บอล เชิญยิ้ม

ชัชชัย จำเนียรกุล: ทั้งชีวิต ธุรกิจ ผมขออุทิศให้การเล่นตลก

ผมตั้งใจที่จะมาฟังความยิ่งใหญ่ของธุรกิจตลกภายใต้การบริหารงานของ บอล เชิญยิ้ม แต่ยิ่งได้คุยกับผู้ชายคนนี้นานเท่าไหร่ ผมกลับได้ยินเขาสดุดีความยิ่งใหญ่ของผู้อื่นมากกว่า

        ตลอดระยะเวลา 1 ชั่วโมง ที่ได้พูดคุยกับ บอล เชิญยิ้ม ณ สตูดิโอของตลกคณะ Joker Family นั้น ทำให้รู้ว่าอะไรที่ทำให้หัวหน้าคณะเชิญยิ้มคนนี้สามารถยืนระยะอยู่ในวงการได้มานานถึงเกือบ 30 ปี จากภาพลักษณ์หน้าฉากที่เป็นคนเฮฮา ชอบอำเพื่อนฝูง เบื้องหลังของผู้ชายที่ชื่อ บอล เชิญยิ้ม คือการศึกษาทำการบ้านเกี่ยวกับการเล่นตลกอย่างหนัก 

        หากเรียกว่า บอล เชิญยิ้ม เป็นสารานุกรมตลก ก็คงจะไม่พูดเกินเลยไป

        แต่แทนที่เขาจะหยิ่งทระนงองอาจในศักดิ์ศรี เขากลับยกเครดิตต่างๆ จากการประสบความสำเร็จของ บริษัทฮาไม่จำกัด ให้กับเหล่าพี่น้องตลกในกลุ่มคนอื่นๆ และยังยกย่องไปถึงตลกรุ่นใหญ่อย่าง โน้ต เชิญยิ้ม ที่บอลบอกว่าเป็นแบบอย่างให้เขาเป็นอย่างทุกวันนี้

        ในวันที่ทุกคนคิดว่าความสุขของเขาคือการได้ออกหน้าฉาก เพื่อโดดเด่นบนจอเงิน แต่ตัวตนจริงๆ ของเขากลับสนุกไปกับการคิดงานเบื้องหลัง และจัดการผลประโยชน์ให้กับพี่น้องเพื่อนตลก เพื่อที่จะได้งานที่มีคุณภาพ และพี่น้องในคณะทุกคนได้อยู่อย่างสุขสบาย

        หากเปรียบเทียบ บอล เชิญยิ้ม ณ ปัจจุบัน ก็คงจะเหมือนกับผู้จัดการทีมฟุตบอลที่มองได้อย่างทะลุปรุโปร่งว่า ในการยิงประตูเพื่อทำคะแนนความฮาต้องทำอย่างไรบ้าง แต่ในขณะเดียวกัน ก็กลับเป็นเขาเองที่ลงไปโลดแล่นเล่นอยู่ในสนามเพื่อบัญชาเกมแห่งความฮาเหล่านี้ด้วย

        การคุยกันของเรากับ บอล เชิญยิ้ม ในวันนี้ เลยอยากจะขอให้ทุกคนลบภาพเดิมที่เฮฮาในรายการ บริษัทฮาฯ ไปก่อน แล้วเรียนรู้เกี่ยวกับอีกด้านของ ชัชชัย จำเนียรกุล ในฐานะของคนคิดงานและนักธุรกิจ ผ่านคอลัมน์ Conversation สัปดาห์นี้

 

บอล เชิญยิ้ม

ทำไมและอะไรที่ทำให้คุณเลือกเดินทางสายอาชีพตลก

        สมัยก่อนที่คาเฟ่รุ่งเรือง การเล่นตลกมันได้เงินเยอะมาก ครอบครัวเราก็อยู่ในเส้นทางนี้มาก่อน พ่อผมก็เป็นตลกมาก่อน แต่ก็ไม่ได้เป็นตลกที่คนรู้จักมากนักหรอก เขาเป็นตลกตั้งแต่สมัยที่ ถั่วแระ เชิญยิ้ม ยังใช้ชื่อว่า ปาน บิ๊กโจ๊ก อยู่เลย เราเกิดมาในยุคนั้น แล้วเราก็เห็นว่า หูย… เล่นตลกคาเฟ่เนี่ยเงินมันดีมาก ถ้าคุณเป็นตลก ออกจากบ้านไปเล่นเนี่ย มีกลับเข้าบ้านแน่ๆ วันละ 2-3 พัน แล้วแค่คืนละ 700-800 บาท ในสมัยก่อนเนี่ยมันเยอะมากแล้ว แล้วเราก็ได้แต่งตงแต่งตัวให้คนดูชอบ ได้สร้างเสียงหัวเราะให้คนดู เราก็อยู่ดีกินดี มันทำให้รู้สึกว่า เฮ้ย เราอยากเป็นตลก เกิดมาเราก็เห็นครอบครัวเราเป็นแบบนี้ ยึดอาชีพนี้ เราก็เลยเลือกที่จะทำอาชีพตลก

ความแตกต่างของตลกแต่ละยุคเป็นอย่างไรบ้าง คุณทำอย่างไรให้ตัวเองเป็นแถวหน้าของแต่ละยุคมาตลอด

        ย้อนไปสมัยคาเฟ่ เราจะมีเวลาแค่ชั่วโมงครึ่งในการเล่น ภายในชั่วโมงครึ่ง เราต้องรู้ว่าเราต้องเล่นอะไรบ้าง ตลกยุคก่อน เราจะดูต้นแบบมาจากคณะรุ่นพี่ที่เขามีมาก่อน อย่างเช่นคณะนั้นอาจจะเล่นเลยครึ่งชั่วโมง โบ๊ะบ๊ะๆ รัวๆ ไปเลย ใส่ไปแล้วก็เลิก จบ หรือคณะนี้อาจจะเน้นพูดคุย พูดเยอะมากจนเรารู้สึกว่า พูดไปตั้ง 15 นาที ไม่เล่นมุกซะทีวะ? แต่เราชอบที่จะเอาหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างเข้ามารวมไว้ ทำให้เราเห็นว่า อ๋อ คนดูเขาชอบแบบนี้เว้ย 

