เจ ชนาธิป

ชนาธิป สรงกระสินธ์: ความฝันของพ่อสิ้นสุดลงตั้งแต่ตอนที่เราติดทีมชาติ ต่อจากนั้นคือความฝันของเรา

‘ปกติเจอตัวผมยากนะเนี่ย ผมกลับมาทีหนึ่งไม่ค่อยมีใครได้เจอหรอก’ เจทักทายเราด้วยเสียงหัวเราะและท่าทีขี้เล่น เหมือนที่เรามักเห็นตามสื่อต่างๆ

        เบื้องหน้าเราคือ ชนาธิป สรงกระสินธ์ หรือที่เรารู้จักกันในนาม เมสซี่ เจ นักฟุตบอลหนุ่มที่ถือได้ว่าเป็นจุดสูงสุด และเป็นความหวังของวงการฟุตบอลไทยในขณะนี้ เด็กหนุ่มร่างเล็กแต่มีกล้ามเนื้อแน่นหนาตามฉบับนักกีฬา สีผิวที่คล้ำแดดจากการฝึกซ้อมและลงแข่งขัน ภายใต้ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มนั้น เราสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งและเลือดนักสู้บางอย่างที่แผ่ออกมาจากเขา

        หนุ่มน้อยที่ถูกยกย่องให้เป็นซูเปอร์สตาร์แห่งวงการลูกหนังไทย เขาแจ้งเกิดกับทีมชาติตั้งแต่อายุยังไม่ถึงยี่สิบ สร้างชื่อกับสโมสรใหญ่ในไทยลีก ก่อนที่จะย้ายไปค้าแข้งกับทีมคอนซาโดเล ซัปโปโร ในศึกเจลีกที่ขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งและโหดหินที่สุดลีกหนึ่งของเอเชีย ที่นั่นเต็มไปด้วยนักเตะระดับท็อปและมาตรฐานสูง ที่ซึ่งเขาต้องละทิ้งความเป็นซูเปอร์สตาร์ในเมืองไทย ละทิ้งความสะดวกสบาย และได้พบเจอบททดสอบทั้งร่างกายและจิตใจ ทั้งในและนอกสนามอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน

        ไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าที่เส้นทางฟุตบอลของชนาธิปจะมาถึงจุดนี้ ในอดีตเขาคือเด็กชายที่ไม่ได้ชอบฟุตบอล แต่ถูกพ่อบังคับให้ฝึกซ้อมเคี่ยวกรำตั้งแต่เด็กเพราะฝันที่พ่ออยากให้ลูกชายติดทีมชาติ เขาคือเด็กชายที่ถูกปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่าจากการคัดตัวกับสโมสรฟุตบอล ที่ให้เหตุผลว่าเขามีรูปร่างที่เล็กเกินกว่าจะปะทะกับนักเตะคนอื่น เขาคือเด็กชายที่คู่แข่งพร้อมจะเตะให้ล้มระหว่างอยู่ในสนาม และถึงแม้ในวันนี้เขาจะเป็น เมสซี่ เจ แต่กระทั่งแฟนบอลบางส่วนก็ยังเคยดูถูกว่าคงไม่สามารถก้าวผ่านระดับอาเซียนได้

        แต่สิ่งเหล่านี้กลับเป็นแรงผลักดันที่ทำให้นักฟุตบอลคนหนึ่งที่มีส่วนสูงไม่ถึง 160 เซนติเมตร มุ่งมั่นพิสูจน์ตนเองบนสนามในฐานะนักฟุตบอลคนหนึ่ง เขาเลี้ยงลูกฟุตบอลผ่านความเจ็บปวดครั้งแล้วครั้งเล่าจนเติบโตเป็น ชนาธิป สรงกระสินธ์ ที่แข็งแกร่งขึ้นในวันนี้ที่อายุครบเบญจเพสพอดี

        ‘เราว่าความฝันของพ่อ มันจบตั้งแต่ที่เราติดทีมชาติแล้ว ต่อจากนี้ไปมันคือความฝันของเรา’ เขากล่าวกับเราในบางตอนของบทสนทนาที่สะท้อนให้เห็นว่าเป้าหมายของเขานั้นยังไม่ถึงจุดสิ้นสุด

        a day BULLETIN พบกับเขาในวันที่ทีมชาติไทยเดินทางมาอุ่นเครื่องกับทีมชาติตรินิแดดแอนด์โตเบโก ที่จังหวัดสุพรรณบุรี แมตช์นี้มีความสำคัญอีกอย่างคือเป็นการแข่งขันนัดอำลาให้กับ สินทวีชัย หทัยรัตนกุล ผู้รักษาประตูทีมชาติไทยที่รับใช้ชาติมาอย่างยาวนานเกินสิบปี ซึ่งนักเตะไทยที่ค้าแข้งอยู่ในเจลีกของญี่ปุ่นทั้ง ธีรศิลป์ แดงดา และ ธีราทร บุญมาทัน ได้เดินทางกลับมาร่วมฟาดแข้งเป็นเกียรติให้กับรุ่นพี่ทีมชาติในครั้งนี้ แน่นอนว่ารวมถึงชนาธิปด้วย

        ตอนอยู่ข้างสนาม เขายังคงสวมชุดวอร์มทีมชาติสำหรับฝึกซ้อม และถือรองเท้าสตั๊ดขนาบข้างตัวตลอดเวลา ในวัยเพียง 25 ปี ยังมีสิ่งกีดขวางให้เขาเลี้ยงชีวิตหลีกหลบอีกมากมาย และพร้อมจะยิงประตูไปสู่เป้าหมายที่ไกลออกไปเรื่อยๆ

        ต่อจากวันนี้ไปหากเรามีโอกาสได้ดูเขาลงสนาม ความรู้สึกเอาใจช่วยของเราคงมากขึ้นกว่าเดิม เพราะเราได้รู้แล้วว่าบนแผ่นหลังเล็กๆ แต่แข็งแกร่งนั้นเขาได้แบกอะไรไว้ และขาทั้งสองข้างนั้นเขาเคลื่อนผ่านอะไรมาบ้าง

 

เจ ชนาธิป

คุณได้รับการโหวตจากนักเตะญี่ปุ่นว่าเลี้ยงบอลเก่งเป็นอันดับ 2 ของลีก แถมยังพาทีมเก็บแต้มเยอะที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร ดูเหมือนทุกอย่างกำลังไปได้สวยในเจลีกใช่ไหม

