กรณ์ ณรงค์เดช

กรณ์ ณรงค์เดช | ความหมายของชีวิตในวัยสี่สิบ และนิยามความหรูหราอันลุ่มลึกกว่าภาพที่ปรากฏ

ถ้านับเอาจากดีกรีนักธุรกิจหนุ่มฟ้อ หนึ่งในผู้คุมอาณาจักรธุรกิจยิ่งใหญ่ของตระกูลณรงค์เดช รวมไปถึงธุรกิจส่วนตัวอื่นๆ อีกมากมายของเขาที่เราพบเห็นเป็นประจำตามหน้าสื่อธุรกิจ อีกทั้งยังมีภาพไลฟ์สไตล์สุดลักชัวรีในแวดวงสังคมเซเลบริตีที่เราเป็นฟอลโลเวอร์คอยติดตามเขาในอินสตาแกรม นี่คือภาพที่เราใช้ในการนิยามความสุขและความสำเร็จของหนุ่มใหญ่วัยเข้าสู่เลขสี่คนนี้

     ‘ลักชัวรี’ คือคำเดียวที่สามารถอธิบายชีวิตของนักธุรกิจอย่าง กรณ์ ณรงค์เดช ในขณะที่ตัวเขาเองก็ไม่ปฏิเสธหรืออ้อมค้อมใดๆ แต่มากไปกว่านั้น เขาได้ช่วยชี้ให้เห็นความหมายที่แท้จริงของคำนี้ในแง่มุมลึกซึ้งและน่าสนใจ เพียงเพราะเรามักจะมองข้ามไป ทั้งที่มันรายล้อมอยู่รอบตัว ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว ความรัก การงาน และเงินทองคือสิ่งที่ตามมาหลังสุด ซึ่งเหล่านี้มีความสำคัญและหล่อเลี้ยงให้เราทุกคนมีชีวิตที่ดีได้ในทุกวันนี้ โดยที่ความลักชัวรีไม่ได้อยู่ที่มูลค่าหรือขนาดของสิ่งของที่เราครอบครอง

     เขาบอกเราว่า ความลักชัวรีในชีวิตเกิดขึ้นได้ง่ายกว่าที่คิด ไม่ต้องมีธุรกิจใหญ่โต ไม่ต้องมีภาพสวยๆ ในโซเชียลมีเดีย แต่มันเริ่มต้นจากรายละเอียดเล็กๆ มากมายในชีวิตประจำวัน บทเรียนจากความผิดหวังและล้มเหลวบ้างในบางครั้ง

กรณ์ ณรงค์เดช

 

ถ้าความลักชัวรีเริ่มต้นจากที่บ้าน มันจะต้องเป็นบ้านที่มีหน้าตาแบบไหน

     ต้องเป็นบ้านที่ให้ความลักชัวรีทางจิตใจ ไม่จำเป็นต้องมีพื้นที่กว้างขวาง แต่เป็นบ้านที่ให้คุณค่าทางใจ บ้านที่เราสามารถบอกกับใครต่อใครอย่างภาคภูมิใจว่านี่คือบ้านของเรา คือการที่ได้ใช้ชีวิตในแต่ละวันร่วมกันกับครอบครัว ทำสิ่งที่เราคิดว่ามีคุณค่าที่สุดในหนึ่งวัน หรือในยี่สิบสี่ชั่วโมง

     นอกจากนี้ สิ่งที่ลักชัวรีสำหรับผม อาจจะเกิดขึ้นในวันปกติธรรมดาที่เราตื่นแต่เช้าเพื่อไปทำงานที่ออฟฟิศ ถ้าเป็นวันที่โชคดีไม่มีนัดกินข้าวกับพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจ พอเลิกงานผมก็จะแวะไปออกกำลังกาย แล้วก็กลับบ้าน อีกอย่างคือผมเป็นคนชอบอยู่บ้าน ชอบกินข้าวที่บ้าน ผมคิดว่าวันเสาร์อาทิตย์ที่ได้นอนอยู่กับบ้านวันนั้นคือวันที่ลักชัวรีสุดๆ แล้ว ซึ่งมันคงจะเป็นความลักชัวรีในนิยามของคนที่ชอบทำอะไรซ้ำๆ แม้แต่การกินอาหาร อย่างช่วงนี้ติดเมนูหมูทอดกระเทียม ต่อให้ต้องกินเมนูนี้ติดกัน 7 วันผมก็อยู่ได้

