีกรที่เก่ง ฉลาดใช้คำ อ่านหนังสือเยอะกว่าผมประมาณสามพันเท่า พุฒิจึงเป็นตัวกลางที่ดีสำหรับเราสามคน

        ต้า: แนะนำเลยว่าคนแบบพุฒิควรจะมีไว้ในกลุ่มสักคนสองคน คนแบบนี้จะทำให้กลุ่มดีมากๆ เพราะผมกับเรจะเป็นเหมือนคนที่คิดอะไรก็ใส่ๆ เข้าไป พุฒิก็จะคอยไกล่เกลี่ยว่าใจเย็นๆ

แล้วคนอย่างพุฒิกลัวอะไรในชีวิตบ้าง

        พุฒิ: ผมกลัวความตาย เพราะผมมีลูกและผมอยากอยู่กับเขา แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าความตาย คือการพลัดพรากจากคนที่เรารัก ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่าจะแบกรับความรู้สึกนี้อย่างไรเมื่อถึงวันนั้น ถ้าเราตัวคนเดียวถึงเวลาต้องตายก็คือตาย แต่ถ้าเราต้องตายไปพร้อมกับคำถามว่าลูกเราจะเป็นอย่างไร สิ่งนี้ทำให้ถ้าต้องเผชิญกับความตาย ผมไม่สามารถสงบใจได้

สำหรับเร ผู้ที่ค้นหาความท้าทายใหม่ให้ตัวเองอยู่ตลอด คิดเรื่องความตายนี้อย่างไร

        เร: เราแค่อยากทำอะไรในสิ่งที่เคยคิดว่าจะทำแต่ไม่ได้ทำ เช่นเรื่องการเรียนกระโดดร่ม เพราะเรารู้สึกว่าตัวเองผัดวันประกันพรุ่งมาจนถึงวัยที่เขาเรียกว่า Midlife Crisis ซึ่งบางคนไปตีกอล์ฟ บางคนก็ออกไปปั่นจักรยาน ส่วนเราคิดว่าเรื่องนี้คงต้องทำแล้วเพราะไม่อยากให้ถึงวันที่ตัวเองป่วยจนเข้าโรงพยาบาลและมานอนคิดว่าตัวเองยังมีสิ่งที่เราอยากทำแต่ไม่ได้ทำ ซึ่งการกระโดดร่มก็เป็นการเอาชนะความกลัวของผมด้วย เพราะชีวิตต้องเดินหน้าต่อไป ผมไม่สามารถเป็นพ่อที่อุทิศทุกอย่างเพื่อรอจนลูกโตแล้วค่อยกลับมาเป็นคนหนุ่มอีกครั้งได้ เราต้องบาลานซ์ชีวิตกันและกัน 

        ผมมีโอกาสได้คุยกับ ไมก์ ฮอร์น นักผจญภัยที่ผมนับถือเขาเป็นดั่งพระเจ้า เขาก็บอกว่าตัวเองก็มีความไม่แน่ใจในตัวเองตอนที่อายุ 52 ปี เหมือนกันว่าคอนเทนต์ที่เขาทำนั้นเด็กรุ่นใหม่ๆ จะเข้าใจไหม แม้ว่าตอนอยู่หน้ากล้องจะดูปกติทุกอย่าง แต่พอสั่งคัตปั๊บเขาก็เกิดความกังวลว่าไม่มีใครเข้าใจเขาเหมือนตอนยุค 80s หรือตอนเขาเป็นหนุ่มๆ เลย ผมถามเขาว่าตอนลูกๆ ยังเล็กแล้วเขาไปปีนเขาเอเวอร์เรสต์หรือ K2 คุณไม่รู้สึกเห็นแก่ตัวบ้างเหรอ คุณอาจจะตายได้นะ เขาตอบผมว่า “ไม่เลย” เพราะที่บ้านสนับสนุนเขา และสิ่งที่เขาทำ เขาได้คำนวณทุกอย่างไว้หมดแล้ว ถ้าคุณจะผจญภัยแล้วไม่คำนวณเรื่องความเสี่ยงให้ดี ไปตรงไหนไหวตรงไหน ไม่ไหวคุณก็ต้องถอย ตอนเขาปืนภูเขา K2 เขายอมไต่ลงมาถึงสี่ครั้งเพราะรู้ตัวเองว่าไปไม่ไหว ซึ่งการยอมถอยไม่ใช่ตราบาปเพราะเขาไม่ได้คิดถึงแค่ตัวเองเท่านั้น สิ่งที่เขาพูดมาสร้างพลังให้ผมอย่างมาก

