ณฐพร เตมีรักษ์

ณฐพร เตมีรักษ์ | ค้นหาจังหวะและรักษาระยะที่เหมาะสม

เวลาที่ตั้งใจจะเริ่มออกวิ่งแต่ละครั้ง เรามักตั้งกฎหรือเป้าหมายกับตัวเองว่า ต้องวิ่งให้ได้เวลาเท่านี้หรือต้องครบระยะทางเท่านั้นตามที่ตั้งใจ แต่กลายเป็นว่าเส้นชัยที่เซตไว้นั้นดูเหมือนว่ามันเขยิบออกไปเรื่อยๆ จนแทบวิ่งไปไม่ถึง
พอคิดว่าทำไม่ได้ ไม่เหมาะ เราก็จะเริ่มรู้สึกว่ามันไม่ใช่ ไม่ชอบ กลายเป็นความเหนื่อยหน่าย ท้อแท้ และล้มเลิกที่จะทำสิ่งนั้นไปในที่สุด

     อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เราได้คุยกับ ‘แต้ว’ – ณฐพร เตมีรักษ์ กลับทำให้พบว่า จริงๆ แล้วเราไม่จำเป็นต้องฝืนตัวเองขนาดนั้น นางเอกสาวสวยยอมรับว่า ครั้งหนึ่งเธอไม่ชอบการวิ่ง ถึงขั้น ‘ยี้’ เลยก็ว่าได้ แต่สุดท้ายเมื่อค่อยๆ วิ่งทีละน้อยๆ และที่สำคัญคือการเปิดใจให้กว้างขึ้น ก็พบว่าการวิ่งนั้นไม่ได้แย่อย่างที่คิด และความยืดหยุ่นในใจกลับทำให้เธอหันมารักการออกกำลังประเภทนี้เข้าให้แล้ว

 

ณฐพร เตมีรักษ์

 

สาวสวยอย่างคุณ เราคิดว่าน่าจะชอบเล่นโยคะ พิลาทิส หรือออกกำลังกายในฟิตเนสเย็นๆ มากกว่า

     ตอนแรกก็เป็นแบบนั้นเลย (หัวเราะ) เราเคยเป็นคนไม่ชอบวิ่ง แต่เห็นคนรอบๆ ตัวเขาไปวิ่งกันอย่างเอาจริงเอาจังมาก เราเองถูกชวนให้ออกมาวิ่งเสมอๆ มีงานวิ่งหลายรายการที่เชิญให้เราไปร่วม ตอนแรกก็คิดว่าตัวเองวิ่งได้ วิ่งไหว แต่สุดท้ายก็ไม่ไหวหรอก เพราะไม่เคยซ้อมไปก่อน ไปด้วยความไม่รู้ ไม่รู้จักการเซตกำลังให้ตัวเอง พอวิ่งแบบนั้นไปในที่สุดก็กลายเป็นความท้อแท้ คิดว่าสิ่งนี้ไม่เหมาะกับเรา ไม่ใช่ตัวเรา เพราะเราไปถึงจุดที่ร่างกายเหนื่อยมาก อยากก้าวขาไปต่อ แต่มันก้าวไม่ออกจริงๆ ตอนนั้นเรามองเรื่องวิ่งในด้านลบไปเลยนะ ไม่มีความประทับใจอะไรกับการวิ่งเลย

 

แล้วจุดเปลี่ยนที่ทำให้คุณกลับมาวิ่งคืออะไร

     ก็มาถึงช่วงที่รู้สึกว่าร่างกายอ่อนแอ เรารู้ตัวว่าต้องการการออกกำลังกายจริงจังแล้วล่ะ เราก็เลยค่อยๆ เริ่มวิ่งทีละเล็กละน้อย เริ่มจากวิ่งบนลู่วิ่งก่อน โดยตอนนั้น เจมส์จิ (จิรายุ ตั้งศรีสุข) เป็นคนชวนให้เรากลับมาวิ่ง เขาชอบเล่าให้ฟังตลอดเวลาไปเจอกันที่กองถ่ายละคร ว่าวันนั้นวันนี้เขาไปวิ่งที่นั่นที่นี่มา ตอนนี้เขามีเป้าหมายว่าจะไปร่วมวิ่งสี่สิบกิโลที่รายการใหญ่ๆ ในต่างประเทศ แล้วมีอยู่มาวันหนึ่งเราก็ลองวิ่งดู ก็ปรากฏว่าตัวเองวิ่งได้ประมาณ 4 กิโล ก็รีบมาเล่าให้เจมส์จิฟัง เขาก็บอกว่าดีๆ นี่เป็นสัญญาณเริ่มต้นใหม่ที่ดีสำหรับเรา

