กรรชัย กำเนิดพลอย

กรรชัย กำเนิดพลอย: การเป็นรายการสื่อที่ดีก็ไม่จำเป็นต้อง ‘โหนกระแส’ เพียงอย่างเดียว

เมื่อทุกคนมีสื่ออยู่ในมือ และคนธรรมดาต่างสามารถสร้างตัวเองให้เป็นสื่อได้ สื่อเก่าอย่างนักข่าวจึงต้องปรับตัว และรายงานข่าวให้มีความเข้มข้นดุดันมากขึ้น การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่ครอบคลุม ทำให้การรับข่าวสารข้อมูลง่ายดายยิ่งขึ้น พร้อมกับมีสำนักข่าวต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย และต่างก็ต้องนำเสนอเนื้อหาที่เข้มข้น ซึ่งไม่เพียงต้องแย่งชิงสายตาคนดูเท่านั้น แต่ยังต้องขับเคี่ยวกันเองด้วย

        รายการ โหนกระแส ซึ่งนำโดย ‘หนุ่ม’ – กรรชัย กำเนิดพลอย สร้างความแตกต่างจากรายการฮาร์ดทอล์กอื่นๆ ด้วยบุคลิกลักษณะของพิธีกรที่มีความขี้เล่นนิดๆ ดุดันหน่อยๆ มีความเป็นมิตรทั้งต่อแขกรับเชิญและคนดู ซึ่งในหลายๆ ครั้ง เขาสามารถจับคู่อริที่กำลังมีเรื่องมีราวกันอยู่ในตอนนั้นมานั่งประจันหน้าเพื่อพูดคุยหาข้อเท็จจริง โดยมีตัวเขาคอยเป็นคนประสานและไกล่เกลี่ยให้เรื่องจบลงด้วยดีในหลายๆ ครั้ง จนกลายเป็นรายการข่าวที่สนุกและได้ใจคนดูอย่างมาก

        หลังเขาดำเนินรายการเพื่อตีแผ่ความจริงให้คนในสังคมได้รู้เรื่องราวในหลายๆ มิติจนเข้าสู่ปีที่ 3 แล้ว เราจึงอยากมาตีแผ่เรื่องราวของเขาบ้าง ทั้งการทำงาน การต่อสู้ที่ดุเดือดในฐานะคนทำรายการฮาร์ดทอล์ก กระแสต่างๆ ที่ตีกลับมาถึงตัวเขา ไปจนถึงค้นหาว่าอะไรคือความมุ่งมั่นที่ทำให้เขาผันตัวมาทำงานสายข่าว อันเป็นวงการที่ไม่น่าจะง่ายเหมือนการทำงานในวงการบันเทิง รวมถึงการที่เขาถูกจับตามองว่าจะมาเป็นสรยุทธคนที่ 2 หรือเปล่า

        ความจริงทั้งหมดจากปากของเขากำลังรอคุณอยู่ตรงนี้แล้ว

 

กรรชัย กำเนิดพลอย

รายการ โหนกระแส ของคุณเป็นที่ถูกพูดถึงมากในปีที่ผ่านมา เราสงสัยว่าคุณวางแผนไว้แต่แรกเลยไหม ว่ารายการนำเสนอข่าวนี้จะเป็นการนำคู่กรณีทั้งสองฝ่ายมานั่งคุยกันต่อหน้าตั้งแต่แรก

        ผมตั้งใจว่าถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ทุกครั้งก็จะดี แต่บางครั้งแขกรับเชิญหรือคู่กรณีแต่ละคู่ที่จะมา เขาก็ไม่อยากเจอกันจริงๆ สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดคือแยกห้องในการสัมภาษณ์ แต่ให้พวกเขามาในวันเดียวกัน แล้วมาดูกันว่าสุดท้ายแล้วเขาจะยอมมานั่งอยู่ห้องเดียวกันไหม แต่ถ้าถามว่ารายการนี้สร้างขึ้นมาเพื่อให้คนสองคนมาคุยกันเลยไหม ต้องบอกว่าแรกๆ นโยบายของเราเป็นแบบนั้น แต่ด้วยข้อจำกัดของแขกรับเชิญ ทำให้บางครั้งเราได้ฟังเรื่องราวแค่มุมเดียว แต่เราก็ไม่ทิ้งเรื่องอีกมุมไป ทำให้ต้องมีการติดต่อไปทางอีกฝั่งเหมือนกันว่าสำหรับเขาแล้วมันเกิดอะไรขึ้น ใช้ข้อมูลที่ได้จากอีกฝั่งมาถามอีกฝั่งเพื่อให้ได้ข้อมูลทั้งสองมุม

รู้มาว่าในหลายๆ ครั้งคุณเป็นคนต่อสายไปเชิญพวกเขามานั่งคุยด้วยตัวเองเลย คุณเองก็สู้ไม่ถอยเหมือนกันเลยนะ