        ต้า: ต้องบอกก่อนว่าเรเป็นคนที่ไม่ค่อยเชื่อใครง่ายๆ ถ้าใครที่ทำให้เรเชื่อได้ แสดงว่าคนคนนั้นมีพลังงานบางอย่างอยู่ในตัว

        เร: บอกเลยว่าแทบจะตั้งศาลเจ้า ไมก์ ฮอร์น ให้เลย

ย้อนกลับไปในวันที่วง Barbies ขึ้นไปเปิดตัวในคอนเสิร์ตของวง Green Day และได้รับการตอบรับที่ไม่ดีกลับมา เหตุการณ์ครั้งนั้นมันแย่กับต้าจนทำให้ไม่มีเรื่องไหนทำอะไรคุณได้อีกเลยหรือเปล่า

        ต้า: ไม่เลย ตอนนั้นผมโชคดีที่ได้ขึ้นไปเล่น แต่ผมโชคร้ายที่ขึ้นไปผิดเวลา ผมคิดแค่นั้นเอง ผมไม่ได้เจ็บปวดอะไรเลย ผมภูมิใจเสียด้วยซ้ำ แต่ผมรู้สึกเฟลตรงที่เราทำให้คนดูชอบเราไม่ได้ แต่หลังจากวันนั้นก็มีวงดนตรีไทยมากมายที่ได้ขึ้นเล่นเป็นวงเปิดให้กับศิลปินต่างประเทศกลับไม่มีใครจำวงไหนได้เลย แต่ Barbies คนกลับจำได้ เพื่อนยังแซวเลยว่าวงทำมาร์เกตติ้งดีนะ มีคนจำได้ ดังนั้น อยู่ที่เราว่าจะเลือกมองมุมไหน ผมภูมิใจนะที่ บิลลี โจ อาร์มสตรอง นักร้องนำ มาถ่ายรูปผมและบอกผมว่าเราไม่จำเป็นต้องยอมทำอะไรที่เราไม่อยากทำ ผมไม่อยากแต่งหน้าก็ไม่ต้องแต่ง หรือหลังลงมาจากเวทีเขาก็มาตบไหล่แล้วบอกว่า มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่มีคนโห่เรา เขาก็เคยโดน ความท้าทายที่ผมยังไม่สามารถก้าวผ่านมาได้มีแค่ผมไม่สามารถทำให้เพลงของ Barbies ดังในกลุ่มคนฟังเพลงทั่วไปได้ ผมอยากให้สมาชิกในวงสามารถเลี้ยงตัวเองได้จากการเล่นดนตรี

        เร: เหมือนเราถูกตราหน้ามาตั้งแต่อายุ 17 ปีแล้วว่าเราไม่สามารถจะแมสได้ งานของเรามีความเฉพาะกลุ่มมาก คำนี้ผมได้ยินมาตั้งแต่สมัยทำรายการ Teen Talk แล้ว พอโตขึ้นมาก็ยังมองว่างานของเราเฉพาะกลุ่ม ก็เฉพาะกลุ่มไปสิ ไม่เป็นไร

        ต้า: แต่บางทีก็เสียดายเพราะเราอยากให้นักดนตรีสามารถเล่นดนตรีไปได้นานๆ และมีวงดนตรีอีกเยอะมากที่ไม่สามารถเลี้ยงชีพด้วยการเล่นดนตรีได้ โดยเฉพาะถ้าคุณไม่แมส คุณก็จะอยู่ในวงการดนตรียาก

“ผมกลัวว่าสิ่งที่คิดหรือเข้าใจมาตลอดเวลาจะเป็นความเข้าใจผิด แต่สุดท้ายเราก็เข้าใจอีกทีว่ามึงไม่มีทางเข้าใจทุกอย่างบนโลกใบนี้ได้ ดังนั้น ก็อย่าไปกลัว เพราะมีเรื่องให้เราไม่เข้าใจอีกเยอะแยะจนวันตายเลย”
-ต้า Barbies