 

ณฐพร เตมีรักษ์

ณฐพร เตมีรักษ์

 

คุณคิดว่าด้วยปัจจัยอะไร ที่ทำให้เราสามารถเปิดใจยอมรับสิ่งใหม่ หันมาชอบในสิ่งที่เราเคยไม่ชอบ

     เราว่าการวิ่งนั้นขึ้นอยู่กับตัวเองอย่างเดียวเลย เราต้องรู้สึกเอ็นจอยกับการวิ่งก่อน ไม่ใช่ไปฝืนไปเทียบกับคนอื่น แล้วเราไปบังคับตัวเองว่าต้องวิ่งให้ได้ระยะทางเท่ากับเขา เพราะถ้าทำอย่างนั้นสุดท้ายเราจะวิ่งได้ไม่สม่ำเสมอ แล้วก็จะมองการวิ่งไปในแง่ลบ แบบที่ตัวเองเคยเป็น เอาเท่าที่ไหวดีกว่า ไม่ไหวก็พัก ไม่ต้องไปฝืน ถ้าเราไปเซตว่าวันนี้ต้องวิ่งให้ได้สิบกิโลเมตร โดยเฉพาะเวลาที่วิ่งอยู่บนลู่วิ่ง เดี๋ยวสักพักเราจะมองหน้าจอแล้วว่าวิ่งไปได้เท่าไหร่ พอเห็นตัวเลขที่ขึ้นมาก็ท้อ วิ่งตั้งนานผ่านไปแค่สองนาทีเองเหรอ (หัวเราะ)

     แต่ถ้าเราอยู่กับการวิ่งจริงๆ เราจะรู้สึกว่า เอ้า! ยังไหวนี่ ยังไหว งั้นวิ่งต่อไปอีกนิดสิ อีกนิดสิ เหมือนเป็นการคุยกับตัวเอง เราเคยรู้มาว่าการออกกำลังกายให้ได้ผล จะต้องออกกำลังอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง ซึ่งก่อนหน้านั้นแค่ยี่สิบนาทีเราก็จะตายอยู่แล้ว แต่ตอนนี้เราปรับความคิดใหม่ ไม่ไหวก็หยุด ถ้าไหวก็ไปต่อ พอคิดแบบนี้ปรากฏว่าเราวิ่งได้เกือบหนึ่งชั่วโมงเลยนะ การวิ่งอยู่ที่ความคิดของเราจริงๆ ไม่ใช่ร่างกายแต่เพียงอย่างเดียว อยู่ที่ใจตัวเองด้วย

     เราอยากแชร์เรื่องของพี่ชาย (ชาตโยดม หิรัณยัษฐิติ) ให้ฟัง เขาเป็นคนที่สนใจการวิ่งมาก ในกองถ่ายละครเขาจะคุยเรื่องวิ่งกับเจมส์จิตลอดเวลา ท่าวิ่งต้องเป็นแบบนั้น องศาของการก้าวขาต้องเป็นแบบนี้ จังหวะการหายใจเข้าหายใจออก แล้วเขาก็เหมือนว่าร้อนวิชา ไปวิ่งตามแบบที่เจมส์จิบอก กลับมาอีกวันเขาบ่นกับเราว่าเหนื่อยมาก เพราะเขาบังคับร่างกายตัวเองเกินไป แทนที่การวิ่งจะช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้น กลับทำให้ร่างกายเขาจะแย่ลง ต้องค่อยๆ เรียนรู้ทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ ร่างกายของคนไม่มีกฎตายตัวเหมือน 1+1 เท่ากับ 2 บางคนเท่านี้ได้ บางคนเท่านี้ไม่ได้ เอาเท่าที่ตัวเองมีความสุขดีกว่าไม่ไหวก็ไม่ต้องไปโทษตัวเอง ก็ยอมรับไปว่าไม่ไหว แล้วพรุ่งนี้เราอาจจะวิ่งได้ดีขึ้นกว่าเดิมก็ได้

