ดร. นิเวศน์

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร: ลงทุนในหุ้นยุคนี้ยังมีโอกาสเปลี่ยนจากยาจกเป็น ‘เศรษฐี’ อีกไหม?

ในช่วงเวลาที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตต้มยำกุ้ง ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investing: VI) คือคนที่มองเห็นโอกาสในการลงทุน โดยเขาเลือกใช้วิธี ‘ตีแตก’ ด้วยการนำเงินจำนวนสิบล้านบาทที่เก็บสั่งสมมาจากการทำงานหลายสิบปีเข้าไปลงทุนในหุ้นที่ผ่านการวิเคราะห์แล้วว่ามีพื้นฐานที่ดี และมั่นใจว่าทุกๆ ปีหุ้นในกิจการนั้นจะเติบโตในระดับที่มากกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ โดยคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าในวันที่หยุดลงทุน พอร์ตของเขาจะเติบโตไปจนถึงระดับพันล้าน

        ผลปรากฏว่าการลงทุนในยุคทองของตลาดหุ้นไทยได้สร้างการเติบโตจนทำให้พอร์ตของเขาแตะระดับพันล้านตั้งแต่ก่อนจะวางมือ─ปัจจุบันสมาชิกอีกสองคนในครอบครัวของเขาคือภรรยาและลูกสาว ก็เป็นเจ้าของพอร์ตที่มีมูลค่ารวมกันมากกว่าหกพันล้านบาท

        แม้การสนทนาครั้งนี้จะเกิดขึ้นในยุคที่เศรษฐกิจไทยชะลอตัวและซบเซา ซึ่งว่ากันว่าอาจเป็นจุดสิ้นสุดยุคทองของการลงทุนแบบ VI แต่กูรูท่านนี้ยังมองเห็นความหวังที่สุกสว่างอยู่ในพรมแดนอื่นๆ ซึ่งจะสร้างโอกาสในการเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้คนจาก ‘ยาจก’ ให้กลายเป็น ‘เศรษฐี’ ได้เสมอ

        เขายังช่วยเปลี่ยนมุมมองของเราที่มีต่อการลงทุน─จากเรื่องไกลตัวและเต็มไปด้วยเทคนิคอันซับซ้อน─ให้กลายเป็นรายละเอียดที่สังเกตได้ง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน

        “ในหลายๆ ครั้งความรู้สึกของเราเป็นตัวฟ้อง ถ้าเราไม่พอใจร้านอาหารนั้น เพราะปล่อยให้เราต้องรอนานหรือพนักงานไม่สุภาพ สิ่งเหล่านี้จะคอยฟ้องว่ากิจการของเขาคงจะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ ในที่สุดกิจการก็จะตกต่ำลงเพราะคนไม่ไปใช้บริการ แต่ถ้าเข้าร้านอาหารไหนแล้วรู้สึกชอบมาก เพราะรวดเร็ว สะอาด พนักงานให้บริการดีเยี่ยม ย่อมแปลว่าคนจะเข้ามากินอาหารที่ร้านนี้เยอะ ในที่สุดกิจการของเขาก็จะเติบโตต่อไป”

        นอกจากบทเรียนอันล้ำค่าที่นำไปใช้ต่อยอดเพื่อสร้างผลตอบแทน แง่มุมอื่นๆ ในชีวิตที่ดอกเตอร์นิเวศน์เปิดเผยกับเรายังสะท้อนให้เห็นคุณค่าที่แท้จริงของชีวิต ความสุขที่ตั้งอยู่บนความสมถะและการแสวงหาความสุขจากการสร้างความมั่งคั่ง ที่ไม่ยอมให้เงินตรามาครอบงำชีวิต ดั่งที่เขาคอยย้ำอยู่ตลอดการสนทนา

        “เงินเป็นแค่ส่วนช่วยอำนวยความสะดวกให้เราเท่านั้น และความสุขบางอย่างไม่สามารถซื้อหาได้ด้วยเงินตรา”

 

ดร. นิเวศน์

จริงไหมที่คนทำงานยุคนี้ต้องหมั่นศึกษาเรื่องการลงทุนเอาไว้ด้วย เพราะลำพังแค่การทำงานเก็บเงินไม่เพียงพอต่อการมีชีวิตที่ดีหลังเกษียณ

        จริงแท้แน่นอน โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่แตกต่างจากตอนที่ผมยังเป็นวัยรุ่น สมัยนั้นการลงทุนยังไม่ใช่เรื่องจำเป็นของชีวิต เพราะธนาคารให้ดอกเบี้ยเงินฝากสูงถึง 10 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ในขณะที่ปัจจุบันลดลงเหลือเพียงปีละ 1-2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ดังนั้น แปลว่าการทำงานแล้วนำเงินไปฝากไว้กับธนาคารไม่ใช่หนทางที่ทำให้เงินต้นของเราเติบโตต่อไปในระดับที่น่าพอใจอีกแล้ว ในอนาคตเงินจะยิ่งเฟ้อมากขึ้น และกำลังซื้อจากเงินฝากของเราจะยิ่งลดลงเรื่อยๆ ลำพังแค่การออมเงินที่เหลือจากค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันจึงอาจไม่เพียงพอต่อการมีชีวิตที่ดีในวัยเกษียณ

        ผมสนับสนุนให้ทุกคนเรียนรู้เรื่องการลงทุน แต่คนมักจะคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ยากและเต็มไปด้วยตัวเลขอันซับซ้อน ซึ่งถ้าเราลองสังเกตดูชีวิตของพวกเราดีๆ จะพบว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่แตกต่างจากสัตว์ชนิดอื่นๆ ในแง่ที่ว่าเราเป็นสัตว์ที่ลงทุนสูงมาตั้งแต่ไหนแต่ไร กว่าที่คนคนหนึ่งจะเกิดและเติบโตขึ้นมาจนสามารถทำมาหากินเลี้ยงชีพได้ด้วยตัวเอง เขาต้องผ่านการลงทุนมาเป็นเวลาหลายสิบปี

        ซึ่งถ้าเราไปดูสัตว์อื่นๆ จะพบว่าสัตว์บางชนิด อย่างเช่นสัตว์จำพวกปลา พวกมันเกิดมาเพียงแค่สองถึงสามนาทีก็หาเลี้ยงตัวเองได้แล้ว หรือแม้แต่สัตว์ใหญ่บางชนิด เมื่อเกิดขึ้นมาได้ไม่นานก็สามารถหากินเองได้แล้ว แต่ชีวิตของพวกเราทุกคนที่เกิดขึ้นมา ถ้าไม่มีพ่อแม่คอยลงทุนเลี้ยงเรามาก็คงอดตายกันหมด