Barbies จะมีผลงานใหม่ๆ ออกมาอีกไหม

        ต้า: ทำไมถามเหมือนพี่รุ่ง (รุ่งโรจน์ อุปถัมภ์โพธิวัฒน์ ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารค่ายเพลง Smallroom) เลย เรากำลังจะมีเพลงใหม่ปล่อยออกมา และจะเอาเพลงของ Barbies ที่ผ่านๆ มารวมเป็นอัลบั้ม ซึ่งอัลบั้มนี้มาจากที่พี่รุ่งบอกไว้ว่าช่วยทำหน่อย เขาอยากให้ Barbies มีอัลบั้มที่เป็นชิ้นเป็นอันออกมาสักชุด จะเป็นซีดีหรือแผ่นเสียงก็ได้ ซึ่งสิ่งนี้ก็เป็นความท้าทายของผมเหมือนกันที่อยากทำให้จบ ซึ่งสองวันแรกที่ต้องกลับมาเข้าห้องอัดเสียง ผมเขินมากเลยนะ เพราะใจคือไม่อยากทำเพลงแล้ว แต่พอวันที่สามกลับรู้สึกสนุก ก็ยังแปลกใจเหมือนกันว่าทำไมถึงรู้สึกสนุกได้

แต่ต้ากับเรก็เลือกเองด้วยไม่ใช่เหรอที่จะไม่เข้าสู่ความแมส

        เร: ถ้าย้อนกลับไปตอนอายุ 20 ปี ถ้าผมเล่นละครก็อาจจะเป็นทางหนึ่งที่ทำให้เราเป็นที่รู้จักได้ แต่ยอมรับตรงๆ เลยว่าคนที่แมสได้ต้องมีสิ่งที่ ไซมอน โคเวลล์ บอกว่าเป็น X Factor ซึ่งสิ่งสิ่งนั้นคือแรงดึงดูดให้คนสนใจคุณ คนที่ดังที่สุดไม่ใช่คนที่เก่งที่สุด ซึ่ง X Factor เป็นสิ่งที่อธิบายยาก และผมไม่มีสิ่งนี้ในตัวเลย

        ต้า: ในทางไสยศาสตร์เรียกสิ่งนี้ว่า ‘ดวง’ (หัวเราะ) ซึ่งในสามคนนี้พุฒิคือคนที่แมสที่สุดแล้ว

แต่ละคนมองวงการบันเทิงบ้านเราอย่างไรสำหรับวันนี้

        ต้า: สำหรับนักดนตรี คนรุ่นใหม่ๆ เก่งมากจริงๆ เราไม่เคยเจอเด็กที่มองไปทางไหนก็เก่งมาก่อน ถ้าเป็นคนรุ่นเรา เราจะชี้ได้เลยว่าคนนี้เก่ง คนนี้เก่ง คนนี้ไม่เก่ง ไม่เก่ง ไม่เก่ง ไม่เก่ง แต่คนตอนนี้คือเก่งหมดเลย แต่ก็เป็นปัญหาอีกเพราะเขาจะต้องคิดแล้วว่าจะเอายังไงต่อเพราะมีแต่คนเก่ง

        เร: เรื่องความเก่ง ความสามารถ ยอมรับว่ามีทุกคน แต่สิ่งที่คนไม่มีคือ… (นิ่งคิด) X Factor นั่นเอง!

        พุฒิ: ตอนนี้ผมคิดว่านักแสดงไม่ได้ว่ากันด้วยเรื่องของฝีไม้ลายมือหรือการสวมบทบาททางการแสดงกันเสมอไปแล้ว เพราะมาตรฐานในเรื่องนี้ถูกตั้งไว้แล้ว แต่สิ่งแรกที่สำคัญกว่าคือยอดไลก์ ยอดฟอลโลว์เสียมากกว่า คือการใช้มาร์เกตติ้งนำ บางครั้งเราจะเห็นพระเอกนางเอกที่เกิดขึ้นมาจากการเป็นเน็ตไอดอล ซึ่งไม่ใช่เรื่องไม่ดี แต่มันเป็นแค่การเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย แต่ก็น่าสังเกตว่าถ้ามีคนเข้ามาในวงการสักสิบคน อาจจะเหลือคนที่ทำงานกันต่อไปยาวๆ แค่คนสองคนเท่านั้นเอง ถ้าเป็นเรื่องเพลงผมยังเห็นว่ามีคนเก่งเกิดขึ้นมาเยอะจริงๆ และน่าจะอยู่ได้ยาวๆ แต่พอเป็นนักแสดงกลับมองไม่เห็นใครแบบเดียวกันนี้เลย เพราะตอนนี้แค่คุณทำอะไรสักอย่างใน TikTok แล้วได้รับความนิยม คุณก็สามารถเข้ามาเป็นนักแสดงได้แล้ว ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิด แต่แค่คงต้องดูกันไปว่าทิศทางต่อไปจะเป็นอย่างไรเพราะผมดูไม่ออกจริงๆ