        มันมีความจำเป็นที่ต้องทำอย่างนั้น สมมติว่ารายการติดต่อไปหาแขกรับเชิญ 10 คน ผมจะเป็นคนโทร.ไปคุยด้วยตัวเอง  8 คน เพราะแขกรับเชิญบางคนเขาก็ต้องการความมั่นใจว่าการที่เราเชิญเขามา เรามีความจริงใจกับเขาอย่างไร พอผมโทรศัพท์ไปหาด้วยตัวเอง เขาก็รู้สึกอุ่นใจและให้ความร่วมมือที่จะมาออกรายการของเรา แต่บางครั้งการทำแบบนี้ก็กลายเป็นดาบสองคม เพราะสุดท้ายแล้วคู่แข่งหรือคนที่ทำงานในลักษณะรายการใกล้ๆ กันไม่ค่อยจะพอใจผมสักเท่าไหร่ เพราะแขกรับเชิญนั้นเขาเลือกที่จะมารายการ โหนกระแส ก็กลายเป็นการแข่งขัน ต่อสู้ แย่งชิงแขกรับเชิญกันเกิดขึ้น

ในสนามของการทำรายการแบบนี้ต่อสู้กันดุเดือดแค่ไหน คุณมีการเดินหมากอย่างไรไม่ให้คนอื่นชิงตัวแขกรับเชิญไปได้ 

        คนทำรายการฮาร์ดทอล์กเหมือนกันมีหลายช่อง การแข่งขันจึงสูงมาก และผมก็ถูกด่าบ่อยๆ ว่าหวงแขกรับเชิญ แต่ผมก็ต้องบอกตามจริงว่า การที่แขกรับเชิญเขาอยากมาออกโหนกระแส เพราะผมโทร.ไปหาเขาเอง และเขาก็ไว้ใจผม เขาเลยยอมมา บางคนบ้านอยู่โคราช ถ่ายรายการเสร็จก็อยากกลับบ้านเลย เขาต้องกลับไปดูแลลูก เมื่อเขามาออกรายการแล้วเขาก็อยากกลับบ้าน ไม่ไปรายการอื่นต่อ ก็เป็นสิทธิ์ของเขา แต่ผมกลับโดนหาว่ากั๊กแขกรับเชิญ มีการให้เซ็นสัญญาไว้ว่าไม่ให้ไปออกรายการไหน ผมทำแบบนั้นไปก็จะมีแต่ความทุกข์ใจ เพราะสิ่งที่ผมทำนั้นมีแต่ความบริสุทธิ์ใจทั้งนั้น

        แต่ถ้าถามว่าผมแย่งแขกรับเชิญไหม ผมยอมรับเลยว่าแย่ง รายการผมต้องมีเรตติ้ง ทุกคนมี KPI ที่ต้องไปให้ถึงเหมือนกันทั้งนั้น ผมก็ต้องทำเพื่อช่องของผม ต่างคนต่างมีนาย เราก็ต้องทำให้นายเราอย่างเต็มที่ ให้คุ้มค่าจ้างที่เขาจ้างเรามาทำงาน ผมถามแขกรับเชิญว่า จะไปออกอีกรายการด้วยเหรอ ถ้าอย่างนั้นผมขอได้ไหม มาออกรายการผมก่อนได้ไหม เพราะถ้าเขามารายการผมก่อน ผมก็ได้เรตติ้ง นี่คือความจริงที่ต้องยอมรับกันสำหรับคนทำรายการฮาร์ดทอล์ก ดังนั้น ผมแย่งแขกรับเชิญไหม ผมแย่ง ผมกั๊กแขกรับเชิญไหม ถ้าการขอให้รายการผมออนแอร์ก่อนคือการกั๊กแขก ผมกั๊ก เพราะรายการของผมบางวันเป็นการอัดเทปเพื่อออกอากาศในอีกวัน ผมก็ต้องกั๊กแขกรับเชิญไว้ เพราะถ้าเกิดแขกไปออกอีกรายการเลย แล้วเทปวันพรุ่งนี้ของผมกลายเป็นหมัน ผมจะทำอย่างไร

        สมมติว่าวันนี้ผมมีแขกรับเชิญเป็นคุณพ่อคุณแม่คู่หนึ่งมาออก ผมสัมภาษณ์เรียบร้อย ผมก็ขอพวกเขาว่า ผมต้องออนแอร์พรุ่งนี้นะครับ ผมขอ วันนี้อย่าเพิ่งไปออกรายการไหนได้ไหม ขอให้ผมออกพรุ่งนี้ก่อนนะครับ เขาก็รับปากเรา พอที่อื่นโทร.ไปเขาก็ไม่ไป คนกลุ่มนั้นก็โกรธ โวยวายว่ามึงกั๊กแขกรับเชิญนั่นนี่ ผมขอย้อนกลับไปถามว่า แล้วถ้าเป็นคุณล่ะ คุณไม่กั๊กเหรอ เป็นคุณคุณก็ทำ คุณอย่ามาเสแสร้งทำตัวเป็นคนดี อันไหนที่ผมทำก็บอกว่าทำ อันไหนไม่ได้ทำก็บอกไม่ได้ทำ คุณมีความสามารถก็เอาเขาไป แต่เขาไม่ไปไง ผมไม่ได้เอาพวกเขาไปขังไว้เสียหน่อย