        คณะที่ผมชอบก็จะเป็นคณะของ ป๋าโน้ต เชิญยิ้ม เพราะเราสงสัยว่าทำไมคนดูของป๋าโน้ต เชิญยิ้ม ยิ้มทุกคน เราจะดูว่าชวนชื่นมีความแตกต่างเป็นยังไง เชิญยิ้มเล่นยังไง หรือความแตกต่างของคณะอื่นๆ เป็นยังไงบ้าง อย่างคณะอาจารย์เด๋อจะมาเล่นกับสายัณห์ เล่นมุกการเมือง ป๋าเทพ โพธิ์งาม แกก็จะเล่นไปเรื่อย คณะชวนชื่นเล่นเป็นชุด แต่ละคณะจะมีรูปแบบที่แตกต่างกันไป

        เราก็จะเอาจุดเด่นของแต่ละที่มารวมกัน เพราะการเล่นตลกจริงๆ มันต้องมีความหลากหลาย เราเป็นคนที่ชอบศึกษา อย่างถ้าเล่นเป็นกะเทย เราก็จะศึกษาว่าต้องเล่นยังไง จนมาวันหนึ่งเราได้มาเป็นหัวหน้า เราก็นำสิ่งที่เราเคยดู เคยศึกษา มาปรับใช้ว่าเชิญยิ้มของเราต้องเล่นยังไง คือมันเหมือนการเรียนเลยครับ ผมว่ามันคือสิ่งที่เราต้องค่อยๆ ศึกษาไป แจ๊ส (แจ๊ส ชวนชื่น) เคยถามผมว่า ‘โห พี่ ทำไมซีดีตลกพี่เยอะมากเลย’ ผมเลยบอกไปว่า ‘มึงทำแบบพี่ แล้ววันหนึ่งมึงจะได้ใช้’ แล้วแจ๊สมันก็ได้ใช้จริงๆ เคยมีคนถามว่าทำไมเราเล่นกับป๋าโน้ตได้ เพราะเมื่อก่อนเราศึกษาดู โน้ต เชิญยิ้ม เขาโด่งดังมาก เราเคยแอบคิดไว้ในใจ ‘โห ถ้าวันหนึ่งเราได้เล่นกับเขาจะเป็นยังไงบ้างวะ’ แล้วตอนเราเล่นกับเขาจริงๆ มันรู้ได้เลยว่าถ้าป๋าส่งมาแบบนี้ เราต้องเล่นแบบนี้นะ อ๋อ มุกนี้มันคือการอำกัน มันถึงทำให้เราไปกับเขาได้ หรือวันหนึ่งถ้าเราต้องเล่นรวมกับตลกหลายๆ คนที่ไม่เคยซ้อมด้วยมาก่อน ถ้าเราเคยศึกษาเขามาก่อน เราก็เล่นกับเขาได้นะ แต่ถ้าเราไม่มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับเขาเลยนี่ไก่ตาแตกเลยนะ เรารู้ว่าตลกรุ่นใหญ่เล่นแบบนี้ ตลกรุ่นกลางเราเล่นแบบนี้ ตลกรุ่นเดียวกันก็ต้องเล่นอีกแบบหนึ่ง ถ้าเล่นกับรุ่นใหญ่เราจะไม่ก้าวร้าว ไม่ทะลึ่ง ไม่ไปตบเขา แต่ถ้ารุ่นเดียวกัน อายุไล่เลี่ยกันหน่อย แบบนี้เล่นได้ 

        การเล่นตลกของเรามันเลยเป็นการเน้นการเก็บข้อมูล แล้วผมก็ปรับใช้มาเรื่อยๆ จนวันหนึ่งเข้าสู่ยุคโซเชียลฯ ที่ใครๆ ก็สามารถเล่นตลกได้ ใครๆ ก็สามารถสร้างมุกได้ เราก็ยังเอามุกในโซเชียลฯ มาใช้เลย หรือบางมุกที่เราเห็นว่าเขาเอาของเราไปดัดใช้ เราก็เลยเอามาปรับใช้อีกทีซะเลย ผมคิดว่าคนสมัยนี้เสพตลกเยอะ เสพเยอะในที่นี้หมายถึงว่ารู้มุกมาก ‘มึงรู้มากนักใช่ไหม งั้นกูก็เปิดมุกให้พวกมึงดู แล้วก็หักทิ้งแม่งเลย’ อย่างเช่นมุกคำผวน 

        เหมือนเวลาผมเล่นกับแจ๊ส เพราะแจ๊สมันเป็นเด็กยุคใหม่ คนให้ความสนใจ เราเลยมีความคิดมาละ ‘กูจะแกล้งมึง’ เราก็ชอบเล่นกับมันแบบที่เราจะไม่นัดกันก่อน เพราะอยากรู้ว่าถ้าส่งไปให้แล้วมึงจะบิดไปทางไหน พอเราลองมาทางนี้ปุ๊บแล้วคนเขาชอบกัน เราก็ยัดๆๆๆๆๆ อัดๆๆๆๆ ทางนี้เลย เราเลยรู้สึกว่าความที่เราศึกษามันมากพอจนรู้ว่าต้องฉีกยังไงนี่แหละ ทำให้เรายืนระยะได้นานกว่าคนอื่น เพราะมันทำให้ไม่น่าเบื่อ อย่างปัจจุบันเนี่ยคนชอบเล่นตลกที่แกล้งกัน ถ้าเล่นกันเป็นแพตเทิร์นคนไม่ชอบ

        ผมว่าวัยรุ่นมันเสพตลกจนรู้  เราก็เลยต้องดัดแกล้งไปในทางที่มันไม่รู้ ให้เขานึกไม่ถึง ให้เขาไม่ทันเรา อย่างเช่น ใหญ่ชิดบุ้ง บุ้งหมี่กรอบ เล่นสดตับ ใหญ่สับตด ปัง!! เวลาเล่นกับแจ๊ส เราเลยต้องเล่นไวๆ กลายเป็นว่าสนุก อำกันดูเหมือนว่าเพื่อนเล่นกันมากกว่า

แสดงว่าอาชีพตลกน่าจะค่อนข้างเครียดเพราะต้องทำการบ้านศึกษาหาข้อมูลตลอดเวลา

        มันเครียด แต่ก็ไม่ได้เครียดมาก เพราะว่าพอเรามาทำรายการ จากที่เราเคยทำตลกคาเฟ่มาก่อน เรามีวงคอนเสิร์ตด้วย พอเราไปเล่นคอนเสิร์ต เวลาเล่นแต่ละที่เราก็จะเล่นไม่เหมือนกัน อย่างถ้าเอาเหน่ง (เหน่ง เหม่งจ๋าย) จะให้เขามาเล่นปะกึ๊ก ปะกั๊ก เซ่อๆ ซ่าๆ แบบในทีวี เล่นไทอินไม่ได้นะ ถ้าขึ้นคอนเสิร์ต อย่างพี่เบิร์ต (โรเบิร์ต สายควัน) เวลาเล่นคอนเสิร์ตเขาก็จะเป็นแบบหนึ่ง เล่นรายการก็จะเป็นอีกแบบ เราแค่รู้ว่าเราต้องเล่นแบบไหน