 

เมนูธรรมดาๆ สำหรับคุณ มันอร่อยกว่าดินเนอร์หรูหรากับพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจเหรอ

     ธรรมดาๆ เลยครับ จริงๆ แล้วมันคือข้าวราดหมูกระเทียมที่ขายตามร้านอาหารตามสั่งทั่วไป ที่ชอบเพราะมันง่าย ผมชอบความง่าย แล้วไม่ว่าไปสั่งกินที่ร้านไหนมันก็รอดเสมอ (หัวเราะ) ถ้าหากเป็นหมูกระเทียมที่บ้านเราเองก็อาจจะใส่ใจสุขภาพขึ้นมาหน่อย เพราะตอนนี้อายุเริ่มมาก ก็ต้องระวังเรื่องอาหารมากขึ้น พอดีกับตอนที่คุณพ่อป่วยเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากเมื่อ 15 ปีที่แล้วด้วย นั่นส่งผลให้ไลฟ์สไตล์ของที่บ้านเราเปลี่ยนไปเลย

     ทุกวันนี้จะมีข้าวทั้งสองอย่างคือข้าวกล้องกับข้าวสวย บ้านเราทำเมนูง่ายๆ แต่ใส่ใจสุขภาพหน่อย แกงที่บ้านก็จะใช้นมสดแทนกะทิ ไข่พะโล้ก็อาจจะควักเอาไข่แดงออกบ้าง แต่ถ้าถามว่าผมทำอาหารเองไหม ไม่เลยครับ อาจจะเรียกได้ว่าเป็นคนชอบทำอะไรซ้ำๆ ถึงขั้นว่าถ้าอยู่ข้างนอกก็จะเข้าร้านอาหารประจำ แต่ถ้าอยู่บ้านก็ขอให้เป็นฝีมือของแม่ครัวประจำบ้านที่อยู่มานานจนรู้ใจกันแล้ว

 

ช่วยเล่าถึงเมนูง่ายๆ ที่เป็นคอมฟอร์ตฟู้ดประจำบ้านคุณหน่อยสิ

     ผมนึกถึงไข่ผัดเบคอนและมะเขือเทศ นั่นเป็นเมนูเดียวที่คุณแม่ทำ เพราะคุณแม่ก็ไม่ชอบทำกับข้าวเหมือนกัน แต่ท่านเคยทำเมนูนี้ตอนที่พวกเราไปอยู่ต่างประเทศ วัตถุดิบง่ายๆ อย่างไข่ เบคอน มะเขือเทศ ที่สามารถหาซื้อที่ไหนก็ได้ แต่กลับอร่อย ครั้งสุดท้ายที่คุณแม่ทำให้กินน่าจะเป็น 2 ปีก่อนที่ท่านจะเสีย ซึ่งถ้าวันไหนนึกถึงขึ้นมาก็จะบอกให้แม่ครัวช่วยทำเมนูนี้ให้หน่อย อาจจะไม่เหมือนจานที่คุณแม่ทำเป๊ะๆ แต่ก็ใกล้เคียงจนทำให้นึกถึงวันเวลาตอนเด็กๆ และความทรงจำดีๆ เกี่ยวกับครอบครัวเรา

     แล้วก็จะมีอีกเมนูหนึ่งคือหมูอบของคุณยายที่เป็นเมนูมรดกตกทอดของครอบครัว ยังมีการจดสูตรมาใช้จนถึงทุกวันนี้ แต่พอโตขึ้นมา ต่อให้ชอบแค่ไหน ผมก็ยังไม่เคยทำเองสักที แม้แต่ตอนไปเรียนเมืองนอกก็ใช้วิธีซื้อจากซูเปอร์มาร์เก็ตมาอุ่น เพราะรู้สึกเสียดายเวลาขึ้นมา กว่าจะเตรียมวัตถุดิบ กว่าจะหั่น ปาเข้าไปสามสี่ชั่วโมง แถมสุดท้ายยังไม่อร่อยอีกต่างหาก (หัวเราะ) ถ้าอย่างนั้นออกไปซื้อหรือเข้าร้านอาหารดีกว่า