        ต้า: เหมือนที่ แอนดี วอร์ฮอล เคยพูดไว้ว่า คนเราจะดังกันเพียงห้านาทีเท่านั้น ยิ่งมีแต่คนเก่งเต็มไปหมด การแข่งขันยิ่งน่ากลัวกว่ารุ่นเราด้วยซ้ำ

แล้วพุฒิเองมีคนในใจที่เป็นแบบอย่างบ้างไหม

        พุฒิ: พระพุทธเจ้าครับ คำสอนของท่านก็เป็นเรื่องจริงทั้งหมด และเป็นวิทยาศาสตร์มากๆ ที่เรามองว่าศาสนาพุทธเสื่อมหรืออะไรก็ตามมันเป็นเรื่องของพิธีกรรมทั้งนั้น เราหลงทางและมองว่าพิธีกรรมคือศาสนาพุทธ แต่ก่อนที่ผมจะมาถึงพระองค์ท่าน ผมเองก็ชื่นชอบบุคคลอื่นๆ เหมือนกัน เพียงแต่ตอนนี้เราพบว่าเรื่องที่ท่านสอนเป็นเรื่องใกล้ตัวเรามากๆ และสามารถเอามาปรับใช้ได้ ซึ่งผมก็ไม่ได้เก่งในเรื่องของธรรมะหรอก เพียงแต่ตัวเองเอาหลักคำสอนง่ายๆ มาปฏิบัติและก็พบความสุขเกิดขึ้นมา

คุณมองว่าเพื่อนตัวเองจัดการ Midlife Crisis กันแบบไหน

        ต้า: เรามองว่าตัวพุฒิเองยังจัดการเรื่องนี้ไม่ได้เลย (หัวเราะ)

        พุฒิ: ใช่ เพราะรู้ว่าตอนนี้เรากำลังดิ่งเพราะความ Midlife Crisis ที่เกิดขึ้น แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ก็รู้ว่าตัวเองกำลังเผชิญกับอะไร

        ต้า: ส่วนเรจัดการได้เพราะโชคดีที่ได้ภรรยาที่รู้เรื่อง (หัวเราะ)

        เร: แต่ถ้าพูดถึงความรู้สึกของ Midlife Crisis แบบที่เป็นอยู่ ผมรู้สึกแบบนี้มาตั้งแต่อายุเจ็ดขวบแล้วนะ คุณเองรู้สึกมั่นคงกับชีวิตไหม แล้วความมั่นคงจริงๆ คืออะไร ความมั่นคงไม่มีจริงในโลกนี้ ความสุขก็ไม่เคยมั่นคง ไม่มีอะไรที่จีรังเลย

        พุฒิ: แต่ความสุขในขั้นที่ละเอียดขึ้นสิ่งนี้เรียกว่า ‘บุญ’ ไม่ใช่การเอาเงินไปซื้ออะไรมาแล้วบอกว่านี่คือความสุข แบบนั้นมันหยาบไป ถ้าเราคิดอะไรในทางที่เป็นกุศลก็จะเป็นความสุข

        เร: เพราะคำว่า ‘มั่นคง’ นั้นซับซ้อนมาก แม้คุณจะบอกว่าตัวเองมั่นคงแล้ว แต่พอเกิดโรคระบาดที่ผ่านมาทำให้เรารู้ว่าชีวิตไม่มีความมั่นคงเลย การมีรถ มีบ้าน กลายเป็นชุดความคิดที่เก่าไปแล้ว ผมดีใจมากที่เด็กๆ ออกไปใช้ชีวิต ออกไปหาประสบการณ์ ซึ่งเราควรจะเป็นแบบนี้กันมาตั้งนานแล้ว และเพราะแบบนี้ด้วยมั้งที่ทำให้เรายังคุยกับเด็กสมัยนี้รู้เรื่อง