        คือการเล่นตลกมันจะมีลูกยอม เถียง กวนส้นตีน ลูกเซ่อ พี่เบิร์ตคือยัดมาครบ ก่อนหน้านี้ยังมีคุยกันบ้าง ตอนนี้คือไม่ต้องแล้ว เดี๋ยวไปลุยตอนเข้าฉากข้างหน้า แต่ผมเป็นคนเก็บรายละเอียดนะ ถ้าเกิดใครเล่นแล้วมีคำอะไรเจ๋งๆ ขึ้นมา ผมจะบอกเขานะ ‘เฮ้ย พี่เมื่อกี้ดีนะ ผมเอานะ จด’ เอาไว้เล่นที่อื่นต่อ คีย์หลักมันอยู่ที่การรู้ใจกันมากกว่า

        อย่างกลุ่มผม 6 คน วันหนึ่งไม่มีพี่เบิร์ตแล้วเอาคนอื่นเข้ามาแทนก็เหนื่อยนะ ยกตัวอย่างแก๊งสามช่า พี่หม่ำ พี่เท่ง พี่โหน่ง นอกจากสามคนนี้ คนอื่นก็เข้ามาเล่นกับเขาไม่ได้นะ อย่าง บริษัทฮาฯ เนี่ย เหน่งเล่นมาหลายปีทำไมสู้พี่เบิร์ตไม่ได้ ทั้งที่เหน่งเนี่ยร้องเพลงดีด้วยนะ แต่ถ้าเทียบกับพี่เบิร์ตเนี่ย ร้องเพลงพอได้ แต่การแทงมุกส่งมุกน่ะเฉียบกว่า เหมือนการเล่นฟุตบอล ถ้าเราจ่ายทะลุช่องไปให้แก คือเขายิงได้หมด เข้าประตูบ่อยด้วย บางครั้งผมกระซิบให้นิดเดียวก็เล่นได้แล้ว

        แต่การเล่นตลกร้านมันก็มีศัตรูที่สู้ไม่ได้อยู่นะ อย่างถ้าผมไปเล่นร้าน ผมต้องรู้ทุกอย่างว่าอาหารออกกี่โมง ให้ผมขึ้นเวลาไหน แขกหิวๆ มาเขาจะดูเราเหรอ หรือถ้าเวทีกับแขกอยู่ไกลกัน อันนี้ก็ยาก เพราะเวลาเล่นผมต้องอ่านสีหน้าคนว่าเขารับมุกหรือเปล่า เขาฮาไหม ถ้าไม่ฮาเราก็ต้องเปลี่ยนตรงนั้นเลย เราจะไม่ตะบี้ตะบันลุยต่อ ปกติผมจะปล่อยน้าค่อมมาเป็นตอนสุดท้าย แต่ถ้างานไหนยาก ผมจะบอกน้าค่อมว่า ‘พ่อขึ้นรวมเลย’ ถ้าบทมัน 1-2-3-4-5 ผมก็อาจจะเอา 3 มาก่อน 1 ก็ได้ เราต้องวางแผนตลอดแม้กระทั่งบนเวที 

        แต่ถ้าน้าค่อมขึ้นไปแล้ว แจกหนึ่ง ‘ไอ้สั้ส!’ ก็แล้ว สอง ‘ไอ้สั้ส!!’ ก็แล้ว ยังไม่ฮาเนี่ย เหงื่อผมท่วมเลยนะ แต่ก็อาจจะแก้สถานการณ์ด้วยการดึงแขกมาเล่นกับเราเพื่อแก้สถานการณ์เฉพาะหน้า เหมือนเป็นไหวพริบน่ะครับ

 

บอล เชิญยิ้ม

คุณกลัวตลกคลื่นลูกใหม่ที่มาแรงมาก ฮามากไหม

        เราเป็นคนที่ชอบรับสิ่งใหม่ๆ จากคนอื่นนะ ถ้าถามว่ากลัวไหม เราคงไม่กลัว เพราะเมื่อก่อนที่ฮิตๆ อาจจะเป็นแก๊งสามช่า วันนี้เป็น บริษัทฮาฯ วันพรุ่งนี้มันต้องมีของที่จะขึ้นมาใหม่อยู่แล้ว แต่คำถามก็คือ เขาจะมาถูกที่ถูกเวลาหรือเปล่า อย่าง บริษัทฮาฯ แต่ก่อนใช้เวลาคลำนานเหมือนกันนะ กว่าเราจะรู้ว่าเขาชอบเอาเรื่องจริงมาอำกัน คนดูเขาชอบอะไรที่มันถูกจุดเขาแหละ 

บริษัทฮาไม่จำกัด เริ่มต้นมาได้อย่างไร

        ผมกับตั๊ก (บริบูรณ์ จันทร์เรือง) เปิดบริษัทกัน แล้วเราอยากทำรายการตลก พอดีกับที่ ZENSE อยากทำรายการพอดี ตั๊กก็ชวนให้เข้าไปเสนอรายการ พอผ่านปุ๊บ เริ่มแรกจะมีผมกับตั๊กสองคน ผมเลยไปชวนน้าค่อมมาด้วย เราสามคนก็เริ่มวางแผนแล้วว่าจะหาของเล่นอะไรมาเล่นบ้างดี ให้รายการกับเราสนุกไปด้วยกัน ผมเลยไปเอาแจ๊สมา เพราะมันเคยอยู่กับผม เรารู้ว่าไอ้เด็กคนนี้มันมีของ มันเก่ง เราเคยเอาเขามาขัดเกลา เพราะเมื่อก่อนแจ๊สเนี่ยจะเล่นแต่ตลก ‘ชุด’ เพราะชวนชื่นเขาเล่นชุดกัน มันยังเล่นตลก ‘เกร็ด’ ไม่เป็น

        ‘เกร็ด’ ก็คือตลกที่ไม่แต่งตัว เช่น ป๋าโน้ต เชิญยิ้ม ที่หยิบอะไรมาแล้วก็เล่นได้เลย หรือเล่นอำกัน อย่างผมเนี่ยก็เล่น ‘เกร็ด’ ผมเคยบอกแจ๊สว่าเราต้องไม่เล่นตามแพตเทิร์นนะ ต้องไม่ล็อกคำพูด แจ๊สจะเล่นอะไรก็ได้ พอชวนมาทำรายการแจ๊สก็ตกลง ส่วนพี่เบิร์ตตอนแรกสุดยังเป็นเอ็กซ์ตราที่มีบทพูดอยู่เลย