     เพราะผมมองว่า

เวลาเป็นสิ่งมีค่า เราไม่ควรเอาไปเสียกับอะไรที่ทำออกมาแล้วผลสุดท้ายมันไม่เวิร์ก

 

พอเติบโตขึ้นมา กลายเป็นว่าคนเราส่วนใหญ่รู้สึกไม่ค่อยมีเวลา

     คือผมเป็นคนประเภทที่ค่อนข้างจะอยู่แบบรูทีนมานานแล้ว อาจจะเป็นนิสัยที่ติดมาจากตอนไปเรียนต่างประเทศ ปีแรกๆ ไปเรียนที่สวิตเซอร์แลนด์ คนที่นั่นตรงเวลากันมาก อาจจะเป็นนิสัยที่สั่งสมมาจากตรงนั้น ถ้านัดใครผมจะไม่เลตเลย หรือถ้าเลตก็ต้องเป็นเหตุฉุกเฉินจริงๆ อย่างรถติดในกรุงเทพฯ นี่ก็ใช่นะ (หัวเราะ) เพื่อนสนิททุกคนจะรู้เลยว่าถ้าวันไหนผมเลต แปลว่าต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่นอน แต่สมมตินัดหนึ่งทุ่ม ผมจะไม่เข้าไปก่อนด้วยนะ ต้องรอให้ถึงหนึ่งทุ่มพอดี การตรงต่อเวลาเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับเรา ถ้านัดใครแล้วผมสาย ผมจะรวนๆ รู้สึกกังวล กระวนกระวายไปหมด

 

กรณ์ ณรงค์เดช

 

ในขณะที่คนอื่นๆ ส่วนใหญ่กลับคิดว่าเป็นเรื่องสบายๆ ไม่ถือสากับการมาสายนิดๆ หน่อยๆ

     แต่สำหรับผม อย่างการประชุมธุรกิจ ถ้าใครมาไม่ตรงต่อเวลาหรือสายมากๆ ผมก็จะไม่ค่อยอยากคุยกับเขาแล้ว เพราะนี่เรากำลังคุยเรื่องธุรกิจที่สำคัญมากนะ แม้แต่การมาเจอครั้งแรกคุณยังมาตรงเวลาไม่ได้ มันก็คงเป็นสัญญาณบางอย่างที่อาจจะทำให้เราไม่น่ามาทำงานร่วมกันแล้ว เรื่องเวลานี่คงเป็นนิสัยส่วนตัวของผมที่ค่อนข้างเป็นคนเจ้าระเบียบด้วย

     อีกกิจกรรมที่ชอบทำเวลาว่างคือการเก็บห้องเก็บบ้าน ไม่ชอบเห็นอะไรกองอยู่รกๆ ถ้าไปที่บ้านผม ก็จะเห็นว่าสิ่งที่ชอบทำอยู่บ่อยๆ คือรื้อว่าอะไรเอาอะไรไม่เอา อีกตัวอย่างความเป๊ะที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ การที่กรอบรูปที่ผนังบ้านมันเอียงไปนิดเดียวก็สามารถสร้างความหงุดหงิดให้แล้ว เคยไปประชุมครั้งหนึ่งแล้วผมต้องนั่งตรงข้ามรูปที่มันเบี้ยว จนผมทนไม่ไหว ต้องบอกเขาว่าขออนุญาตลุกไปขยับรูปนะครับ มันกวนสายตา (หัวเราะ)

 

นิสัยเพอร์เฟกชันนิสต์นี้มาจากใครในบ้านหรือเปล่า

คุณแม่แน่ๆ ท่านเป็นแบบนี้เลย ในขณะที่คุณพ่อจะเป็นคนแนวรีแล็กซ์มากกว่า ในครอบครัวเราจะเหมือนเพื่อนกันมากกว่า ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัว คุณพ่อคุณแม่จะค่อนข้างให้อิสระในการตัดสินใจด้วยตัวเอง อย่างตอนเด็กๆ เขาอยากให้ผมเรียนด้านกฎหมายมากๆ แต่พอเราบอกว่าสนใจเรื่องธุรกิจมากกว่า พวกท่านก็ไม่ว่าอะไร ตอนไปเรียนปริญญาตรี 4 ปี คุณแม่ก็จะสอนให้เราดูแลตัวเอง โดยให้เงินมาก้อนหนึ่ง ท่านบอกว่าให้ตัดสินใจเอง บริหารเอง ใช้ภายใน 4 ปีนี้ ถ้าหมดก็ไม่ให้แล้ว แต่ถ้าเหลือก็ยกให้ไป ผมก็เริ่มคิดๆ ว่านานมากนะตั้ง 4 ปี แต่ถ้าเราเอาไปลงทุนก่อนดีไหม เผื่อมันจะมีรายได้กลับมาบ้าง สิ่งที่ท่านทำเหมือนเป็นการสอนให้คิด

