นนท์ ธนนท์

นนท์ ธนนท์ | ตัวตนและบทเพลงจากคนที่ (อยาก) สมบูรณ์แบบ

ก่อนที่จะนั่งคุยอย่างจริงจังกับ ‘นนท์’ – ธนนท์ จำเริญ หรือหน้ากากเป็ดน้อย แชมป์จากรายการ The Mask Singer ซีซันล่าสุด คนนี้ เขาก็ออกตัวกับเราอย่างถ่อมตนว่า ตัวเองไม่ได้เป็นคนที่เลิศเลอหรือขาวใสอย่างที่หลายคนมองมา จริงๆ แล้วเขาเป็นคนที่สีเทาค่อนไปทางเข้มด้วยซ้ำ “ผมไม่ใช่คนเพอร์เฟ็กต์” เขาบอกกับเราเป็นระยะ ทั้งการเป็นเด็กติดเกมมาก่อน เคยเหนื่อยและท้อจนแทบอยากเอารางวัลทั้งหมดที่ได้มากลับไปคืน สภาพสังคมรวมถึงแรงกดดันที่คนอายุยี่สิบต้นๆ ต้องรับมือ ทั้งหมดกลายเป็นเชื้อไฟอย่างดีที่จะสุมให้ใครสักคนเตลิดไปกับความสำเร็จ ชื่อเสียง เงินทอง ที่หลั่งไหลเข้ามา และพาชีวิตให้ซวนเซอาจจะถึงขั้นเป๋ออกนอกลู่นอกทาง

     แต่เพราะความอบอุ่นของครอบครัว และการมองโลกอย่างเข้าใจ ทำให้เขาเติบโต และพัฒนาสกิลการร้องเพลงได้ดีขึ้นแบบก้าวกระโดด ‘ฝืนตัวเองไม่เป็น’ เป็นซิงเกิลที่ติดอยู่ในชาร์ตเพลงฮิตนานร่วมปี ส่วน ‘มีผลต่อหัวใจ’ เพลงล่าสุดที่ปล่อยออกมาก็กำลังทำยอดวิวอย่างดีวันดีคืน รวมไปถึงงานในแขนงต่างๆ ที่เจ้าตัวได้รับความไว้วางใจให้เข้าไปลอง ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากความคิดที่ว่าตัวเองไม่สมบูรณ์แบบ และต้องพัฒนาศักยภาพให้ดีขึ้นในทุกวัน

     ซึ่งเขาได้พิสูจน์ให้เห็นในการขึ้นครองตำแหน่ง Double Champ คนแรกของรายการเพลงที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของประเทศไทยในยุคนี้ เมื่อคุณอ่านบทสัมภาษณ์ถึงมุมมอง ความคิด และการเรียนรู้ชีวิตของ นนท์ ธนนท์ จบแล้ว หากอยากสัมผัสกับความ ‘เสียงจริง ตัวจริง’ อย่างใกล้ชิด ในวันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน นี้ เขาจะมีคอนเสิร์ต I AM NONT TANONT ขึ้นที่สกาลา เธียร์เตอร์ ถ้าสนใจอยากรู้จักตัวตนของเด็กหนุ่มที่ความคิดโตเกินตัวคนนี้ เข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ www.pantherentertainment.net

 

นนท์ ธนนท์

 

คุณมองภาพรวมของสังคมในตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง รู้สึกวิตกกับอะไรบ้างไหม