เรื่องหลังบ้านว่าปวดหัวแล้ว เรื่องหน้างานปวดหัวกว่าอีกไหม กับการเป็นคนกลางที่ต้องคอยซักประเด็นหรือข้อพิพาทต่างๆ จากคนสองฝั่ง ทั้งๆ ที่นำเสนอเรื่องของใครคนใดคนหนึ่งไปเต็มๆ เลยจะดีกว่า

        บางทีสายตาของคนในสังคมอาจจะมองว่าคนในมุมนี้ผิด แต่จริงๆ เขาก็อาจจะมีเหตุผลของเขาว่าเขาไม่ได้ผิดนะ เขาแค่รู้สึกแบบนี้ แต่สุดท้ายแล้วสังคมจะเป็นคนตัดสินเองว่าสิ่งที่เขาพูดมา เหตุผลฟังขึ้นไหม เพราะฉะนั้น การที่มานั่งเจอกันก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เป็นการแสดงตัวตนของแขกรับเชิญ ว่าสิ่งที่เขาต้องการหรือมุมมองของเขาเป็นอย่างไร

หลายคนก็สุ่มเสี่ยงในการมาเจอกันนะ อย่างที่คุณเชิญ เสี่ยโป้ อานนท์ กับ เก่ง ลายพราง มาเจอกัน ไม่กลัวว่าจะมีการทะเลาะวิวาทกันในห้องส่งบ้างเหรอ

        เทปนี้เป็นเทปที่มีคนด่าเราเยอะมาก คนด่าว่ารายการนี้ให้อะไรกับสังคม ทำไมถึงเอาขยะสังคมมาออก แต่ผมก็ไม่ได้ตอบอะไรใครไป เพราะในใจผมรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ถ้ามองให้ลึกไปเลย คนสองฝั่งนี้เขามีคนติดตามเป็นล้าน ฝั่งลูกน้องของเสี่ยโป้ ลูกน้องของเก่งลายพรางก็จะด่าสาดใส่กันตลอด เพราะหัวหน้าเขามีปัญหากันอยู่ ถ้าเราเอาสองคนนี้มานั่งคุยกันได้แล้วเคลียร์กันจบ ก็หมายความว่าหางของสองคนนี้จะยุติการทะเลาะกัน เพราะหัวเขาดีกันแล้ว เรื่องมันจะจบด้วยดี

        สำหรับคนที่ถามว่าเอาขยะสังคมแบบนี้มาออกทำไม ผมขอย้อนถามกลับไปว่า อย่าลืมนะว่าสองคนนี้เขาเป็นมนุษย์เหมือนกัน จะมองว่าเขาเป็นขยะไม่ได้ คนเรามีสิทธิ์เท่าเทียมกัน เป็นมนุษย์เหมือนกัน จะเป็นคนเลวหรือเป็นคนดี เขาก็มีสิทธิ์ที่จะพูด เพียงแต่ว่าเวลาเขาพูดอะไรออกมา ประชาชนก็จะเป็นคนตัดสินเอง ถ้าคิดว่าสิ่งที่เขาทำมันไม่ดี คุณก็แค่ไม่เอาไปเป็นตัวอย่าง เอาไปสอนลูกสอนหลานว่าทำแบบนั้นไม่ดีนะ แต่ถ้าจะให้ปิดแล้วไม่ให้สื่อนำเสนอเรื่องราวแบบนี้เลยเพราะมันเป็นขยะสังคม วันหนึ่งคุณจะเอาอะไรไปสอนลูกหลานคุณได้ คุณจะเตือนตัวเองยังไงว่านี่คือสิ่งที่ดีหรือไม่ดี

 

กรรชัย กำเนิดพลอย

เคยมีความรู้สึกคาใจบ้างไหม ว่าคนที่มาออกรายการแม้จะถูกต้อนแค่ไหนก็ยังไม่ยอมรับความจริงว่าตัวเองทำผิดอยู่ดี

        ผมรู้หมดว่าใครโกหก (ยิ้ม) ผมสัมภาษณ์คนมาเยอะมาก ปีหนึ่งไม่รู้กี่ร้อยคน ก่อนที่จะมาทำรายการ โหนกระแส ผมก็ทำรายการ ปากโป้ง มา 5 ปี โหนกระแส อีก 2 ปี ก่อนหน้านั้นก็ทำ เมืองไทยวาไรตี้ ดังนั้น ผมค่อนข้างจะรู้ว่าสิ่งที่เขาพูดอันไหนจริงอันไหนไม่จริง