 

ณฐพร เตมีรักษ์

 

คุณมีแนวโน้มว่าต่อไปจะเอาจริงเอาจังกับการวิ่งมากขึ้นกว่านี้ไหม

     เราอยากลงแข่งวิ่งแบบจริงจังสักรายการ เพราะถึงแม้เมื่อก่อนจะเป็นคนไม่ชอบวิ่ง แต่เราชื่นชมคนที่วิ่งอยู่แล้ว เพราะเขามาแค่ตัวกับชุด เขาอยู่กับร่างกายและจิตใจของตัวเอง เรามองว่าการที่ใครสักคนสามารถวิ่งได้เป็นชั่วโมงๆ นั้น ไม่ใช่แค่ความฟิต แต่คือเรื่องของใจด้วย

     ย้อนกลับไปตอนที่เราวิ่งได้เยอะขึ้น ตอนนั้นก็ค่อยๆ เริ่มเห็นข้อดีของการวิ่ง ว่าไม่ได้ช่วยแค่เรื่องของร่างกายอย่างเดียว แต่ช่วยเรื่องของจิตใจด้วย เป็นการถามใจตัวเองว่าจะหยุดตอนที่ตัวเองเหนื่อยมากๆ หรือจะอยู่กับความเหนื่อยนั้นแล้วผ่านไปให้ได้ ซึ่งจังหวะที่เราผ่านมันไปได้ เราจะเลยจุดที่ตัวเองเหนื่อยไป จะรู้สึกว่าไม่เหนื่อยแล้ว เป็นการฝึกจิตใจไปในตัว แล้วเราจะรู้ว่าการวิ่งนั้นไม่ต้องเอาไปเปรียบเทียบกับใครเลย คนที่วิ่งได้สี่กิโลเมตรก็ไม่ต้องไปเทียบกับคนที่วิ่งได้สี่สิบกิโลเมตร จะวิ่งได้แค่ไหนอยู่ที่ตัวเองเท่านั้น

 

เมื่อเราก้าวข้ามความไม่ชอบมาได้แล้ว เราจะอยู่กับการวิ่งไปเรื่อยๆ ได้อย่างไร

     สำหรับเรา การวิ่งเป็นกีฬาที่ทำให้เราสามารถลุกขึ้นจากเตียง แล้วก็คว้ารองเท้ามาสวมแล้วออกไปวิ่งได้เลย โดยที่ตัวเองไม่ต้องมีข้ออ้างอะไร เพราะถ้าเราจะไปว่ายน้ำ ก็ต้องเตรียมชุดใช่ไหม จะไปเล่นพิลาทิส ก็ต้องเดินทางออกจากบ้านใช่ไหม แต่การวิ่ง ใช้แค่ตัวเรากับตรงไหนก็ได้ จะวิ่งแถวๆ บ้าน หรือจะวิ่งเป็นลู่วิ่งในบ้านก็ได้ แล้วคนที่ไม่เคยชอบการวิ่งอย่างเราถือว่า การบอกตัวเองให้ออกไปวิ่งได้นี่ เป็นเรื่องที่ถือว่าเป็นความภูมิใจกับตัวเองมาก แต่เราพยายามตั้งเป้ากับตัวเองไว้หลวมๆ ว่าถ้าออกกำลังกายได้ทุกวันก็จะดีนะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องฟิกซ์ให้ตัวเองออกมาวิ่งทุกวัน แต่เป็นการเตือนตัวเองว่า วันนี้ว่างใช่ไหม งั้นออกไปวิ่งสักหน่อยดีไหม