     สิ่งที่ผมกลัวที่สุดคือสังคม คือมนุษย์ด้วยกันเองนี่แหละ ทัศนคติของมนุษย์ทุกวันนี้ ด้วยความที่โลกในปัจจุบันมันเป็นดั่งใจเราไปหมด ทุกอย่างง่ายและรออะไรไม่ได้ ในขณะเดียวกัน คนทำงานน้อยลง แต่คนวิจารณ์มากขึ้น คนในปัจจุบันทำให้สภาพสังคมเป็นแบบ ‘ปากว่าตาขยิบ’ ผมเรียนรู้มากับตัว ซึ่งมองว่าวันหนึ่งผมก็ต้องโดนแบบนั้น เพราะผมก็ไม่ใช่คนดี ชีวิตอยู่บนพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ ไม่ได้พยายามเป็นคนดีหรือเป็นแบบอย่างมาก ผมมักจะบอกน้องๆ ที่เขาเอาเราเป็นแบบอย่างเสมอ ว่าเอาผมเป็นแบบอย่างได้ แต่เอาไปแค่เรื่องดี เพราะผมก็มีเรื่องไม่ดีที่คุณไม่ควรเอาไป สิ่งไหนดีเอาไปใช้ สิ่งไหนไม่ดีกองไว้ที่เรา

     สำหรับผม มนุษย์ทุกคนมีมุมมองที่ดีกันทั้งนั้น และผมมาถึงจุดนี้ได้เพราะตัวเองมองมุมดีของอาชีพศิลปิน มีไอดอลของเรา ผมยึดตามแบบอย่างที่ดีของเขา แต่บางอย่างมันไม่ใช่เรื่องที่ต้องทำ เราก็ไม่ทำ ซึ่งก็ไม่ได้แปลว่าเขาเป็นคนแย่นะ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องทำตามไปทั้งหมด คนเรามีเรื่องเทาๆ ด้วยกันทั้งนั้น มันเป็นสิ่งที่เอาไว้ก็ได้หรือไม่เอาไว้ก็ได้ ผมก็เลือกที่จะวางไว้ สิ่งไหนที่ขาวสะอาดก็ยึดเอามาพัฒนาตัวเอง ซึ่งผมบอกคนอื่นอย่างนั้นเสมอเหมือนกัน ดังนั้น สิ่งที่ผมกลัวที่สุดคือสังคม

ตอนนี้เราตัดสินคนอื่นง่ายมาก ในขณะเดียวกันมนุษย์ก็เปราะบางมากเช่นกัน

ความเปราะบางที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเทคโนโลยีที่ทำให้มนุษย์เริ่มตัดขาดจากกันเรื่อยๆ เหมือนที่คุณพูดไว้เมื่อกี้หรือเปล่า

     อย่างที่บอก เทคโนโลยีไม่ผิด เทคโนโลยีสร้างขึ้นมาเพื่อให้มนุษย์ใช้ มนุษย์ต่างหากที่ใช้ผิดหรืออาจจะใช้มันมากเกินไป ท้ายที่สุด based on ตัวเราเอง มนุษย์มีศักยภาพของตัวเอง ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ผมเชื่อมาตลอด ผมพัฒนาศักยภาพของตัวเอง เพราะผมเชื่อว่าตัวเองทำได้ ผมไม่ใช้ออโต้จูน (โปรแกรมปรับเสียงร้องให้ตรงคีย์) ในการทำเพลง เพราะมองว่าเทคโนโลยีช่วยเราเพียงได้ชั่วคราว แต่ถ้าตัวเราเองจริงๆ ไม่ได้พัฒนา เมื่อเทคโนโลยีพัง ใครจะทำให้งานให้เราล่ะ ก็เหลือแต่ตัวเราเท่านั้น

     ผมเลยมองว่ามนุษย์ต่างหากที่ต้องรับผิดชอบทุกอย่าง ทุกๆ อย่าง เทคโนโลยีไม่ใช่ เทคโนโลยีเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อหวังดีต่อมนุษย์ด้วยกันเอง แต่มนุษย์ต่างหากที่ไม่ได้หวังดีต่อกัน ใช้เทคโนโลยีในทางที่ผิด ชีวิตจึงเปราะบาง ทั้งที่ความจริงเราทำตัวเองหรือสังคมทำกันเองทั้งนั้น

 

การที่เราจะอยู่ร่วมกับสังคมไปกับความเปราะบางเหล่านี้ เราจะทำตัวให้กลมกลืนแล้วไหลไปกับเรื่องที่น่าปวดหัวเหล่านี้ได้อย่างไร

