ภัทรพล ทองสุขา

ภัทรพล ทองสุขา | ความสุขปนเศร้าของชาวฟรีแลนซ์ และชีวิตที่ไม่ได้ตลกตลอดเวลา

‘เม้ง’ – ภัทรพล ทองสุขา เป็นมือกลองแห่งวงดนตรี Desktop Error เป็นพระเอกภาพยนตร์โฆษณาที่เป็นตัวแทนของคนดีและลูเซอร์ และในอนาคตเขาอาจจะกลายเป็นเจ้าของร้านอาหารในตำนานก็ได้

การเลือกทำในสิ่งที่แตกต่างไปพร้อมๆ กันของชายหนุ่มวัย 33 ปีคนนี้ เขามองว่ามันเป็นการแสวงหาโอกาสใหม่ๆ เรียนรู้โลกใหม่ๆ พร้อมกับการสร้างความมั่นคงในชีวิต เวลาพูดถึงชีวิตและการทำงานที่ผ่านมา น้ำเสียงและแววตาของเขาทำให้เรารู้สึกราวกับว่าเขากำลังเล่าเรื่องผาดโผนโจนทะยานของนักผจญภัยวัยหนุ่ม

     จากนักเรียนศิลปะที่มีความสนใจในการเล่นดนตรีสู่การเป็นผู้ช่วยช่างภาพ ตกงานไม่มีเงินจนต้องออกไปรับจ้างทำงานต๊อกต๋อย ถึงวันที่ต้องยอมลดละความเป็นศิลปินมาสู่ลูปของงานประจำ จนในที่สุดสิ่งที่ได้ทำสั่งสมไว้ในอดีตทั้งหมดส่งผลให้วงดนตรีของเขาแจ้งเกิด แถมยังมีประตูอีกบานหนึ่งซึ่งเปิดต้อนรับเขาสู่เส้นทางการเป็นนักแสดงในภาพยนตร์โฆษณา ล่าสุดเขาเซอร์ไพรส์เราด้วยการบอกว่ากำลังซุ่มศึกษาเกี่ยวกับการทำอาหารด้วยความคลั่งไคล้

     เรื่องราวของเขาสะท้อนให้เห็นชีวิตในแบบแผนที่สตีฟ จ๊อบส์ เคยได้กล่าวไว้ ชีวิตที่ลากเส้นไปตามจุดต่างๆ ผ่านงานที่ทำ แล้วเมื่อเวลานั้นมาถึง คุณจะได้ภาพชีวิตที่ชัดเจนบนผ้าใบผืนใหญ่ ภาพแผนชีวิตที่แสนทรงเสน่ห์เช่นนี้เองที่ทำให้หนุ่มสาวมากมายตัดสินใจออกจากงานประจำ ใช้ชีวิตแบบฟรีแลนซ์ กระโจนไปหาประสบการณ์ใหม่ๆ สร้างทักษะใหม่ๆ ที่จะมาแต่งแต้มจุดมากมายบนผืนผ้าใบแห่งชีวิต

     แต่ความสุขจากโลกใบใหม่ที่ใหญ่กว่า สนุกกว่า และเปิดโสตประสาทมากกว่าก็ต้องแลกมาด้วยความรู้สึกเคว้งคว้าง วิตกกังวลต่อความไม่มั่นคง เพราะพวกเขาจะไม่ได้รับการโอบอุ้มจากสวัสดิการหรือบำนาญใดๆ ของบริษัท แถมเรายังใช้ชีวิตอยู่ในประเทศที่รัฐไม่ได้วางแผนการเก็บออมหรือส่งเสริมสวัสดิการด้านสุขภาพ

     เราจึงต้องทำงานให้หนักเพื่อนำเงินไปซื้อกองทุน ซื้อประกันสุขภาพ หาหลักประกันมาหล่อเลี้ยงชีวิตของเราให้มั่นคงปลอดภัยและไร้ความเสี่ยงมากที่สุด เพื่อที่จะแลกกับอิสรภาพจากโซ่ตรวนของการทำงานรูทีนที่แสนจะน่าเบื่อหน่าย 

     ถามว่าชีวิตแบบนี้เครียดมั้ย เขาก็บอกว่าเครียด แล้วถามสนุกมั้ย เขาก็ว่ามันสนุก มันเป็นชีวิตที่สุขปนเศร้าและบางครั้งชีวิตก็เป็นเรื่องตลกที่ทำให้เขาได้หยิบเอามาสร้างอารมณ์ขันกับเพื่อนพ้อง

 

ภัทรพล ทองสุขา

 

รายได้หลักในชีวิตประจำวันของคุณทุกวันนี้มาจากงานอะไรบ้าง

     รายได้ตอนนี้มาจากการทำงานอิสระ ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันส่วนใหญ่จะมาจากการแสดง ส่วนรายได้จากการเล่นดนตรีก็มีบ้าง ยังคงทำดนตรีอยู่เรื่อยๆ นะ ตอนนี้เป็นมือกลองของวง Desktop Error ซึ่งก็ทำมานานมากแล้ว แล้วก็ยังไปช่วยตีกลองให้กับพี่จีน กษิดิศ ตีให้พี่เขามาประมาณ 8 ปีแล้ว ทุกวันนี้ก็ยังทำอยู่

 

ฟรีแลนซ์อย่างคุณจับจ่ายใช้สอยอย่างไร มีการวางแผนทางการเงินบ้างไหม

     มีแพลนว่าอยากซื้อกองทุน ซื้อประกันอยู่นะ แต่ไม่ได้อยากซื้อให้ตัวเองหรอก สิ่งสำคัญสำหรับเราตอนนี้คือพ่อแม่ของเรา พวกเขาอยู่ในวัยเกษียณแล้ว อายุมากแล้ว แต่ก็พูดตรงๆ นะว่ายังไม่ได้ซื้อเลย มีแค่เริ่มคุยๆ กันไว้ ด้วยความที่เราเป็นฟรีแลนซ์ จึงมีรายได้ที่ไม่แน่นอน

 

แต่เราก็เห็นว่าคุณมีงานโฆษณาหลายตัว แถมยังได้เล่นเป็นพระเอกทั้งนั้นเลยนะ

     คงเป็นเพราะเขาจำเราได้จากคาแร็กเตอร์ในงานโฆษณาชิ้นเก่าๆ ด้วยมั้ง เราแจ้งเกิดมาจากงานโฆษณาของพี่ต่อ (ธนญชัย ศรศรีวิชัย) จริงๆ ก่อนหน้านั้นเราเคยเล่นโฆษณามาบ้างแล้ว โฆษณาตัวแรกคือโฮมโปร แต่เราไม่ได้เล่นเป็นตัวแสดงหลักนะ แค่ยืนอยู่ข้างๆ เท่านั้น คุณรู้มั้ยว่าต่อให้ไม่ใช่ตัวเด่น แต่วันถ่ายทำพี่ต่อให้เรายกอ่างล้างหน้าเป็นสิบรอบเลยนะ

     เขาบอก ‘มึงสองคนไปยกอ่างล้างหน้า ยกออกมาวาง แล้วก็ยกกลับเข้าไป’ ให้เราทำแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาแล้วเขาก็ถามว่า ‘ทีนี้มึงรู้สึกเหนื่อยหรือยัง?’ ตอนนั้นเรางงมาก อะไรวะเนี่ย เกิดอะไรขึ้นวะ หลังจากนั้นเขาให้เรายืนเรียงแถวแล้วบอกว่า ‘ไหนลองปัดมือดูซิ เวลามือเลอะต้องปัดมือยังไง’ เราก็เอามือซ้ายขวามาปัดๆ ถูๆ กัน แต่เขากลับบอกให้ทำใหม่เรื่อยๆ ไอ้เราก็เริ่มเครียดแล้ว กูทำผิดอะไรวะเนี่ย (หัวเราะ)