        ต้องขอเล่าแบบนี้ก่อนว่า ปีที่ผ่านมา เราไปในช่วงครึ่งฤดูกาลหลัง ก่อนที่จะได้ไปก็ค่อนข้างลำบาก ต้องคุยกับหลายฝ่าย พอไปถึง เงินเดือนก็อาจจะไม่ได้เท่าเดิม แต่เรารู้สึกว่าถ้าไม่ไปซะตั้งแต่ตอนนั้น เราก็คงไม่ได้ไปอีกเลย เราเล่นฟุตบอลอาชีพที่ไทยและก็เป็นข้าราชการตำรวจด้วย พ่อก็มาถามย้ำว่าจะไปจริงๆ เหรอ เหมือนแกล้งถาม เพราะเขาก็อยากให้เราไปให้ไกลที่สุด แต่ก็อยากให้เป็นตำรวจด้วย ซึ่งถ้าเราไป ก็ต้องออกจากข้าราชการ จนท้ายสุดเราก็บอกพ่อว่า นี่เป็นความฝันของเรา เจลีกคือความฝันที่เราอยากไปเล่น

        ก่อนไป เราเหมือนเป็นผู้เล่นระดับท็อปที่นี่อยู่แล้ว แต่พอไปอยู่ที่นู่น คนก็กลัวว่าเราจะไปทำตัวเป็นซูเปอร์สตาร์ แต่พอเราไปถึง เราไหว้ เรายิ้ม เราให้ความเคารพทุกคน ทำตัวเหมือนเดิมในทุกวัน และก็พยายามพิสูจน์ให้เขาเห็น ซ้อมให้หนัก เล่นให้ดี ก็มีความกดดันเยอะมากในตอนนั้น แรกๆ ไปก็ยังไม่ได้ลง ได้ไปซ้อมกับทีมสำรองของเขา พอเริ่มทำให้เขาเห็นว่าเราทำได้ โค้ชก็เริ่มจับลงเล่นสม่ำเสมอ

        แต่ความเป็นจริงก็ยากอยู่ ด้วยแท็กติกของฤดูกาลที่แล้ว ทีมเราเล่นเกมรับมากกว่าเกมรุก ทำให้รู้สึกว่ามันไม่ค่อยเป็นตัวเราเท่าไร ต่างจากบทบาทที่เคยได้รับตอนอยู่เมืองไทย แต่เราก็พยายามคิดว่าเป้าหมายคือต้องช่วยให้ทีมอยู่รอดไม่ตกชั้น สุดท้ายก็ทำได้ ถามว่าเรามีฤดูกาลที่ดีไหม ก็ถือว่าดี แต่สถิติส่วนตัวเราแย่มาก

        แต่พอมาฤดูกาลนี้มีการเปลี่ยนโค้ช ก็เป็นช่วงที่เราต้องสู้อีกแล้ว ไม่มีใครรู้หรอกว่าภายใต้การคุมทีมของโค้ชคนใหม่จะเป็นยังไง เขาก็จับเราเล่นระบบใหม่ ซึ่งทำให้เรียนรู้ว่ามันมีระบบแบบนี้ด้วย ช่วงแรกๆ ก็โดนด่าเยอะเหมือนกัน ความจริงเราก็มั่นใจว่าตัวเองมีทักษะดีอยู่แล้ว แต่สุดท้ายก็ยังโดนจับไปเล่นทีมสำรองอยู่ดี แล้วช่วงนั้นมีข่าวเรากับคนรักเก่าอีก ก็เลยเป็นช่วงที่ต้องสู้มาก

ช่วงที่มีข่าวมันหนักหนาขนาดไหนสำหรับคุณ

        คือปกติเราจะเป็นคนยิ้มง่าย หัวเราะง่าย แต่พอกลับญี่ปุ่นไป เชื่อไหมว่าโค้ชเขาคุยกันในทีมสตาฟฟ์เลยว่าเราเป็นโรคซึมเศร้าหรือเปล่า เขาก็มาถามเราว่าเป็นอะไรไหม เพราะเขาสังเกตเห็นว่าเวลากินข้าวเสร็จ เราก็จะรีบขึ้นห้องเลย ไม่คุยกับใคร เหมือนเป็นโรคซึมเศร้า แต่จริงๆ เรารู้ตัวนะว่าไม่ได้เป็น แค่ยังรู้สึกเศร้าอยู่ เพื่อนร่วมทีมก็มาถาม เราก็เล่าให้เขาฟังว่าเกิดอะไรขึ้น ทุกคนก็เข้าใจ แต่สุดท้ายไม่ว่าจะยังไง พอลงสนามก็ต้องรู้ว่ามันคือหน้าที่ที่ต้องทำให้ดีที่สุด เพราะคิดอยู่เสมอว่าเราคือตัวแทนทีมชาติ 

        หลังจากนั้น เราก็สู้จนกระทั่งได้ลงตัวจริงอย่างต่อเนื่อง เริ่มทำผลงานได้ แล้วสุดท้ายก็ได้รับความไว้วางใจจากโค้ช เขาเอ็นดูเราเหมือนลูกเลย เราก็รู้สึกขอบคุณที่เขาทำให้ตัวเราได้พัฒนา รวมไปถึงเพื่อนร่วมทีมที่เริ่มยอมรับเรามากขึ้นด้วย จนมาถึงทุกวันนี้ เพื่อนร่วมทีมเขาพูดกันว่าเราเป็นนักเตะที่ดีที่สุดของทีมไปแล้ว ก็แฮปปี้มาก แต่ถามว่าหลงตัวเองไหม เราไม่คิดแบบนั้น เราคิดว่าเราก็ยังมีสิ่งที่ต้องเรียนรู้จากพวกเขาอีกเยอะ

ชีวิตประจำวันที่ซับโปโรเป็นอย่างไร ยังมีปัญหาในการซ้อมและการลงเล่นอยู่ไหม

        ชีวิตที่นั่นคือซ้อมเช้า ซ้อมเสร็จกินข้าวกลางวัน แล้วต้องกลับมานอน แล้วก็กินข้าวเย็น แล้วก็กลับมานอน เป็นแบบนี้ประจำ คุณรู้ไหมผมนอนเล่นเกมคนเดียวทุกคืน เหงาฉิบเป๋งเลย จากที่เคยได้พูดคุยกับเพื่อนๆ ที่เมืองไทย ตอนซ้อมก็ได้คุยกันสนุก เล่นกันสนุก แต่พอเป็นชีวิตที่ญี่ปุ่น ความกดดันเรื่องการเป็นนักเตะต่างชาติก็เป็นส่วนหนึ่ง ซ้อมต้องดี แข่งต้องดี