 

กลายเป็นเราไม่กล้าใช้จ่ายหรูหรา แต่ทำให้รู้จักวางแผนการใช้เงินเลยใช่ไหม

     คือกลายเป็นคนคิดเยอะในเรื่องการใช้เงินไปเลยครับ ตั้งแต่ตอนเด็กๆ เวลาจะได้ของอะไรสักชิ้นก็จะต้องมีการทำอะไรเพื่อแลกเปลี่ยนกัน อย่างเช่นตั้งใจเรียนเพื่อสอบให้ได้เกรดเท่านี้ๆ แล้วคุณพ่อถึงจะอนุญาตให้ซื้อ โตมาเลยรู้คุณค่าของเงิน แต่ไม่ใช่ว่าไม่ยอมใช้เลยนะ เพราะคนรุ่นเราแตกต่างจากคนรุ่นก่อน ผมเคยเห็นตัวอย่างจากคุณตาที่ท่านเป็นคนทำงานหนักมาก ทำงานอย่างเดียว เก็บเงินอย่างเดียว จน 10 ปีสุดท้ายก่อนท่านเสีย ก็ล้มป่วยลง กลับไม่ได้ใช้เงินที่ตัวเองหามา เพราะฉะนั้น เราจะถือคติว่าหาเงินมาได้ ก็ต้องมีความสุขกับการใช้มันบ้าง แต่ไม่ใช่ว่าใช้โดยไม่คิดถึงอนาคต ผมวางแพลนคร่าวๆ ของการใช้เงินแต่ละเดือน และพยายามที่จะใช้ในส่วนที่ได้มาจากการลงทุนในหุ้น เพราะเงินก้อนนั้นจะรู้สึกว่าเป็นเงินที่เราได้มาฟรี

 

ของหรูหราที่สุดที่เพิ่งซื้อในช่วงนี้คืออะไร

     นาฬิกา เพราะซื้อด้วยความรู้สึกว่านาฬิกาพวกนี้มันสะท้อนถึงความเป็นตัวเรา เราชอบ และมันมีคุณค่า คุณต้องเข้าใจว่านาฬิกาไม่เหมือนเสื้อผ้าแพงๆ หรือรถยนต์หรูๆ ที่พอเราซื้อมาวันนี้ พรุ่งนี้มันจะราคาตกทันที แต่สำหรับนาฬิกาหรูพวกนี้ มันสามารถขายได้ไม่ต่ำลงไปกว่าเดิม ดังนั้น การเลือกซื้อหามาใส่ก็คือการลงทุนรูปแบบหนึ่งในอนาคต

     แต่นั่นก็เป็นการคิดเพื่อความสบายใจของตัวเองล้วนๆ เพราะในบรรดานาฬิกาทั้งหมดที่ซื้อมา ผมยังไม่เคยขายสักเรือน มันอาจจะมาจากการที่นาฬิกาทุกเรือนคือของที่เราชอบ แต่ละเรือนมันมีสตอรี เช่น ซื้อเป็นที่ระลึกตอนเรียนจบ เราใช้เงินเดือนก้อนแรกซื้อหามา หรือเมื่อคุยธุรกิจครั้งสำคัญสำเร็จก็จะซื้อเก็บไว้เพื่อเป็นรางวัลให้ตัวเอง นาฬิกาในความทรงจำเรือนหนึ่งที่คุณแม่ซื้อให้เราก่อนท่านจะเสียชีวิต เหมือนท่านจะบอกให้เราใช้เวลาให้คุ้มค่า มีประโยคหนึ่งจากคุณแม่ที่ผมใช้เตือนตัวเองอยู่เสมอ คุณแม่บอกว่า คนเราเสียใจ เสียเงิน หรือไม่ว่าจะเสียอะไร เราสามารถเอากลับมาได้ แต่สิ่งหนึ่งซึ่งเราเอากลับมาไม่ได้คือเวลา