     สำหรับเราการก้าวข้ามไปสู่สิ่งใหม่ๆ ถือเป็นเรื่องที่ดี การออกกำลังกายควรเป็นสิ่งที่ตัวเองรู้สึกว่าอยากทำจริงๆ อยากลุกขึ้นมา ต้องหาตรงนี้ให้ได้ก่อน ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นการวิ่งเท่านั้น เราสามารถแมตช์ชีวิตตัวเองกับการออกกำลังกายประเภทไหนก็ได้ คุณชอบโยคะก็ไปเล่นโยคะ แต่ต้องให้การเล่นโยคะนั้นเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตจริงๆ ไม่ใช่การฝืนตัวเอง บังคับตัวเองเพื่อไปทำ เพราะถ้าเป็นแบบนั้น การออกกำลังกายของคุณจะไม่ยืนยาวเพราะนั่นคือการทำไปตามเทรนด์ตามกระแสเท่านั้น

 

ณฐพร เตมีรักษ์

 

วิธีคิดเกี่ยวกับการวิ่ง นำมาปรับใช้กับเรื่องของชีวิตและการทำงานได้ด้วยไหม

     วิธีนี้อาจจะได้ผลกับคุณหรือกับบางคน เราเชื่อเช่นนั้น สำหรับเรา เราเป็นคนที่ค่อนข้างตึงกับการทำงานมากๆ นั่นทำให้รู้สึกว่าอย่างน้อย ตัวเองก็เลือกแล้วที่จะเข้มงวดกับอะไรสักอย่าง แต่ไม่ใช่ว่าต้องทุกอย่าง เราจึงให้การวิ่งเป็นเหมือนเวลาที่ตัวเองรู้สึกว่าอยากออกไปดูหนัง อยากฟังเพลง หรือเต้นรำ เมื่อไหร่ที่ตัวเองวิ่งจนเหงื่อออกแล้วตัวเองรู้สึกดี นั่นคือสัญญาณที่บอกว่าเรากำลังเข้าใกล้ความเป็นจริงแล้วว่าเราชอบวิ่ง

     เหมือนกับเรารักตัวเองมากขึ้น การวิ่งทำให้เราอยู่กับตัวเรา อยู่กับ ณ​ ขณะนั้น ไม่ต้องดูที่ไหนไกล แค่เวลาวิ่งบนลู่วิ่ง ถ้าเกิดเรามีอะไรแวบเข้ามาในหัวแค่นิดเดียว จังหวะเราผิดแล้ว สมดุลของร่างกายเริ่มไม่คงที่แล้ว กว่าจะกลับมาวิ่งได้แบบเดิม ก็แทบจะต้องตั้งหลักกันใหม่ แต่ถ้าสติของเราอยู่ ณ ตอนนั้น ฉันกำลังวิ่ง กำลังก้าว กำลังหายใจ ถ้าเลี้ยงจังหวะแบบนี้ไปได้เรื่อยๆ การวิ่งจะโฟลว์มาก จนกระทั่งมีอะไรมาทำให้เราไขว้เขวไปอีกครั้ง

 

เหมือนกับที่นักวิ่งมาราธอนจะพูดว่า เขาจะมองไปที่ 7 ฟุตข้างหน้าเท่านั้นขณะที่กำลังวิ่ง

     ใช่ เราไม่ต้องยึดติดกับอะไร ไม่ต้องไปสนใจกับสิ่งรอบข้างเลย แค่รู้ว่าตอนนี้ตรงหน้าเกิดอะไรขึ้น เรากำลังวิ่งอยู่ ขาขวาก้าวออกไป ขาซ้ายกำลังจะสลับมาแทน แต่เราก็ยังเป็นมือใหม่สำหรับเรื่องวิ่งอยู่ ก็มีบ้างที่บางวันหัวไม่เคลียร์วิ่งได้ไม่ดี แต่ก็ไม่เป็นไร ก็ไม่โทษตัวเอง เพราะวันต่อไปพอเราจัดการกับสิ่งที่ทำให้ตัวเองห่วงหน้าพะวงหลังได้แล้วเดี๋ยวก็กลับมาวิ่งได้ชิลๆ เหมือนเดิม

 


ขอบคุณสถานที่: เซ็นทรัลเฟสติวัล อีสต์วิลล์