        คือในทุกๆ วันจะรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าเหนื่อย เพราะมันคือการทำงานที่ซีเรียส ที่นั่นเป็นมืออาชีพ ตรงต่อเวลา ซื่อสัตย์ ไม่เล่นสกปรก ทุกคนโคตรมีวินัย คุณภาพเขาเลยดี เชื่อไหมว่าวันไหนซ้อมไม่ดีจะรู้สึกนอยด์ตัวเองมาก บางทีกล้ามเนื้อเหนื่อยมาก วิ่งไม่ออก แล้วพอถึงเวลาแข่งต้องเล่นให้ดี มาตรฐานต้องไม่ตก ถ้าเล่นไม่ดี เวลาแข่งแล้วแพ้ เราจะเศร้ามาก แต่วัฒนธรรมคนญี่ปุ่นจะบอกว่าให้ลืมนัดนี้ไปเลย สู้กันในนัดใหม่ เขาจะไม่มาด่า แต่เอาไปแก้ไข ฝั่งแฟนบอลญี่ปุ่น เขาก็จะมีพื้นที่ระหว่างเขากับนักกีฬา แต่เราเป็นคนเฟรนด์ลี เพื่อนในทีมจะชอบเรา แล้วเราก็แฮปปี้ ถือว่าเริ่มปรับตัวได้แล้ว

 

เจ ชนาธิป

เป็นเพราะคุณยังอายุน้อยอยู่ด้วยหรือเปล่า ทำให้รู้สึกว่าอะไรๆ มันยังเป็นเรื่องยากอยู่

        ตอนนี้เรา 25 แล้วนะ ตอนไปเราอายุ 24 ปี แต่ความจริงถ้าเป็นไปได้ เราอยากให้นักฟุตบอลไทยมาตั้งแต่อายุ 18-19 ด้วยซ้ำ สุดท้ายคุณภาพชีวิตคุณจะดี แล้วคุณจะได้พัฒนาตัวเองขึ้นไปแน่นอน

        เวลาเราอยู่เมืองไทย ถามว่าเราชอบกินอาหารไทยไหม แน่นอนว่าเราชอบ เราก็กินแต่กะเพราหมูสับไข่ดาว คือตามใจปากใช่ไหม แต่ถามว่าสำหรับนักกีฬาอาชีพ มันจะมีประโยชน์พอหรือเปล่า กล้ามเนื้อจะไปใช้งานเยอะได้ยังไงถ้าอาหารการกินยังไม่ถึง แต่พอมาอยู่ญี่ปุ่น อาหารเขาครบ 5 หมู่ เราตัวใหญ่ขึ้น น้ำหนักเราเยอะขึ้น กล้ามเนื้อเยอะและแน่นขึ้น คือมันพัฒนาเราทุกๆ ด้าน เหมือนเราต้องพยายามและพิสูจน์ตัวเอง จนได้เซ็นสัญญาตอนอายุ 24 ปี ก็คลายความกดดันไปได้เยอะ

        แต่ตอนนี้เรา 25 ปีแล้ว เรากลับคิดว่า โฮ้! แก่แล้วนี่หว่า (หัวเราะ) เพราะเราทำงานตั้งแต่อายุ 17 แล้วอาชีพนักฟุตบอลมันสั้นมากนะ อีก 5 ปี 10 ปี มันก็จะหมดการทำงานของเราแล้ว บางทีก็จะคิดเยอะกับเรื่องอะไรแบบนี้ ถ้าไม่ได้เล่นบอลแล้วจะไปทำอะไรดี มันไม่ได้มั่นคงขนาดนั้น คุณอาจจะมีเงินเยอะช่วงที่เล่น แต่ช่วงที่เลิกเล่นไปแล้วจะทำยังไง คือก็ต้องเริ่มคิด เหมือนเราต้องเริ่มโตแล้ว ต้องวางแผนแล้วว่าอยากทำอะไรหลังจากนั้น

อายุ 25 ถือว่าแก่แล้ว

        มันเป็นในแง่ความรู้สึกข้างในมากกว่า เพราะเราทำงานหนักมาตั้งแต่อายุน้อย แต่จริงๆ แล้วทุกคนมองว่าเรายังเด็กอยู่เลย ถ้าในแง่ของฐานะอาชีพก็ถือว่ายังเด็ก ต้องสามสิบเราถึงจะมองว่าเริ่มแก่ อย่างเราก็เหลืออีกสัก 5 ปี ตอนนี้เรายังมีสปีดดีอยู่ แต่พอสามสิบขึ้น เราก็ต้องปรับจังหวะ ปรับเทคนิค ประสบการณ์จะสอนให้รู้ว่าควรทำอะไร ความคิดเราคงจะเปลี่ยน การมาเป็นนักฟุตบอลอาชีพจริงๆ ซ้อมก็เหนื่อย แต่ยังไงๆ ต้องมีวินัยกับมัน เล่นก็ต้องดี มันคือการทำงานแบบผู้ใหญ่ บางครั้งเราก็นึกอยากกลับไปเป็นเด็กนะ เพราะไม่มีภาระอะไร ไม่ต้องคิดเยอะ เล่นบอลไปเพื่อความสนุก ไม่รู้จักคำว่าเหนื่อย

ก็เพราะตัวคุณเองที่อยากเป็นนักฟุตบอลมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วไม่ใช่เหรอ

        นี่เราจะเล่าให้ฟัง คือที่บ้านเรานับถือหลวงพ่อวัดไร่ขิง จังหวัดนครปฐม ตอนแม่ท้องเรา พ่อก็ไปบนขอให้ได้ลูกผู้ชาย พ่อรักฟุตบอลมาก แล้วฝากดวงเราไว้กับหลวงพ่อ พ่อเราอยากมีลูกติดทีมชาติ ดังนั้นพอเราเกิดมา เขาก็ปักธงเลยว่าเราจะต้องเป็นนักฟุตบอลอาชีพและติดทีมชาติให้ได้ด้วย เคี่ยวเข็ญหนักมาก เราเคยถามพ่อว่าทำไมต้องซ้อมขนาดนี้ ซ้อมไปทำไม ซ้อมไปก็ไม่เห็นมีอะไรเลย คือตอนนั้นเรายังไม่รู้อนาคตไง ยังเด็กอยู่ด้วย การซ้อมทุกวันแบบเดิมๆ มันน่าเบื่อจะตาย ทั้งเช้าทั้งเย็น บางทีโดนตีเลย เหมือนพ่อก็รู้สึกผิดนะที่ตีเรา แต่มาจนถึงทุกวันนี้ เรากลับคิดได้ว่า ถ้าวันนั้นเราไม่ได้พ่อเคี่ยวเข็ญ เราก็คงไม่มาถึงจุดนี้