        พุฒิ: ทุกคนต่างมีความทุกข์ในฟอร์มของตัวเอง ดังนั้น คุณมีความสุขได้เลย นั่นคือความรู้สึกที่เป็นบุญกุศล พอเราตายไปทุกอย่างก็จบ อยู่ไปอย่างที่ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนและไม่เป็นภาระให้ใครนั้นโอเคที่สุดแล้ว

        เร: แม้ว่าผมจะเข้าใจสิ่งไหนก็แล้วแต่ แต่ผมก็จะไปหาคำตอบนั้นอีกครั้งเพื่อยืนยันว่าเราเข้าใจมันจริงๆ หรือมันอาจจะมีมุมอื่นที่เรายังไม่เข้าใจ เพราะผมยังไม่อยากให้เกมมันจบ ภาษาชาวบ้านคือหาเรื่องใส่ตัวนั่นแหละ

พวกคุณจะถ่ายทอดวิชาชีวิตอะไรให้กับลูกหรือหลานของตัวเองบ้าง

        เร: สำหรับผมคงให้ได้เป็นประสบการณ์ที่เราได้มา การมองโลก การไม่ดูหมิ่นดูแคลนคน ความรักที่ควรจะมีให้กับทุกคนเท่าๆ กัน และบอกให้เขารู้ว่าคนเรามีหลายเชื้อชาติ ผมถึงให้ลูกเรียนโรงเรียนที่มีหลายศาสนา เด็กๆ มีหน้าตาที่แตกต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง เพื่อให้เขารู้ว่ามนุษย์ไม่ได้มีกันอยู่แค่กลุ่มเดียวบนโลกนี้ ให้เขาเข้าใจว่าทุกคนก็คือคนเหมือนกันไม่ว่าจะสีผิวอะไร อ้วน ผอม สูง คุณจะไปโบสถ์วันอาทิตย์หรือคุณจะละหมาดวันศุกร์ นั่นก็เพื่อนคุณทั้งนั้น

        ต้า: ผมคงให้ได้ในเรื่องความรักความเอ็นดู เพราะผมรู้สึกว่าความอ่อนโยนเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งตอนนี้ผมรู้สึกว่าความอ่อนโยนในสังคมมันหายไป ผมอยากให้ความรู้สึกนี้กลับมา ก็เลยคิดว่าเป็นสิ่งที่ผมมอบให้กับหลานผมได้

        พุฒิ: ผมคงมอบความจริงให้ลูก ผมไม่เคยแสดงหรือปฏิบัติต่อลูกว่าพ่อดีพ่อเก่ง บางทีพ่อก็มีมุมของคนขี้แพ้ ให้เขาใช้ชีวิตอยู่ในความเป็นจริงที่สุด ผมเชื่อว่ายิ่งเรากางปีกปกป้องเขาจากความเป็นจริงมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้เขาอ่อนแอและล้มแรงมากเท่านั้นในวันหนึ่งที่เราไม่อยู่แล้ว ดังนั้น มีก็บอกมี ไม่มีก็บอกไม่มี ได้คือได้ ไม่ได้คือไม่ได้ แต่ก็มีบ้างในความที่เรารักลูก บางทีลำบากก็จะหาให้ ผมคิดว่านี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่จะสามารถให้ลูกได้ และสอนให้เขารู้จักมีความเคารพต่อผู้อื่นในทุกๆ ทาง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสัมมาคารวะ เรื่องของการใช้ชีวิตอยู่ในสังคมร่วมกับผู้อื่นยังไงให้ไม่เป็นที่รังเกียจ ไม่ไประรานทำให้ใครเดือดร้อน ผมว่ากติกากลางๆ แบบนี้ทำให้เขาเอาตัวรอดได้ในสังคม น่าจะมีเพื่อนที่ดีได้ในอนาคต และน่าจะมีคนที่รักเขา