     เดินตามได้ ว่ายตามได้ แต่อย่าปล่อยให้มันนำทางเราไป อาจจะไม่ต้องถึงกับใช้ชีวิตแบบว่ายทวนน้ำ มันก็แล้วแต่จังหวะด้วย เหมือนที่คนรุ่นพ่อแม่เราสอนเรา ถ้าน้ำเชี่ยวก็อย่าเอาเรือขวาง ความจริงชีวิตเป็นอย่างนี้มาตลอด ไม่อย่างนั้นเราก็จะตายเอง ถ้าเราไปขวางในจังหวะน้ำเชี่ยว ถ้ารอจนน้ำนิ่งหรือจังหวะที่เราพอไปได้ เราก็ค่อยไป ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องหยุดหรือตามกระแสน้ำตลอด เหมือนกันที่ผ่านมาผมพยายามพัฒนาตัวเอง เพราะผมเห็นศิลปินหลายๆ คนที่เข้ามาในวงการบันเทิง บางคนเข้ามาไม่กี่ปีก็หมดไฟแล้ว ติดอยู่กับที่ บอกว่าทำงานเดิมๆ ก็ไม่เห็นว่าจะประสบความสำเร็จสักที

 

 

นนท์ ธนนท์

 

คุณคาดหวังกับความสำเร็จในทุกสิ่งที่ทำแค่ไหน

     ผมเคยเป็นคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอย่างคาดหวังผลลัพธ์ เคยคิดว่าถ้าวันนี้ต้องเจอกับคนที่ทำงานเก่งๆ แล้วเราจะไหวไหม เราจะทำอย่างไร เขาจะประทับใจในตัวเราไหม จนสุดท้ายผมมองว่าทุกอย่างอยู่ที่จุดเริ่มต้น ถ้าเราไปเจอเขาด้วยทัศนคติที่ดี เขาจะรู้สึกได้เอง

     คุณเคยรู้สึกแบบนี้ไหม คนที่รูปลักษณ์ภายนอกที่เราไม่ชอบเลย ไม่ได้สวย หล่อ แต่พอนั่งคุยกัน 5 นาทีแล้วรู้สึกว่าเขาเป็นคนดีนะ มีเสน่ห์บางอย่างอยู่ ในขณะเดียวกันคนที่เราคุยด้วยเขาก็ไม่ได้ตามืดบอดถึงขนาดที่จะไม่เห็นด้านดีของเรา ผมเลยเชื่อในจุดเริ่มต้นมากกว่าเส้นชัยหรือปลายทางผลลัพธ์ในอนาคต

     ถ้าจุดเริ่มต้นดีก็เหมือนเราปรุงอาหารด้วยวัตถุดิบที่ดี ทำไมเมนูเราจะไม่ดีล่ะ ต่อให้เราปรุงไม่อร่อย แต่วัตถุดิบเราสดจริง คนก็จะรับรู้ว่าอย่างน้อยที่สุดมันก็สดจริง ผมคิดแค่นี้เลย เพราะผมยังเด็ก ผมไม่มีประสบการณ์ชีวิตมาก ก็เลยเอาเท่านี้ก่อน

 

คุณมองว่าตัวเองยังเด็กอยู่ แล้วเคยมองไหมว่าตัวเองในอนาคตตอนที่อายุสัก 30 ปีแล้วจะเป็นคนยังไง

     คงเป็นขี้บ่นครับ (หัวเราะ) คงเป็นคนที่ขี้บ่นมาก บ่นได้ทุกเรื่อง สิ่งไหนวางไม่เหมือนเดิมก็บ่น ด้วยความที่ครอบครัวเรามีบรรยากาศของความเป็นครู ทำให้เราติดนิสัยของครูมา ซึ่งปกติแล้วคุณครูก็จะบ่นกับนักเรียน บ่นกับผมตลอด ซึ่งตอนเด็กๆ ก็คิดว่าครูทำไมขี้บ่นจัง (หัวเราะ) แต่พอโตมาเรากลับเป็นเหมือนเขา ซึ่งเรื่องนิสัยขี้บ่นก็คงต้องปรับเหมือนกัน เพราะผมเองก็มีเรื่องที่ไม่พอดีเหมือนกัน ดังนั้นเราก็ต้องแก้มันไป