ไม่อึดอัดใจบ้างเหรอว่าทำไมเขาไม่ยอมพูดความจริงออกมาเสียที

        ไม่นะ เพราะว่าสุดท้ายคนดูจะเป็นคนตัดสิน ผมไม่ใช่ศาลที่จะมาบอกว่าคุณโกหก คนดูจะเป็นคนที่รู้ว่าสิ่งที่คุณพูดออกมามันจริงหรือมันปลอม ผมแค่มีหน้าที่สัมภาษณ์ ต้อน ขยี้บ้าง ให้คนดูให้เห็นว่ามุมเหล่านี้คืออะไร แต่ผมไม่สามารถบอกว่าอันนี้เขาผิด เขาถูก ผมตัดสินใครตรงๆ แบบนั้นไม่ได้

คุณเตรียมตัวอย่างไรก่อนดำเนินรายการ เพื่อให้ตัวเองไม่อินกับเรื่องที่คนกำลังวิวาทะกันอย่างสุดโต่งอยู่

        ต้องตีกรอบตัวเองเอาไว้ เพราะเป็นเรื่องที่เรียกว่ามารยาทของการสัมภาษณ์ อย่างตอนที่ผมสัมภาษณ์เรื่องของลัลลาเบล แม่ของเขาก็มานั่งอยู่ด้วย แล้วทางรายการเอารูปลัลลาเบลที่กำลังถูกลากขึ้นลิฟต์ฉาย ผมก็จะบอกว่า ไม่ได้ เอารูปออกไป เพราะว่าแม่ของเขานั่งอยู่ตรงนั้น ทำแบบนี้เหมือนเป็นการตอกย้ำความรู้สึกเขา นี่คือมารยาท ไม่ใช่ว่าจะเอาเรตติ้งเสมอไป คุณคิดถึงคนดูได้แต่คุณก็ต้องคิดถึงความรู้สึกของพ่อแม่เขาด้วย

        เรื่องบางเรื่องอย่างพ่อแม่ทะเลาะกัน พ่อจุดไฟเผาแม่ มีบางรายการเอารูปมาขึ้น แล้วเบลอหน้าลูกแต่ไม่เบลอหน้าพ่อแม่ ผมก็ไม่เห็นด้วย คุณต้องเบลอหน้าให้หมด เพราะนี่คือความรุนแรงในครอบครัว คุณต้องมีจริยธรรม คุณเบลอหน้าเด็กแต่คุณเปิดหน้าพ่อแม่เขา แล้วได้ประโยชน์อะไร สุดท้ายแล้วเมื่อเด็กคนนี้โตขึ้นมาอายุ 10 ขวบ 20 ปี หน้าพ่อแม่ที่เผากันเองก็ยังอยู่ ถ้าเป็นคุณล่ะ ถ้าวันนี้ที่คุณเห็นข่าวพ่อแม่คุณเผากันเอง วันนี้คุณโตแล้วเห็นภาพพวกนั้นแล้วคุณรู้สึกอย่างไร วันนี้สื่อมันไปไกลแล้ว แล้วมันไม่ได้ไปไกลอย่างเดียว มันอยู่ไปอีกนานด้วย เราตายไปแล้วแต่เรื่องพวกนี้ยังอยู่ ผมก็มีการปะทะคารมในหลายๆ ครั้งกับคนทำรายการแบบนี้ด้วยกันเอง เพราะระหว่างสิ่งที่เราคิดกับสิ่งที่เขาคิดบางทีมันต่างกัน ไม่ลงรอยกันก็มี

ถ้ารายการ โหนกระแส เติบโตขึ้น โด่งดัง มีน้ำหนักต่อภาพรวมในสังคมมากขึ้น คุณคิดว่าตัวเองจะสามารถพูดหรือทำอะไรได้มากกว่าเดิมไหม

        พูดไม่ได้หรอกว่าจะทำอะไรได้มากขึ้นกว่าเดิม รายการแบบนี้มีมานานแล้ว เพียงแต่ว่าตอนนี้อาจจะถูกใจคนดูตรงที่ตัวเราเองเป็นคนที่ค่อนข้างจับต้องได้ สื่อทุกสื่อ ทั้งในเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ยูทูบ ผมตามดูตลอด และผมก็เข้าไปตอบเอง ไม่มีทีมงานอวตารเป็นตัวผมเข้าไปตอบ บางทีก็มีคนเข้ามาด่า เราก็เข้าใจเขา แต่ก็อยากให้เขาให้โอกาสผมหน่อย

ถ้าคุณมาทำรายการ โหนกระแส ในขณะที่ตัวเองยังอายุน้อยกว่านี้ คิดว่าจะมีอาการสติแตกเกิดขึ้นไหม

        ผมอาจจะทำรายการออกมาได้ดีกว่านี้ การมาเริ่มต้นตอนนี้อาจจะช้าไปสำหรับผมเสียด้วยซ้ำ มันได้อย่างเสียอย่าง ถ้าผมเริ่มทำตั้งแต่อายุ 30 ปี เชื่อว่าผมจะมีไฟมากกว่านี้ แต่ว่าวุฒิภาวะในตัวอาจจะไม่มีอย่างเช่นวันนี้ วันนี้ไฟในการทำงานของผมอาจจะไม่ได้เท่าตอนอายุ 30 ที่มีความกระตือรือร้นมาก แต่วันนี้ผมเชื่อว่าตัวเองมีวุฒิภาวะพอในการที่จะรับฟังคน ให้เกียรติคน เข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร

        ผมโชคดีตรงที่ตัวเองไม่ใช่คนข่าวโดยตรง ผมมาจากคนบันเทิง มาจากคนที่เล่นละคร พิธีกร ดังนั้น คนที่เล่นละครก็จะมีวิธีละลายพฤติกรรมก่อนที่จะเข้าฉาก พอวันนี้ที่ผมจะต้องมานั่งสัมภาษณ์แขกรับเชิญ ซึ่งเขาเป็นใครก็ไม่รู้ บางทีเพิ่งมาเจอกันวันนี้ วินาทีนี้ แต่เราก็ต้องคุยกันแล้ว สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมได้เปรียบกว่าคนอื่น แขกรับเชิญจะรู้สึกสนิทใจกับผม เวลาที่ผมคุยกับเขา เขาจะรู้สึกเหมือนเราเป็นเพื่อน ไม่ได้รู้สึกว่าถูกไล่จี้หรือใช้คำพูดที่รุนแรงเกินไปในความรู้สึกของเขา หรือพยายามจะทำตัวให้อยู่เหนือแขกรับเชิญ เพราะเรื่องแบบนี้ทำให้แขกรับเชิญวิตกกังวล ไม่กล้าพูดกับเรา

        ผมเคยสัมภาษณ์ครูปรีชาจากคดีเรื่องหวย 30 ล้าน มีบางคนที่อยู่ในแวดวงข่าว บอกว่าผมไม่ใช่สื่อและก็ไม่รู้จะนิยามผมว่าอยู่ในแวดวงอะไร โดยให้เหตุผลว่าผมสัมภาษณ์ครูปรีชาว่า ‘ครูอยากกินอะไร ผัดซีอิ๊วหรือว่าโอเลี้ยงเดี๋ยวซื้อไปฝาก’ ครูก็ไม่ได้โกรธผมนะ เพราะว่าเรามีการละลายพฤติกรรมกันไปแล้ว ครูเองก็สามารถอำผมกลับได้ เพียงแต่ว่าสิ่งที่ผมพูดออกไปไม่ได้มีเจตนาแช่งให้เขาไปติดคุกหรืออะไร แต่เป็นการหยอกเล่นกันระหว่างเพื่อน มันคือความใกล้ชิด แล้วสิ่งที่เขาตอบกลับมาคือ ‘ไม่ครับ ปกติผมทำอาหารกินเองที่บ้านอยู่แล้ว’ นั่นคือเขาตอบกลับมาแล้วว่าเขาไม่ติดคุกหรอก

        หรือตอนที่ผมหันไปถามเจ๊บ้าบิ่นว่า ‘วันนี้ใส่เสื้อลายเสือ เสือต้องอยู่ในกรงนะ’ ความหมายของเราคือคุกแน่เลย เจ๊ใส่เสื้อลายนี้มาเป็นลางเหลือเกิน เจ๊ก็ตอบกลับมาว่า ‘ไม่ ใส่ลายเสือเพื่อต้องการสู้ ต้องการให้ตัวเองมีบารมี’ คนเหล่านี้เขารู้วิธีในการจะตอบผมเหมือนกัน แต่ว่าคนข่าวเขาจะมองว่าเราไม่มีมารยาทในการสัมภาษณ์แขก เรื่องนี้ผมคิดว่ามันอยู่ที่สไตล์ในการสัมภาษณ์แขกหรือลูกเล่นของพิธีกรมากกว่า

 

กรรชัย กำเนิดพลอย

คุณพูดเรื่องสื่อมาก็ดีเลย เพราะเรากำลังจะถามว่าในยุคนี้นักข่าวทั้งหลายยังคงทรงอิทธิพลอยู่ไหม เขายังมีพลังพอในการแบนดาราที่พวกเขาไม่ชอบได้อยู่หรือเปล่า

        สื่อบันเทิงกับดารามันของคู่กัน ดาราเองถ้าไม่มีข่าวอะไรเลย ดาราคนนั้นก็ไม่มีกระแส สื่อเองถ้าไม่เล่นข่าวดาราเลยสื่อก็ขายไม่ได้ มันคือเรื่องของน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า บางครั้งอาจจะมีดาราบางคนที่ไม่แฮปปี้กับสื่อ แล้วลุกขึ้นมาเพื่อที่จะด่าหรือสู้ ก็ต้องว่ากันไปถ้ามันเป็นเรื่องของการกระทำความผิดจริงๆ