        พอเล่นไปสักแป๊บเราก็รู้สึกว่าแบบ ‘เหนื่อยเว้ย’ เหนื่อยที่ต้องมาคอยคุม ไอ้แจ๊สก็ตัวดิ้น ไอ้ตั๊กก็ดิ้น น้าค่อมก็ดิ้น ดิ้นกันไม่หยุดเลย ก็เลยมีชื่อหนึ่งในหัวที่เราอยากได้มาเล่นด้วยกัน ก็คือ ‘พี่นุ้ย เชิญยิ้ม’ เพราะด้วยชื่อชั้นที่ไล่เลี่ยกัน บวกกับแกเป็นตัวปูตัวชงด้วย จะได้ช่วยกันคุม แรกๆ พี่นุ้ยก็ยังงงๆ อยู่ว่าทำไมเราต้องเล่นหักมุกกัน อำกันด้วย แต่พอวันหนึ่งมันก็ค่อยๆ หลอมค่อยๆ กลืนกันไปได้ พอพี่เบิร์ตเริ่มมา เราก็อัดแกเข้าไปในช่วง Who say that พี่เบิร์ตแม่งเรื่องเล่าตลกเยอะ คนก็ชอบ แล้วมันก็ขยายออกมาเป็น อะจ๊าก ทำคลิปอะไรกันนั่นนู่นนี่ Joker Family ก็เริ่มมา แต่มันก็เหมือนอาหารน่ะ รายการพวกนี้ ถ้าเราปรุงอร่อย คนก็ชอบ แค่นั้นแหละ

ในวัย 42 ปีของ บอล เชิญยิ้ม สิ่งสำคัญทั้งหน้าฉาก และหลังฉากคืออะไร

        สิ่งสำคัญคือการที่เราไม่หยุดคิด ผมชอบคิดอะไรของผมไปเรื่อย เพราะมันยังหยุดคิดไม่ได้ ถ้าถามว่าความฝันเราสำเร็จแล้วหรือยัง เราก็ยังอยากให้หลายๆ คนเขาสบาย อย่างพี่เบิร์ต เราเคยบอกเขาว่า ‘วันหนึ่งผมจะทำให้รายการ ตีท้ายครัว ที่ไปบ้านคนนู้นคนนี้มาบ้านพี่ให้ได้’ แล้วเขาก็มาจริงๆ 

        ผมว่าความฝันน่ะ ถ้าเราตั้งใจทำมัน มันทำได้จริงๆ นะ ถ้าเราไม่ท้อไปกับมัน อย่างตั๊กช่วงแรกๆ ฝืดจัดเลย แต่มันเป็นคนที่มีความพยายามมาก มันจดมุก มันไปฝึกเล่นกับผมตั้งแต่สมัยมีคาเฟ่อยู่ มันดั้นด้นของมันมาเรื่อยๆ แป้กบ้าง ฮาบ้าง แต่มันก็ไม่ท้อ เป็นตลกน่ะมันไม่ฮาตลอดหรอก ใครมันจะไปอยู่เฉยๆ แล้วแบบโทรศัพท์ โนกา แฮ่!! ตลอดเวลา ไม่มี

        สิ่งสำคัญคือการยืนระยะมากกว่า ไม่ต้องไปดังมาก ไม่ต้องไปดังเปรี้ยงปร้าง แต่ทำให้มันเลี้ยงชีวิต เลี้ยงบริษัทได้ ตลกมาไวไปไวเยอะมาก เพราะส่วนใหญ่ชอบมาทางเดียว แต่ถ้าคุณดิ้นได้ ปูได้ เป็พิธีกรได้ คุณจะอยู่ได้นาน การมีเอกลักษณ์มันก็ดี แต่เอกลักษณ์ของคุณมันจะดีได้นานแค่ไหน

        ผมจะดูอย่าง ป๋าโน้ต เชิญยิ้ม เป็นหลัก เพราะป๋าแกแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าดีมากในการคุมวงสมัยก่อน หรือถ้าเป็นการเล่นหน้าเวที การอำคน ผมจะหยิบ พี่หนู คลองเตย มาใช้ การดูแลคนหยิบพี่หม่ำมาใช้ เราหยิบวิธีการคิดงานของตลกแต่ละคนมาใช้ เราถึงมาอยู่ตรงนี้ได้

ดูเหมือนคุณจะชอบอาชีพตลกนี้มาก 

         ผมไม่ได้ชอบ ผมรักมัน ผมรักในอาชีพ ผมรักในการเป็นตลก ผมเรียนความรู้ ม.3 โดนเขาเชิญออกจากโรงเรียนน่ะ ในวันที่ผมรู้ว่าผมจะไม่ได้เรียนแล้ว ผมตั้งเป้าหมายไว้ว่าผมจะต้องสร้างตัวเองด้วยอาชีพนี้ให้ได้ ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตผมสร้างได้ด้วยอาชีพตลก เรามีทุกอย่าง ทุกวันนี้เราหันหลังกลับไปเราก็ตั้งคำถามว่า ‘กูมาถึงขนาดนี้ได้ยังไงวะเนี่ย’ 

         เราถือว่าเราโชคดีกว่าอีกหลายๆ ชีวิต เราทำเงินแต่ละเดือนได้มากกว่าบางคนที่จบปริญญาโท เราออกจากบ้านเราได้เงินมาตลอด แต่คุณเลือกได้ว่าคุณจะอยู่กับสิ่งที่คุณมีแบบไหน ถ้าคุณไม่รู้จักรักษา วันหนึ่งคุณจะกลายเป็นตลกที่ตายที่โรยราไป

ถ้าย้อนกลับไปแล้วเลือกได้ว่าจะทำอาชีพอะไร จะไม่อยากเป็นตลกไหม

        ไม่มี ไม่มีความคิดนั้นเลย มีหลายคนที่เก่งกว่าผมนะ แล้วมาไม่ถึงผม ผมไม่ใช่คนเก่งนะ แต่ผมศึกษา โชคดีที่ความจำดีนิดหน่อย แล้วผมคิดว่าผมดวงดี เก่งกว่าผมน่ะมี แต่มาไม่ถึงเรา มันอยู่ที่วาสนาด้วย