     สุดท้ายเขาค่อยบอกเราว่า คนที่ทำอาชีพก่อสร้างจริงๆ เขาจะไม่มัวยกมือถูไปมาหรอก เขาเช็ดมือที่เสื้อเลย วันนั้นเราเลยรู้ว่าพี่เขาน่าสนใจมาก เขาเป็นคนที่เก็บรายละเอียดสุดๆ นี่คือคุณสมบัติที่สำคัญของคนทำงานแบบมืออาชีพ ตอนที่เรารู้สึกว่าตัวเองเริ่มตันกับการแสดงก็ไปนั่งคุยกับเขา คือเราไม่อยากให้ทุกคนมองเห็นเราในบทบาทเดิมๆ ซ้ำๆ ถ้าไม่เป็นคนดีก็เป็นลูเซอร์ ขณะที่เราพยายามจะหลีกเลี่ยง อยากเล่นบทอื่นบ้าง อยากหนีจากอะไรเดิมๆ แต่สุดท้ายแล้วกลับพบว่านี่เรากำลังฝืนตัวเองอยู่หรือเปล่า

 

การแสดงไม่ใช่การถอดตัวตนของเราเพื่อไปสวมบทบาทเป็นคนอื่นหรอกเหรอ

     นั่นมันก็ใช่ แต่อย่างไรก็ตามในบทบาทที่เราสวมอยู่มันจะยังมีความเป็นตัวเราอยู่ในนั้น มันมาจากคาแร็กเตอร์ของเรา มาจาก physical บางอย่างที่ถูกวางไว้ตลอดยี่สิบปีหรือตลอดชีวิตที่ผ่านมา จนนำมาสู่ตัวเราในทุกวันนี้ สิ่งเหล่านี้มันส่งผลต่อการแสดงของเราอยู่แล้ว พอได้คุยกับพี่ต่อ เขาก็บอกกับเราว่า สุดท้ายแล้ว objective คือความเป็นธรรมชาติของมนุษย์นั่นเอง ธรรมชาติที่ไม่ได้ถูกตัดแต่งดัดแปลง ทำไมเราดูหนังโฆษณาของเขาทุกเรื่องแล้วรู้สึกว่าหนังเขาโคตรเรียลเลย มันคือการจับแบ็กกราวนด์ของตัวละคร มันคืออินไซด์ของตัวละครจริงๆ

 

ภัทรพล ทองสุขา

 

แล้วคุณมีวิธีเรียนรู้และพัฒนาทักษะการแสดงอย่างไรบ้าง

     เรามองว่าโลกใบนี้มันเหมือนการท่องยุทธภพนะ คนที่เก่งกว่าเรามีอยู่มากมาย แล้วจะหาคนเก่งๆ ได้ยังไง เราก็ต้องท่องยุทธภพไปหาไปคุยกับเขา เรามีกระบี่ที่คมอยู่แล้ว มีความเก่งจากการฝึกฝนในด้านหนึ่งมาเป็นอย่างดี แต่ถ้าอยากรู้ว่าเราจะเก่งกว่านี้ได้อีกมั้ย จะรู้ได้ก็ต่อเมื่อเราเดินไปหาคนที่เป็นเซียนในด้านนี้ เราจะหาโอกาสในการเข้าไปคุยกับเขามั้ย เรามองว่าคนเหล่านี้เขาพร้อมที่จะเปิดโอกาสให้เข้าไปหาอยู่แล้ว

     สำหรับนักแสดงที่เราชอบ เราจะเข้าไปคุยกับเขาเลย เราส่งข้อความไปคุยกับพี่ปู (วิทยา ปานศรีงาม) ได้รู้จักพี่เดวิด อัศวนนท์ ผ่านครูสอนการแสดงของเรา พอเราเข้าไปคุยก็พบว่าเขาพร้อมที่จะแนะนำให้เรารู้จักนักแสดงเก่งๆ มากมาย เริ่มรู้ว่าคนนั้นคนนี้เป็นใคร ได้รู้ว่าดาราฮอลลีวูดเก่งๆ เขาใช้เทคนิคอะไรในการทำงาน เขาใช้เวลาอยู่กับการทำแบบฝึกหัดมากขนาดไหน จนมีโอกาสได้มาเล่นละครเวทีจึงทำให้รู้ว่า physical เราเป็นยังไง ร่างกายของเราผิดปกติตรงไหน บางคนเวลาพูดอยู่ ไหล่ข้างหนึ่งอาจจะยกขึ้นมาแบบไม่เป็นธรรมชาติ แต่พอเราได้ลองทำ Relaxation ร่างกายของเราก็จะเริ่มผ่อนคลาย ไม่เกร็งแบบเดิม เรื่องนี้สำคัญมาก มันเป็นพื้นฐานของนักแสดงเลยแหละ ของเหล่านี้เรารู้เพราะว่าได้ไปเข้าคอร์สเรียนอย่างจริงจัง

     ก่อนหน้านี้เคยสติหลุดเผลอคิดว่าเราน่าจะแน่เหมือนกัน แต่พอไปถึงจุดหนึ่งเราว่ามันไม่ใช่แล้ว สุดท้ายมันคือประสบการณ์ส่วนตัวทั้งนั้นเลยที่เราเอาออกมาใช้ มันเป็นธรรมชาติเพราะว่ามันคือคาแร็กเตอร์ของเราจริงๆ ซึ่งสิ่งที่บอกว่าความคิดของเรามันไม่จริงก็คือเราตระเวนแคสต์งานอยู่เป็นปีๆ ก็ยังไม่ได้งานสักชิ้น ส่วนโฆษณาโฮมโปรที่เป็นชิ้นแรกนั่นก็ได้มาแบบฟลุกๆ ไม่ได้แคสต์อะไรเลย

 

ก่อนหน้านี้ก็เล่นดนตรีอยู่ดีๆ อะไรที่ทำให้เกิดความรู้สึกว่าเราสามารถเป็นนักแสดงได้

     ก็เพราะการทำวง Desktop Error นี่แหละที่พาให้เราไปเจอคนทำงานแคสติ้ง คนทำโปรดักชันเฮาส์ คนทำงานเอเจนซีต่างๆ วงเราได้ไปเล่นที่ร้านเหล้าอยู่บ่อยๆ พอพวกเขามากินกันก็เลยเห็น เริ่มมานั่งคุยกับเราเรื่อยเปื่อย เราก็ไม่รู้หรอกว่าเขาเป็นใครบ้าง จนในที่สุดก็มีช่างภาพสตรีทคนหนึ่งแนะนำให้เราลองไปแคสต์งานดู ตอนนั้นเรายังทำงานประจำเป็นกราฟิกดีไซเนอร์ในออฟฟิศ เราก็คิดว่าดีนะ ถ้าได้งานแสดงก็จะมีเงินนอกเหนือจากงานประจำด้วย

     ช่วงที่ทำงานประจำควบคู่กับการเล่นดนตรีก็เริ่มมีความรู้สึกแล้วแหละ ว่าอยากออกจากลูปของงานประจำ ไม่ใช่ว่างานไม่ดีหรืออะไรนะ แต่บางทีการทำอะไรเดิมๆ ซ้ำไปนานๆ มันเหมือนว่าโสตประสาทของเราหลายๆ ด้านถูกปิดไว้ เลยอยากออกมาเรียนรู้โลกอื่นๆ บ้าง

     สำหรับเราการเป็นคนทำงานออฟฟิศกับการเป็นคนทำงานฟรีแลนซ์มันไม่ได้มีอะไรดีหรือแย่ไปกว่ากันหรอก เหมือนกับคุณจะทุนนิยมหรือไม่ทุนนิยมนั่นแหละ ทุกอย่างต่างมีข้อดีและข้อเสียของมัน เมื่อมีทั้งสองอย่างอยู่ควบคู่กันโลกจึงเกิดสมดุล

     แล้วในการได้มาทำงานเป็นฟรีแลนซ์อยู่ตรงนี้ก็ไม่ใช่ว่าเราเป็นคนเลือกเองขนาดนั้น บางทีมันขึ้นอยู่กับเส้นทางชีวิตแต่ละคนที่มันจะพาให้คุณไปเจออะไร อาจจะอยู่ในรูปแบบของเจ้ากรรมนายเวรมากกว่า (หัวเราะ)

 

เราไม่ควรปฏิเสธงานทุกอย่างและลงมือทำอย่างตั้งใจเพื่อสร้างจุดต่างๆ แล้วสักวันหนึ่งจุดเหล่านั้นจะมาบรรจบกันบนผ้าผืนใหญ่ใช่มั้ย