คุณอยู่ฝั่งไหน ดาราด้วยกันเอง หรือฝั่งสื่อที่ต้องทำข่าวเพื่อเอาเรตติ้ง

        (หัวเราะ) ผมเข้าใจทั้งสองฝั่ง ผมเข้าใจพวกดาราเพราะผมเคยอยู่ในฝั่งของการเล่นละครมาก่อน ผมเห็นใจสื่อไหมก็เข้าใจ เพราะผมก็ทำงานด้านนี้ อย่างบางคนลุกขึ้นมาจะฟ้องสื่อ ผมก็เข้าใจว่าเขาถูกละเมิดสิทธิ์มากเกินไป แต่อีกมุมหนึ่งที่สื่ออยากจะแบนดาราบางคนผมก็เข้าใจ เพราะบางครั้งสื่อก็ต้องทำหน้าที่ของเขาในการนำเสนอ เพราะบางทีดาราคนนั้นอาจจะใช้คำพูดหรือกิริยาที่แรงเกินไป สื่อเขาไม่ได้ตัดสินคนเดียว แต่เขาตัดสินจากกลุ่มของเขาที่มองว่าการทำแบบนี้ไม่ควร แต่ในมุมดารามีสิทธิ์ที่จะฟ้องสื่อไหม เขาก็มีสิทธิ์ เพราะสื่อไปละเมิดสิทธิ์เขามากเกินไปเช่นกัน

        เมื่อก่อนผมโดนมาเยอะอยู่แล้ว ขนาดตอนนั้นไม่มีโซเชียลเน็ตเวิร์กนะ แต่ก็เชื่อว่าคนก็ยังรู้สมญานามของผม รู้วิถีชีวิตของผมว่าเป็นคนแบบไหนมาก่อน วิธีจัดการของผมคือเฉยๆ ไปเลย อย่างที่บอกไปมันคือน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า เขาก็ไม่ถึงขั้นเล่นเราให้ตายหรอก เป็นแค่การหยิกการหยอก แต่ปัจจุบันสื่อบันเทิงอาจจะแรงขึ้นบ้าง สมัยก่อนสื่อเองก็นำเสนอเรื่องแบบนี้อยู่ ต่างกันแค่ปัจจุบันมันมีโซเชียลเน็ตเวิร์กเท่านั้นเอง เรื่องมันถึงได้ดังและเป็นประเด็นมากกว่าเดิม เมื่อก่อนก็มีข่าวดารากับอักษรย่อไหม มี พูดถึงไหม พูด เพียงแต่ต้องไปหาซื้อหาอ่านเอาตามหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารต่างๆ สื่อปัจจุบันกับเมื่อก่อนทำหน้าที่เหมือนกันไหม ก็เหมือนกัน เพียงแต่ทุกวันนี้คนมีสิทธิและเสรีภาพในตัวเองมากขึ้น บางทีสื่อไปละเมิดสิทธิ์เขามากไป เขาก็มีสิทธิ์ที่จะฟ้องได้ เมื่อก่อนนักแสดงจะไม่กล้าที่จะฟ้องสื่อ เพราะสื่อค่อนข้างมีอิทธิพลมากกับดารานักแสดง แต่ปัจจุบันนี้คนมีเพจมีเฟซบุ๊กก็เป็นสื่อได้แล้ว

ตอนที่คุณออกมาบอกไม่พอใจเรื่องการจัดอันดับลูกดารา กรณีนี้คือละเมิดสิทธิ์มากเกินไปใช่ไหม

        เรื่องแบบนี้ผมค้านมาตั้งแต่ยังไม่มีลูก เพียงแต่ว่าผมไม่ได้แข็งแรงพอที่จะพูดออกมาได้ แต่วันนี้ผมแข็งแรงพอที่จะสามารถเป็นกระบอกเสียงให้กับพ่อแม่หลายๆ คนได้แล้ว ผมถึงพยายามจะบอกว่าการจัดอันดับลูกดาราให้อะไรกับสังคม เด็กมีความน่ารักของแต่ละคนอยู่แล้ว การที่คุณไปตั้งว่าลูกของคนนั้นลูกคนนี้ได้กี่คะแนนโหวต เด็กคนนี้ได้อันดับหนึ่งหรือได้รางวัลเป็นการทำให้เด็กคนนั้นถูกด่าทางอ้อม ยกตัวอย่าง ถ้าลูกสาวผมไปติดอยู่ใน 10 อันดับแรก แล้วเพื่อนๆ ที่อยู่ในวงการที่เขามีลูกเขาจะมองยังไง การจัดอันดับแบบนี้ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย มันไม่ใช่รางวัลอย่างการเล่นละครดีแล้วได้รางวัลตุ๊กตาทอง แต่เหมือนเป็นการเอาเด็กไปแขวนให้คนอื่นเขาเข้ามาด่าเพจของคุณ แล้วหนังสือของคุณดัง หวังให้คนซื้อหรือให้คนติดตาม แต่เคยคิดมุมกลับไหมว่าจริงๆ แล้วลูกชาวบ้านบางคนก็มีความสามารถล้นเปี่ยมเลย เพียงแต่เขาไม่มีโอกาส คุณกำลังไปสร้างบรรทัดฐานบ้าๆ บอๆ ให้คนเหล่านั้น ทุกวันนี้คนก็เกลียดดาราเยอะมาก คุณยังเอาเด็กไปแขวนให้เขามองและเกิดข้อเปรียบเทียบขึ้นมาอีกทำไม