        สำหรับผม การศึกษาคือการลงทุนที่มีความสำคัญมากต่อชีวิต เมื่อพูดถึงการลงทุน ย่อมแปลว่าคุณต้องยอมสละอะไรบางอย่างเพื่อที่ว่าในอนาคตคุณจะได้รับอะไรบางอย่างกลับมา เช่น คุณตั้งใจเรียนเพื่อจบออกมาจะได้มีชีวิตที่ดีขึ้นหรือได้บริโภคมากขึ้น ดังนั้น มนุษย์คือสัตว์ที่ลงทุนมาโดยตลอด ไม่มีมนุษย์คนไหนที่ไม่เคยลงทุนกับอะไรเลย

คนที่มีการศึกษาดีจะเป็นนักลงทุนที่เก่งเสมอไปไหม

        ผมคิดว่าการศึกษาที่ดีจำเป็นต่อการเป็นนักลงทุน แต่การศึกษาที่ดีในมุมมองของผมไม่ได้หมายความว่าจะต้องเรียนจบสูงๆ แต่คนคนนั้นจะต้องเข้าใจถึงหลักปรัชญาของการลงทุน รู้ว่าการลงทุนแบบไหนจะประสบความสำเร็จ สำหรับผมหุ้นคือตัวแทนของสรรพสิ่ง─ทั้งเป็นตัวแทนของมนุษย์ ของที่ดิน และของทรัพยากร─การที่เรานำเงินไปลงทุนในหุ้นย่อมเท่ากับว่าเราได้เป็นเจ้าของมนุษย์ เป็นเจ้าของที่ดิน และเป็นเจ้าของทรัพยากร

        ถ้าเลือกลงทุนในคนที่ดี ที่ดินที่อุดมสมบูรณ์ และมีทรัพยากรที่ดี ก็ย่อมส่งผลให้หุ้นของเรามีค่า ในทางกลับกัน ถ้าคนคนนั้นไม่เจริญก้าวหน้า ที่ดินแห้งแล้ง หรือทรัพยากรขาดแคลน หุ้นของเราก็จะเป็นหุ้นที่ไม่ดี ดังนั้น ถ้าอยากจะประสบความสำเร็จในการลงทุนอะไรก็ตาม เราต้องคิดคำนึงอยู่เสมอว่าหุ้นที่เรากำลังจะลงทุนนี้เป็นตัวแทนของอะไร และเมื่อเราเลือกได้อย่างถูกต้อง ปัจจัยต่างๆ ในหุ้นตัวนี้ก็จะเจริญก้าวหน้า แล้วเราก็จะรวย นี่คือหลักการลงทุนที่สำคัญมาก

ถ้าอยากทำความรู้จักกับโลกของการลงทุนอย่างถ่องแท้ ควรทำอย่างไร

        ถ้าอยากเป็นนักลงทุนมืออาชีพ คุณต้องทุ่มเท ให้เวลาศึกษามันทั้งชีวิต แต่อย่างน้อยๆ ผมขอแค่ให้คุณรู้จักกับพื้นฐานของสรรพสิ่งต่างๆ เสียก่อน เช่น รู้ว่าโลกของเราตอนนี้เป็นอย่างไร ชีวิตของมนุษย์เป็นแบบไหน พูดง่ายๆ คือมองคนให้ออก─เขาฉลาด มีจริยธรรม หรือขยันขันแข็งมากน้อยแค่ไหน แล้วคนคนนี้มีโอกาสที่จะเจริญก้าวหน้าต่อไปในอนาคตอย่างไร─สิ่งที่เราทำคือเลือกซื้อเขาผ่านหุ้น ปล่อยให้เขาเติบโตต่อไปเรื่อยๆ แล้วหุ้นก็จะเจริญเติบโตตามตัวเขาไป จนกระทั่งวันหนึ่งเราจะรวยโดยที่ไม่ต้องทำอะไรมาก ขอให้การตัดสินใจของเราตั้งอยู่บนความเข้าใจ หรือบางครั้งมันอาจจะง่ายยิ่งกว่านั้นก็คือเพียงแค่เราทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ของเขา

        เวลานี้ผมมองสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเป็นเรื่องของการลงทุนได้แทบทั้งหมด─ร้านอาหารดังๆ ในห้างสรรพสินค้าก็ล้วนเป็นร้านที่มีหุ้นอยู่ในตลาด โทรศัพท์มือถือของเรา รวมถึงโรงแรมที่เราเลือกไปพักผ่อนในวันหยุด─ถ้าสังเกตดีๆ จะพบว่าส่วนใหญ่คนเราใช้ชีวิตอยู่กับหุ้นกันทั้งนั้น  

เวลาเดินเข้าร้านอาหารสักแห่ง นักลงทุนอย่างคุณจะมองเห็นอะไรที่แตกต่างจากคนทั่วไปบ้าง

        ในหลายๆ ครั้งความรู้สึกของเราเป็นตัวฟ้อง ถ้าเราไม่พอใจร้านอาหารนั้น เพราะปล่อยให้เราต้องรอนานหรือพนักงานไม่สุภาพ สิ่งเหล่านี้จะคอยฟ้องว่ากิจการของเขาคงจะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ สำหรับผม มนุษย์ทั่วโลกเหมือนกันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นชาติไหนๆ มนุษย์เรามีความคิดและมีอารมณ์ความรู้สึกคล้ายๆ กัน เพราะว่าเรามาจากยีนเดียวกัน ดังนั้น ถ้าเรารู้สึกไม่พอใจแล้วก็น่าจะแปลว่าคนอื่นๆ ไม่พอใจเหมือนกัน ในที่สุดกิจการก็จะตกต่ำลงเพราะคนไม่ไปใช้บริการ แต่ถ้าเข้าร้านอาหารไหนแล้วรู้สึกชอบมาก เพราะรวดเร็ว สะอาด พนักงานให้บริการดีเยี่ยม ย่อมแปลว่าคนจะเข้ามากินอาหารที่ร้านนี้เยอะ ในที่สุดกิจการของเขาก็จะเติบโตต่อไป ซึ่งวิธีการของนักลงทุนก็คือเข้าไปดูว่าเขามีหุ้นอยู่ในตลาดหรือเปล่า ถ้ามีก็ติดต่อโบรกเกอร์แล้วซื้อได้เลย เพราะเราคาดการณ์ได้แล้วว่าหุ้นตัวนี้จะต้องเติบโตต่อไปในระยะยาว

        ในการลงทุนอาจจะมีเรื่องของทฤษฎีหรือการคำนวณบ้างเล็กน้อย แต่โดยส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของการใช้สามัญสำนึก อาศัยความรู้พื้นฐานทางคณิตศาสตร์ในการบวกลบคูณหาร ทำความรู้จักคำศัพท์หรือตัวย่อต่างๆ สักหน่อย เพียงแต่ว่าคุณจะต้องหมั่นศึกษาเรียนรู้เพิ่มเติมเพื่อให้รู้ว่าหุ้นราคาเท่านี้ถูกหรือแพง การลงทุนในยุคนี้ยิ่งง่ายดายกว่ายุคก่อน เพราะมีสิ่งที่เรียกว่ากองทุนรวม เช่น กองทุนรวมตราสารทุน ที่มีให้เลือกทั้งในรูปแบบของหุ้นที่ทดแทนทั้งประเทศ หรือหุ้นที่ทดแทนบริษัทใหญ่ๆ ราว 30-50 ของไทย ฯลฯ ถ้าพิจารณาแล้วมั่นใจว่าในอีก 20-30 ปีนับจากนี้ 50 บริษัทใหญ่ของไทยจะยังเติบโตต่อไป ประกอบกับราคาหุ้นไม่แพงมาก ย่อมแปลว่าผลตอบแทนของการลงทุนค่อนข้างจะดี