 

กรณ์ ณรงค์เดช

 

มันคงต้องมีสักช่วงวัยหนึ่งในชีวิตที่คนเราใช้เวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์บ้างไหม 

     ใช่ๆ ก็อาจจะเป็นตอนเรียนไปอยู่เมืองนอกนั่นแหละมั้ง ตอนเป็นหนุ่มๆ เราทุกคนคงค่อนข้างเกเรแบบวัยรุ่น เที่ยวเยอะ การเรียนก็แค่พยุงๆ ไว้พอให้ผ่าน ด้วยความที่มีเพื่อนคนไทยเยอะมาก พวกเราก็เลยจะปาร์ตี้กันประจำ สมัยเรียนอยู่เมืองนอก ตอนนั้นยังไม่มี WhatsApp ไม่มี LINE ไม่มี Skype คุณแม่ยังโทร.มาหาทุกวัน แล้วท่านทำแบบนี้กับลูกทุกคน ส่วนใหญ่เวลาจากบ้านไปเมืองนอกเขาจะชอบโฮมซิกกันใช่ไหม แต่สำหรับผมคือไม่มีเลย สิ่งที่คุณแม่ทำมันทำให้เรารู้สึกเหมือนอยู่เมืองไทยเลย รู้เรื่องทุกอย่าง

 

มองย้อนกลับไปในวัยนั้นแล้วรู้สึกอย่างไร

     ตอนตัดสินใจจะเรียนต่อปริญญาโท ก็อยากจะไปเรียนโรงเรียนที่ดีๆ หน่อย อย่างน้อยก็อยากให้เป็นมหาวิทยาลัย Top3 ของอังกฤษนะ พอสอบติดคุณแม่บอกว่า เขาไม่คาดหวังเลยนะว่าเราจะต้องได้คะแนนดีๆ แค่ผ่านเข้าไปได้ก็แฮปปี้แล้ว ผลก็คือแค่ผ่านจริงๆ คือสอบสามวิชาได้คะแนนคาบเส้นเป๊ะ มีอีกสองวิชาที่ได้คะแนนดีขึ้นมาเป็นพิเศษ แต่ถ้าถามว่าเมื่อย้อนกลับไปมองแล้วเราเสียดายเวลาที่เอาไปเที่ยวหนักๆ ไหม อืม… ไม่รู้สิ แต่ก็ไม่นะ เพราะตอนนั้นเราอยู่ตรงนั้น เราได้เรียนรู้หลายอย่าง และเราก็ผ่านทุกอย่างตรงนั้นมาได้ คิดเสียว่าได้เกเรให้เต็มที่ จะได้ไม่มาสติแตกตอนโตไง

 

คนที่ให้ความสำคัญกับการใช้เวลาให้คุ้มค่า เวลามีความรักจะเป็นแบบไหน มีการกำหนด criteria ที่ใช้วัดคนที่จะมาเป็นคู่รักของคุณหรือเปล่า

     ถึงแม้เรื่องการทำธุรกิจผมจะเป็นคนค่อนข้างเพอร์เฟกชันนิสต์ แต่ถ้าเป็นเรื่องความรัก ผมกลับไม่ค่อยมีหลักการหรอก แล้วก็เลยผิดพลาดมาเยอะ ผมว่าเรื่องอะไรที่มันเป็นอีโมชัน เราจะไม่สามารถไปมีบรรทัดฐานกับมัน ว่าต้องอย่างนู้นอย่างนี้ ที่ผ่านมาในชีวิตก็เลยมีอดีตที่เสียใจ ผิดหวังบ้าง แต่พอโตขึ้น เราก็รู้แล้วว่าสิ่งที่ต้องการจริงๆ คืออะไร สิ่งใดที่จะทำให้เรามีความสุข เรื่องแบบนี้มันคงมาพร้อมกับอายุที่มากขึ้นด้วย