        เพราะเมื่อก่อนเราไปคัดตัวที่ไหนก็ไม่เคยติดเลยเพราะเขาบอกว่าเราตัวเล็กเกินไป จนเราแอบคิดในใจว่า แล้วสักวันพวกนั้นจะต้องเสียดาย ตอนนั้นพ่อจะคอยถามว่าสู้ต่อไหมลูก เราก็จะตอบไปว่าสู้ครับพ่อ เราก็กลับไปคัดใหม่ จนสุดท้ายก็สอบติด ได้เรียนที่พาณิชย์ราชดำเนิน เพื่อนๆ เราติดทีมชาติตั้งแต่เยาวชนรุ่น 12 ปีแล้วนะ แต่เรามาติดตอนรุ่น 18 ปี ตอนไปคัดก็ไม่รู้ว่าจะติดไหม แต่พอรู้ว่าได้ วันนั้นเราร้องไห้เลยนะ ดีใจมาก ถามว่าทั้งหมดนี้มันเพราะอะไร เรามีพรสวรรค์ไหม เราว่าเราก็มีพรสวรรค์ครึ่งหนึ่ง พรแสวงครึ่งหนึ่ง 

สุดท้ายแล้ว ต่อให้มีพรสวรรค์แค่ไหน แต่ถ้าไม่มีพรแสวงที่จะทำให้มันเก่งขึ้น มันก็ไปได้ไม่ไกล

ความฝันของคุณกับฝันของพ่อมาบรรจบกันตอนไหน ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เริ่มรู้สึกรักฟุตบอล

        ความรักเนี่ย เราไม่รู้ว่าใครนิยามกันมายังไง แต่จะให้จู่ๆ มาเจอกันแล้วรักเลย มันเป็นไปไม่ได้ เหมือนถ้าไปเจอผู้หญิงสักคน มันอยู่ที่การเริ่มต้นพูดคุย พอพูดคุยเสร็จก็จะเป็นความผูกพัน มันก็เหมือนกับฟุตบอล พอเราได้อยู่กับมันไปทุกวันๆ ก็กลายเป็นความผูกพันที่เราขาดมันไม่ได้ พอขาดไม่ได้ เราก็รู้สึกว่านี่แหละที่เรียกว่าความรัก ถามว่าเราเลิกเล่นฟุตบอลได้ไหม แน่นอนว่าเลิกไม่ได้หรอก เพราะเรารักมันไปแล้ว และมันก็รักเราด้วย เหมือนฟุตบอลคือลมหายใจ ถ้าไม่มีฟุตบอล เราก็เป็นแค่เด็กธรรมดาๆ ที่ไม่มีใครรู้จัก แต่พอมีฟุตบอล มันให้ทุกอย่างกับเรา ให้คนที่รักเรา ให้เงินทอง เกียรติยศ ชื่อเสียง ทุกคนรู้จักเราก็เพราะฟุตบอล ทุกคนรักเราก็เพราะฟุตบอล ทุกคนให้เกียรติเราก็เพราะฟุตบอล ฟุตบอลมันให้ทุกอย่างกับเราจริงๆ 

ทุกวันนี้ คุณทำตามความฝันของพ่อหรือของตัวเองมากกว่ากัน

        ความฝันของพ่อมันสิ้นสุดลงตั้งแต่ตอนที่เราติดทีมชาติแล้ว ต่อจากนั้นมันคือความฝันของเราเอง เราทำสำเร็จแล้วหนึ่งอย่างคือการมาเล่นที่เจลีก ต่อจากนี้ไปก็คิดว่าถ้ามาถึงขนาดนี้แล้ว เราต้องพัฒนาให้ไปถึงยุโรปให้ได้ มันอาจจะฝันไกลไปหน่อย แต่ถ้าเราทำเต็มที่ มันก็อาจจะเป็นไปได้ก็ได้ เพราะตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยคิดว่าจะมาไกลขนาดนี้เหมือนกัน

        เราว่าถ้าคนเราหยุดฝันมันก็เหมือนกับการหยุดพัฒนาตัวเอง รู้ไหมว่าตอนที่เรายังไม่ได้เป็นชนาธิปเหมือนทุกวันนี้ เมื่อก่อนเวลาลงสนาม ทุกคนก็จะมองแล้วพูดว่า เฮ้ย ตัวเล็กอะ จะเล่นได้เหรอ? แต่พอลงไปเล่น ทุกคนกลายเป็นชื่นชมหมดเลย แต่ทุกวันนี้ คำนั้นมันเหลือน้อยแล้ว เพราะเราคือชนาธิปไปแล้ว แต่ตอนนั้นมันยังไม่มีใครรู้จัก เราก็คิดว่าต้องพิสูจน์โดยการเล่นให้คนจดจำเราให้ได้ ส่วนพ่อเราตอนนี้ เขามีความฝันใหม่คืออยากปั้นหลานให้เล่นฟุตบอลเก่ง เขาบอกว่าจะปั้นหลานคนนี้เพื่อฆ่าชนาธิป (หัวเราะ) เราก็โอเค จะรอดู

 

เจ ชนาธิป

 

นักกีฬาที่ประสบความสำเร็จระดับคุณ ภายในใจเขาต้องมีความทะเยอทะยานและอยากเอาชนะมากขนาดไหน

        เราว่าเราเป็นคนค่อนข้างใจดีนะ (หัวเราะ) แต่ก็มีมุมใจร้อนเหมือนกัน ขี้หงุดหงิด ถ้าถามว่าเวลาเล่นฟุตบอล เราอยากเอาชนะไหม อืม… คือสุดท้ายแล้วมันก็อยู่ที่ว่าเราเล่นเพื่ออะไร ส่วนใหญ่ก็จะเล่นเพื่อสโมสร เพื่อแฟนบอล เพื่อตัวเอง เรียงลำดับตามนี้ พอแพ้เราก็จะเศร้า พอได้มาเป็นนักฟุตบอลอาชีพ เราก็ต้องอยากเอาชนะแหละ ไม่ได้เล่นเพื่อสนุกอย่างเดียว ถ้าชนะ มันก็คือการทำงานอย่างหนึ่งประสบความสำเร็จ เหมือนเราทำงานหนักเพื่อที่จะไปเอาชนะคู่ต่อสู้