 

เพราะความ perfectionist มากเกินไปหรือเปล่า

     อาจจะส่วนหนึ่ง แต่ผมไม่ชอบเลยนะ เพราะ perfectionism ทำให้ใช้ชีวิตลำบาก การที่เราทำทุกอย่างให้สมบูรณ์แบบมากเกินนั้นทำให้อยู่ยาก เหมือนกับการที่ผมไม่ชอบนั่งเครื่องบิน เรื่องการกลัวที่แคบก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่อีกเรื่องคือ ถ้าผมเห็นตัวล็อกโต๊ะพับที่อยู่ข้างหน้ามันบิดลงมาไม่ตรงล็อก ผมจะนอนหลับไม่ได้เลยนะ (หัวเราะ) มีอยู่ครั้งหนึ่งที่นั่งอยู่แล้วคนที่นั่งตรงกลางเขาบิดที่ล็อกโต๊ะไว้ไม่ตรง ผมก็อยากจะเอื้อมมือไปบิดมันให้ตรงเหลือเกิน แต่ก็กลัวเขาจะมองว่ามึงเป็นอะไรของมึง (หัวเราะ) ผมต้องรอจนเขาหลับ ซึ่งเขาก็หลับช้าด้วย เครื่องบินไปสักพักใหญ่เขาถึงจะเริ่มเอนลง ผมก็รอเขาหลับตา แล้วปรับให้มันตรง ผู้จัดการชะโงกมาถามว่าเป็นอะไรนนท์ (หัวเราะ) แต่เราแค่อยากให้ตัวล็อกอยู่ถูกที่ของมัน ในที่ที่มันควรอยู่ ถ้าคนเรียก perfectionist ก็บอกไว้ว่าผมไม่ได้อยากเป็น เพราะผมรู้สึกว่ามนุษย์จริงๆ มันไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่ความอยากสมบูรณ์แบบ อาจจะช่วยทำให้มนุษย์สมบูรณ์แบบมากขึ้น

 

นนท์ ธนนท์

 

ถ้าเป็นเรื่องของการทำงานล่ะ คุณยอมให้ตัวเองไม่สมบูรณ์แบบได้แค่ไหน

     ยอมไม่ได้ ผมรู้สึกว่าตัวเองตอนนี้ อายุเท่านี้ ศักยภาพที่มี ผมทำให้มันสมบูรณ์สัก 90% ได้ ถ้ามันเต็ม 100 ถ้าทำได้ 80 ผมก็ยังพอจะโอเคอยู่ แต่ถ้ามันน้อยกว่านี้ขณะที่มึงรู้ตัวว่ามึงทำได้ดีกว่านี้นี่นา เท่ากับมึงทรยศคนที่ซื้อบัตรมาดูแล้วนะ มึงหักหลังเขา หักหลังคนที่นั่งรถไกลๆ มาเพื่อดูมึงร้องเพลง มืออาชีพต้องซื่อสัตย์กับตัวเอง และซื่อสัตย์ต่อคนอื่น

     ผมมองว่าศิลปินจริงๆ ไม่ใช่แค่ร้องเพลงให้คนฟัง บางคนชอบจากตัวตนของเราก็มี ซึ่งผมโชคดีที่ผมได้เข้าวงการอย่างเป็นตัวตนของผมอย่างเต็มที่ แล้วเขารักเราในแบบที่เราเป็นจริงๆ ซึ่งตัวตนของผมไม่ใช่คนที่ทำงานแบบสุกเอาเผากินหรือมักง่าย การทรยศตัวเองเป็นเรื่องรุนแรงที่สุดสำหรับผม ไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ ทำแล้วผมจะเอาการต่อยอดมาจากไหน ในทางกลับกัน ถ้าคุณทำงานดี มี 10 ก็ให้ 10 เอาต่อยอดได้ ถึงวันหนึ่งเราเจอคนที่มีแค่ 9 แล้วอีก 10 ของเราจะไปช่วยเติมเต็มให้เขา และในท้ายที่สุด การทำงานเต็มที่ ตัวงานจะต่อยอดด้วยตัวมันเอง แล้วเราจะไม่ต้องเหนื่อยซ้ำสอง ผมเลยคิดว่าการทำให้ดีไปเลย ง่ายกว่าการทำผ่านๆ แล้วค่อยตามไปแก้ไข ซึ่งเราก็เจอหลายๆ คนหรือศิลปิน หรือคนทำงานในวงการที่หมดไฟแล้วก็ทำผ่านๆ ทำแค่นี้พอ แต่ในขณะเดียวกัน หวังรอวันพรุ่งนี้ที่ดีกว่า แต่ปัจจุบันตัวเองไม่ได้ทำให้ดีไว้ก่อน

