โปรด (ดูแลฉันด้วยใจที่อ่อนโยน) คุณค่าที่ทุกคนคู่ควรจากเหล่า Uncle Ben

ดีแค่ไหนที่ได้พบเธอ ดีแค่ไหนที่เจอ ดีแค่ไหนที่ฉันได้พบเธอตรงนี้ 

แสงไฟ

        บรรยากาศการพบเจอกันในครั้งนี้ช่างดูขัดแย้งกันอย่างมาก ระหว่างบรรยากาศภายนอกที่อึมครึมด้วยเมฆสีเทา พร้อมฝนที่โปรยปรายลงมาไม่ยอมหยุด แต่ข้างในห้องที่พวกเราสนทนากันกลับค่อนข้างสดใส สนุกสนานดังท้องฟ้าโปร่งที่สาดส่องด้วยแสงอาทิตย์อ่อนๆ 

        ชื่อวงว่า Uncle Ben ส่วนตัวพวกคุณมีคาแรกเตอร์ หรือนิสัยอะไรที่ดูเป็น ‘ลุง’ บ้างไหม – เราแซว 

        ศิลปินทั้ง 4 หลุดขำก่อนที่บาสจะชิงตอบเป็นคนแรกว่า “วันนี้ก่อนออกจากบ้าน แม่ทักว่าวันนี้ไปไหน แต่งตัวโบราณจัง แล้วบ้านเราตรงข้ามเป็นอพาร์ตเมนต์ ก็มีเด็กมาแซวว่า เฮ้ย! เฟี้ยวจัง” ส่วนนับบอกว่าเขาน่าจะหลุดความเป็นลุงออกมาเยอะที่สุดแล้วด้วยคำพูดคำจาที่ใช้ศัพท์ค่อนข้างฟังดูมีอายุ 

        แม้ว่าจะผ่านมา 3 ปีแล้วจากก้าวแรก หรือแม้ว่าจะมีหลายเพลงที่ทำให้ Uncle Ben เป็นที่รู้จักมากขึ้น  แต่พวกเขากลับรู้สึกว่ายังไม่ได้เติบโตมากขึ้นเท่าไหร่  

        “พูดด้วยความรู้สึกจริงๆ เรายังรู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็กน้อยที่ยังไม่มีความมั่นใจกันเหมือนเดิม เราก็ไม่รู้ว่าจะเรียกตัวเราเองว่าศิลปินได้หรือยัง เราเป็นแค่คนที่ชอบทำเพลง ชอบเล่นดนตรี มีความสุขกับสิ่งที่เราทำ พวกเราก็ยังต้องเรียนรู้อีกเยอะ เวลาไปแสดงสด เราก็ยังเล่นผิดกันบ่อย (หัวเราะ) มีข้อบกพร่องที่ต้องแก้กันอีกเยอะ อยากจะบอกเสมอว่าเราไม่ได้เก่งอะไร แต่สนุกมากที่ได้เจอคนอื่น ได้เรียนรู้การทำสิ่งที่เราชอบขึ้นไปในอีกระดับหนึ่ง” บาสขยายความให้ฟัง

        นอร์ธกับนับเสริมอีกว่า สิ่งที่พวกเขาทำยังเหมือนเดิม ยังแต่งเพลงที่บ้านเหมือนเดิม ไปแจมกันในห้องซ้อมเหมือนเดิม แม้เวลาผ่านไปวิธีการก็ปรับเปลี่ยนไปบ้าง จับทางดนตรี พัฒนาแนวทางของตัวเองไปเรื่อยๆ แต่จุดมุ่งหมายของพวกเขาก็แค่อยากทำผลงานของตัวเอง

        “ถ้ามองในเรื่องของตัวเลขฐานแฟนคลับก็มาไกลกว่าที่เราคิดเยอะมาก ไม่ได้คิดว่าจะมีคนฟังเพลงเยอะแบบหลักล้าน” อดิ๊บตบท้าย 

ทุกทุกอย่างคือบทเรียน สอนให้เธอรู้จักโลกนี้ มีร้ายก็ต้องมีดี และเธอยังมีฉัน 

-โตไปด้วยกัน (Down)

        จากที่เกริ่นไปในช่วงแรกว่า ระยะหลังมานี้เรารู้จักวงอินดี้มากขึ้นจากความฮิตของเพลงพวกเขา จึงถือโอกาสถามเหล่าลุงเบนว่าคิดอย่างไรกับความอินดี้ และความแมส 