คิดอย่างไรที่ในยุคโซเชียลฯ มีการเรียกตลกด้วยคำนำหน้าว่า ‘ไอ้’

        มันเป็นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วแหละครับ อย่างผมเคยเห็นคนเรียกน้าค่อมว่าไอ้เหยิน อะไรแบบนี้ เราก็รู้สึกโมโห นี่รุ่นพ่อคุณนะ แต่เข้าใจนะว่าตลกเป็นคนที่ดูเข้าถึงง่าย ถ้าเป็นดาราคนอื่นอาจจะเป็น พี่ณเดชน์ พี่มาริโอ น้องญาญ่า แต่ถ้าเป็นตลกนะ ไอ้หม่ำ ไอ้บอล คืออาจจะคิดว่าเราเป็นคนที่แตะต้องง่าย แต่ก็อยากให้ให้เกียรติกันนิด เข้าใจแหละว่าอาจเป็นเพราะเผลอพลั้งปาก ถ้าอยู่ใกล้ๆ ผมก็อาจจะบอกว่า ‘มึงเนี่ยเด็กกว่าลูกกูอีกนะ’ แต่เราก็ไม่ได้ไปโกรธเขานะ ก็ปล่อยเขา

        หรือถ้าเราโดนวิจารณ์ว่า โห ไอ้เหี้- ไม่เห็นตลกเลย แม่งฝืดว่ะ ผมก็อยากจะบอกว่า มึงมาเล่นให้กูดูหน่อยสิ (ฮา) จะให้ฮาทันใจคุณน่ะไม่ได้ขนาดนั้นหรอก พอโลกมันเปิดมันก็เรื่องธรรมดา แต่ถ้าด่าพ่อล่อแม่มันก็เกินไป แต่ถ้าทั่วไปเราก็… ช่างมัน ถามว่า แล้วยังไง เราจะไปฆ่าเขาเหรอ มันก็ไม่ใช่หรือเปล่า เออ มึงก็มีสติในการคอมเมนต์หน่อย ไม่ใช่นึกจะด่าใครก็ด่า

คุณปล่อยวางได้ตั้งแต่แรกเลยหรือเปล่า เพราะเมื่อก่อนฟีดแบ็กจากคาเฟ่ไม่ได้ตรงขนาดนี้

        ตอนทำ อะจ๊าก แรกๆ ผมเคยพูดกับตั๊กว่า ‘เฮ้ย กูไม่อยากทำแล้วว่ะ ทำแล้วโดนด่า ทำแล้วเครียดว่ะ’ ตั๊กบอกกับผมว่า ‘ผมน่ะโดนด่ามาเยอะมาก ไอ้เหี้- ทั้งไอ้ฝืด ไอ้แป้ก ด่าลูก เกาะลูกแดกนั่นโน่นนี่ โซเชียลฯ มันก็เป็นแบบนี้แหละ อย่าไปสนใจเลยคุณ” เราก็แบบ… เออ ช่างมัน จนเรารู้สึกว่าเราแข็งแกร่ง ถ้ามึงยิ่งด่าแสดงว่ามึงยิ่งดูกู 

        ถ้าสังเกตเวลาดู อะจ๊าก นะ ผมจะไม่เลอะ จะไม่เปรอะ แล้วคนก็จะด่าผม ประมาณว่าผมแอค แล้วถ้าวันไหนโดนขึ้นมา คนดูก็จะเฮกัน ‘อ้าว ไอ้สัส มึงโดนแล้ว’ คนจะได้เฮด่ากันทีเดียว เพราะผมเป็นคนคิดงาน เรายืนอยู่ตรงกลาง คือเราจะกระจายบทให้แต่ละคน แต่ถ้าเราทำงานกับส่วนรวม เราต้องยอมปิดทองหลังพระ เราต้องกระจายบทให้คนอื่น รายการมันต้องเดินหน้า

        เหมือนฟุตบอล เหมือนบาร์ซากับรีอัลมาดริด สตาร์เต็มทีม แต่ถ้าต่างคนต่างเล่นยังไงก็พัง แต่ถ้าค่อยๆ เล่นไปด้วยกันยังไงก็สนุก เราเลยไม่ชิงดีชิงเด่นกัน เราอยู่กันแบบพี่น้อง อยู่กันแบบครอบครัวจริงๆ บางทีแจ๊สโดนคอมเมนต์มันก็โกรธมันก็ร้อน เราก็จะบอกกันว่า คนเราโดนทุกคนน้องเอ๊ย ช่างมัน ปล่อยไป 

         อย่างเช่นตอนที่แจ๊สไปทะเลาะกับพวกแร็ปเปอร์ แล้วเอาไงต่อ มึงจะไปฆ่ามันเหรอแจ๊ส ช่างมันน้อง ยิ่งไปตอบโต้เล่นกับเขา เขาก็ยิ่งสนุกแหละในคอมเมนต์น่ะ เราก็ปล่อยไป แต่ถ้ามึงเข้ามาแล้วล้ำเส้น มึงมีตัวตน มึงซวยนะ

 

บอล เชิญยิ้ม

ช่วงหลังคุณมาทำงานดูแลผลประโยชน์ เป็นผู้จัดการตลกมากขึ้น อะไรทำให้คุณมาทำงานเบื้องหลัง

        เหมือนเราแบ่งหน้าที่กันมากกว่า คือตั๊กจะเป็นคนไปคอยประชุมคุยงาน ผมที่รู้นิสัยใจคอกับสไตล์การเล่นของแต่ละคน ก็จะรู้ว่าคนไหนเล่นอะไรตรงไหนได้บ้าง คนนี้เจ็บได้ไหม คนนี้เล่นที่สูงได้หรือเปล่า เราก็ต้องมาเกลี่ยว่างานที่เข้ามาอันไหนรับได้ อันไหนเล่นไม่ได้ ผมดูให้ละเอียดมากนะ สังเกตนะ น้อยครั้งที่คุณจะเห็นแขนกับขาของพี่เบิร์ต  เพราะแขนขาเขาลาย 

        เรื่องเสื้อผ้าเราเลยต้องแม่น ต้องวางแผนว่าใครจะอยู่ตรงไหนทำอะไร ส่วนตั๊กก็จะไปอยู่ในด้านการตัดต่อ แล้วให้เราเป็นคนคิดงาน ถ้าปล่อยให้เล่นเองโดยที่ผมไม่ได้เข้าประชุม มุกที่ควรอยู่กับแจ๊ส อาจจะไปอยู่กับน้าค่อม แล้วมันจะไม่สนุกนะ หรือน้าค่อมไม่ชอบแกล้งใคร ถ้าทีมงานไปบอกเขา เขาไม่ทำนะ เขาดื้อ ถ้าเราไม่คุมตรงนี้จะทำให้หน้ากองออกมาไม่สนุก เวลาทำงานก็จะติดๆ ขัดๆ