        ในเกมฟุตบอล พอลงไปในสนาม เราอาจจะเจอวันที่ตัวเองเล่นไม่ดี หรือทีมเล่นไม่ดีเลย และถึงแม้วันนั้นทีมเล่นดี เราอาจจะแพ้ก็ได้ มันก็มีหลากอารมณ์ เราต้องอยากชนะอยู่แล้ว ไม่มีใครอยากแพ้หรอก พอแพ้มาก็มีความรู้สึกว่าวันนั้นไม่อยากคุยกับใครเลย จะหงุดหงิด ไม่อยากคุยกับเพื่อนร่วมทีม ไม่อยากคุยกับแฟนบอล แต่เราก็ต้องฝืนยิ้มนะ ถ้าเราแสดงท่าทางไม่ดีออกไปคนก็อาจเอาไปพูดไม่ดีอีก แต่อย่างที่ต่างประเทศเขาไม่สนใจหรอก ถ้าคุณเล่นดี แฟนๆ ก็ต้องตามคุณอยู่ดี นักบอลเก่งๆ หลายคนถามว่าชีวิตส่วนตัวเขาเป็นยังไง เราก็ไม่รู้ แต่สุดท้ายเราก็ต้องตามเขาอยู่ดี เพราะผลงานในสนามเขาดีอยู่ใช่ไหม ต่อให้เขาดูดบุหรี่ ไปทำไม่ดีกับคนอื่น ในสนามผลงานดี สุดท้ายคุณก็ยังเชียร์ นี่คือฟุตบอลอาชีพ

        เราพูดเสมอว่าในการจะทำอะไรสักอย่าง และในทุกๆ อย่าง มันไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ หรอก ทุกอย่างต้องมีอุปสรรคบนเส้นทางของมัน ถ้าคุณอยากเป็นนักกีฬา คุณต้องซ้อมให้หนัก ผลลัพธ์อาจจะไม่ได้มาเร็ว อาจต้องใช้เวลาสามเดือน หนึ่งปี หรือห้าปี ถ้าคุณยังอดทนอยู่บนเส้นทางที่คุณทำงานหนักต่อไป คุณอาจจะมาติดทีมชาติตอนอายุ 28-29 ก็ได้ มันเป็นจังหวะชีวิตนะ

        สิ่งสำคัญคือปัจจุบันต้องมีความพยายาม อดทน แล้วอนาคตที่ดีจะตามมาเอง แต่เราไม่รู้หรอกว่าทุกคนจะไปถึงจุดที่เป็นความฝันนั้นไหม คงเป็นไปไม่ได้ที่ว่าเรามีความฝัน แล้วจะไปถึงฝันได้ทุกคน ไม่งั้นนักบอลทุกคนก็ติดทีมชาติหมดแล้ว จริงไหม

        พระเจ้าให้ชีวิตเราเท่ากัน แต่ต้นทุนอาจจะไม่ได้เท่ากัน บางคนอาจจะพิการ บางคนจน บางคนรวย แต่สุดท้ายประเด็นมันไม่ได้อยู่ตรงนั้นทั้งหมด สิ่งที่ต้องทำคือพยายามในสิ่งที่เราอยากจะเป็น

ความสำเร็จไม่มีทางลัด มันใช้เงินซื้อไม่ได้ ถามว่าคุณใช้เงินซื้อใจคนได้ไหม อาจจะได้ แต่แป๊บเดียว เพราะคุณมีผลประโยชน์ สุดท้ายเงินไม่ใช่ทุกสิ่งในชีวิต

        มันยังมีเรื่องของการเชื่อใจ ความรัก ให้ใจกันและกันด้วย อีกอย่างหนึ่งคือคุณต้องถามตัวเองว่า ปัจจุบันคุณทำเต็มที่หรือยัง ถ้าคุณทำดีแล้ว อย่างที่บอกว่ามันอาจจะใช้เวลา คุณอาจจะไปเร็วกว่าคนอื่น หรือไปช้ากว่าคนอื่นก็ได้ แต่อย่างน้อยคุณอาจจะไปถึงเส้นชัยความฝันสักวันหนึ่งก็ได้ ชีวิตคนเราเกิดมา เราเป็นเด็กทารกร้องไห้ ก่อนจะเดินเราต้องคลาน ก่อนจะวิ่งเราต้องเดิน กว่าจะมาถึงช่วงเวลานี้ คุณเคยล้มมากี่ครั้งแล้ว ก่อนจะแข็งแกร่ง คุณเดินเตาะแตะๆ ล้มปากแตก เตาะแตะๆ ล้มหงายท้องร้องไห้ สุดท้ายทุกอย่างมันก็เหมือนตอนเราเกิดเลย ล้ม – ลุก – ร้องไห้ – ล้ม – ลุก – อุปสรรค พอเราโตขึ้นก็เรียนรู้บทเรียนที่เข้ามาสอนให้เราแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม

ทักษะฝีเท้าที่พัฒนาขึ้นในทุกวันๆ กับการเอาชนะขีดจำกัดของสิ่งที่ถูกกำหนดมาตั้งแต่เกิด สิ่งเหล่านี้มันสอนอะไรคุณบ้าง

        สอนว่าเราต้องสู้ ต้องพยายามดูว่าตัวเองขาดอะไร หรือยังไม่เก่งตรงไหน เช่น ถ้าเราตัวเล็ก ก็ต้องเพิ่มกล้ามเนื้อเข้ามา ถ้าทักษะเราพอมีแล้วก็ต้องเพิ่มสปีดเข้ามาอีก เพิ่มความคล่องตัวให้มากขึ้นอีก อืม (นิ่งคิด) ทั้งหมดนี้ก็คือต้องสู้ มันก็เท่านี้จริงๆ

        บางวันอาจจะมีอารมณ์ที่ท้อแหละ พอเราไปถึงจุดที่ตั้งเป้าไว้แล้วเกิดผิดหวังกับสิ่งที่ได้เจอ แต่สุดท้ายแล้วชีวิตก็ต้องอยู่กับความเป็นจริง มันน่าจะเป็นเรื่องที่ว่าเราได้ทำเต็มที่แล้วหรือยัง ถ้าเราทำเต็มที่แล้วจริงๆ เคยล้มมาแล้ว ผิดหวังมาแล้ว เจอครั้งแรกมาแล้ว ก็ต้องมาลองครั้งที่สองอีกสิ ครั้งที่สองนี้มันดีขึ้นไหม ถ้ามันดีขึ้น แต่ยังไปไม่ถึงจุดหมาย หากำลังใจแล้วไปสู้ใหม่ครั้งที่สามสิ เฮ้ย ครั้งที่สามนี้มันดีกว่าครั้งที่สองนี่หว่า คือเราอย่าไปจมกับความผิดหวังแค่ครั้งแรกครั้งเดียว บอกตัวเองให้ลองใหม่อีกครั้ง