        “เราก็ยังมองว่าแมสกับอินดี้ก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่ อาจจะต่างกันที่วิธีการทำงานของค่าย แต่อย่างแรกเลยเราลำบากใจ” อดิ๊บตอบด้วยน้ำเสียงที่เรียบลงมา เขาอธิบายเพิ่มว่าเพราะมีหลายคอมเมนต์เข้ามาแสดงความคิดว่า ไม่อยากให้แมสเลย กลัวคุณภาพเพลงจะเปลี่ยนไป “ในมุมศิลปินอย่างเรา ขอเถอะ เราอยากมีงานเล่น อยากมีรายได้ แต่อีกมุมเราก็รู้สึกว่าไม่ได้อะไรขนาดนั้น เพลงก็คือเพลง คนทำเขาก็มีสิทธิ์เลือกว่าจะทำแบบไหน คนฟังก็มีสิทธิ์เลือกว่าจะฟังแบบไหนเหมือนกัน” 

        สมาชิกคนอื่นต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่าหากชอบฟังเพลงแบบไหน มีความสุขในการฟังดนตรีแนวใดก็ฟังแบบนั้น จะดีกว่า อย่าไปจำกัดตัวเองหรือคนอื่นเพียงแค่แบบใดแบบหนึ่ง “จะวงแมสหรือวงอินดี้ ผมว่าเราลองเรียนรู้การทำงานของกันและกัน เขาทำเพลงแบบไหน เรียนรู้กันและกัน สังคมจะน่าอยู่ขึ้น” นับเสริม

        “หรืออย่างวงที่ตอนนี้ดังมากๆ อย่าง Three Man Down หรือ Tilly Birds เขาก็เป็นวงดนตรีเล็กๆ มาก่อน เขาก็ทำเพลงที่มีคนฟัง ซึ่งเพลงเขาดีมาตั้งแต่สมัยนั้นแล้ว ตอนนี้เพลงเขาก็ยังดีอยู่ เราเลยไม่รู้ว่าแมสกับอินดี้ต่างกันอย่างไร ดังนั้น ผมว่าเพลงก็ไม่ควรจะมีกรอบ เพลงก็คือเพลง อยากฟังอะไรเราก็ฟัง” นอร์ธยกตัวอย่าง  

        พวกเขาเสริมต่อว่าตอนรวมวงกัน ความจริงไม่ได้กำหนดว่าทำดนตรีแบบไหน หรือแนวไหนเพราะเป็นการรวมตัวกันเพื่อ ‘ทำเพลงด้วยกัน’ 

ฉันเพียงอยากขอเก็บช่วงเวลานี้ของเรา อยู่เคียงข้างฉัน เหมือนวันก่อน 

– อยู่เป็นของขวัญให้ฉันก่อน (Present)

        คนที่เป็นศิลปินมักมีแพสชั่นแรงกล้าในการทำสิ่งที่ชอบ เพื่อความสุขที่เติมเต็มภายในจิตใจ แต่ขณะเดียวกันเมื่อชีวิตจำเป็นต้องขับเคลื่อนด้วยรายได้ ไม่ว่าจะศิลปินสายไหน หรือนักดนตรีคนใด ต่างก็หวังให้ผลงานตัวเองเป็นที่รู้จักและนำมาซึ่งรายได้ที่สามารถเลี้ยงชีพได้ กว่าจะก้าวไปถึงจุดที่ผู้คนรู้จักมากมายได้ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย 

        แต่ตอนนี้เหล่าลุงเบนก็ยังไม่มีโมเมนต์ของความท้อเลย อาจเพราะเป็นช่วงการเติบโตของพวกเขา อดิ๊บเล่าว่า  “ตอนแรกเราไม่ได้มีเป้าหมายใหญ่ ทำเพลงนี้เสร็จก็เริ่มทำเพลงต่อไป เรามองว่าตอนนี้เราตั้งเป้าหมายไว้คือทำอัลบั้ม เราก็รู้สึกไม่ท้อ เพราะเรามีศักยภาพที่ทำได้” 

        “อย่างเพลง อย่าเป็นฉันเลย ได้พันวิวเราก็ฉลองกันแล้ว แค่นั้นเลย” นับเสริม บาสเล่าต่อว่า “ตอนนั้นก็พูดกับเพื่อนขำๆ ว่า ถ้าล้านวิวจะเลิกกินของหวาน พอได้ล้านวิวจริง ก็เลิกได้แป๊บหนึ่ง” ทุกคนต่างหัวเราะเบาๆ ออกมา

        เราสงสัยแล้วถามว่า ทางวงไม่จำเป็นต้องมีเป้าหมายใหญ่ๆ เพื่อกดดันตัวเอง เพียงแค่ก้าวต่อไปเรื่อยๆ ก็ได้ใช่หรือเปล่า พวกเขาให้ความเห็นว่า เป้าหมายใหญ่อาจจำเป็นต้องมี แต่แค่อย่ากดดันตัวเอง หากคิดว่าตัวเองบกพร่องตรงไหน หรือมีอะไรที่ต้องปรับปรุงก็ทบทวนแล้วพัฒนาให้ดีขึ้น