 

คุยกับคุณวันนี้ เราพบว่าเพลง ‘ฝืนใจตัวเองไม่เป็น’ และ ‘มีผลต่อหัวใจ’ มันสะท้อนตัวตนของคุณออกมาอย่างเต็มที่ มันสะท้อนความไม่สมบูรณ์และความมุ่งมั่นที่จะไปสู่ความสมบูรณ์แบบให้ได้ ทั้งสองเพลงนี้จึงจับใจคนฟัง

     ใช่ครับ นี่คือที่มาว่าทำไมเพลงของผมถึงเป็นแบบนี้ มันจะมีความละเอียดอ่อนอยู่เสมอๆ เพลงของผมถ้าจะให้จัดเป็นหมวดหมู่ชัดเจน ว่าเพลงนี้คือแนวอะไร มันตอบยากนะ ตอนอัดเสียงก็คุยๆ กับโปรดิวเซอร์ ถามว่ามันคือเพลงอะไร เขาก็ตอบไม่ถูกเหมือนกัน เพราะเพลงถูกผสมไปหมด ทั้ง pop-modern, old school, Soul, R&B ผมว่าถ้าใกล้สุดคงเป็น R&B แต่ถามว่า ด้วยความที่เพลงไม่ได้เป็นแบบใดแบบหนึ่งอย่างชัดเจน บางทีก็เป็นสิ่งที่บอกถึงตัวตนที่ชัดเจนที่สุดของเรา คือความไม่ใช่ชัดเจน เหมือนการเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ที่สุด เพราะเขามีความไม่สมบูรณ์นั่นเอง

     ล่าสุด เพลง ‘ฝืนตัวเองไม่เป็น’ ติดชาร์ตอยู่ถึง 50 สัปดาห์ นั่นคือตลอดทั้งปี แล้วก็ขึ้นอันดับหนึ่งยาวนาน รวมไปถึงเพิ่งได้รางวัลไป ถ้าเรายึดแต่คอมฟอร์ตโซน คือทำแต่เพลงพ็อพไปเหมือนเดิม เพราะคิดว่ามันขายได้ แต่รู้ไหมว่าเราขายวิญญาณตัวเองไปด้วย มีคนเรียกศิลปินแบบนั้นว่า self out คือกลัวขายงานไม่ได้จนลืมจุดยืนของตัวเอง เราอยู่ในจุดยืนเราได้ แต่ในแง่ของเพลงก็มีเรื่องของธุรกิจเข้ามา นักแต่งเพลงถ้าเราไม่ให้เงินเขา เขาจะเอาอะไรไปเลี้ยงลูกเมีย ถ้าเราไม่รณรงค์ให้คนฟังดาวน์โหลดเพลงอย่างถูกกฎหมาย ซึ่งรายได้นี้จะได้ส่งไปถึงคนเบื้องหลัง เขาจะมีเงินไปต่อยอดไปเลี้ยงดูตัวเอง ครอบครัว คนที่เขารัก และเขาจะได้มีกำลังใจว่างานนี้มันเลี้ยงชีพเขาได้ เขาก็อยากจะทำให้มันดีขึ้น ส่วนเพลงเพลงมีผลต่อหัวใจ นั้นก็ชัดเจนขึ้นว่าผมก็ทำเพลงจากตัวตนของผมนี่แหละ โดยผมจะคนละครึ่งทางกับคนฟังว่าอยากฟังเพลงแนวไหนด้วยประมาณหนึ่ง เพลงที่เราอยากทำด้วยประมาณหนึ่ง เอาทั้งสองอย่างมาเจอกัน แล้วก็หารกัน