     (นิ่งคิด) ก็อาจจะใช่ แต่บางอย่างเราก็ไม่ฝืนนะ จริงๆ ก่อนมาทำงานสายกราฟิกเราเคยเป็นผู้ช่วยช่างภาพ ได้เจอช่างภาพนิตยสารชื่อดังหลายต่อหลายคนเลย แต่สุดท้ายเราก็ไม่ได้ไปทำประจำกับเขา ถึงแม้เราจะชอบลองทำอะไรหลายๆ อย่าง แต่ถ้าเซนส์แรกของเราบอกว่ามันไม่ใช่ ก็จะไม่ฝืนตัวเอง ตอนนั้นกลับมาถามตัวเองเลยว่า ไปเริ่มทำอย่างอื่นใหม่ดีกว่ามั้ย คนถ่ายรูปต้องถือกล้องทุกวันนะ ช่างภาพใช้เลนส์เหมือนศิลปินใช้พู่กันนั่นแหละ มันมีหลายเบอร์ ทั้งแบน ทั้งแหลม ทั้งเล็ก แล้วแต่เบอร์ เลนส์ก็มีหลายขนาด เลนส์กว้าง เลนส์ซูม แล้วก็อีกมากมาย ทุกวันนี้ยังชอบถ่ายภาพอยู่นะ แต่ไม่ได้คิดว่าจะไปในทิศทางนั้นต่อ

     เราเจอจุดที่ทำให้ย้อนกลับมาถามตัวเองหลายอย่าง ทั้งเรื่องอุปกรณ์ เราจะเอาเงินที่ไหนไปหาซื้อเลนส์ดีๆ พวกนั้นมาใช้วะ พ่อเราอุตส่าห์ลงทุนซื้อกล้องให้ ถ่ายไปได้พักหนึ่งเรากลับรู้สึกว่าไม่รอดแล้ว มันต้องมีอุปกรณ์เสริมอื่นๆ มาช่วย ปัจจัยสำคัญนะ เพราะมันจะนำไปสู่อะไรบางอย่าง หลายคนชอบบอกว่าของพวกนี้ไม่เกี่ยวกับเงินทองหรือปัจจัยใดๆ อยู่ที่ตัวเรา ถ้าเราตั้งใจจริงๆ เราจะต้องทำได้ แต่ตอนนั้นเราย้อนมองมาที่ตัวเองแล้วกลับเจอคำถามว่า เฮ้ย เราชอบอะไรกันแน่ สับสนมาก กูอยากทำอะไรวะ ก็นั่งเครียดอยู่ที่บ้าน สุดท้ายก็ เออ ตั้งหน้าตั้งตาทำเพลงไปก่อนแล้วกัน เพราะเพลงเป็นสิ่งที่เราทำควบคู่กับงานอื่นๆ ในชีวิตมาตลอดอยู่แล้ว

     เราเจอกับเบิร์ด (อดิศักดิ์ พวงอก) มือกีตาร์ของวง ตั้งแต่สมัยเรียนวิทยาลัยช่างศิลป์ฯ มีตุ้ย (ชาญณรงค์ แจ่มขาว) เป็นมือเบส ตอนนั้นยังเรียนมัธยม ยังใส่ขาสั้นมาซ้อมดนตรีอยู่เลย จริงๆ เรารู้จักกับตุ้ยตั้งแต่ก่อนมาเจอเบิร์ดแล้วแหละ ซ้อมดนตรีด้วยกันตั้งแต่มัธยม ส่งเทปไป Hotwave Music Awards ไม่มีเงินก็ใช้วิทยุอัดเพลง ไปส่งเพลงที่ตึกเขาเลย แปลงเพลง 2-1=0 ของวง PEAK แต่ตอนประกวดนี่ไม่มีแววเลยนะ สุดท้ายก็ไม่ผ่าน เหี่ยว กลับไปเล่นคัฟเวอร์เหมือนเดิม มีคนมาขอให้ไปเล่นเพลงสากลตามร้านอาหารแต่สุดท้ายก็เละอยู่ดี (หัวเราะ) มันตื่นเต้นมาก เหมือนในหนังเรื่อง SuckSeed เลย ลูเซอร์สุดๆ ยังไม่มีประสบการณ์แต่อยากโชว์ ดีที่สุดท้ายเราไม่เลิกล้มความตั้งใจไปก่อน มันจึงมาได้ถึงทุกวันนี้เพราะเรายังคงเล่นกันต่อไป

     เราได้เจอจุดที่ล้มเหลวกับการถ่ายภาพและการเล่นดนตรีเหมือนกัน แต่นี่ไงที่เราบอกว่า เราเชื่อในเซนส์แรกของเรา อะไรที่ใช่ มันก็น่าจะใช่ อะไรที่มันไม่ใช่เราอย่าไปฝืน

 

ที่บ้านของคุณเห็นด้วยกับการเล่นดนตรีหรือเปล่า

     ไม่เชิงไม่เห็นด้วยซะทีเดียว แต่เขาจะพยายามถามอยู่ตลอดเวลาว่าตอนนี้ทำอะไรอยู่ พ่อเราก็เล่นดนตรีนะ เป็นมือกีตาร์ เขารักดนตรี ชอบฟังเพลง แต่เราเป็นคนที่ค่อนข้างดื้อ ถึงชีวิตจะยังไม่ได้มั่นคงอะไรเลย เรากลับเลือกที่จะไม่อยู่บ้าน ออกมาเช่าห้องเล็กๆ อยู่เอง เพื่อที่จะทำให้พ่อเห็นว่าเราอยู่ได้ ก็ยังมีไปขอเงินเขาบ้างนะ แต่เขาก็ไม่ให้ เขาบอกว่า ก็ในเมื่อตัดสินใจจะทำอย่างนี้แล้วก็ต้องหาเองนะ เราก็เลยคิดว่าต้องทำอย่างอื่นควบคู่ไปด้วย มันถึงจะอยู่รอดได้

     อย่าลืมว่าเราใช้ชีวิตอยู่ในประเทศโลกที่สามนะ (หัวเราะ) มันก็เหมือนการเป็นนักแสดงที่ไม่ใช่ดาราหรือเซเลบริตี้ ไม่ได้มีงานจ้างให้ไปออกอีเวนต์แบบเขา เราทำงานกับบทเท่านั้น ในช่วงที่เราไม่ได้ทำงานกับบท เราก็ไม่ได้เป็นนักแสดง ดังนั้น เราจึงต้องไปทำอย่างอื่น กับเรื่องดนตรีก็เหมือนกัน

 

ภัทรพล ทองสุขา

 

แต่สุดท้ายคุณก็ตัดสินใจลาออกจากงานประจำอยู่ดี อะไรที่ทำให้รู้สึกมั่นใจขึ้นมาได้

     อืม… สุดท้ายมันก็คือการเสี่ยงนั่นแหละ เสี่ยงที่จะทำ เราเลยดูหนัง 2,215 เชื่อ บ้า กล้า ก้าว แล้วรู้สึกชอบมากๆ ในหนังมันจะมีคำหนึ่งที่บอกว่า คนเราจะประสบความสำเร็จได้มันเริ่มมาจากการดื้อ ดื้อที่จะทำ เพราะฉะนั้น การใช้ชีวิตเราในทุกวันนี้ยังเป็นความเสี่ยงอยู่ แต่มันเป็นความเสี่ยงบนเงื่อนไขที่เริ่มมีปัจจัยมากขึ้นแล้วนะ เราเริ่มแคสต์งานบ่อยขึ้น ได้งานโฆษณามากขึ้น แล้วตอนทำงานประจำเราเช่าห้องอยู่แถววงเวียนใหญ่แต่ต้องนั่งรถไปทำงานที่ออฟฟิศย่านลาดพร้าวทุกวัน มันทรมานเกินไปหรือเปล่า เงินเดือนที่ได้มานั้นพอแลกกับค่ารถก็หมดแล้ว