        แล้วถามว่าชอบไหม เราชอบนะที่ได้ทำงานเบื้องหลังมากขึ้นแบบนี้ เพราะตอนที่เราอยู่คาเฟ่เราก็ชอบคิดอะไรประมาณนี้อยู่แล้ว ว่าอาทิตย์นี้คาเฟ่จะเล่นอะไร ถ้าเราไม่ได้คิดเราก็จะเหวอๆ เหมือนไม่ได้ลับสมอง

ทำเบื้องหลังด้วย อยู่เบื้องหน้าด้วย เคยคิดไหมว่าตัวเองควรได้ส่วนแบ่งมากกว่าคนอื่น

        อันนี้มันบริษัทเรากับตั๊กอยู่แล้ว ถ้าผลงานไม่ดีเลยก็ไม่ได้หรอก แรกๆ คนไม่รู้ เข้าใจว่าเป็นของตั๊กคนเดียว ตั๊กก็อยากให้ผมออกหน้าบ้าง ออกตัวบ้างว่าเป็นเจ้าของ แต่ผมก็บอกว่า ‘ไม่เป็นไรเพื่อน วันหนึ่งเดี๋ยวเขาก็รู้เองแหละ’ กูให้มึงเป็นพี่ตา (ปัญญา นิรันดร์กุล) กูเป็นพี่จิกเอง (ประภาส ชลศรานนท์) กูจะอยู่เบื้องหลังให้มึงเอง ถามว่าวันหนึ่งคนจะรู้เอง 

        เราไม่จำเป็นต้องไปนั่งอธิบาย ไม่ต้องไปนั่งพูด เดี๋ยวคนก็รู้กันเองว่า อ๋อ พี่บอลเป็นผู้จัดการด้วยหรอ อย่างพี่เบิร์ตเนี่ย พี่ดูให้ตั้งแต่หัวจดเท้า รับงานด้วย เงินทุกบาททุกสตางค์พี่เรียกให้ทั้งหมด แล้วไม่เคยผ่านมือพี่เลย พี่ให้เขาไปรับเองทั้งหมด นี่ต่อหน้าเขาเลย ถ้าวิญญาณเขายังอยู่ตรงนี้ (ชี้ไปที่สแตนดี้ขนาดเท่าตัวจริงของ โรเบิร์ต สายควัน) ถามเมียเขาได้เลย เด็กๆ ทุกคนรู้หมด พี่เบิร์ตรับค่าตัวด้วยตัวเองมาตลอด

        วันที่เขามีชื่อเสียง ผมเคยพูดกับเขานะ ‘ถ้าพี่ไปจากผม ผมไม่เสียใจเลยนะ’ พี่เบิร์ตพูดว่า ‘ผมไม่ไปหรอกหัวหน้า หัวหน้าดีกับผมขนาดนี้’ เราก็แบบ… เราเลือกคนมาไม่ผิดจริงๆ ว่ะ พี่ถึงได้พูดถึงพี่เบิร์ตเยอะหน่อยไง ผลงานมันเป็นที่ประจักษ์ เราทำให้เต็มที่ เพราะพี่เขาน่ารัก พี่เขาดีกับผม เขาโด่งดังขึ้นมามันก็เหมือนเบาภาระให้เรานะ เหมือนเรามีอาวุธไปต่อสู้เพิ่ม พี่เบิร์ตเหมือนมีดที่พี่ค่อยๆ ลับจนวันหนึ่งมีดกูคมแล้ว 

        เปรียบเทียบนะ ผมมีขวานเป็นน้าค่อม แล้ววันหนึ่งมีมีดอีก อ้าว มาดิ เราได้หมด แต่วันนี้มีดหักแล้ว แต่ก็ไม่เป็นไร เราก็ต้องเอาของที่เรายังมีอยู่ปรับไปลุยไป แต่ถามว่าคนชอบไปแล้ว เราจะต้องทำยังไงดีให้อุดรอยรั่วได้ ก่อนหน้านี้ บริษัทฮาฯ ที่เล่นก็ไม่ได้มีพี่เบิร์ตอยู่หรอก เพียงแต่วันนี้พี่เบิร์ตไปอยู่ในใจคนแล้ว ในวันที่เราไม่มี โรเบิร์ต สายควัน เราก็ต้องอยู่ให้ได้ จะอยู่ยังไงต่อ ก็แค่นั้นเอง

ตั้งแต่เริ่มทำบริษัทกับ ตั๊ก บริบูรณ์ เคยมีเรื่องขัดแย้งกันหรือเปล่า

        ถ้าจะมีก็จะเป็นเรื่องงานนะ แต่เรื่องเงินไม่มีแม้แต่นิดเดียว ตั๊กเคยเรียกผมไปดูบัญชี ให้ไปฟังเขาแจกแจง ผมบอก ‘ไม่ต้องตั๊ก กูไว้ใจมึงเพื่อน กูเลยจุดที่ต้องมานั่งสงสัยว่ามึงมานั่งอมเงินกูหรือเปล่าแล้วว่ะ’ เป็นแบบนั้นอยู่ด้วยกันไม่สนุกหรอก ผมเคยบอกตั๊กว่า ‘ไอ้บูรณ์ กูตายไปวันนี้ก็เอาไปไม่ได้หรอกเพื่อน มึงจะยังไงกูก็ไว้ใจมึง’ 

        ตั๊กมันเป็นคนดีมากๆ มันดีจนเราไม่ระแวง เงินปันผลบริษัทบางทีเราก็ไม่เอา บอกตั๊กเอาไปให้ครอบครัวเถอะเพื่อน เพราะเรามีพอที่จะไม่เดือดร้อน ค่าพยาบาลพี่เบิร์ตล้านกว่าก็คือเงินบริษัทที่ผมกับตั๊กออกให้ทั้งหมด เพราะเราไม่เสียดาย เราเลยจุดที่เราลำบากไปแล้ว

        เราปลงเลยนะ พี่เบิร์ตยังมีชีวิตอยู่ไม่คุ้มกับการใช้เงินเลย สุดท้ายคนเรายังไงก็สำลียัดจมูก เงินทองเยอะแยะก็เอาไปไม่ได้ ชื่อเสียงเอาไปด้วยก็ไม่รู้เขาจะรู้จักหรือเปล่า ทุกวันนี้เราเลยช่างมันได้เยอะขึ้น เราก็ทำเท่าที่มี  ยิ่งไปแข่ง ยิ่งไปกระตือรือร้น ยิ่งเครียด