     ตอนเด็กๆ คนเราก็มักจะมีภาพในหัวใช่ไหมว่าอยากได้แฟนประมาณนี้ๆ ลิสต์ออกมาได้เป็นสิบๆ ข้อเลยนะ แต่สุดท้ายพอโตขึ้นมา คนที่ได้อยู่ด้วยกันในปัจจุบัน เราสองคนก็เหลือแค่ว่า คนคนนี้ทำให้สบายใจ อยู่กันแล้วสบายๆ เราได้เป็นตัวของตัวเองที่สุด สิ่งสำคัญคือการเคารพกันของทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่มาคอยกลัวกันหรือโกรธกันตลอดเวลา เพราะในเรื่อง relationship มันเหมือนเรื่องธุรกิจที่จะมาบอกว่าต้องได้อะไร ต้องกำไรเท่านี้ มีมาร์จินเท่านี้ หรือคอสต์เกินนี้ไปไม่ได้ โลกนี้ไม่มีใครเป็นเหมือนกันหมด แต่อย่างน้อยๆ พอเขารู้ว่าเราให้ความสำคัญกับเรื่องเวลามาก ถ้าเขาจะเลตก็จะมีการบอกล่วงหน้ากันก่อนว่า วันนี้เลตหน่อยนะ เราก็โอเค อะไรที่ไม่ได้ก็ปรับกันไปเพื่อให้ความสัมพันธ์มันเฮลตี้และอยู่ได้นานกว่า

 

ความผิดหวังในเรื่องความรักความสัมพันธ์ ส่งผลให้คุณรู้สึกสูญเสียคุณค่าในตัวเองไปบ้างไหม

     มีส่วนนะ ตอนนั้นก็มีหลายอย่างเข้ามาในชีวิต ช่วงที่ผมหย่า จากนั้นไม่นานคุณแม่ก็เสียไป มีหลายเรื่องในหัวมาก นั่นนับเป็นปีที่หนักหนาสาหัสสำหรับผมพอสมควร แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือเราได้รับการเยียวยาจากครอบครัว คือคุณพ่อ และก็พี่ชายคนโต คือเราสนิทกับพี่ชายคนโตมากอยู่แล้ว แต่คุณพ่อโดยปกติท่านจะเป็นคนไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยคุยเรื่องฟีลลิงหรืออะไรที่เป็นอีโมชัน แต่หลังจากคุณแม่เสียไป คุณพ่อกลายเป็นคนที่โอเพนอัพ เราได้คุยกันมากขึ้น

 

กรณ์ ณรงค์เดช

 

คนเราจะชอบนิยามตัวเองในช่วงเปลี่ยนผ่านไปสู่วัยต่างๆ ในวัย 40 ปีของคุณ คุณนิยามตัวเองไว้อย่างไร

     40 ปีที่ผ่านมา ก็เป็น 40 ปีที่มีความทุกข์และสุขปะปนกันไป แต่ดีที่ความสุขมากกว่าความทุกข์ ถ้าถามว่าย้อนกลับไป เราจะทำทุกอย่างเหมือนเดิมไหม ผมก็จะทำ เพราะที่สุดแล้วทั้งหมดนั้นมันคือประสบการณ์ที่สอนเรา ทั้งในเรื่องชีวิตส่วนตัว การทำงาน และความรัก ทุกวันนี้ก็มีความสุขประมาณหนึ่งนะ มีแพลนในชีวิตที่ผมวางไว้ทุกๆ 3 ปีหรือ 5 ปี เป็นไกด์ไลน์ว่าจะเดินตามเส้นทางประมาณนี้ไป แต่ถ้ามีอะไรเข้ามาไม่ตรงกับแพลนนั้นก็คอยปรับเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ ทุกวันนี้โลกเปลี่ยนเร็ว วางแผนธุรกิจใน 5 ปีข้างหน้าไว้ ถึงวันนั้นมันอาจจะไม่เหมือนเดิมแล้ว

 