        กิจการที่ ‘เติบโต’ ในมุมมองของนักลงทุนเน้นคุณค่า (Value Investor: VI) มีความหมายว่าในทุกๆ ปี กิจการนั้นจะมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น กำไรที่เพิ่มขึ้น และปันผลที่เพิ่มขึ้น เช่น ปันผลเพิ่มขึ้น 3 เปอร์เซ็นต์ 3.25 เปอร์เซ็นต์ และ 3.5 เปอร์เซ็นต์─เติบโตไปตามลำดับเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ซึ่งแน่นอนว่าการลงทุนในกิจการเหล่านี้ย่อมดีกว่าการฝากเงินในธนาคารที่ได้ดอกเบี้ยเพียง 1-2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

คนที่จะเป็นนักลงทุนเน้นคุณค่า ไม่ควรใจร้อนใช่ไหม

        ใช่ๆ ต้องเป็นคนมีเหตุผล มีความคิดที่เป็นอิสระ และไม่สนใจคำพูดของคนอื่นมากนัก เพราะในชีวิตของเขาจะต้องพบกับคนที่คอยเข้ามาบอกว่าหุ้นตัวนั้นดีหรือไม่ดีอยู่ตลอดเวลา

        หรือเมื่อมีเหตุการณ์อะไรสักอย่างในสังคม เช่น เกิดสงครามการค้า ก็จะมีคนที่คอยบอกว่าต้องรีบขายหุ้นเพราะสถานการณ์กำลังแย่แล้ว ซึ่งถ้าเราปล่อยให้ตัวเองถูกชักจูงหรือตื่นตูมไปตามสถานการณ์รายวัน เราจะไม่สามารถเป็นนักลงทุนสาย VI ได้เลย คนแบบนี้อาจจะเหมาะกับการเป็นนักเก็งกำไรในหุ้นมากกว่า

        นักลงทุนสาย VI จะต้องคิดถึงพื้นฐานของหุ้นที่เราซื้อก่อนเสมอ และต้องท่องไว้ว่าหุ้นคือตัวธุรกิจ เบื้องหลังของมันคือคน ที่ดิน และทรัพยากร ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและง่ายดายขนาดนั้น เช่น คนคนนี้เก่งมาก มีความรับผิดชอบสูง แปลว่าคนคนนี้คงไม่เปลี่ยนแปลงไปเป็นคนที่เหลวไหลในวันนี้หรือพรุ่งนี้หรอก ดังนั้น ควรวิเคราะห์ให้เห็นก่อนว่าคนคนนี้ดีแน่หรือบริษัทนี้เติบโตแน่ๆ โดยอธิบายออกมาเป็นเหตุเป็นผลให้ได้ และเมื่อซื้อหุ้นของบริษัทนั้นขึ้นมาแล้วก็ให้ใจเย็นเข้าไว้ ใครพูดอะไรก็ตาม อย่าได้หลงเชื่อ

        การเกิดสงครามการค้าไม่ได้ส่งผลให้ทุกสิ่งทุกอย่างล้มเหลวไปทั้งหมด บริษัทยังคงทำงาน คนยังต้องทำการผลิตและขายอาหารกันต่อไป เพราะสิ่งเหล่านี้คือความต้องการของมนุษย์ทั้งโลก ซึ่งการเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นนิดหน่อยเป็นเพียงรายละเอียดเล็กน้อยที่ไม่ได้ทำให้คนเลิกกินเลิกใช้ ผลกระทบที่เกิดขึ้นของมันไม่ได้เปลี่ยนแปลงพื้นฐานของกิจการ นักลงทุนสาย VI ต้องมั่นใจในข้อนี้

        อย่างไรก็ตาม หากเราวิเคราะห์พลาด ไปเลือกลงทุนในธุรกิจที่แย่─ในเมื่อพื้นฐานมันแย่อยู่แล้ว ดังนั้น มันก็จะแย่ต่อไป─เราจึงต้องยึดมั่นต่อการลงทุนในกิจการที่ดี แล้วก็ไม่ใช่ดีเพราะว่าตอนนี้ตลาดเกิดการปั่นป่วนเล็กน้อย หรือเพราะราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นมาได้ส่งผลให้กิจการดีได้สักประเดี๋ยว ซึ่งถ้าพื้นฐานของกิจการไม่ได้ดีจริงๆ อีกไม่นานพอน้ำมันราคาตก หุ้นของกิจการนั้นก็จะตกลงมาเหมือนเดิม

ดูเหมือนว่าการเป็นนักลงทุนสาย VI จะต้องมีต้นทุนทางการเงินที่สูงกว่าคนทั่วไป เพราะหุ้นของกิจการที่แข็งแกร่ง มีแนวโน้มว่าจะเติบโตย่อมเป็นที่หมายตาของนักลงทุนจนส่งผลให้ราคาของมันสูงลิบลิ่ว

        ไม่จำเป็นต้องมีเงินเยอะ ผมย้ำเสมอว่าการลงทุนในหุ้นมีข้อดีอยู่อย่างหนึ่งคือมีเงินแค่ห้าพันหรือหนึ่งหมื่นบาทก็ลงทุนได้แล้ว ถ้าคุณมีเงินน้อยก็ซื้อสักร้อยหุ้น ถ้ามีเงินมากขึ้นก็ค่อยซื้อสักพันหุ้นหรือหมื่นหุ้น ค่อยๆ สะสมหุ้นที่ดีไปเรื่อยๆ แล้วมันจะค่อยๆ เติบโตขึ้นไปเอง เพราะฉะนั้น อย่าเข้าใจผิด เหมือนที่หลายคนชอบคิดว่าเรามีเงินน้อย เราจึงต้องเล่นหุ้นที่ทำให้ได้กำไรเร็วๆ เพื่อนำมาใช้จ่ายในปัจจุบัน

การลงทุนแบบ VI เป็นกระบวนการที่ช้าๆ และค่อยๆ พอกพูนขึ้นไปเรื่อยๆ ตอนที่เริ่มลงทุนเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน พอร์ตของผมก็เล็กนิดเดียว ไม่ต่างจากคนทั่วไปที่ทำงานรับเงินเดือนจากบริษัท แต่ที่แน่ๆ คือการลงทุนต้องใช้เงินต้น ถ้าไม่มีเงินต้น คุณไม่ต้องพูดถึงเรื่องการลงทุนเลย