     เราเคยผ่านชีวิตช่วงที่กรอบที่สุดมาแล้ว คือชีวิตหลังออกจากอาชีพผู้ช่วยช่างภาพ ก่อนมาทำกราฟิกประจำ ตอนนั้นไปขออาศัยอยู่บ้านเบิร์ด ต้องขอบคุณเพื่อนรักคนนี้มากๆ เขาให้เราอยู่เลย ถ้ามีค่าน้ำค่าไฟก็ช่วยเขาจ่ายไปหน่อย เวลาทำเพลงก็ทำด้วยกัน ยืมเงินเขาแล้วแม่ของเขายังต้องทำกับข้าวให้เรากินอีก บางทีก็ไปทำงานกลับมาดึกๆ ดื่นๆ อยู่อย่างนั้นเป็นปีเลยนะ

 

ในเมื่อไม่มีงานประจำแล้ว คุณยังต้องออกไปทำงานอะไรอีก

     ก็งานฟรีแลนซ์ พูดให้ชัดคืองานรับจ้างนั่นแหละ เคยพีคที่สุดตอนเพื่อนมาถามว่ามีงานให้ทำสนใจมั้ย เป็นงานปิดป้ายประกาศตามมหา’ลัย เราก็เฮ้ย ไปดิ ตอนนั้นมีเงินเหลือในธนาคารประมาณ 300 บาท บางวันหนักสุดๆ เหลือร้อยเดียวก็มี สุดท้ายก็ต้องไปปิดป้ายตามมหา’ลัย นั่งกระบะจับกังไปกันเลย ร้อนก็ร้อน ได้ค่าเหนื่อยกลับมา 500 บาทต่อวัน 

     จนกระทั่งกลับมาอยู่บ้าน พ่อให้เงินก้อนสุดท้ายในวันเกิดเรา กัดฟันให้มาสองหมื่นบาท แต่หลังจากนี้จะยังไงก็ช่าง ก็คือแล้วแต่เราเลย  เราก็โอเคครับ งั้นไปสมัครงานออฟฟิศดีกว่า จนได้ไปทำงานกราฟิกไง เราใช้เงินก้อนนั้นเป็นค่าเดินทาง ค่าเช่าห้อง ไม่สุรุ่ยสุร่ายไปกับอะไรเลย แต่ตอนหลังๆ พองานโฆษณามันเข้ามาเยอะๆ บวกกับการที่วงเราทำอัลบั้มเสร็จ ได้ไปทัวร์ญี่ปุ่น 3 จังหวัด ก็เลยเริ่มเฟดออกมา บอกเขาว่าขอทำเดือนนี้เดือนสุดท้ายนะ ชีวิตก็เลยกลับมาอยู่ในความเสี่ยงอีกแล้วไง (หัวเราะ)

 

ไม่กลัวเหรอว่าจะกลับไปสู่จุดที่เงินในบัญชีเหลือ 100 บาทอีกครั้ง

     เราเสี่ยง ถือคติว่าช่างแม่ง เอาดิ อยากรู้เหมือนกันว่าโชคชะตาจะพาเราไปถึงจุดไหน จะเล่นแบบนี้ก็มา ถ้าวันหนึ่งเราต้องกลับไปทำงานประจำอีกก็ช่างแม่งนะ แต่เราจะไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนอีกแล้ว สิ่งที่เพิ่มขึ้นจากการเรียนรู้และเติบโตคือเราต้องพัฒนาตัวเองอยู่เรื่อยๆ ดูหนังให้เยอะเข้าไว้ อย่างเรื่องการแสดง ตอนนี้เราติด Daredevil มาก พระเอกตาบอดทั้งชีวิต โดนกระทืบซ้ำอีก ชีวิตบัดซบมาก เราดูแล้วก็อิน

     ส่วนดนตรีถ้ามีเวลาก็จะไปซ้อมให้ได้ทุกอาทิตย์ แล้วก็จะมีอีกโหมดหนึ่งที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมา กำลังฝึกฝนอยู่ คือการทำอาหาร สามสิ่งนี้คือสิ่งที่เรากำลังก่อร่างมันอยู่ ถ้าวูบไปหนึ่งยังเหลืออีกสอง ถ้าวูบไปสองก็ยังมีเหลืออีกหนึ่ง

 

เดี๋ยวก่อนนะ เรื่องอาหารนี่มาได้ยังไง

     แกนหลักสำหรับชีวิตเราตอนนี้คืออาหารเลยนะ เป็นสิ่งที่เราจะมุ่งไปในอนาคตต่อจากนี้ แม้ความหวังลึกๆ ของเราจะอยากทำการแสดงให้ไปจนถึงจุดสูงสุด ไปเล่นหนังเมืองนอก มีคนรู้จักมากกว่าที่เป็นอยู่ ได้เห็นบทบาทอื่นๆ นอกเหนือจากคาแร็กเตอร์เดิมๆ ที่คนเห็น

     จริงๆ ก็เริ่มได้ฉีกไปเล่นบทอื่นๆ บ้างแล้วแหละเพราะได้ไปเล่นละครเวทีของพี่อ้น (นพพันธ์ บุญใหญ่) เป็นตัวละครอะไรไม่รู้ที่มีความมุ่งมั่นในการทำอะไรบางอย่างมากๆ อีกบทที่ชอบคือเล่นเป็นกะเทยที่โคตรป่วยเลย ของผู้กำกับชาวญี่ปุ่น เราสนุกที่ได้สร้างแบ็กกราวนด์ของตัวละครขึ้นมา ป่วยเป็นอะไร อายุเท่าไร อยู่โรงพยาบาลไหน ชั้นอะไร ป่วยมานานหรือยัง แล้วเขาเป็นกะเทยประเภทไหน ถึงจะเป็นบทที่ฉีกออกไปแต่เชื่อไหมว่าตัวละครนั้นยังมีความเป็นเราอยู่นะ เพียงแต่เป็นอีกโหมดที่ต่างออกไปจากบทบาทเดิมที่คนจดจำ นี่คือเรื่องการแสดง แต่สำหรับอาหารมันเป็นเรื่องที่เรามองว่า ถ้าเราทำให้มันเกิดขึ้นและอยู่ได้ อย่างน้อยชีวิตตอนที่พ่อแม่เกษียณเขาก็มีอะไรทำ มาช่วยเราดูร้านได้

     ตอนเด็กๆ เราอยู่กับคนแก่ อยู่กับคุณย่าคุณยาย เราอยู่กรุงเทพฯ แต่ใช้ชีวิตเหมือนเด็กต่างจังหวัด เล่นกองดินกองทราย ผจญภัย เมื่อก่อนซอยนวลจันทร์จะเป็นทุ่งนา มีนา มีปู เราก็จะไปไล่เก็บมาทำกับข้าว เก็บตำลึง เก็บผักบุ้งมาเข้าครัวเป็นลูกมือในการทำอาหารให้เขา มันคงเริ่มมาจากตรงนั้น

 

ภัทรพล ทองสุขา

 

แสดงว่าเป็นคนพิถีพิถันในการกินมาตั้งแต่เด็ก

     ไม่เชิงพิถีพิถันขนาดนั้นหรอก อะไรอร่อยก็กินหมด แต่พอถึงจุดหนึ่ง ก็อยากจะค้นหาว่าอาหารที่อร่อยๆ มันเป็นเพราะอะไรกัน ก่อนหน้าจะมาหาพวกคุณเราก็เพิ่งไปเจอร้านขนมจีนไหหลำมา ได้คุยกับอาเจ็กเจ้าของร้าน ได้รู้ว่ากระบวนการทำของเขาพิถีพิถันมาก เขาเล่าให้ฟังว่าขนมจีนไหหลำของเขาในทุกวันนี้แตกต่างจากช่วงก่อนจะปรับสูตร คือยังใส่ผงชูรสอยู่น่ะ แล้ววันหนึ่งเขาเริ่มรู้สึกว่า เขาทำให้คนกินอาหารของเขาเป็นโรคไต พอรู้สึกผิด ก็เลยปรับสูตรใหม่ ไม่ใช้ผงชูรส ตรงนี้คือความใส่ใจของเขา ผงชูรสคือขั้นสุดของโซเดียมเลยนะ มันทำให้เราได้เห็นถึงความรักของคนที่ทำอาหารว่าเขาใส่ใจและละเมียดมะไมกับมันมากแค่ไหน

 