ประเด็นสังคมวันนี้มันหนักหนากว่าเมื่อ 5 ปี 10ปี ก่อนในสมัยที่คุณเคยทำรายการ ปากโป้ง ไหม

        ผมเชื่อว่าพอๆ กัน แต่วันนี้สื่อนำเสนอข่าวไปไกลแล้ว คนที่เสพสื่อก็เสพสื่อได้เร็ว เช่น กรณีของคนที่ฆ่าตัวตาย ผมไม่รู้ว่าเรื่องนี้ตัวเองคิดผิดหรือคิดถูก ถ้าสังเกตจะเห็นว่าตอนนี้มีข่าวแบบนี้ออกมาเยอะ และมีคนเอาไปทำตาม มีการเลียนแบบ เมื่อก่อนก็มีข่าวการฆ่าตัวตายไหม แต่สื่อไม่ได้นำเสนอออกไปเร็วแบบในปัจจุบัน ที่เราได้เห็นถึงขั้นตอนวิธีการ จนตอนนี้มีการไลฟ์สดให้ดูว่าเขาทำแบบนั้นแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นการแขวนคอหรือจุดเตาถ่านอะไรแบบนี้ แล้วคนก็ไปทำเลียนแบบ ผมว่าเรื่องนี้เป็นประเด็นที่ต้องแก้ไข ถ้าเป็นไปได้ผมอยากจะแก้ไม่ให้มีการนำเสนอเรื่องวิธีฆ่าตัวตายออกมาเลยด้วยซ้ำ

คุณคาดหวังไหมว่ารายการ โหนกระแส จะสร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคมได้ เป็นเครื่องมือในการเรียกร้องความยุติธรรมเหมือนกับที่เว็บไซต์พันทิปเคยทำได้

        นี่คือจุดประสงค์หลักเลย ผมอยากทำรายการ โหนกระแส ให้เป็นกระบอกเสียงของสังคมที่คนสามารถพึ่งพาได้ อย่างกรณีของน้องแพรวา (คดีแพรวา 9 ศพ) ผมมีโอกาสได้สัมภาษณ์ครอบครัวน้องเรื่องนี้ ซึ่งพวกเขาอยากให้ผมช่วยไกล่เกลี่ยเรื่องให้ ถามว่าผมไม่ต้องทำได้ไหม เพราะก็ไม่ใช่เรื่องของเรา เราแค่นำเสนอแล้วได้เรตติ้งก็จบ แต่ผมก็เลือกที่จะช่วยประสานเรื่องให้ โดยแนะนำว่าเขามีอะไรอยู่บ้าง เอาที่ดินตรงนี้ไปขายได้ไหม ถ้าขายไม่ได้เดี๋ยวผมช่วยขาย แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครซื้อ คนที่เจ็บกว่าครอบครัวแพรวาคืออีกหนึ่งครอบครัวที่เขาหวังว่าเขาจะได้เงิน แต่เขาก็ไม่ได้ สุดท้ายผมก็มานั่งปรึกษากับครอบครัวแพรวาว่าคุณสามารถไปกู้หนี้ยืมสินใครมาได้ก่อนไหม เขาก็ไปกู้เงินมาจนกระทั่งครบ แล้วก็ให้ผมเป็นตัวแทนในการนำเงินก้อนนี้ไปให้ที่ศาล เมื่อผู้เสียหายได้รับเงินครบก็จบ แต่สิ่งที่ผมได้รับกลับมาจากสื่ออื่นๆ คือ ‘คุณเป็นสื่อกลางได้ แต่ไปเป็นคนกลางไม่ได้’ ผมเลยต้องย้อนกลับไปถามตัวเองว่ามันใช่เหรอ ที่จะมองว่าสื่อเป็นสื่อกลางได้ แต่เป็นคนกลางในการจับทั้งสองฝ่ายมาไกล่เกลี่ยกันไม่ได้ ถ้าผมย้อนไปถามว่าถ้าวันนี้ผมเป็นสถาปนิกแล้วเดินอยู่บนถนน เจอเด็กคนหนึ่งถูกรถชน ผมเห็นแล้วก็เดินหนีไปเลย และบอกว่าผมเป็นสถาปนิก ผมมีหน้าที่ออกแบบบ้านเท่านั้น แล้วสังคมจะอยู่ยังไง เหมือนวันนี้เราเป็นสื่อหรือจะไม่ได้เป็นสื่อ แต่อย่างน้อยผมเชื่อว่าสังคมต้องมีจริยธรรมในการคิด ในการช่วยเหลือกัน สังคมถึงจะอยู่กันได้ด้วยดี