มีเงินต้นที่พร้อม มีการศึกษาวางแผนมาอย่างดี แล้วยังต้องมีอะไรอีกบ้าง

        เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ผมขออธิบายผ่านหลักคิด ‘แก้วสามดวง’ ที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จ ร่ำรวยจากการลงทุน ซึ่งผมมักจะใช้อธิบายให้แก่ผู้ที่กำลังจะเริ่มต้นลงทุนฟังอยู่เสมอ

        แก้วดวงที่ 1 คือจำนวนของเงินต้นที่นำมาลงทุน─คุณมีเงินต้นเยอะหรือเปล่า คนบางคนโชคดี เกิดมาพร้อมกับดวงแก้วที่สุกสว่าง หรือมีเงินต้นเยอะ เพราะพ่อแม่ของเขาร่ำรวย แต่ถ้าคุณไม่ได้เกิดมาร่ำรวย ก็ต้องรู้จักเก็บเงิน ก่อนหน้านี้ผมก็เป็นลูกจ้างมาทั้งชีวิต ทำงานเก็บออมเพื่อให้มีเงินต้นเยอะๆ เพื่อทำให้แก้วดวงแรกของเราสุกสว่างขึ้นมา

        แก้วดวงที่ 2 คือผลตอบแทนจากการลงทุนในแต่ละปี─คนที่จะสร้างผลตอบแทนได้เยอะๆ ส่วนใหญ่ต้องศึกษาและเรียนรู้จนเข้าใจ เช่น รู้ว่าธุรกิจแข่งขันกันอย่างไร กิจการไหนที่ดี และใครที่จะประสบความสำเร็จ นอกจากนี้ยังต้องมีอีคิวที่ดี หรือที่ผมได้อธิบายไปก่อนหน้านี้ว่าต้องเป็นคนที่ไม่ตื่นตูมตกใจง่าย และไม่เห่อตามกระแส─ในยุคนี้ ถ้าลงทุนแล้วได้ผลตอบแทนเกิน 10 เปอร์เซ็นต์ต่อปี คุณคือนักลงทุนที่เก่ง แต่ถ้าคุณไม่เก่งก็ยังมีกองทุนรวมให้คุณเลือกลงทุน ซึ่งง่ายและปลอดภัยกว่าการลงทุนเอง แต่ต่อให้เลือกลงทุนในกองทุนรวม คุณก็ยังต้องศึกษาอยู่ดีนะ ส่วนใครก็ตามที่ไม่คิดจะลงทุนเลย เลือกที่จะฝากเงินเพื่อกินดอกเบี้ยแค่ 1 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ย่อมแปลว่าแก้วดวงที่ 2 ของเขามืดมน ไม่สุกสว่าง

        แก้วดวงที่ 3 คือระยะเวลาในการลงทุน─ถ้าเริ่มลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อย ระยะเวลาในการลงทุนจะมาก และผลตอบแทนก็จะยิ่งทบไปเรื่อยๆ คนที่อายุน้อยๆ คือคนที่แก้วดวงที่ 3 สุกไสวอยู่แล้วตามธรรมชาติ แต่หลายๆ คนไม่ค่อยจะคิดถึงว่าตัวเองมีแก้วดวงนี้ติดตัวอยู่ จึงไม่ได้เปิดใช้ กว่าจะเริ่มลงทุนก็เมื่อตอนมีอายุมาก แก้วดวงนี้จึงไม่สุกสว่างเหมือนเดิม

        เพราะฉะนั้น ใครที่มีดวงแก้วสุกสว่างทั้งสามดวง เขาจะรวย แต่ถ้ามืดมนทั้งสามดวง รับรองเลยว่าจน และผมยืนยันอีกครั้งว่าการลงทุนตามหลักคิดแก้วสามประการนี้ไม่ได้ยากเกินกว่าความสามารถของคนที่มีไอคิวในระดับเฉลี่ย หรือคนที่ผลการเรียนพอใช้ ไม่จำเป็นต้องเก่งอะไรมากมาย สิ่งสำคัญที่สุดคือมายด์เซตที่คุณมีต่อการลงทุน อย่าไปกลัวหรือมัวแต่คิดว่าเราไม่ได้ร่ำเรียนด้านนี้มาโดยตรง เพราะการลงทุนเป็นเรื่องของชีวิต ในเมื่อทุกคนก็ใช้บริการในหลายๆ กิจการ ก็ย่อมต้องรู้ว่าอะไรดีหรือไม่ดี รู้ว่าคนเก่งเป็นแบบไหน รวมถึงรู้ว่าประเทศไหนมั่งคั่ง และประเทศไหนที่ยากจน

 

ดร. นิเวศน์

คุณคิดว่าการลงทุนในยุคที่เศรษฐกิจไทยกำลังชะลอตัวและซบเซาอย่างในตอนนี้ ยังสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนจาก ‘ยาจก’ ให้กลายเป็น ‘เศรษฐี’ เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับชีวิตของคุณได้อีกไหม  

        ผมยังเชื่ออยู่เสมอว่าการลงทุนสามารถสร้างโอกาสในการเปลี่ยนแปลงชีวิตจากยาจกให้กลายเป็นเศรษฐี แต่นักลงทุนต้องศึกษาและเรียนรู้ว่าเศรษฐกิจเติบโตอย่างไร เมื่อคุณเข้าใจคุณก็จะไม่ทำแบบเดียวกับที่ผมทำเมื่อยี่สิบปีที่แล้วแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ จริงอยู่ที่หลักการในการลงทุนให้ประสบความสำเร็จยังเป็นแบบเดิม แต่กาละและเทศะไม่เหมือนเดิมแล้ว

        ยี่สิบปีก่อนเมืองไทยเติบโตเร็ว แต่ในยุคนี้ชัดเจนว่าเมืองไทยในอีก 20 ปีข้างหน้าจะเติบโตช้าลง เพราะปัญหาที่ใหญ่ที่สุดคือคนแก่ตัวลง ซึ่งเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ตรงนี้ได้ เพราะการไปบอกให้ใครต่อใครมีลูกกันเยอะๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย และคนรุ่นใหม่ก็มีค่านิยมว่าเขาไม่ต้องการมีลูกเยอะ หรือบางคู่แต่งงานกันโดยไม่คิดจะมีลูกเลยด้วยซ้ำ ดังนั้น เราจึงต้องเปลี่ยนไปลงทุนในสถานที่ที่มีการเติบโตเร็ว เช่น ประเทศที่มีเด็กเกิดใหม่เยอะ หรือประเทศที่ประชากรมีศักยภาพสูง ซึ่งประเทศเหล่านี้จะเติบโตต่อไปได้เรื่อยๆ

        ถามว่าตอนนี้ผมเลือกไปลงทุนที่ไหน─ถ้าผมหนุ่มกว่านี้สักหน่อยผมคงไปมากกว่านี้ อย่างเช่นตลาดอเมริกาก็น่าสนใจมาก เพราะเป็นที่รวมกันของบริษัทยักษ์ใหญ่และบริษัทที่เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีที่ในอนาคตจะต้องเติบโตต่อไป และนับวันโลกจะยิ่งต้องการผลิตภัณฑ์จากบริษัทเหล่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ แต่เนื่องจากว่าตอนนี้เราอายุมากขึ้น ศึกษาน้อยลง จึงเลือกเฉพาะประเทศที่ค่อนข้างมั่นใจว่าเศรษฐกิจของเขาจะต้องเติบโตต่อไปได้อีกไกลอย่างเวียดนาม