เวลาไปกินอาหารที่ไหนๆ คุณก็ชอบเข้าไปคุยไปถามเจ้าของร้านแบบนี้เหรอ

     ไม่ๆ อย่างวันนี้มันเริ่มจากความบังเอิญ เราอยากใส่บาตรมาก แล้วพอดีไปเห็นพระรูปหนึ่งนั่งกินขนมจีนอยู่ในร้าน อะไรไม่รู้ดลจิตดลใจให้เราเข้าไปใส่บาตร ซื้อกล้วยทอดหนึ่งถุง น้ำผลไม้หนึ่งกล่อง เดินเข้าไปเลย ซึ่งร้านนี้เราเดินผ่านบ่อยมากนะแต่ไม่เคยเข้าไปกิน วันนี้ก็เลยไปขออนุญาตอาเจ็กเขาว่าขอเข้าไปใส่บาตรหลวงพ่อหน่อยนะ เห็นว่าหลวงพ่อฉันทีหนึ่งสองชามก็เลยถาม ท่านบอกว่าโยมลองสิ ร้านนี้อร่อยนะ ท่านบอกว่าทุกปีจะต้องนั่งรถมาฉันที่นี่เลย พอใส่บาตรเสร็จเราเลยลองกิน เฮ้ย อร่อยว่ะ คือขนมจีนไหหลำร้านอื่นที่เคยกินก็อร่อยนะ แต่ร้านนี้ไม่มีผงชูรส กินแล้วรู้สึกดี หลังจากนั้นอาเจ็กเจ้าของร้านก็เดินเข้ามาแนะนำเรา ‘ใส่กะปิประมาณนี้นะ น้ำปลาไม่ต้องแล้ว เป็นไง อร่อยดีมั้ย’ เราก็บอกไปว่าดีครับ แล้วก็สั่งแห้งไปอีกชาม เลยเป็นจุดทำให้ได้คุยกับเขา ซึ่งเรื่องทั้งหมดนี้เริ่มต้นมาจากการอยากใส่บาตรเท่านั้นเอง (หัวเราะ)

 

ร้านอาหารที่คุณอยากเปิดเป็นแบบไหน

     เราอยากเปิดร้านอาหารไทย เราชอบอาหารไทย แต่จะเป็นไทยประยุกต์ เคยไปกินร้านอาหารที่อาจารย์สอนทำอาหารของเราเปิดร่วมกับหุ้นส่วน ต้มจืดดอกแค เอาดอกแคยัดไส้หมูสับชุบไข่แล้วเอาไปทอด ก่อนเอามาทำเป็นแกงจืด อร่อยมาก ผัดปลาทูกากหมูใส่ชะอมอย่างนี้ อร่อยมาก คือเรามองว่าคนไทยบางคนมองข้ามอาหารไทยไปหน่อย จะชอบไปพรีเซนต์อาหารฝรั่งซะมากกว่า เราไม่ได้ว่าเขานะ แต่เราแค่คิดว่า อย่าเพิ่งลืมอาหารไทยกัน เพราะฝรั่งบางคนยังเข้าใจผิดคิดว่าผัดไทยต้องไปกินที่ตรอกข้าวสารเท่านั้น มันไม่ใช่ แต่เราก็ไม่ได้ว่าเพราะมันคือการอยากโฆษณาเพื่อการค้าขายของเขานั่นแหละ

 

ฝีมือการทำอาหารของคุณเป็นยังไง เมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ ในชั้นเรียน

     ยังๆ (หัวเราะ) ก็แล้วแต่เมนูนะ บางเมนูนี่แบบ (ถอนหายใจ) หมี่กรอบทองโบราณ เราทำคู่กับพี่คนหนึ่งที่เขาเป็นผู้กำกับ จับคู่กันทำเลย ปรากฏว่าไหม้ (หัวเราะ) ด้วยความที่มันเป็นกระทะทองเหลืองซึ่งควบคุมยากมากๆ แต่การเรียนพวกนี้นอกจากจะช่วยฝึกฝีมือแล้วยังทำให้เราได้ความรู้นะ ได้รู้จักวัตถุดิบแปลกๆ ได้ทดลองใช้ส้มซ่าแทนมะนาว รู้ว่าจริงๆ แล้วมันคือวัตถุดิบหลักของอาหารไทยเรา แต่หลายๆ คนกลับไม่รู้จักมันเลย

     เราลงเรียนไปประมาณห้าคอร์ส อยู่กับการเรียนทำอาหารเกือบครึ่งปี เลยตัดสินใจลองไปสอบเป็นผู้ช่วยเชฟ ภาษาอังกฤษผ่าน ทฤษฎีผ่าน เขาให้เวลาเตรียมตัวอีกสี่ห้าวัน เราก็ไปดูเมนูว่ามีอะไรบ้าง พอเจอถั่วเขียวต้มน้ำตาลเท่านั้นแหละ โอ้โฮ (เอามือกุมขมับ)

 

ภัทรพล ทองสุขา

 

แค่เมนูถั่วเขียวต้มน้ำตาล ทำไมถึงทำให้คุณกลุ้มใจได้ขนาดนั้น

     โห แม่งโคตรยากเลย ต้มน้ำยังไงไม่ให้ขุ่น เม็ดถั่วเขียวไม่แตก ที่เรากินๆ กันทุกวันนี้มันแตกทั้งนั้นเลยใช่มั้ย แต่นี่เขาให้ต้มแบบทุกเม็ดต้องสวยหมด ไม่มีแตก การสอบผู้ช่วยเชฟต้องทำทั้งหมด 5 เมนู ระหว่างทำอีกสี่เมนูที่เหลือเราก็ต้องมาเปิดปิดเตาถั่วเขียวอยู่อย่างนั้น เพราะกลัวเม็ดถั่วเขียวแตก สุดท้ายคือถั่วเขียวสวยดีแต่น้ำขุ่น (หัวเราะ) ต้มยำกุ้งน้ำข้น ก็เอามันกุ้งไปผัดจนแตกมันแล้วมาโรยหน้าต้มยำ แจงลอนต้องเอากะทิมาต้มแล้วขูดเนื้อปลากระพงลงคลุกกับพริกแกงที่เราตำเอง ไหนจะขนมจีนซาวน้ำอีก

 

สรุปแล้วสอบผ่านมั้ย

     ไม่ผ่าน แถมยังเสร็จคนสุดท้ายอีก คืออาจารย์บอกว่ารสชาติผ่านหมดนะ แต่กระเทียมคุณยังหั่นไม่เป็นชิ้น ต้มยำกุ้งก็ดันมีหัวกุ้งติดไปตัวหนึ่ง ตอนนั้นคิดอะไรอยู่ก็ไม่รู้ เอาหัวกุ้งมาด้วย ส่วนยำถั่วพลู เมนูสุดท้าย ก็ทำถั่วพลูออกมาดำเกินไป ให้เวลาสามชั่วโมง ทำเองทุกอย่าง แหม พอพูดแล้วก็หิวเนอะ (หัวเราะ)

 

สอบเป็นผู้ช่วยเชฟไม่ผ่านถือว่าเป็นเรื่องขำหรือเรื่องเครียด

     ขำๆ นะ ยังมีชีวิตอยู่ก็คือยังมีโอกาส ถึงเวลานั้นก็ไปทำซะ มันอยู่ที่ว่าคุณอยากทำอะไรมากกว่า ต่อให้มีเงินมากพอ เราก็ยังไม่พร้อมที่จะเปิดร้านอาหารอยู่ดี ฝีมือเราตอนนี้ยังไม่ได้ อีกไกล เพียงแต่ว่ามันน่าจะเป็นแกนหลักในชีวิตที่จะอยู่กับเราต่อไปในอนาคต ส่วนเรื่องการแสดงมันเป็นโอกาสที่เราได้รับ แล้วก็ทำให้เราอยากพิสูจน์ตัวเองด้วยว่าจะทำได้ไปจนถึงจุดไหน ทำอย่างไรให้เขาเชื่อใจในการแสดงของเรามากขึ้นไปเรื่อยๆ

 

ถ้าให้เปรียบเทียบโฆษณาตัวแรกกับตัวล่าสุด คุณมองฝีมือของตัวเองต่างกันอย่างไร

     เรารู้สึกว่าเราน่าจะรีแลกซ์มากขึ้น เข้าใจมากขึ้น เหมือนเราเข้าใจร่างกายตัวเองมากขึ้นว่าแต่ละส่วนเป็นยังไง มันคือการได้เรียนรู้ตัวเอง ได้เข้าใจตัวเองใหม่อีกครั้งหนึ่ง ก่อนหน้านี้เราจะคิดว่าเราเข้าใจตัวเองแล้ว แต่จริงๆ เราควรจะเข้าใจตัวเองเพิ่มขึ้นในทุกๆ วันว่าความต้องการของเรามีอะไรบ้าง