ถ้ามีการสร้างอนุสาวรีย์พุฒิ ต้า เรขึ้นมา พวกคุณอยากให้เอาไปตั้งไว้ตรงไหน

        ต้า: ก่อนเอาไปตั้ง ช่วยแยกผมกับสองคนนี้ให้อยู่ห่างๆ ได้ไหม หรือไม่ก็เอาผมไปตั้งไกลๆ จากพวกมันเลยได้ไหม (หัวเราะ) เป็นอนุสาวรีย์ก็ยังหนีไม่พ้นเหรอเนี่ย

        เร: เอาไปทำเป็นบ้านปลาได้ไหม เวลาคนดำน้ำลงมาจะได้เห็น เป็นที่อยู่ของปะการัง สร้างประโยชน์ได้ แล้วจารึกไว้เลยว่า #@#%$^ (หัวเราะ)

        พุฒิ: ถ้าวันนั้นผมไม่อยู่แล้ว แต่สมมติว่าดวงวิญญาณผมดันไปสิงอยู่ในรูปปั้นนั้นด้วย ผมก็อยากให้เอาไปตั้งไว้บนดอยสุเทพ เพราะผมชอบอากาศเย็นๆ

“เรามองว่าคำอย่างบูมเมอร์, เจนฯ เอ็กซ์, เจนฯ วาย ถูกเอามาใช้กันพร่ำเพรื่อเหลือเกิน ถ้าคุณไปเจอเด็กอายุสิบสี่ ที่มีความคิดความอ่านดีกว่าผู้ใหญ่อายุเจ็ดสิบ ก็ถือว่าเขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่ต้องมาเทียบเจเนอเรชันอะไรกันเลย”
-เร แม๊คโดแนลด์

ถ้าวันหนึ่งมีเด็กรุ่นต่อไปมาเจอบทสัมภาษณ์นี้ อยากให้เขามองน้าๆ สามคนนี้อย่างไร

        พุฒิ: คงเป็นคนเจนฯ​ หนึ่งที่อยู่ร่วมกันในสังคมนี้แหละ เป็นพี่คนหนึ่ง หรือถ้าไม่อยากเรียกพี่ จะเรียกคุณก็ได้

        เร: แต่เรามองว่าคำอย่างบูมเมอร์, เจนฯ เอ็กซ์, เจนฯ วาย ถูกเอามาใช้กันพร่ำเพรื่อเหลือเกิน ถ้าคุณไปเจอเด็กอายุสิบสี่ ที่มีความคิดความอ่านดีกว่าผู้ใหญ่อายุเจ็ดสิบ ก็ถือว่าเขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่ต้องมาเทียบเจเนอเรชันอะไรกันเลย

        ต้า: คนแก่ที่ใช้คอมพิวเตอร์เก่งกว่าเด็กก็มี

        พุฒิ: เราไม่ต้องตัดสินกันที่อายุหรอกว่าแก่แล้วจะต้องเชยหรือต้องทันสมัย

        เร: แต่ก็ยอมรับว่าเด็กก็มีความต้องการบางอย่างที่อยากให้ตัวเองรู้สึกเท่ตลอดเวลา ซึ่งเราก็ผ่านช่วงเวลานั้นมาแล้ว พวกเราก็เคยเป็น แต่สิ่งที่ผมเจอบ่อยคือ แม่ๆ ของเด็กมักจะมาถามผมว่าจะดูแลลูกเขาที่มีนิสัยเกเรอย่างไร

        พุฒิ: พูดถึงเรื่องนี้หลายครั้ง เราก็เผลอเหมือนกันที่ไปเข้มงวดกับลูก ทั้งๆ ที่สมัยเราวัยเท่านั้นเราเองก็ไม่ได้จะดีสักเท่าไหร่ แต่สุดท้ายก็เชื่อว่าพ่อแม่อยากให้ลูกของตัวเองเก่งและดีกว่าตัวเองแน่ๆ ก็เลยพยายามไปชี้บอกว่าอันนี้ดี อันนี้ไม่ดี ซึ่งจริงๆ ผมก็เพิ่งได้คำตอบกับตัวเองเมื่อไม่นานมานี้เหมือนกันว่า นั่นคือชีวิตของเขา เราต้องปล่อยให้เขาเลือก แต่ขอแค่อย่าให้เดือดร้อนตัวเองและคนอื่น ทำอะไรก็ให้เป็นไปในทางที่สร้างสรรค์ก็แล้วกัน


เรื่อง: ทรรศน หาญเรืองเกียรติ | ภาพ: สันติพงษ์ จูเจริญ