        คนเวียดนามได้รับการพิสูจน์มาตลอดเวลาว่ามีความสามารถและไอคิวสูง ถึงแม้จะเป็นประเทศที่ยังไม่รวย ไม่เจริญ แต่คุณภาพของคนสูงมาก เมื่อทดสอบในระดับนานาชาติจะพบว่าเขาเก่งเป็นอันดับต้นๆ ดังนั้น เขาจึงมีความสามารถในการทำงานที่ทำให้เศรษฐกิจเจริญเติบโตมากขึ้นไปอีก และนอกจากความโดดเด่นเชิงคุณภาพแล้ว เวียดนามยังเป็นประเทศที่มีคนหนุ่มสาวเยอะ ย่อมเท่ากับว่ามีแรงงานที่คุณภาพดีในจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีอีกปัจจัยที่สำคัญคือการมีระบบเศรษฐกิจที่เอื้ออำนวยต่อการเติบโต

        ในอดีต เวียดนามมีเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม ซึ่งปิดกั้นโอกาสของคน ทำให้คนเก่งๆ ไม่มีงานทำ แต่ปัจจุบัน เวียดนามเปิดกว้างมากขึ้นเพื่อที่จะปรับตัวให้เข้ากับระบบเศรษฐกิจเสรีของโลก ดังนั้น ผู้คนก็เข้าไปลงทุนและทำกำไรกันมากมาย และผมก็คิดว่าเวียดนามจะเติบโตต่อไปได้อีกไม่ต่ำกว่า 20 ปี เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นประเทศของเขาตอนนี้คล้ายกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับประเทศไทยเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน

บรรยากาศของเมืองไทยเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว เป็นอย่างไร อะไรที่ทำให้คุณมองเห็นโอกาสในการลงทุน

        ทุกๆ ปีเราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ผมเกิดในยุคที่ยังทันเห็นสามล้อถีบ สักพักจึงเริ่มมีมอเตอร์ไซค์และรถยนต์ แต่ยังเป็นเพียงพาหนะของคนร่ำรวยเท่านั้น ไม่ได้เกลื่อนเมืองขนาดนี้ จนกระทั่งเมื่อผู้คนเริ่มใช้บัตรเครดิต จึงเข้าสู่ยุคที่คนขับรถกันทั่วเมือง มีรถใหม่ๆ มาวิ่งตามท้องถนน จากนั้นรถก็เริ่มติดเป็นบ้าเป็นหลัง

        อีกอย่างหนึ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็คือสมัยก่อนคนไทยไม่รู้จักการพักอาศัยอยู่ในคอนโดฯ คิดว่ามีแต่คนฮ่องกงเท่านั้นที่มีชีวิตแบบนี้ เพราะเมืองไทยที่ดินเยอะ และคนไทยก็ไม่ต้องการอยู่คอนโดฯ แต่พอผ่านไปสักพักหนึ่ง คอนโดฯ ขึ้นเป็นแถบเลย แล้วก็เริ่มได้ยินคนบอกว่าไปอยู่คอนโดฯ ก็ดีเหมือนกัน ไม่ได้เดือดร้อนอะไร และไม่เห็นจำเป็นว่าจะต้องพักอาศัยอยู่บนผืนดินเท่านั้น─คุณจะเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงทางความคิดและพฤติกรรมของคนในสังคม ซึ่งมันดำเนินไปในรูปแบบเดียวกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในประเทศที่พัฒนาแล้ว

อย่างที่ผมเชื่อเสมอว่ามนุษย์ทั่วโลกเหมือนกัน สิ่งที่ทำให้เราแตกต่างกันมีอยู่อย่างเดียวคือเรื่อง ‘เงิน’ ประเทศที่มีรายได้มากกว่าจะมีพฤติกรรมแตกต่างจากประเทศที่มีรายได้น้อยกว่า ลดหลั่นกันไปตามฐานะ ซึ่งย่อมแปลว่า วันใดก็ตามที่เรามีเงินขึ้นมา เราก็จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เหมือนกับคนในประเทศที่เจริญแล้ว

        ถ้าเรารวยเท่าเขา เราจะทำตัวเหมือนกับเขา─เราอาจถูกสอนมาว่าเราต้องแตกต่างจากคนอื่น เพราะเราเป็นคนไทย มีวัฒนธรรมไทย ต้องคิดแบบไทย แต่ผมว่าไม่จริง

        ผมเคยไปอยู่ในประเทศที่เจริญแล้วอย่างอเมริกา ผมรู้ว่าคนที่นั่นเขากินและใช้ชีวิตอย่างไร พอกลับมาก็ได้เห็นความคิดและการใช้ชีวิตของคนไทยที่เริ่มเปลี่ยนแปลงไป เช่น เราบอกว่าคนไทยแต่งตัวโป๊ไม่ได้ เพราะวัฒนธรรมไทยสอนให้ผู้หญิงต้องรักนวลสงวนตัว แต่เมื่อผู้หญิงไทยรวยขึ้นๆ ก็เริ่มแต่งตัวโป๊เหมือนกันนะ เพราะว่าการอยากโป๊เป็นเรื่องของมนุษย์ มันไม่ใช่เรื่องของคนไทยหรือไม่ไทยเลย─ถ้าเรามีเงินเยอะ เราจะทำตัวเหมือนคนรวยในอเมริกาหรือคนรวยในประเทศอื่นๆ─สัจธรรมนี้คือข้อดีสำหรับนักลงทุน เพราะถึงจุดหนึ่งเราจะทำนายได้ว่าคนไทยจะรวยขึ้น และจะเริ่มย้ายไปอาศัยอยู่บนคอนโดฯ แล้วเราก็จะรู้ว่าเราควรจะลงทุนในกิจการประเภทไหน

        ตอนนี้คนเวียดนามเริ่มซื้อรถซื้อบ้าน ถึงแม้จะยังเป็นการซื้อแบบเงินสด แต่ต่อไปเมื่อประเทศเขารวยขึ้น ธนาคารจะเริ่มปล่อยเงินกู้ แล้วในวันนั้นคนเวียดนามก็จะเริ่มผ่อนบ้านผ่อนรถกันเป็นเรื่องปกติ เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในบ้านเรา ผมได้เดินทางไปเที่ยวที่นั่น เริ่มเห็นว่าบ้านเขามีห้างสรรพสินค้าแล้ว อีกไม่นานก็คงจะเพิ่มจำนวนขึ้นไม่ต่างจากเรา ดังนั้น ถ้าคุณไปลงทุนในเวียดนามตอนนี้ คุณก็ย่อมจะทำนายได้ว่าต่อไปเวียดนามจะมีสินค้าอะไร จะมีบริษัทประเภทไหน แล้วกิจการใดที่จะเติบโตอย่างรวดเร็ว