        เหมือนเวลาไปสมัครงานออฟฟิศ ซึ่งเราไม่เคยสมัครงานออฟฟิศนะ แต่คิดว่ามันคงเหมือนๆ กัน ถ้าบริษัทเขาไม่รับ ก็ต้องลองสมัครไปอีกครั้ง หรือลองไปที่ใหม่เลย อย่าเพิ่งยอมแพ้แค่ครั้งเดียว แล้วพอโอกาสมาเราต้องคว้ามันไว้ สุดท้ายมันต้องมีทั้งคนที่ผิดหวังกับสมหวังแหละ ชีวิตคนปกติ โลกสร้างมนุษย์ให้มาเป็นแบบนี้ ไม่มีใครที่หัวเราะมีความสุขอยู่ทุกวันหรอก อย่างที่ผมบอก พระเจ้าสร้างเรามาพระเจ้าก็สอนเราแล้ว ล้ม ลุก คลุก เดิน แต่สุดท้ายเราก็จะเดินได้ตัวของเราเอง

ถ้าเราพยายามสู้เต็มที่แล้ว แต่ยังแพ้อยู่เรื่อยๆ ล่ะ

        ในวันที่เราล้ม ในวันที่เราขาหัก คุณรู้ไหมว่าไม่มีใครมาสนใจเราเลยนะ ฟุตบอลก็เหมือนธุรกิจ วันที่คุณเล่นได้ดี เขาจะมาสรรเสริญเยินยอคุณ แต่ถ้าเราเล่นไม่ได้แล้ว ก็อาจจะเหมือนหมาตัวหนึ่งเลยก็ได้ สุดท้ายแล้วคนที่อยู่ข้างๆ เราตลอดไป ก็คือคนที่เรารัก ก็คือครอบครัว อันนี้คือเรื่องจริงเลยนะ ดังนั้นสำหรับเรา ครอบครัวคืออันดับหนึ่ง ฟุตบอลคืออันดับสอง เวลาก่อนลงแข่งเราจึงมักจะโทรศัพท์หาแม่ ขอกำลังใจจากแม่ บอกเขาว่าวันนี้เดี๋ยวหนูจะยิงประตูนะ แม่ก็จะบอกมาว่าขอให้ชนะนะลูก ขอให้ยิงได้นะลูก เป็นบทสนทนาสั้นๆ ไม่คุยเยอะ เราจะขอกำลังใจในทุกๆ ครั้งที่แข่ง

แล้วถ้าสภาพการณ์ภายนอกมันไม่เอื้อต่อเราเลยล่ะ อย่างคุณเมื่ออยู่เมืองไทยเป็นซูเปอร์สตาร์ ทำไมถึงตัดสินใจย้ายไปเจอความลำบาก

        เราอยากข้ามขีดจำกัดของตัวเอง ข้ามจากคำสบประมาทของบางคนที่ดูถูกว่าเราไปเล่นเมืองนอกไม่ได้หรอก เราหมั่นไส้มาก ดูถูกกันจัง (หัวเราะ) คุณรู้ไหมว่า มีแต่คนเชื่อกันว่าคนญี่ปุ่นชาตินิยม เขาไม่ยอมรับคนต่างชาติ ซึ่งจริงๆ แล้วผมพบว่ามันกลับกันนะ คนไทยนี่แหละที่ไม่ยอมรับคนไทยด้วยกันเอง เราเห็นแก่ตัว ดูถูกกัน นี่คือเรื่องจริงนะ ถามว่ากฎหมายไทย พวกเรามีวินัยทำตามไหม เขาให้ขับรถความเร็วเท่านี้ มีใครทำตามไหม เขาให้รอไฟแดง คุณรอไหม ถ้าต้องต่อแถวรอคิวคุณต่อกันหรือเปล่า เราไปอยู่ญี่ปุ่นไม่ค่อยเห็นมีใครฝ่าฝืน ที่เมืองไทยใครมีเงินเยอะหน่อยแทบจะกราบ ที่นั่นเขาแต่งตัวเหมือนกันหมด คุณไม่รู้หรอกว่าคนไหนจนคนไหนรวย คือเขารู้ว่าชีวิตคือความเท่าเทียม อาจจะมีคนรวยก็ได้ แต่แต่งตัวเหมือนคนธรรมดาเลย ญี่ปุ่นแผ่นดินไหวปีละกี่ครั้ง พายุเข้าอีกกี่ครั้ง แต่เขายังรักกัน พอเราให้สัมภาษณ์ไปแบบนี้เดี๋ยวคนก็มาด่าเราอีก

        สิ่งหนึ่งที่เป็นปัญหามากของคนไทยก็คือเรายอมรับความจริงไม่ได้ เรายอมรับกันเองไม่ได้ เราดูถูกกันเองด้วยซ้ำ แล้วก็เลยทำให้เกิดการทะเลาะกันเอง สุดท้ายเราต้องออกไปดูข้างนอกตัวเราเอง เพื่อจะได้รู้ว่ามีคนอื่นที่เก่งกว่าเราอีกเยอะเลย เราเสียดายนะ เพราะไม่งั้นเราก็จะคิดแต่ว่าเราเก่งแล้วนี่หว่า สิ่งนี้ทำให้เรารู้สึกภูมิใจในตัวเองนะที่สู้มาได้ เหมือนเราทำเพื่อชาติ เป็นตัวแทนชาติ เรามีความสุขมากที่คนไทยเชียร์ มันกดดันนะ แต่สุดท้ายแล้วเราต้องอยู่กับมันให้ได้

 

เจ ชนาธิป

อยากรู้ว่าบนเส้นทางอาชีพนักฟุตบอล ในการตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิตคุณใช้หลักการไหน

        ไม่มีหลักการอะไร พอเรารู้ เราไปเลย ตัดสินใจไปเลย ไม่รีรออะไร โอกาสมาคว้าไว้เลย แล้วตอนไปนี่ก็ยิ้มแย้มแฮปปี้ แต่อยู่ไปอยู่มาทุกวันนี้ โอ้โฮ มันซีเรียสขึ้นเรื่อยๆ (หัวเราะ) ต้องคิดว่านี่คือการมาทำงานนะเว้ย เหมือนภาระเริ่มเยอะขึ้น เริ่มกดดัน เราเป็นความหวังของทีมไปแล้ว ต้องซ้อมให้ดี เล่นให้ดี ทุกวันเราโคตรเหงาเลย เราจะมีโซฟาตัวหนึ่งที่ห้อง ก็ซื้อกีตาร์มาตัวหนึ่ง นอนเล่นไปบนโซฟา บางทีก็เล่นเกม ชีวิตในทุกๆ คืนจะเป็นแบบนี้ วนเป็นรูทีนเลย