     ถ้าเป็นในคลาสที่เราเรียน ครูจะบอกเสมอว่า ‘เม้งยังได้อีก เม้งยังได้อีกนะ’ เราพยายามที่จะไม่อยากให้มันคลีเช่ ‘ไหนมึงลองรู้สึกปวดหัวซิ’ (เอามือยกขึ้นมากุมขมับ) จับขมับแบบนี้แล้วแปลว่าปวดหัวเหรอ คือมึงพยายามจะให้คนอื่นรู้ใช่มั้ยว่ามึงปวดหัว แต่เล่นยังไงให้คนอื่นรู้สึกจริงๆ ว่ามึงปวดหัว มันไม่เหมือนกันนะ ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องไปจับหัวก็ได้ไง

     ทำไมนักแสดงต่างประเทศถึงดูเป็นธรรมชาติ ก็เพราะเขาได้อยู่กับแบบฝึกหัดทั้งวัน ทำแบบนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า คุยบทจนเข้าเนื้อ พูดจนคล่องปาก ต่อมาจะหยิบจับอะไรก็เป็นธรรมชาติ อย่างซีนทำกับข้าวให้ลูกกินตอนเช้า แค่ล้างจานไปแล้วถามว่าวันนี้คุณไปทำงานกี่โมง แต่กลับทำให้เรารู้สึกได้ว่าแม่ง ทำไมมันจริงจังเลยวะ

 

ภัทรพล ทองสุขา

 

เพื่อนๆ ในวงดนตรีของคุณเขาก็ต้องทำหลายๆ อาชีพเพื่อหล่อเลี้ยงตัวเองเหมือนกันใช่มั้ย

     ใช่ เราไม่ได้เป็นวงในระดับที่มีทัวร์คอนเสิร์ตทุกวัน เพลงก็ค่อนข้างเฉพาะทาง แต่ถ้าไปในต่างประเทศก็ไม่ได้เฉพาะทางขนาดนั้น เขาก็ฟังกันทั่วไป เหมือนกับที่บอกว่าทำไมเราถึงไม่สามารถมีอาชีพเป็นนักแสดงอย่างเดียวได้ มันคือเรื่องเดียวกับที่บอกว่าเราอยู่ในประเทศโลกที่สาม สิ่งแวดล้อมสำคัญมาก เราอยู่ที่นี่จึงจำเป็นต้องมีหลายๆ คาแร็กเตอร์เพื่อหาเลี้ยงตัวเองและลดความเสี่ยงในการดำเนินชีวิต

     พี่เล็ก (สมโภช กองไพบูลย์) ที่เป็นนักร้องนำวงเรา เขาก็มีอีกคาแร็กเตอร์หนึ่งคือการถ่ายภาพ ตุ้ยมีกิจการที่บ้าน อ๊อฟ (วุฒิพงศ์ ลี้ตระกูล) มือกีตาร์ก็จะอยู่กับเพลง ทำสกอร์หนัง ทำเพลงโฆษณา ส่วนเบิร์ดก็เป็นมือปืน เล่นกีตาร์ให้พี่ฮิวโก้ พี่น้อยวงพรู เขาจะอยู่กับดนตรีเยอะ เพราะว่าเขาเกิดมาแบบนั้น ส่วนเราจะคาแร็กเตอร์หลากหลาย ดูเป็นคนละโหมดมากกว่าคนอื่นๆ แต่เราถือว่าเป็นการท้าทายตัวเองนะ อะไรที่เรียนรู้ได้เราก็จะเรียนรู้ ถามว่าจับฉ่ายมั้ย ก็จับฉ่าย

     บางคนบอกทำไมมึงไม่เอาดีสักทางจะได้สุดไปเลย แต่เราคิดว่าเราไม่อยากฝืนโชคชะตา ทำอะไรได้ก็ทำไป มีโอกาสเกิดมาหนึ่งชีวิตเท่านั้น เราก็ควรพร้อมที่จะเรียนรู้ ถึงตอนนี้เราจะไปได้เรื่อยๆ กับการแสดง แต่ชีวิตที่ผ่านมาก็บอกเราอยู่เสมอว่าต้องมีขึ้นมีลงนะ อีกหน่อยเราอาจจะไม่ถูกเลือกก็ได้ มันจึงสะท้อนผ่านความสนใจเรื่องอาหารซึ่งเป็นแกนหลักอย่างที่สามของเรา

 

ระหว่างดนตรี การแสดง และร้านอาหาร สามสิ่งนี้คุณแบ่งให้ความสำคัญต่างกันอย่างไร อะไรเติมเต็มชีวิตคุณมากที่สุด

     เอาจริงๆ นะ ถ้าคุณมาสัมภาษณ์เราครั้งหน้าความหลงใหลของเราอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้ ก่อนหน้านี้เราอยากไปเรียนต่อด้านการแสดงที่อเมริกา มีโหมดที่อยากไปเรียนการแสดงมากๆ เหมือนกัน แต่แล้วก็เกิดคำว่าช่างแม่งขึ้นมา เออ ถ้าอะไรจะเกิดมันก็จะเกิดขึ้นเอง ถ้ายังไม่เกิดขึ้นก็แสดงว่ายังไม่ถึงเวลา เราก็ต้องทำอย่างอื่นไปก่อน

 

แปลว่าถ้าตอนนี้เก็บเงินได้สักก้อนหนึ่งซึ่งเพียงพอจะส่งให้ตัวคุณไปเรียนต่อด้านการแสดงได้ คุณก็จะไปทันทีเลยใช่มั้ย

     ไม่ๆ ลงทุนก่อน (หัวเราะ) ตอนนี้ขอให้ตัวเองมั่นคงก่อน ไม่ใช่แค่เราแต่รวมถึงพ่อแม่เราด้วย ความรู้สึกของเราตอนนี้คือ สุดท้ายแล้วคนที่ปลดเกษียณได้คือคนที่รู้จักลงทุน ทำให้ตัวเองแข็งแรง มีรากเหง้า ถ้าเปรียบเทียบกับต้นไม้สักต้นอย่างต้นกล้วย ทำไมมันถึงสวยวะ ก็เพราะรากมันแข็งแรง ใบมันดี น้ำหล่อเลี้ยงมี ดินมันได้ ปุ๋ยมันถึง คือก็ต้องมาจากจุดนั้นก่อนมันถึงจะไปได้ แต่นี่มึงยังไม่มีอะไรเลย บางคนเขาทำไปแล้ว เขาถึงมี พอมีแล้วเขาถึงไป แต่ตอนนี้เราคิดว่าเรากำลังพยายามสร้างอยู่

 

แล้วในแต่ละเดือนคุณบริหารจัดการเงินของตัวเองอย่างไร

     ฟรีแลนซ์บางคนเขาสามารถกะเกณฑ์ได้ว่าแต่ละเดือนจะมีเงินเข้ามาเท่าไรจากปริมาณชิ้นงานที่เขาทำ แต่การรับงานแสดงบางทีมันไม่สามารถกะเกณฑ์ได้ขนาดนั้น สิ่งสำคัญคือการกักเก็บเงินที่เรามีอยู่ แบ่งไปอีกบัญชีหนึ่งเลย สมมติว่าฉุกเฉินก็เอาออกมาสักหมื่นหนึ่งก่อน แล้วเราก็ลงทุนเลย การลงทุนของเราคือซื้อคอนโดฯ ซื้อรถ มันคือทรัพย์สินส่วนที่เราจับต้องได้ แต่ถ้าให้ถือเงินไว้ มันจะทยอยหมดไปเรื่อยๆ เราเคยมีช่วงหนึ่ง มีเงินสามสี่แสนแล้วก็ใช้ไปเรื่อยๆ รู้ตัวอีกที อ้าว หมดแล้ว ทีนี้กลายเป็นหมาหงอยเลย

 