คุณเริ่มรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนรวยตั้งแต่มีเงินจำนวนเท่าไหร่

        ผมเริ่มคิดถึงเรื่องแก้วสามดวงตอนอายุ 40 กว่าๆ ตอนนั้นผมตั้งใจทำงานจนเก็บเงินได้ราวๆ 10 ล้านบาทโดยที่ไม่รู้สึกว่าตัวเองรวย ไม่ซื้อรถ ไม่ซื้อบ้าน และผมก็ประหยัดมากเพราะว่าตอนเป็นเด็กเรายากจน การเริ่มมีเงินเก็บในบัญชีจึงเป็นเหมือนหลักประกันที่ทำให้รู้สึกว่าชีวิตเราเริ่มมั่นคงขึ้น จนกระทั่งวันที่ผมเริ่มต้นลงทุนและเริ่มคำนวณด้วยตัวเอง

        แก้วดวงที่ 1─เงินต้นสิบล้านบาท ซึ่งถือว่าสว่างไสวพอสมควร แต่ยังไม่ถือว่ามากมายสำหรับคนทำงานในระดับนี้

        แก้วดวงที่ 2─ผลตอบแทนปีละ 10 เปอร์เซ็นต์ โดยเราจะลงทุนไปยาวๆ ให้ผลตอบแทนทบต้นไปเรื่อยๆ ซึ่งตัวเลขนี้ผมคิดบนฐานของผลตอบแทนปกติของการลงทุนในสมัยนั้นที่เศรษฐกิจไทยยังเติบโตสูง

        แก้วดวงที่ 3─ผมมีเวลาที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก 30-40 กว่าปี

        เราก็เอาตัวเลขทั้งหมดเข้าสูตรคำนวณ ปรากฏว่า ตัวเลขมันบอกว่าในวันที่ผมตายหรือวันที่ผมหยุดลงทุนตอนอายุ 80 ปี ผมจะมีเงินได้ถึงหนึ่งพันล้านบาท จนเข้าสู่วันที่ตัวเลขในพอร์ตของเราแตะหนึ่งพันล้านบาทขึ้นมาจริงๆ─นั่นคือวันที่เราเริ่มรู้สึกว่า เอ้อ เราก็รวยเหมือนกันนะ (ยิ้ม) คุณอาจจะฟังดูว่ามันเยอะใช่ไหม แต่ผมใช้ชีวิตรอมาถึงยี่สิบสามสิบปีเลยนะ

ได้ใช้ชีวิตอู้ฟู่หรูหราแบบคนรวยบ้างหรือยัง

        แทบไม่ได้ใช้เลย ตอนที่ผมมีเงินหลักพันล้าน ผมยังไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง ยังไม่มีรถใหม่ของตัวเองเลย นิ้วมือก็ยังไม่มีเพชรไม่มีพลอย แม้แต่ภรรยาของผมยังใส่แหวนเพชรราคาถูกๆ ที่ผมซื้อจากเมืองนอกเพื่อมาขอเขาแต่งงานอยู่เลย เขาเองก็ไม่มีเครื่องเพชร ไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรนอกจากหุ้น เพราะเวลาลงทุนแล้วได้เงินปันผลหรือขายหุ้นได้เงินสดกลับมา เราจะนำไปลงทุนต่อ โดยแทบจะไม่ได้นำออกมาใช้จ่ายใดๆ เมื่อไม่ค่อยเห็นเงิน เราจึงไม่ค่อยมีความรู้สึกว่าเรารวย ตอนนี้พอร์ตการลงทุนของผมอยู่ที่พันกว่าล้านบาท แต่ผมมีเงินสดติดบัญชีอยู่หนึ่งล้านบาทเท่านั้น ซึ่งเงินแค่นี้ก็เหลือเฟือแล้ว เพราะอย่างเก่งเราก็ใช้เงินเดือนละไม่เกินหนึ่งแสนบาทหรอก

        เราใช้ชีวิตกันมาแบบนี้ โดยที่บ้านผมแทบไม่มีอะไรที่เป็นสัญลักษณ์ของความรวย เมื่อไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และไม่ได้มีเงินสดให้เห็น ลูกสาวของผมจึงไม่รู้มาก่อนว่าครอบครัวเราก็รวยเหมือนกัน กว่าเขาจะรู้ก็ตอนที่เขาเข้าเรียนมหา’ลัยแล้ว เขาจึงเริ่มบอกว่าพวกเราต้องใช้เงินบ้างนะ เพราะเขาเป็นมนุษย์ เหมือนที่ผมย้ำว่ามนุษย์เราเหมือนกันทั้งโลก─พอเริ่มรวย เราก็จะเริ่มใช้จ่าย─หลังจากนั้นเราถึงใช้จ่ายกันมากขึ้น คุณภาพชีวิตดีขึ้น แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นฟุ่มเฟือยอยู่ดี เช่น สมัยก่อนเวลาเดินทางแต่ละครั้ง เราจะเลือกแต่เที่ยวบินชั้นประหยัด พอเริ่มรู้สึกว่ารวยเราก็เริ่มเปลี่ยนมาใช้บริการเที่ยวบินชั้นธุรกิจ เริ่มซื้อรถใหม่ แต่ก็ไม่ใช่รถหรูหราคันละหลายสิบล้านบาท เพราะสำหรับผมรถยี่ห้อไหนก็เหมือนกัน ขอแค่มันพาเราไปถึงที่หมายได้เป็นพอ เราไม่จำเป็นต้องซื้อของที่มีราคาแพงกว่าคุณค่าที่แท้จริงของมัน

แต่การที่คนเรามีสัญลักษณ์ของความร่ำรวยติดตัว ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหนก็มักจะได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี

        ผมคิดอยู่เสมอว่าเราช่างโชคดีที่ไม่จำเป็นต้องแสดงสัญลักษณ์ของความร่ำรวย เพราะบังเอิญว่าเราเองก็พอจะมีคนรู้จักอยู่บ้างจากการออกมาพูดให้ความรู้เรื่องการลงทุนกับผู้คน ทุกวันนี้ภรรยาผมก็ไม่ได้ใส่เครื่องเพชร แต่หลายๆ คนก็รู้ว่าเขารวย แม้แต่ลูกเราก็ไม่ได้ขับรถ แต่เขาก็ไม่ได้สนและไม่ได้แคร์อะไร เราไม่จำเป็นต้องแสดงสัญลักษณ์ของความร่ำรวยด้วยการขับรถหรูๆ ไปให้คนอื่นเห็น พวกเราจึงโชคดีที่ไม่ต้องใช้จ่ายเงินไปกับของหรูหราฟุ่มเฟือยเพื่อแลกกับความสุข