        “เราพยายามไม่คาดหวังไว้มาก แค่คาดหวังกับตัวเองให้ทำเพลงสมบูรณ์เท่าที่เราจะทำได้ดีกว่า ถ้างานเราออกมาดีก็ไม่อายใครแล้ว” นับพูดด้วยรอยยิ้มน้อยๆ  

        ถ้าอย่างนั้นความคาดหวังของพวกคุณทั้ง 4 คืออะไร – เราถามต่อ

        “ก็คิดแหละว่าคนอื่นน่าจะชอบเพลงเรา เหมือนที่เราชอบเพลงเรา แค่นี้มันก็น่าจะโอเคแล้ว” บาสเสริมต่อ ก่อนที่พวกเขาจะเผยความลับของเพลง ‘อย่าเป็นฉันเลย’ ให้ฟังว่าเป็นเพลงที่อัดเสียงร้องกันในตู้เสื้อผ้า “ถ้าตั้งใจฟังดีๆ จะได้ยินเสียงนกบินผ่าน ตอนที่อัดอยู่จะมีบางแทร็กที่ได้ยินเสียงเครื่องช็อตยุง มียายช็อตยุงอยู่ข้างล่าง” อดิ๊บเล่าทุกอย่าง อย่างละเอียดยิบ 

        หลังจากนี้เราคงฟัง ‘อย่าเป็นฉันเลย’ ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป – เราแซวกลับ 

 

ลบภาพทรงจำที่เลวร้าย อย่าให้ฉัน ต้องเจ็บปวดอีกเลย

– โปรด (ดูแลฉันด้วยใจที่อ่อนโยน) Tender

        “สำหรับเพลงใหม่ของพวกเรา โปรด (ดูแลฉันด้วยใจที่อ่อนโยน) Tender เป็นการเล่าต่อจากเพลง ‘อย่าเป็นฉันเลย’ ในมุมที่คนคนนี้เติบโตไปอีกขั้นหนึ่ง คือเราผ่านความสัมพันธ์แย่ๆ มาแล้ว ได้มีเวลาพัก ได้เจอผู้คน ได้เจอสิ่งดีๆ มากขึ้น รู้สึกถึงความหวัง แต่ก็ยังไม่ได้ฮีลจนเรารู้สึกโอเคแล้ว เหมือนมีความหวังแต่ว่าตัวเองก็ยังอ่อนแออยู่ เพลงนี้จึงยังคงถ่ายทอดออกมาในมุมอ่อนแออยู่” 

        นับเล่าถึงคอนเซปต์เพลงใหม่ที่เพิ่งปล่อยออกมา เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกของคนที่กำลังเริ่มที่จะก้าวออกมาจากความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ (Toxic Relationship) ด้วยความหวังว่าความรักครั้งใหม่จะดูแลหัวใจพวกเขาด้วยความอ่อนโยน 

        ซึ่งความพิเศษของเพลงนี้คือ มิวสิกวิดีโอที่ถ่ายทอดผ่านเรื่องราวของการดูแลผู้ป่วยที่กำลังเผชิญสภาวะซึมเศร้า เพื่อย้ำเตือนว่า ให้ดูแลพวกเขาด้วยหัวใจที่อ่อนโยนนั่นเอง 

        “หลังจากเราปล่อยเพลง อย่าเป็นฉันเลย ออกไป เหมือนเป็นประตูที่ทำให้เราได้เจอคนมากขึ้น มีคนเข้ามาคุยกับเราทางโซเชียลมีเดียมากขึ้น บางคนก็เล่าชีวิตว่าเขาพบเจออะไรมาบ้าง ตอนนั้นเราเองก็ไม่ได้รู้วิธีที่ถูกต้องในการดีลกับคนที่เป็นซึมเศร้า อย่างน้อยเราก็จะพยายามรับฟังเขาและให้กำลังใจเขา พยายามเข้าใจในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับเขาก่อน” นับเล่าย้อนไปถึงเพลงดังของพวกเขาให้ฟัง 