 

 

ตอนเริ่มต้นเป็นเด็กหน้าใหม่ ทั้งๆ ที่ยังไม่เห็นยอดเขา แต่คุณกลับมีแรงฮึดที่จะปีนขึ้นไป แรงผลักดันเหล่านั้นมาจากไหนบ้าง

     มองย้อนกลับไปสมัยก่อน เวลาผมร้องเพลงแล้วคนดูมีความสุข นั่นคือความสำเร็จของผมแล้วละ แต่ก็ยังไม่เท่ากับการทำเพื่อคนที่สำคัญที่สุดของตัวเอง คือพ่อกับแม่ พวกท่านสนับสนุนผมมาตลอด 17 ปี ท่านทั้งสองก็เหนื่อยมากเหมือนกัน แล้วจะให้ผมหยุดเดิน ปล่อยให้พวกเขาแบกขึ้นไปที่ยอดเขาอย่างนั้นเหรอ ดูเหมือนเป็นคนเนรคุณเกินไปหรือเปล่า

     แต่ผมก็ไม่ได้ว่าตัวเองเป็นเด็กกตัญญูอะไรขนาดนั้นนะ เพราะในท้ายสุด เราต้องเจอเป้าหมายของตัวเอง และมีชีวิตในแบบของตัวเอง ผมเข้ามาทำงานในวงการบันเทิงไม่ใช่เพราะอยากดัง แต่เพราะอยากเป็นที่ดี มีคุณภาพมากขึ้นไปเรื่อยๆ เมื่อเข้ามาทำงานในวงการนี้แล้ว สิ่งที่ได้รับมามากมาย ก็ต้องคืนกลับไปให้มากที่สุดเช่นกัน การคืนกลับไปในที่นี้คือ การใช้ชื่อเสียงของตัวเองที่คนอื่นมอบให้ เอาไปต่อยอด เอาไปช่วยเหลือคนอื่น และทำงานให้ดีมีคุณภาพ เพราะถึงวันหนึ่ง เราก็ต้องเดินออกไปจากวงการบันเทิงไป ซึ่งเรื่องนี้เป็นสัจธรรมอยู่แล้ว ผมคงไม่ร้องเพลงไปจนตัวเองอายุ 60 หรอก แต่อยากทำงานให้ดี มีคุณภาพไปนานเท่าที่จะทำได้

     เมื่อถึงวันที่ผมไม่สามารถทำงานได้แล้ว ผมก็อยากจะส่งไม้ต่อให้เด็กรุ่นใหม่ ให้พวกเขาสร้างงานที่มีคุณภาพมากกว่าที่ผมเคยทำได้ เพื่อที่จะยกมาตรฐานของสังคมนี้ให้มากขึ้น เพราะท้ายที่สุด คนฟังหรือคนดูก็จะได้เสพงานที่ดีและมีคุณภาพมากขึ้น ผมมองว่านี่คือสิ่งที่เราจะให้ได้ ก็เลยตั้งใจทำงานให้ดีที่สุด ทุกวันนี้ก็พยายามฝึกฝนตัวเอง แม้คนจะมองว่าผมเป็นแชมป์แล้ว หรือเรียกผมว่าเป็นศิลปินแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องหยุด เพราะทุกอย่างที่คนยื่นให้เป็นสิ่งจับต้องไม่ได้ สิ่งที่จับต้องได้คือ ‘นนท์ ธนนท์’ คนนี้ เมื่อถึงวันที่ผมเดินออกไป ผมจะมีความสุข ผมตายได้เลยเพราะรู้สึกผมแฮปปี้แล้ว ในฐานะของมนุษย์คนหนึ่งที่คืนอะไรบางอย่างให้กับคนอื่น ถือว่าชีวิตนี้เขาทำสำเร็จแล้ว