แล้วตอนนี้ทำอะไรอยู่บ้างนอกจาก Joker Family อะจ๊าก และ บริษัทฮาฯ

        ธุรกิจขายน้ำปลาร้าก็ทำกันสนุกๆ แต่คนเขาชอบกัน ถ้าตอนนี้ที่ทำจริงจังจะมีเป็นคอนเสิร์ตบริษัทฮาฯ ที่มีผม น้าค่อม เมื่อก่อนเป็นพี่เบิร์ต ทุกวันนี้ก็เป็นไอ้ตั๊กมาแทน แล้วก็มีรายการประจำ ถามว่าอยู่ได้ไหม มันอยู่ได้ ทรัพย์สินเรามีพอที่จะหยุดวันนี้ก็ได้ แต่เรายังสนุกกับมันอยู่ วันนี้เราหันไปเราก็รู้ว่า ‘เอ่อ ของเราก็มีเยอะนี่หว่า ทุกอย่างเราซื้อสดหมดเลย’ มันเลยรู้สึกว่าเราพอแล้ว 

        แค่วันหนึ่งเรามีความฝันว่าแบบเราจะทำหนังร่วมกัน เราจะทำคอนเสิร์ตใหญ่ร่วมกัน แต่เขาดันมาตายซะก่อน พี่ฉอดเรียกไปคุยละ แต่ทุกอย่างหยุดหมดเลย มันมีสองอย่างนี้แหละที่เราอยากจะทำร่วมกันแต่ว่าทุกอย่างมันก็หยุดหมดเลย 

 

บอล เชิญยิ้ม

คุณเป็นหัวหน้าคณะตั้งแต่เมื่อไหร่

        ก่อนหน้านี้ผมก็อยู่กับพี่โหน่ง ตอนแรกสุดพี่หม่ำทำกับพี่โหน่ง พอเขามาทำเป็นเท่งโหน่ง พี่เท่งพัก พี่โหน่งพัก พี่โหน่งเลยบอกว่า มึงเอาคณะไป กูยกให้ ก็เลยเป็น บอล เชิญยิ้ม มาตลอด จนมาวันหนึ่งคาเฟ่เริ่มโรยรา เริ่มยุคบั้นปลายละ น้าค่อมมา ก็เป็นคู่กัน น้าค่อมกับ บอล เชิญยิ้ม พอวันหนึ่งคาเฟ่หมด เราเลยบิดกลายมาเป็นเล่นคอนเสิร์ตเพื่อเข้าร้าน ถ้ามาเป็นให้ตลกมายืนเล่นในผับ ในเธค เขาไม่เอาหรอกวัยรุ่นยุคนี้

        เราได้ความคิดว่าต้องบิดมัน เพราะว่า ตอนไอ้แจ๊สทำแจ๊ส สปุ๊กนิค ปาปิยอง กุ๊กกุ๊กใหม่ๆ ไอ้เต้ง (สปุ๊กนิค) มันยังรับมุกไอ้แจ๊สไม่ได้ แจ๊สเลยมาชวนว่า ‘พี่มาช่วยผมหน่อยดิ’ มาเล่นให้เต้งมันดูว่าทางเราเวลาเล่นกับแจ๊สมันเป็นยังไง เพราะว่าเราเนี่ยเคยเล่นคาเฟ่มาก่อน แล้วพวกผับร้านอะไรแบบเนี้ย ไม่ได้แตกต่างจากการเล่นคาเฟ่เท่าไหร่ แค่เราบิดบางอันมาให้เข้ากับสถานที่ ยิ่งถ้าเล่นเลาจน์เนี่ยยิ่งเข้าทางตีนเลย ถ้ามีผู้หญิงเยอะๆ เนี่ย

        แจ๊สก็เคยถามนะว่า พี่มาอยู่กับผมเปล่า แต่คนเขาเยอะ เราก็เกรงใจ เราก็กลับมาบิดวงของตัวเองบ้างดีกว่า ตอนแรกๆ ร้านก็ไม่ยอมรับ จนวันหนึ่งเขาก็เริ่มเห็นว่าเรามีร้องเพลงด้วยเว้ย มีมุกมาสอดแทรก มันก็เลยอยู่มาได้มาถึงทุกวันนี้ แต่อนาคตข้างหน้าก็ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงเหมือนกัน

คิดว่าอยากหยุดตอนตัวเองอายุเท่าไหร่

        ยังบอกไม่ได้เหมือนกัน ตอนที่พี่เบิร์ตตายใหม่ๆ เราก็มีความคิดว่า เราหยุดดีไหมวะ แต่เห็นเด็กๆ ในวงอีก 20 กว่าชีวิต จะมาปล่อยลอยแพก็ทำไม่ได้ เราก็เลยเอาเว้ย สู้ต่อ วันหนึ่งก็คงเลิกเองแต่ว่าเราก็จะไปให้มันสุดก่อน แต่ถ้าน้าค่อมไม่ไหวแล้วก็คงหยุดเลย

ถ้าหยุดแล้วตำแหน่งหัวหน้า อยากจะยกให้ใครต่อ

        คิดว่ามันจะไม่มีแล้ว ตอนแรกก็จะยกให้พี่เบิร์ต เคยคุยกันไว้ว่า ‘เอาไหมพี่ เดี๋ยวผมยกวงให้’ เขาก็บอกว่า ‘เฮ้ย ไม่เอา เอาแล้วผมจะไปเล่นกับใคร’ เพราะเขารู้ว่าถ้าไม่มีผมแล้วใครจะมาคอยส่งมุกให้ การเล่นตลกเนี่ยแม่คู่เนี่ยสำคัญ เพราะผมไม่ได้เป็นเหมือน พี่ โน้ส อุดม ถ้าทำคนคงด่าว่า โห พูดเหี้-ไรตั้งชั่วโมง มันไม่สนุก เหมือนพี่เบิร์ต ถ้าไม่มีคนไปแหย่ ไม่มีคนไปจั่ว ไม่มีคนไปขยี้ไปอำ แกก็คงไม่ตลก เพราะบทแกต้องโดนแหย่ต้องโดนอำแล้วให้แกเถียงกลับ พอโดนกระทำแล้วคนรัก คนชอบ