แล้วเมื่อไหร่จะกลับมาล่ะ

        ยังกลับไม่ได้ ถามว่าอยากกลับไทยไหม ตอนนี้อยากกลับมาเที่ยวเฉยๆ แต่ไม่อยากปักหลักอยู่ เพราะเราอยากเห็นตัวเองไปให้ได้ไกลกว่านี้ อยากเห็นคนไทยไปเล่นที่ญี่ปุ่นเยอะๆ อยากเห็นทีมชาติไทยไปฟุตบอลโลก อยากมีวันนั้น มันอาจจะไม่ได้ไปยุคเรา แต่อาจจะได้ไปยุครุ่นหลังก็ได้ เราอยากเห็นสักครั้ง ไม่อยากให้ใครมาดูถูกประเทศไทย เราไม่ใช่แค่ตัวคนเดียว เผลอๆ หลังเรากำลังแบกน้ำหนักคนเจ็บสิบกว่าล้านคนอยู่ก็ได้

วงการฟุตบอลอาชีพในบ้านเรายังไม่แข็งแกร่งเหมือนต่างชาติ มันทำให้นักฟุตบอลระดับท็อปๆ รู้สึกอย่างไร บนจุดนั้นคุณรู้สึกโดดเดี่ยวไหม

        (นิ่งคิด) อย่างแรกคือนิสัยเราเป็นคนที่ไม่โดดเดี่ยว บางครั้งอาจจะมีอารมณ์ศิลปินที่อยากอยู่คนเดียวบ้าง แต่เราเป็นคนที่ชอบพูดคุยกับเพื่อน ชอบเล่นเกม ชอบสนุก กลับมาก็ชอบนัดคนที่เราอยากเจอ ไปนั่งร้านกาแฟพูดคุยกัน คืออยู่ที่ญี่ปุ่นนานๆ แค่ซ้อมก็เหนื่อยแล้ว คือเราอาจจะไม่ได้ฝันเรื่องนี้อย่างโดดเดี่ยวหรอก เพราะอย่างน้อยเราเชื่อว่ามันเป็นความฝันของทุกๆ คนที่อยากเห็นเราไปถึงจุดนั้น คุณก็อยากเห็นใช่ไหม มันไม่ใช่ฝันของเราคนเดียว แต่มันเป็นฝันของคนไทยที่รักกีฬาฟุตบอลทุกคน

        เราอาจจะได้ไปเล่นลีกสเปน เยอรมัน หรืออิตาลีวันไหนไม่รู้ แต่ถ้าวันนั้นมาถึง เราจะได้ลงตัวจริงหรือไม่ มันก็ไม่สำคัญแล้ว อย่างน้อยที่สุดเราทำได้ เราไปได้ แล้วเราเชื่อว่าทุกคนก็คงดีใจไปกับเรา บางครั้งเราชอบไปดูคอมเมนต์ในโซเชียลมีเดีย ก่อนไปญี่ปุ่น คนชอบดูถูกว่าเจมันก็ได้แค่ระดับอาเซียนแหละ ไประดับเอเชียไม่ได้หรอก มันตัวเล็ก ปะทะไม่ได้ ตอนนั้นเราอยากท้าคนพูดมาเตะบอลแข่งจริงๆ (หัวเราะ) เก่งอยู่แต่หลังคีย์บอร์ด แต่เราก็พูดกับใครไม่ได้ มันก็มีทั้งคนเชียร์ ทั้งคนดูถูก พอเราพิสูจน์ได้ พวกนั้นก็เริ่มเงียบหายไป แต่เวลาเราแพ้ พวกนี้จะกลับมาเหยียบจมดินเลย (หัวเราะ)

        เราเลยตั้งใจว่าจะพิสูจน์ให้คำดูถูกเหล่านี้หายไป แต่เอาจริงๆ เราไม่ควรมาสนคำพูดพวกนั้นแล้ว เพราะในโลกมันเป็นธรรมดาที่จะมีทั้งคนรักและคนเกลียด 

ยังไม่กลับบ้าน เพราะรู้สึกรักทีมแล้วใช่ไหม

        ถามว่าเรารักทีมไหม เราก็รัก แต่ถ้ามีโอกาสที่เราจะไปได้ไกลกว่าที่เดิมหรือได้ไปยุโรป เราว่าก็ต้องไป ทีมก็คงต้องปล่อยเป็นปกติ แต่ถามว่าก่อนจะไปตรงนั้น เราประสบความสำเร็จกับทีมหรือยัง เรายิงประตูเยอะหรือยัง ได้แชมป์อะไรบ้าง สถิติของเราเป็นอย่างไร เพราะการจะไประดับนั้นเขาจะต้องดูสถิติส่วนตัวของเราด้วย เรารักทีมซัปโปโรนะ เพราะตอนที่เราไปทุกคนก็อยู่กับแบบครอบครัว ไม่ใช่ทีมที่ยิ่งใหญ่ เป็นทีมเล็กๆ ไม่ใช่ทีมที่ร่ำรวย เป็นทีมที่พออยู่ได้ แล้วเรารู้สึกว่าผลตอบแทนที่เราได้ เราก็โอเคแล้ว เรารู้สึกว่าเราต้องทำงานหนักให้ดีขึ้นเพื่อทีม

 

เจ ชนาธิป

กว่าจะมาถึงวันนี้คุณต้องจ่ายราคาไปกับอะไรบ้าง

        เราต้องสละเวลา เวลาที่เราไม่มีไปใช้กับอย่างอื่น ยกตัวอย่างคนอื่นยังมีเวลาให้เที่ยวเล่น แต่เราไม่มี มันเหมือนต้องคิดอยู่ตลอด ว่าถ้าไปเที่ยวแล้วร่างกายจะเป็นยังไง ถ้ากินเหล้า สูบบุหรี่ ก็คิดอยู่เสมอว่าเราเป็นนักกีฬานะ นี่คุยไปคุยมาคุณจะทำเราร้องไห้แล้ว (เสียงสั่น) ถามว่าเรากินได้ไหม เรากินได้ คือนักกีฬากินได้อยู่แล้ว เราก็กินบ้างนิดๆ หน่อยๆ เวลาไปปาร์ตี้ แต่แก้วสองแก้วเราก็ไปแล้ว อีกอย่างเราไม่สูบบุหรี่เลย เอาเข้าจริงก็ไม่ค่อยมีเวลาเหมือนคนอื่นอยู่แล้ว แต่ทางกลับกัน เวลาเหล่านั้นที่คนอื่นมี บางทีเขาก็อยากมาเป็นเหมือนเรา แต่เขาก็ทำไม่ได้นะ เราเลยพยายามบอกตัวเองว่า เดี๋ยวเอาไว้เราเล่นฟุตบอลจนถึงสามสิบหรือสี่สิบ เราค่อยใช้ชีวิตก็ได้ เก็บเงินไว้ก่อน