        คนส่วนใหญ่อาจรู้สึกว่าการได้ใช้เงินคือความสุข แต่สำหรับผม การมีเงินคือความสุข ความสุขมันมาตั้งแต่ตอนที่เรามีเงินแล้ว และถึงแม้ว่าตอนนี้เราจะฟุ่มเฟือยได้โดยที่ไม่เดือดร้อนแล้วก็ตาม แต่ถ้าเริ่มใช้เงินเยอะๆ ผมจะรู้สึกว่าเสียดาย เช่น เราอาจยอมเสียเงินเพื่อโดยสารเครื่องบินชั้นธุรกิจ แต่ถ้าเกินเลยไปจนถึงระดับเฟิสต์คลาส เราจะเริ่มมีความทุกข์แล้ว หรือถ้าให้เอาเงินไปซื้อแบรนด์เนมราคาเป็นหมื่นเป็นแสน โอ้โฮ เราจะเสียดายมากเลย เพราะเราไม่ได้อยากใช้เงิน แต่เราอยากมีเงิน

 

ดร. นิเวศน์

คงต้องบอกว่า ช่วงเวลาที่เปิดพอร์ตแล้วเห็นตัวเลขเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คือความสุขของคุณ

        อ่า ถูกต้องๆ เพราะมันคือความรู้สึกมั่นคงและเป็นสัญลักษณ์ของการประสบความสำเร็จ ตัวเลขในพอร์ตที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มันคอยบอกกับเราว่า ไม่ต้องใช้หรอก เก็บเอาไว้อย่างนี้หรือเอาไปลงทุนต่อให้ความสุขมันเพิ่มพูนขึ้นไปอีกดีกว่า แล้วผมก็เชื่อว่าคนที่เป็นนักลงทุนสาย VI หลายๆ คนเป็นแบบนี้ ความสุขของพวกเรามาจากการมีเงิน หรืออาจจะมาจากเรื่องอื่นๆ ในชีวิต แต่ไม่ได้มาจากการใช้จ่ายเงิน

        ถ้าไปศึกษาประวัติของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) จะเห็นเลยว่าความสุขของเขาไม่ได้มาจากการไปเที่ยวหรือใช้ชีวิตหรูหรา แต่มาจากการลงทุนที่ทำให้เกิดผลกำไร แล้วเขาก็ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ขับรถเอง ไม่ต้องพึ่งพาใคร เวลากินอาหารก็ไม่ได้เข้าภัตตาคารหรูหราอะไร อาหารที่เขากินในทุกๆ วันคือแมคโดนัลด์กับโคคา-โคล่า เช่นเดียวกัน ผมเองก็มีความสุขกับการชงชากินเอง และได้ออกกำลังกาย แต่ถ้าคุณมาบังคับว่า ในทุกๆ วันผมจะต้องใช้จ่ายให้ถึงยอดหนึ่งล้านหรือสองล้านบาท ผมบอกได้เลยว่าผมตายแน่ เพราะนี่คือความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับผม

อย่างวันนี้คุณก็เดินทางมาด้วยรถไฟฟ้า อยากรู้ว่าการเบียดกับผู้คนบนรถไฟฟ้ามันให้ความสุขมากกว่าการได้นั่งรถส่วนตัวที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำตรงไหน

        มีความสุขมากกว่าสิ เพราะเราไม่ต้องนั่งอุดอู้อยู่แต่ในรถแคบๆ แต่ได้ออกมาเดินดูนั่นดูนี่ ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของชีวิตผู้คนและสังคม วันนี้ที่ผมนั่งรถไฟฟ้ามาจากบ้านก็ไม่ได้เบียดเสียดอะไรขนาดนั้น หรือถ้าต้องเบียดกันบ้างผมก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องเดือดร้อนอะไร สำหรับผมมันคือความสนุกอย่างหนึ่ง แล้วข้อดีของการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าคือเราสามารถควบคุมเวลาได้ ไม่ต้องมาถึงก่อนเวลาแล้วก็ไม่ได้สายเกินเวลานัดหมาย พอมาถึงปุ๊บก็ได้งานทันที ชีวิตแบบนี้สิคือชีวิตที่มีความสุข

การเป็นนักลงทุนสาย VI สอนให้ผมรู้จักแยกแยะว่าอะไรคือความสุข ผมยอมจ่ายนะถ้าสิ่งๆ นั้นคือความสุขที่แท้จริง ผมไม่ได้ขี้เหนียวถึงขั้นจะเอาแต่เก็บเงินทุกเม็ดทั้งๆ ที่เราก็มีเงินเยอะขนาดนี้แล้ว ผมคิดว่าการที่คนแปลกใจกับการใช้ชีวิตของผม เป็นเพราะว่าพวกเขากำลังเอาความสุขไปผูกอยู่กับการได้ใช้เงิน

        ซึ่งผมยังยืนยันเสมอว่าสิ่งที่ผมให้ความสำคัญเป็นอันดับหนึ่งในชีวิตคือความสุข ผมไม่ปฏิเสธการใช้เงิน แต่ผมอยากให้คนรู้ว่าเงินเป็นแค่ส่วนช่วยอำนวยความสะดวกให้เราเท่านั้น และความสุขบางอย่างไม่สามารถซื้อหาได้ด้วยเงินตรา เช่น การที่เราไปวิ่งในทุกๆ เย็นเป็นความสุขไหม เป็นสิ วิ่งเสร็จแล้วสมองโล่งเลย ทั้งๆ ที่เหนื่อย แต่มันมีความสุข ในทางกลับกัน ถ้าคุณเอาเงินไปซื้อเพชรมาเม็ดหนึ่ง มันคือความสุขตรงไหนกันล่ะ หรืออาจจะสุขได้แป๊บเดียว เดี๋ยวก็ลืมแล้ว ความสุขโดยส่วนใหญ่ของคนเรามันไม่ใช่อะไรที่เงินซื้อหามาได้หรอก

แล้วถ้าสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัวจะมีความสุขกับการใช้ชีวิตแบบหรูหราฟุ่มเฟือย คุณจะรู้สึกอย่างไร

        ผมรู้ตัวนะว่าเรามีความคิดที่ไม่ค่อยเหมือนคนอื่น แล้วลูกของผมก็เติบโตจนมีครอบครัวของเขาไปแล้ว วิธีการของผมคือแบ่งเงินให้ทุกคนเลย ตอนนี้ทุกคนมีพอร์ตใหญ่โตระดับพันล้านกันหมด แล้วเชื่อไหมว่าพอร์ตของผมยังเล็กกว่าพอร์ตของภรรยาด้วยซ้ำ (หัวเราะ) ผมไม่ใช่คนประเภทที่จะต้องเก็บเงินทั้งหมดไว้กับตัวเพื่อที่จะบอกว่า ทุกคนต้องประพฤติตัวให้เหมือนกับที่ผมต้องการ ใครไม่ทำตามคำสั่งจะไม่แบ่งเงินให้ใช้ นิสัยแบบนั้นไม่ใช่ผม  