        ตอนที่ผมเชิญครอบครัวของลัลลาเบลมาออกรายการ ผมเห็นลูกของเขา เห็นแม่ของเขาที่มาสัมภาษณ์ มีบทสัมภาษณ์หนึ่งที่แม่เขาบอกว่า ตอนนี้ครอบครัวเขาขาดที่พึ่งพิง ลูกของลัลลาเบลมีความจำเป็นต้องเรียนหนังสือต่อ พออัดรายการเสร็จ ออกมาข้างนอก ผมก็ถามเขาว่าต้องใช้ค่าใช้จ่ายในการเรียนหนังสือเท่าไหร่ เขาบอกว่าเขาต้องใช้จ่ายปีหนึ่งประมาณห้าหมื่นบาท ผมก็มานั่งบวกลบคูณหาร และรู้สึกว่าถ้าห้าหมื่นบาทช่วยเด็กคนหนึ่งที่มีความจำเป็นต้องเรียนหนังสือได้ ผมก็ยินดี วันนั้นผมเอาเงินให้เขาไปหกหมื่นบาท บอกว่าถือเป็นค่าเล่าเรียนของน้อง ปรากฏว่ามีญาติพี่น้องของลัลลาเบลที่มาด้วยกันตรงนั้นถ่ายรูปเอาไว้ และเอาไปลงโซเชียลเน็ตเวิร์ก แล้วก็เป็นกระแสข่าว มีคนบอกว่าทำไมต้องให้เงินเขาด้วย ใจบุญมากเหรอ บอกเลยว่า ผมไม่ได้ใจบุญมากหรอก แต่แค่รู้สึกว่าที่เราทำข่าว ทำรายการ โหนกระแส ผมนั่งอ่านข่าวเรื่องราวของลัลลาเบลไปเยอะมากเพื่อให้ช่องได้เรตติ้ง ในเมื่อช่องได้เรตติ้งแล้วครอบครัวลัลลาเบลได้อะไร วันนี้ผมแค่หยิบเงินหกหมื่นบาทที่เป็นเงินส่วนตัวให้เขา ผมผิดเหรอ ทำไมคนจะต้องมามองว่าต้องให้เขา คุณซื้อตัวเขามาเหรอ ผมคิดแค่ว่าการเป็นสื่อที่ดีหรืออะไรที่คืนกลับไปให้เขาได้มันคือสิ่งที่ดี แม้บางคนจะมองว่าผมเป็นแค่คนเล่นละคร หรือเป็นพิธีกรมาก่อนก็ตาม แต่ผมจะทำให้เห็นว่าผมไม่ใช่คนที่มาจากสื่อบันเทิงแบบที่เขามอง แต่ผมทำได้ดีกว่าพวกเขา และสามารถคืนอะไรให้สังคมมากกว่าสิ่งที่พวกเขากำลังทำกันอยู่

 

กรรชัย กำเนิดพลอย

ใครๆ ก็มองว่าคุณจะมาเป็นสรยุทธคนที่ 2 แสดงว่าจริงๆ พวกเขาก็ยกย่องคุณอยู่นะ

        ไม่มีใครเป็นใครได้ ไม่มีใครแทนใครได้ เมื่อก่อนคุณสรยุทธอยู่และวางรากฐานของข่าวช่อง 3 ไว้ดีมากๆ แล้ววันหนึ่งมีเรื่องราวในชีวิตที่ทำให้เขาต้องหยุด ช่อง 3 ก็จะขาดรายการแบบนี้มานาน บังเอิญว่าผมเข้ามาทำรายการ โหนกระแส ในช่อง 3 คนก็เลยมองว่า อ๋อ! จะมาเป็นคุณสรยุทธคนต่อไปเหรอ บอกเลยว่าไม่ใช่ เพราะคุณสรยุทธคือแบบอย่างของผม แต่ผมไม่สามารถมาแทนคุณสรยุทธได้ เพราะเขาอยู่เหนือกว่าผมหลายขุมนัก ผมยังยืนยันคำเดิมว่าไม่ใช่ แต่คนมองเขาก็มีสิทธิ์ที่จะมอง เพราะผมเข้ามาทำรายการช่อง 3 ในช่วงนี้ แล้วบังเอิญว่ารายการได้รับความสนใจ คนก็เลยมองมาเท่านั้นเอง

แต่ตอนนี้คุณก็กลายเป็นที่พึ่งของใครต่อใครแล้วนะ เห็นหลายคนก็ต่อสายมาถึงคุณแล้วบอกว่า พี่หนุ่ม กรรชัย ช่วยผมหน่อย ช่วยพวกเราด้วย

        (หัวเราะ) ต้องบอกก่อนว่าผมไม่ใช่ผู้วิเศษ ผมไม่สามารถเนรมิตอะไรให้ทุกคนได้ ผมช่วยได้ในบางเรื่องเท่านั้น แต่ไม่สามารถช่วยเหลือทุกคนได้ มีคนส่งข้อความมาหาผมเยอะมาก มีถึงขั้นที่ว่าเป็นเรื่องของตำรวจที่ไปมีเพศสัมพันธ์กับพยาน แต่บางเรื่องผมก็ไม่สามารถนำเสนอออกไปได้ ดังนั้น พวกคุณอย่าคาดหวังเลยว่าผมจะช่วยได้ทุกเรื่อง