        “วิธีที่ผมใช้คือ ใช้เวลา เพราะการใช้เวลากับใครคนหนึ่งน่าจะช่วยเขาได้ แค่ไปอยู่ด้วย หาอะไรทำ ไปกินข้าวกัน และจากที่มีคน DM หรือคอมเมนต์เข้ามา เราคิดว่าถ้าได้ทำ MV ที่เกี่ยวกับเรื่องนี้น่าจะแทนสิ่งที่เขาอยากจะพูดได้ ทำให้คนรอบข้างเข้าใจเรื่องนี้มากขึ้น” บาสเสริมถึงเหตุผลสำคัญที่ทำให้พวกเขาตัดสินใจทำมิวสิกวิดีโอเพื่อสื่อสารถึงโรคซึมเศร้า

        นอร์ธเล่าประสบการณ์ส่วนตัวของเขาให้ฟังว่า “แฟนผมเป็นซึมเศร้า ตอนนี้ก็อยู่ในกระบวนการการการรักษา เราไม่ได้ตัดสินเขา เราแค่เข้าใจในบางครั้งที่เขามีอาการดาวน์ เราก็คอยปลอบประโลมให้กำลังใจ อาจจะไม่ได้ผ่านคำพูดแต่เป็นการกระทำที่ให้เขารู้ว่าเราอยู่ตรงนี้นะ เราก็แค่เข้าใจ ยอมรับ และอยู่กับเขา”

        เราขอให้พวกเขาเลือกเนื้อเพลงที่ชอบมาหนึ่งท่อนเพื่อให้กำลังใจกับแฟนเพลงที่กำลังเผชิญกับโรคซึมเศร้าอยู่ 

        “ให้ฉัน ลบภาพทรงจำที่เลวร้าย อย่าให้ฉัน ต้องเจ็บปวดอีกเลย… ถ้าไม่ใช่ท่อนฮุกก็ต้องท่อนนี้แหละที่มันกระแทกใจ ดนตรีมันบิลด์ด้วย ขอแค่ให้ไม่เจ็บก็พอแล้ว” นอร์ธชิงตอบเป็นคนแรก นับยกมือต่อว่าเขาก็ชอบท่อนนี้เหมือนกัน

         “โปรดดูแลหัวใจดวงนี้ที่แตกสลาย… จังหวะนี้มันดีในตัวมันอยู่แล้ว” บาสตอบเป็นคิวถัดไป อดิ๊บจึงต่อเพลงด้วยท่อน “ด้วยใจที่อ่อนโยน… ไม่ใช่แค่ทำให้เราดีขึ้นนะ แต่ทำด้วยใจจริงๆ” บาสเสริมต่อว่า “ความรักที่ต้องดูแลด้วยความประณีต เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนจริงๆ” 

 

“โปรดดูแลหัวใจดวงนี้ ที่แตกสลาย ด้วยใจที่อ่อนโยน”

        เวลาล่วงเลยไปอย่างรวดเร็ว แต่ความอึมครึมที่โปรยปรายไปด้วยสายฝนยังคงตกอย่างต่อเนื่อง ราวกับท้องฟ้ากำลังเศร้าอย่างหนัก แต่เราคงต้องปล่อยให้เหล่าลุงเบนไปพักผ่อนแล้ว จึงให้ฟังเขากล่าวทิ้งท้าย 

        “ผมมักจะเห็นคนชอบบอกวงเรามีเพลงที่เป็นเพื่อนเขาได้ เขาเศร้ามาแล้วมีเพลงเราเป็นเพื่อน เรารู้สึกดีใจมากๆ ที่เพลงเราได้ฮีลใจเขา” นอร์ธว่า

        “ถ้าไม่มีเพื่อน หรือไม่มีใคร ให้ Uncle Ben เข้าไปดูแลหัวใจได้ ให้เราอยู่เป็นเพื่อนในยามที่ไม่โอเค” บาสเสริมด้วยร้อยยิ้มกว้าง  

        “ถ้าได้ฟังแล้วหวังว่าเพลงนี้จะมีความหมายอะไรบางอย่าง หวังว่าเพลงนี้จะอยู่กับเพื่อนในเวลายากๆ พวกเราสี่คนอาจจะไม่สามารถบอกได้ว่าทำอย่างไรชีวิตคุณจะดีขึ้น แต่ช่วงเวลายากๆ หวังว่าเพลงนี้จะอยู่เป็นเพื่อนได้” นับจบก่อนจบสนทนานี้ไปอย่างสวยงาม 

        แม้ช่วงนี้ฝนจะยังคงตกต่อไป แต่หากทุกคนที่ได้ฟังเพลง โปรด (ดูแลฉันด้วยใจที่อ่อนโยน) Tender แล้วขอให้ฝนในใจเริ่มซา แล้วพบกับไออุ่นจากแสงแดดของฟ้าหลังฝน 


เรื่อง: คุลิกา แก้วนาหลวง | ภาพ: สันติพงษ์ จูเจริญ