แพลนที่วางไว้เมื่อ 3-5 ปีที่แล้วของคุณคืออะไร

     ตอนนั้นนั่งคุยกับที่บ้าน สมัยก่อนธุรกิจหลักของบ้านเราคืออุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งหมด แต่เราก็ตัดสินใจขายไปเพราะอุตสาหกรรมยานยนต์เป็นธุรกิจที่แข่งกันด้วยมาร์จินสุดๆ ในฐานะนักธุรกิจ ผมคิดว่าบ้านเราต้องชิฟต์โฟกัสไปได้แล้ว คุณพ่อถามว่าอยากทำอะไร พวกเราก็มาคิดๆ ว่าโรงงานไม่ใช่สไตล์พวกเราแน่ๆ พอดีว่าตอนที่เรียนปริญญาโทจบ ผมเคยไปเทกคอร์สที่โรงเรียนสอนอินทีเรียร์มาหกเดือน เลยคิดถึง property ขึ้นมา ซึ่งมันเป็นสิ่งที่น่าจะเหมาะกับธรรมชาติของผมที่สุด ผมอยากเป็นเดเวลลอปเปอร์ที่นำสิ่งใหม่ๆ มาสู่ตลาด จากตอนนั้นถึงตอนนี้ก็ประมาณห้าปีแล้ว ก็ถือว่ามาได้ไกลประมาณหนึ่ง การที่ทำให้ลูกบ้านแฮปปี้ หรือลูกบ้านที่ซื้อไปตั้งแต่สามปีที่แล้ว ณ วันนี้เขาสามารถขายได้ราคาขึ้นจากเดิม และค่อนข้างชัดแล้วว่าจะมาทางลักชัวรีไลฟ์สไตล์ ก็ถือว่าเราสามารถทำได้อย่างที่ตั้งใจไว้

 

คุณใช้ความลักชัวรีแบบไหนในการออกแบบที่พักอาศัยให้ลูกบ้านของคุณ

     ความลักชัวรีจริงๆ แต่ละคนตีความต่างกันไป แต่ของเราจะไม่ใช่ความหรูหราแบบอล่างฉ่าง อวดว่าฉันลักชัวรีนะ แต่จะเป็นความลักชัวรีที่ประณีตในรายละเอียดของชีวิตจริงๆ ที่สำคัญคือต้องอยู่อาศัยได้จริง จะไม่ให้เขารู้สึกว่าทำไมดูห้องตัวอย่างแล้วสวยจัง แต่พอมาอยู่จริงทำไมมันรก ยกตัวอย่างสมัยนี้ไม่มีใครมีรองเท้าแค่สี่ห้าคู่ ตู้เก็บรองเท้าต้องมีอย่างน้อยยี่สิบสามสิบคู่ ทุกยูนิตมีการดีไซน์ไว้สำหรับการเก็บกระเป๋าเดินทาง ซึ่งทั้งหมดนี้มันคือรายละเอียดที่มาจากประสบการณ์ส่วนตัว การสังเกตในชีวิตประจำวัน

     เราใส่รายละเอียดบางอย่างซึ่งอาจจะไม่จำเป็นต้องใส่ แต่เราก็เลือกที่จะประณีตกับมันมาก เพราะเราอยากให้เขาได้ประสบการณ์ เราอยากขายสิ่งนี้ให้เขา ความลักชัวรีไม่ใช่แค่ความสวย ไม่ใช่แค่ว่าเดินเข้ามาแล้ว เฮ้! บ้านสวยแล้วจบ แต่มันคือการออกแบบกลิ่นที่เราตั้งใจให้เขาเกิดฟีลลิงตั้งแต่เดินเข้ามาเห็นโต๊ะที่ปูด้วยหนังแพะผ่านการเคลือบหลายชั้น หรือสีทองที่ไม่ใช่แค่ทาสีลงไปแต่มาจากทองคำเปลวที่แปะลงไปทีละแผ่น ทุกอย่างจึงมีความหมายทั้งหมด ต้นไม้ข้างหน้าที่ชื่อต้นมั่งมี พรมลายทับทิมที่ล็อบบี้ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งรุ่งเรืองตามความเชื่อของคนเปอร์เชีย ทุกอย่างล้วนมีความหมาย ไม่ใช่แค่สวยเลยซื้อมาวางไว้

     ที่อยู่อาศัยเป็นประสบการณ์ที่สำคัญ ผมเชื่อว่าในหนึ่งวัน เราใช้เวลามากที่สุดไม่ที่ออฟฟิศก็ต้องที่บ้านนี่แหละ ดังนั้น บ้านจึงต้องเป็นอะไรที่ทำให้เรามีความสุขจริงๆ ความสุขใจคือความหรูหราที่แท้จริง