แล้วนิยามคำว่าหัวหน้าคณะของคุณมีความหมายว่าอย่างไร

        คำว่าหัวหน้ามันติดมาจากสมัยคาเฟ่เฉยๆ ผมก็เคยบอกคนอื่นว่า ไม่ต้องเรียกผมหัวหน้าหรอก เรามันก็พี่น้องกันหมด มันก็ไม่ได้พิเศษอะไรนะคำว่าหัวหน้า มันแค่แสดงให้เห็นว่าใครเป็นผู้นำในช่วงเวลานั้นเฉยๆ ใครออกทีวีเยอะกว่า ใครเป็นที่รู้จักเยอะกว่า แล้วใช้ในการโปรโมตเฉยๆ อย่างถ้าไปเล่นแถวพระราม 9 ก็จะใช้คำว่า เอาละครับ พบกับตลกคณะบอล เชิญยิ้ม แบบนี้เฉยๆ 

        หรืออีกอย่างหนึ่งคือการที่คุณเป็นคนที่คุมทีมได้ มีงานพาชาวคณะเล่นได้ ปั้นให้เด็กใหม่ไปเล่นกับวงต่อได้ นำวงได้ มันแค่เป็นการให้เกียรติกันเฉยๆ พอลงเวทีมาเราก็เท่ากัน ถ้าพี่กินแบบไหน น้องก็กินแบบนั้น น้องนอนแบบไหน พี่ก็นอนแบบนั้น เราไม่ได้มาแบ่งชนชั้นวรรณะกัน มันแค่อุปโลกน์มาเฉยๆ

 

บอล เชิญยิ้ม

หลังจากใช้นามสกุลเชิญยิ้มมาเกือบ 20 ปี เคยคิดว่าจะตั้งนามสกุลของตัวเองขึ้นมาใหม่บ้างไหม

        คือเมื่อก่อนไม่เคยคิด แต่บางครั้งอาจจะเจอคำที่พูดว่า โห เชิญยิ้มนี่มึงใครวะ แต่เราหากินกับคำว่าเชิญยิ้มห้อยท้ายมานาน มันทำให้เราเจริญมาถึงทุกวันนี้ มันทิ้งไม่ได้ มันรักชื่อนี้ไปแล้ว จะไปตั้งบอล มีนบุรี ฮึ มึงเปิดร้านท่อไอเสียเหรอ เรารักและให้เกียรติชื่อนี้จนไม่อยากที่จะหันไปใช้ชื่ออื่นอีกต่อไปแล้ว

สิ่งที่ยากที่สุดในการทำธุรกิจตลกคืออะไร

        สิ่งที่ยากที่สุดน่าจะเป็นการเกื้อหนุนกัน ว่าถ้าไอ้ตั๊กแข็งมา ผมต้องอ่อน เหมือนหยินหยาง ถ้าตั๊กมันเป็นไฟ ผมจะเป็นน้ำ เพราะถ้าวันไหนไฟกับไฟเจอกันมันจะพังนะ แต่ถ้าการคิดงานการเล่นตลก ‘ตั๊ก คุณต้องเชื่อผม คุณเถียงผมไม่ได้นะ เพราะผมอ่านเกมขาดกว่าคุณ’ แต่ถ้างานหลังบ้าน ทำคลิปตัดต่อ กูเชื่อมึงตั๊ก กูไม่เถียงมึง เรียกได้ว่าถนัดใครถนัดมัน งานลูกค้า การปั้นเฟรม งานโฆษณา เราปล่อยตั๊กจัดการหมด มันเลยอยู่กันมาได้เพราะว่ามันเกื้อกัน

แล้วอะไรที่รู้สึกง่ายบ้าง

        ไม่มีเลยว่ะ ยากแม่งหมดเลย ยากฉิบหายเลย 

คุณมองวงการตลกข้างหน้าเป็นอย่างไรบ้าง

        คุณจะมาเล่นกันแบบไหนผมก็นึกไม่ออกละนะ เพราะที่มันเล่นกันอยู่ทุกวันนี้ผมก็แทบจะหมดแล้ว เอามาบิดเอามายำกันเกือบหมดแล้ว หรือว่าจะเป็นเรื่องราวแบบไหนที่จะทำให้ถูกใจคนต่อจากชุดเรา แต่ก็ไม่แน่นะ อาจจะมีคนกลุ่มมหาวิทยาลัยที่ต่อจากชุดเรา หรือว่าวัยรุ่นที่แม่งมาแปลก แต่ก็ต้องใช้เวลาให้คนมันยอมรับ เพราะทุกวันนี้ เดี่ยวๆ ก็อาจจะมี แต่ถ้ามาเป็นกลุ่ม นอกจากแก๊งสามช่า บริษัทฮาฯ เราก็ยังไม่เห็นว่ามันจะมากันยังไง คุณจะเล่นกันยังไง มาแนวไหน

ปรัชญาในการใช้ชีวิตของ บอล เชิญยิ้ม ในวัย 42 ที่อยากฝากให้ทุกคนคืออะไร

        อยู่ให้เป็น ขึ้นได้ต้องลงได้ ยามขึ้นอย่าหลง ยามลงอย่าท้อ ผมอยู่มาเป็น 10 ปี ผมมีงานมาตลอด ไม่จำเป็นต้องฟู่ฟ่า ผมแค่คิดว่าถ้าผมออกไปทำงาน ต้องทำยังไงก็ได้ให้คุณต้องจ้างผมต่อ แค่นั้นเอง 

        ผมใช้ชีวิตแบบนี้ ถ้าวันหนึ่งขึ้นแล้ว ขาลงแล้วรับตัวเองไม่ได้ จะเรียกว่าจมไม่ลง จมไม่ลงแล้วมันก็ยิ่งกระเสือกกระสนตัวเอง มันเหนื่อยนะที่อยากกลับไปจุดเดิม เราก็แค่ทำแบบของเราไป ของดีวันหนึ่งมันก็จะดีของมันเองนั่นแหละ 

        ไม่รู้ดิ พอวันหนึ่งเรามาดูพี่เบิร์ต เราปล่อยวางเลย ก่อนหน้านี้ผมก็ผู้ชายเจ้าชู้ ผมก็เหี้- แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็เอาไปไม่ได้ ใช้ชีวิตให้มีความสุขไปแต่ละวันพอ แต่เด็กยุคใหม่ที่อยากจะมี มันก็ต้องถีบตัวเอง แต่คุณก็ต้องหาหนทาง แต่ถ้าวันหนึ่งคุณมีแล้ว คุณจะอยู่กับสิ่งที่คุณมีแบบไหน อันนั้นสำคัญกว่า