        เราอยากไปเที่ยวนู่นเที่ยวนี่เหมือนกันแหละ แต่เวลาเราไม่มี เวลาเรามีเงินหรือได้เงินเดือนเราก็จะแบ่งให้แม่อยู่แล้ว โบนัสที่ได้มาเราก็เอาไปซื้อสิ่งที่เราอยากได้เหมือนกัน เช่น กล้อง เสื้อผ้า เพราะเราชอบแต่งตัว บางทีราคามันก็สูงอยู่นะ แต่เหมือนเราก็ให้รางวัลตัวเองที่ทำงานหนัก ถือเป็นความสุขเล็กๆ น้อยๆ แล้วเราไม่ได้เอาเงินไปโชว์ใคร

สิ่งที่จ่ายไปมันคุ้มกับสิ่งที่ได้รับกลับมาไหม

        (นิ่งคิด) เวลาไม่สามารถย้อนกลับไปได้แล้ว แล้ววันหนึ่งคุณอาจจะเสียดายเวลาที่ไม่ได้เลือกทำตามความฝัน คุณเคยเสียดายเวลาไหม ว่าทำไมวันนี้เราไม่ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ บางครั้งเรารู้สึกอยากทำ แต่ก็ไม่ยอมทำมันเสียที เราไม่อยากมารู้สึกเสียดายในภายหลัง แล้วเราจะคิดเสมอว่ามีหลายคนที่อยากมาเป็นเหมือนเราในวันนี้ อยากมายืนจุดเดียวกับเราในวันนี้ ดังนั้น เราคิดว่าสิ่งที่ยอมแลกไปมันคุ้มค่า อย่างน้อยก็ในความรู้สึกเรา ณ วันนี้นะ แล้วเราไม่ต้องมาเสียดายแล้วในวันข้างหน้า ว่าทำไมเมื่อก่อนเราไม่ได้เลือกทางนี้

คุณมีเป้าหมายว่าอยากกลับมาช่วยพัฒนาให้วงการฟุตบอลไทยดีขึ้นกว่าตอนนี้ไหม

        เราถึงบอกไงล่ะ ว่าอยากให้นักฟุตบอลไทยได้ลองไปสู้ชีวิตในต่างแดนดู แล้วเขาจะได้รู้ว่ามันไม่ได้สบายแบบที่นี่นะ คุณอยู่ที่นี่ คุณอาจได้ลง แต่ไปที่นู่นคุณสู้ต่างชาติได้ไหม อย่างที่ญี่ปุ่น ลีกเจสามก็ถือว่าเก่งแล้ว แต่เสียดายที่บางคนมองเรื่องเงินเป็นหลัก อยู่ที่นี่ได้กี่แสน สามสี่แสนใช่ไหม ทุกคนวิ่งเข้าหา ทุกคนก็จะคิดว่าอยู่ที่นี่ดีกว่า แต่สุดท้ายแล้วคุณจะได้พัฒนาอะไร เมื่อก่อนเราก็เคยคิดแบบนั้นนะ แต่ไปๆ มาๆ เราคิดว่าลองไปสู้ก่อนดีกว่า ไปอยู่ในจุดที่แข็งก่อนดีกว่า

        ที่ญี่ปุ่นทุกทีมแกร่งหมด คะแนนไล่เลี่ยกันหมด นี่คือมาตรฐาน เอาจริงๆ ไม่ต้องไปเจลีกก็ได้ ไปเคลีกของเกาหลี ไปเจอรูปร่างแบบฝรั่งที่ออสเตรเลีย หรือไปไชนีสซูเปอร์ลีกของจีนก็ได้ ลองไปกันดู ตอนนี้เรากำลังจะโดนแซงอยู่แล้ว เวียดนาม เมียนมา เขามาแล้ว นี่เราพูดความจริงนะ แล้วเราพูดในสิ่งที่เราสัมผัสได้

สุดท้ายแล้วบทบาทในวงการของคุณจะไปสิ้นสุดตรงไหน

        (นิ่งคิด) เราเคยคิดว่าไม่อยากเป็นโค้ช เป็นโค้ชต้องคิดเยอะมาก สมมติวันนี้ทีมชนะ นักฟุตบอลแฮปปี้ แต่ถ้าเป็นโค้ช คุณต้องคิดแล้วว่าจะทำยังไงให้ชนะต่อไปได้เรื่อยๆ ต้องคิดแผนไปสู้ ต้องคิดแผนว่าจะซ้อมอย่างไรให้เหมาะกับนักเตะ ไหนจะเรื่องจิตวิทยากับนักเตะแต่ละคนที่ไม่เหมือนกันอีก โอ๊ย ปวดหัว (หัวเราะ) พอชนะมา นักฟุตบอลได้หน้า โค้ชก็ปานกลาง แต่พอแพ้มา โค้ชนี่แหละรับเต็มๆ นอกจากโค้ชจะพาทีมคว้าแชมป์ แต่บางครั้งกระทั่งได้แชมป์แล้วโดนไล่ออกก็มีเยอะแยะ มันเครียดนะ แต่เราก็อยากจะช่วยยกระดับฟุตบอลไทยให้สูงกว่าเดิมแหละ

        เราถามว่า นักฟุตบอลรุ่นถัดไปจาก ธีรศิลป์, ธีราทร, กวิน, ชนาธิป หรือรุ่นปัจจุบัน ถ้าพวกคุณไม่เก่งกว่าพวกเรา ฟุตบอลไทยจะพัฒนาไหม ถ้าคุณเก่งเท่าเรา คุณก็จะทำได้แค่เท่ากับเรา ก็ยังไปไกลกว่าไม่ได้ คุณจึงต้องเก่งกว่าพวกเรา ฟุตบอลไทยจึงจะพัฒนาไปแน่นอน

        ส่วนเราตอนนี้ยังไม่ได้คิดถึงตอนเลิกเล่นอย่างจริงจัง ถ้าเรารักมันไปแล้ว ก็ลองดูว่ามันจะทิ้งเราตอนไหน