กินดื่มเที่ยวหนักเลยใช่มั้ย

     ไม่ๆ กินดื่มเที่ยวนี่ถือว่าไม่ค่อยเลยนะ เหล้าเราไม่กิน บุหรี่ก็ไม่สูบ ใช้กับการเดินทาง ซื้อของที่อยากได้ พวกของที่ตอนเด็กๆ ไม่เคยได้ แล้วก็แบ่งให้ที่บ้าน อันนี้สำคัญมาก ต้องแบ่งให้ที่บ้านนะ

 

จากวันที่เขาเป็นห่วงเรามากๆ ต้องให้เงินก้อนสุดท้ายมาตั้งต้นชีวิตใหม่ จนวันที่คุณสามารถผ่อนรถ ผ่อนคอนโดฯ แถมยังมีเงินให้เขา สถานการณ์มันเปลี่ยนไปมั้ย

     เปลี่ยน เปลี่ยนไปเยอะเลย เขาโอเคขึ้นมาก คงจะแบบ มึงดูแลตัวเองได้ก็ดีแล้ว (หัวเราะ) คงเบาใจเพราะเห็นเราทำได้แล้วนั่นแหละ

 

ภัทรพล ทองสุขา

 

ก่อนจะมาคุยกับคุณวันนี้ เราคิดว่าคุณคงเป็นคนที่ปล่อยมุกตลกอยู่ตลอดเวลา แต่จริงๆ แล้วดูเป็นคนคิดเยอะนะ

     เฮ้ย จริงๆ แล้วเราเป็นคนเครียดนะ ชีวิตไม่ได้ตลกตลอดเวลาหรอก ก็เจอมาหลายอย่างอยู่ แต่เรื่องสถานการณ์หรือความปวดร้าวในชีวิตมันแข่งกันไม่ได้ แต่ละคนก็เจอมาในรูปแบบที่แตกต่างกันไป ถ้ามีแข่งชิงเหรียญทองมันไม่มีใครได้หรอก นี่เราก็จำมาจากคำพูดที่พี่ต่อเคยให้สัมภาษณ์ไว้นะ มันอยู่ที่เราจัดการตัวเอง แต่ก่อนเราจัดการตัวเองไม่ได้ ตอนนี้ดีขึ้นแต่ก็ยังมีผิดพลาด สำหรับเราพลาดได้ แต่อย่าบ่อย

 

เรื่องผิดพลาดแบบไหนที่จะทำให้คุณเสียใจมากที่สุด

     เรื่องใหญ่สำหรับเราเลยก็คือเรื่องเวลา แล้วก็ความผิดพลาดที่เกิดจากความไม่ตั้งใจของเรา ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องการทำงาน เรายังจำมาจนถึงทุกวันนี้แล้วก็พยายามที่จะไม่ทำแบบนั้นอีก คือเราเคยถ่ายรูปให้คนคนหนึ่งแล้วไฟล์มันเสีย รูปมันพัง แต่รูปนั้นมันคือรูปที่สำคัญมากๆ สำหรับเขา แต่เราทำแบบไม่ตั้งใจ ให้เขาไปแบบดีบ้างไม่ดีบ้าง คือไม่โอเคเลย แล้วมันก็ทิ้งความรู้สึกที่โคตรไม่ดีไว้กับเรา จนเราจำมาถึงทุกวันนี้

     ส่วนเรื่องเวลา ถ้าเราไปกองถ่าย เราต้องไปก่อนเขาเพราะเราไม่ใช่บุคคลที่เหนือกว่าใคร เราจะไม่เหนือกว่าใคร ช่างไฟทุกคนเรายกมือไหว้ คุยกับเขาสนุกสนาน ทำยังไงก็ได้ไม่ให้เขาต้องเหนื่อยไปมากกว่านี้ อย่าให้ต้องมาเดือดร้อนเพราะเรา อยู่ในกองถ่ายก็ต้องให้เกียรติทุกๆ คน แต่ถ้าไปซ้อมดนตรีกับเพื่อน ก็ยังมีไปซ้อมสายเหมือนกัน มีผิดพลาดกันบ้าง (หัวเราะ)

 

แล้วความตลกโปกฮาที่เราเห็นจากคุณ แท้จริงแล้วมันมาจากไหน

     เราก็เป็นคนตลกนะ ถ้าเราอยู่ในโหมดตลกเราก็ตลก อยู่ในโหมดสนุกเราก็เต็มที่ อยู่กับเพื่อนนักดนตรี อยู่กับเพื่อนตอนไปแคสต์งานเราก็ตลก มันก็เหมือนมนุษย์ทั่วไปที่จะมีกันหลายโหมด แต่เราไม่ได้ตั้งใจว่าจะต้องเล่นมุกหรอกนะ เพราะถ้าตั้งใจมากเกินไปมันจะแบบ อะไรของมึงวะ ถ้าไม่ขำปุ๊บนี่แบบ ห่า มุกไม่ฮาพาเพื่อนเครียด

 

แล้วอย่างเพจ เม้ง desktop error มือกลองในตำนาน นี่คือการจงใจเล่นมุกหรือเปล่า

     เฮ้ย อันนั้นเพื่อนเราเปิด พวกแก๊งค์วง SLUR นั่นแหละ ตัวดีเลย เปิดแล้วไม่บอกเราก่อนด้วย อำกันแบบเละเทะ

 

แต่คนที่เพื่อนถึงกับต้องเปิดเพจให้แสดงว่าไม่ธรรมดาแน่นอน

     ตอนอยู่กับพวกเขาเราก็ปล่อยสุดอะ ก็ฮากันไป ยุคนั้นคือยุครุ่งเรืองในการปาร์ตี้ของเราด้วยนะ เมาเละเทะ ช่วงนั้นยังกินเหล้ากินเบียร์อยู่ แล้วเขาก็คงจะเห็นจากคาแร็กเตอร์ตรงนั้น ซึ่งตอนเปิดเพจเราไม่รู้เรื่องเลยนะ เพื่อนเราแคปฯ ภาพส่งมาให้บอกว่า เชี่ย เม้งแม่งเปิดเพจตัวเองเหรอวะ ส่งมาให้กันใหญ่เลย แล้วมีอยู่ตอนหนึ่งโคตรฮาเลย เป็นผู้หญิงพิมพ์มาในเพจ ‘นี่มึงเป็นอะไรมากปะวะ หลงตัวเองขนาดนั้น คิดว่าตัวเองหล่อขนาดนั้นเลยเหรอวะ’ เราก็แบบ เฮ้ย เดี๋ยวนะ นั่นไม่ใช่กู

 

โดนด่าแบบนี้โกรธมั้ย

     ก็มีนะ เราก็คนเนอะ ไม่ใช่ว่าพอเห็นเราฮาแล้วเราจะฮาตลอดเวลา ไม่คิดมากอะไรเลย มันก็เหมือนหนังสารคดีของพี่ตูนที่เราบอกไปตอนแรกแหละ คือพี่ตูนทำจนสุดเพดานเลยนะ ทำแบบโคตรดีเลย แต่มันจะมีโหมดที่เขาฉุนเพราะเจออะไรที่แม่งไม่เป็นระบบเลย นั่นคืออีกโหมดหนึ่งของเขาไง มนุษย์เรามันมีหลายอารมณ์ แต่คนอื่นอาจจะไม่เคยเห็นเท่านั้นเอง ทีนี้พอเห็นก็เลยผิดหวัง พอผิดหวังก็เลยไม่ศรัทธาในตัวคนคนนั้นแล้ว ซึ่งจริงๆ แล้วแม่งไม่ใช่อะ เค้าคือมนุษย์คนหนึ่งที่มีรัก โลภ โกรธ หลง เป็นคนปกติ ไม่ใช่พระ แต่เดี๋ยวนี้เวลาเราโมโหก็จะพยายามคิดว่าช่างแม่งเถอะ

 