        ผมเชื่อว่าทุกคนมีความคิดและมีความสามารถในการตัดสินใจต่อชีวิตของตัวเอง ดังนั้น คุณอยากทำอะไรก็เรื่องของคุณ ถ้าเขาอยากจะจับจ่ายฟุ่มเฟือยบ้างเพราะมันเป็นความสุขของเขา เราก็ไม่ว่าอะไร ผมคิดว่าการทำแบบนี้ยิ่งจะทำให้บ้านเรามีความสุขมากขึ้นด้วย

        สำหรับคนที่ใช้เงินเพื่อควบคุมให้ลูกเมียอยู่ในโอวาท ผมถามเถอะว่าคุณคิดว่าคุณควบคุมเขาได้จริงๆ เหรอ วันหนึ่งถ้าเขาทนไม่ไหวขึ้นมาเขาก็ไม่อยู่กับคุณหรอก ในชีวิตครอบครัวผมยึดหลักประชาธิปไตย โดยที่ภรรยามี 3 เสียง ลูกมี 2 เสียง ส่วนผมมี 1 เสียง ผมเรียกว่าเป็นประชาธิปไตยแบบภราดรภาพ (ยิ้ม) ทุกวันนี้เวลาจะเดินทางไปที่ไหนเราก็จะไปพร้อมกัน ด้วยการลงมติที่ผมมีแค่เสียงเดียวนี่แหละ เดี๋ยวอีกหน่อยพอหลานโตขึ้น อันดับของเราก็จะยิ่งลดลงไปเรื่อยๆ เราก็ไม่เห็นจะเป็นทุกข์ร้อนอะไร เขาอยากไปไหน เราก็ตามเขาไป อยากทำอะไร เราก็ทำไปตามเขา ชีวิตครอบครัวที่มีความสุขเกิดจากการที่เราตั้งค่าทุกอย่างไว้แบบนี้

เพราะการยกพอร์ตที่ใหญ่ที่สุดให้ภรรยาดูแลจะนำความสุขที่แท้จริงมาสู่ครอบครัวใช่ไหม

        (ยิ้ม) ในวันที่ผมเริ่มลงทุนเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว พอร์ตมันยังเล็กนิดเดียว ผมก็ให้เขาถือไปเลย เพราะว่าเราก็ไม่ได้ร่ำรวยอยู่แล้ว แถมยังทำงานประจำ เวลาจะเทรดหุ้นแต่ละครั้งก็ต้องเซ็นเอกสารจนรู้สึกว่ามันยุ่งยากไปหมด ผมก็เลยยกพอร์ตให้เขาไป ทีนี้พอร์ตมันก็เติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงวันหนึ่งที่มันโตมากๆ ผมเลยบอกว่าถึงเวลาต้องแบ่งแล้วนะ เราก็เลยได้กลับคืนมานิดหน่อย แล้วก็แบ่งให้ลูกด้วย จนตอนนี้เราทุกคนต่างมีพอร์ตเป็นของตัวเอง

        ถ้าย้อนกลับไปตอนที่เรายังไม่รวย ภรรยาของผมเขาไม่เคยคิดถึงเรื่องเงินทองเลย ซึ่งถ้าเขาคิดถึงเรื่องเงินเป็นหลักเขาคงไม่แต่งงานกับผม เพราะสมัยนั้นเราไม่มีอะไรเลย แต่เขายังพอมีฐานะ แล้วในเวลานั้นก็มีคนมากมายเข้ามาจีบเขา แถมยังรวยกว่าเราทั้งนั้น แต่เขาก็ยังเลือกเรา พอเรามีเงินขึ้นมาเราก็ยกให้เขาได้อยู่แล้ว ไม่เห็นจะเป็นอะไร เราอยู่กันด้วยเรื่องอื่นๆ ที่มีความสำคัญมากกว่าเงินทอง

‘เก็บเงินเอาไว้มากมาย สุดท้ายตายไปก็ไม่ได้ใช้’ คุณคิดอย่างไรกับประโยคนี้

        ผมรู้มานานแล้วว่าผมจะตายไปโดยที่ไม่ได้ใช้เงินที่เราหามาได้ทั้งหมด แต่คุณจะมองว่ามันเป็นเรื่องที่ดีหรือแย่ล่ะ มันถูกแล้วที่คนที่ประสบความสำเร็จมากๆ จะต้องไม่ได้ใช้เงิน ซึ่งถ้าเราไม่ค่อยประสบความสำเร็จสักเท่าไหร่เราจะได้ใช้เงิน แต่เราก็เคยจินตนาการแล้วว่าถ้าต้องใช้เงินวันละหนึ่งล้านบาท เรากลับจะเป็นทุกข์มากกว่าไง

        ทุกวันนี้ผมถือว่าถ้าวันไหนได้กินข้าวต้มแกล้มกับข้าวแบบโบราณ อาหารมื้อนั้นยังอร่อยกว่าการได้ไปกินในภัตตาคารเสียอีก วันที่เราได้ใส่เสื้อผ้าสบายๆ นั่งอยู่บ้านจิบเบียร์วันละสักกระป๋อง มันมีความสุขมากกว่าการแต่งตัวเนี้ยบๆ ไปจิบไวน์ในโรงแรมหรูๆ การที่คุณจะใช้ชีวิตที่มีความสุขมันไม่จำเป็นต้องมีเงินมากมาย ทุกวันนี้ผมใช้เงินโดยเฉลี่ยวันละไม่กี่ร้อยบาทเพราะไม่ค่อยได้ออกไปไหน แค่ออกไปวิ่งตอนเย็นเท่านั้น เวลากินข้าวเราก็กินนิดเดียว

        อีกคำถามที่ผมเจอบ่อยๆ คือมีเงินมากมายขนาดนี้แล้วทำไมยังลงทุนต่อ เฮ้ย เรื่องนี้ผมถือว่ามันอยู่ในยีนของคน คือคนเรามันต้องหาเพิ่มไปเรื่อยๆ เพราะยีนมันสั่งเรา การได้เงินเพิ่มขึ้นมันสร้างความสุขให้เรา ทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองประสบความสำเร็จ ความสุขแบบนี้มันลึกและมันหยุดไม่ได้ แล้วผมก็คิดว่าไม่จำเป็นต้องหยุด มีเงินไหลเข้ามาโดยที่ไม่ได้เดือดร้อนอะไร เราก็ทำไปเท่านั้นเอง คุณเคยเห็นชีวิตของเศรษฐีระดับแสนล้านหรือระดับล้านล้านไหมล่ะ ไม่ค่อยเห็นมีใครหยุดทำงานกันเลย

        คุณลองไปดู วอร์เรน บัฟเฟตต์ ตอนนี้เขาอายุ 80 กว่าปีแล้ว ความสุขของเขาคือการได้ออกไปทำงานทุกวัน เราก็เหมือนกัน เราคือคนที่มีความสุขจากการหาเงิน ไม่ใช่คนที่มีความสุขจากการใช้เงิน

 


ขอบคุณสถานที่: Renaissance Bangkok Ratchaprasong Hotel