ถ้ารู้จักช่างแม่ง ชีวิตเราจะมีความสุขมากขึ้นเยอะเลยใช่มั้ย

     ใช่ เป็นคุณจะมีความสุขมั้ยล่ะ ถ้าสามารถช่างแม่งได้กับทุกๆ เรื่อง แต่ถ้าเป็นการช่างแม่งกับเรื่องงาน มันจะกลายเป็นความผิดที่จำฝังใจ ส่วนเรื่องเงินคุณจะช่างแม่งได้ก็ต่อเมื่อคุณรู้ว่าอีกเดือนหนึ่งคุณจะมีงานเข้ามาแน่ๆ คือคุณต้องรู้จักบาลานซ์ระหว่างคำว่า ‘สุรุ่ยสุร่าย’ กับคำว่า ‘ช่างแม่ง ไม่ตายก็หาใหม่ได้’

 

ภัทรพล ทองสุขา

 

คนหนุ่มสาวชอบโดนกล่าวหาว่าใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย คุณว่าจริงมั้ย

     บางทีเราก็เป็นไง (หัวเราะ)

 

มันมีความชอบธรรมที่เราจะใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายมั้ย

     ก็ไม่ได้ไปเบียดเบียนใครนะ คือสุรุ่ยสุร่ายได้แต่เลือกที่จะสุรุ่ยสุร่ายกับเรื่องอะไรมากกว่า ทำแล้วมันได้ประโยชน์ก็ทำไปเถอะ สุรุ่ยสุร่ายจากการควักเงินไปเรียนภาษาอังกฤษ สุรุ่ยสุร่ายจากการควักเงินไปเรียนทำอาหาร สำหรับเราแล้วถึงจะสุรุ่ยสุร่าย แต่ยังไงก็ยังต้องได้ประโยชน์

 

แล้วพวกสิ่งของอย่างเสื้อผ้า แว่นตา นาฬิกา กระเป๋าล่ะ

     เฮ้ย (พยักหน้า) แต่ว่าเราจะไม่ซื้อราคาเต็ม ไม่เด็ดขาด ดู สัมผัส เออ ชอบว่ะ แต่ก็จะท่องว่า ถ้ามันเป็นของเรา มันก็จะเป็นของเราในสักวันหนึ่ง เราเป็นคนซื้อของยากมาก อย่างรองเท้าคู่นี้ ถ้าไม่มีงานแข่งวิ่งมาราธอนในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ก็คงไม่ซื้อ แต่รองเท้าคู่เดิมของเราพื้นมันพังไปหมดแล้วเพราะใช้วิ่งเกือบทุกวัน มันก็ครบกำหนดแล้วแหละ เราก็ซื้อแต่ไม่ซื้อราคาเต็มนะ จะต้องหาวิธีให้ได้ว่าทำยังไงถึงจะได้แบบลดราคา

 

พวกบัตรเครดิต รูดผ่อน 0% นี่คุณไม่มีทางพลาดแน่นอน

     ไม่มีเลย ไม่ใช้ ไม่แตะ พยายามที่จะไม่ยุ่งเลย แต่แฟนเราเขาทำงานสายธุรกิจก็อาจจะมีให้เขารูดบ้าง แล้วอีกสองวันเราก็คืน เราไม่อยากไปอยู่ในโหมดมีหนี้สินไง กลัว แค่หนี้คอนโดฯ กับรถ สองอย่างกูก็พอแล้ว อย่าให้มีบัตรเครดิตอีกเลย แต่ถ้าใช้เป็นมันก็มีประโยชน์นะ เราไม่โทษใครที่เขามี แต่เราพยายามจะจ่ายสด พอได้เงินก้อนมาทีหนึ่งก็เอาไปโปะค่าคอนโดฯ หรืออย่างมือถือก็กลั้นใจจ่ายสดไปเลย เพราะเครื่องเก่ามันพังแล้ว แต่ความสุรุ่ยสุร่ายล่าสุดของเราคือเครื่องทำซูวี ราคาแปดพันบาท (หัวเราะ) ก็พยายามบอกตัวเองว่าอย่างน้อยมันก็มีประโยชน์ในการทำอาหารล่ะวะ

 

สุดท้ายแล้วอะไรคือแนวคิดที่สำคัญในการครองตัวเป็นฟรีแลนซ์

     เราต้องหางานสำหรับเดือนหน้า ไม่ใช่งานเดือนนี้ เพราะงานเดือนนี้คืองานที่เรากำลังทำอยู่ ซึ่งถ้าไม่วางแผนก็จะหาเงินไม่ทัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับโอกาสอีก แล้วเราก็ต้องให้โอกาสกับตัวเองด้วย บางทีต้องเดินเข้าหาเขาบ้าง คนที่จะเป็นฟรีแลนซ์ได้ต้องมีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับหนึ่ง การที่เขาตัดสินใจออกมานั้นเขารู้ว่าวันข้างหน้าจะยังมีงานอยู่ ลูกค้ายังใช้งานเขาอยู่ ลูกค้าชอบเขา ติดเขา สุดท้ายมันคือการรู้จักคนเยอะๆ เหมือนที่เราบอกว่ามันคือการท่องยุทธภพนั่นแหละ นี่คือโอกาสสำคัญที่ทำให้เราได้เปิดประสาทสัมผัสเพิ่มเติมเต็ม

      เราเชื่อว่ามนุษย์ตัวเล็กๆ แค่คนเดียวเป็นอะไรที่เล็กมากในโลกใบนี้ ซึ่งมันยังมีจักรวาลที่ใหญ่ฉิบหายอยู่อีก ทำไมถึงไม่ออกไปเรียนรู้ว่ามีอะไรบ้าง มีช่วงหนึ่งเราชอบเดินเท้าไปตามทาง เดินจากบ้านออกไปเรื่อยๆ เพื่อมองดูคนมากมาย มองดูบ้านเมืองที่เราอยู่

 

การเดินดูบ้านเมืองของคุณมันให้อะไรกับชีวิตบ้าง

     มันก็เตือนว่าเราต้องระวังท่อหน่อยนะ (หัวเราะ) เหยียบเบาๆ น้ำจะได้ไม่กระเด็นขึ้นมา ล่าสุดเราเดินไปเหยียบถุงน้ำจิ้มเข้า เสียงแตกดังโพละ เราก็ว่าเสียงอะไร สักพักรู้สึกร้อนๆ ขา น้ำจิ้มเหนียวเต็มขาเลย ก็เดินกลับบ้านมาล้าง

     การเดินทำให้เห็นว่าคนรอบข้างเขาทำอะไรบ้าง เห็นว่าธรรมชาติที่แท้ของมนุษย์เป็นยังไง เราเดินผ่านขอทาน เดินผ่านคนเข็นรถขายผลไม้ ได้เห็นรีแอ็กชันจริงๆ ของเขา ซึ่งของพวกนี้สามารถเอามาใช้พัฒนาการแสดงของเราอีกที

     มีอยู่วันหนึ่งที่การเดินทำให้เราได้บทเรียนชีวิตกลับมาเลยนะ เรื่องของเรื่องคือคอนโดฯ ที่เราเช่าอยู่พื้นมันพัง เจ้าของห้องเลยให้เราไปนอนโฮสเทลแถวนั้นก่อน แล้วก็นัดช่างซ่อมมาดูพื้นที่ห้อง แต่ผ่านไปนานแล้วเขาก็ยังไม่มาสักที วันนั้นเราก็ต้องเดินไปมาระหว่างโฮสเทลกับคอนโดฯ ทีนี้ก็เริ่มหงุดหงิด หิวข้าวด้วย ฝนดันตกอีก เราก็เดินใส่ฮู้ดฝ่าฝนกลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้น ทีนี้เดินไปเจอคนหนึ่งยืนอยู่ น่าจะสติไม่ค่อยดี เราเดินสวนไปก็เห็นว่าเขายืนมองหน้าเหมือนจะต่อยเราอะ เราก็แบบฉิบหายแล้ว กูต้องหลบตา ทำตัวให้ลีบเล็กที่สุดแล้วค่อยๆ เดินผ่านไป ตอนเดินผ่านนี่เสียวสันหลังวาบเลยนะ ลูเซอร์สุดๆ ตอนนั้นคิดขึ้นมาได้เลยว่า นี่ไง มึงคิดว่ามึงแน่มากใช่มั้ย มีคนแน่กว่ามึงนะเว้ย เขาพร้อมที่จะแลกกับมึงอยู่นะ สุดท้ายวันนั้นพอรอดมาก็ได้ไปกินข้าว แฮปปี้เลย ความโกรธหายไปจนหมดสิ้น (หัวเราะ)