นพพันธ์ บุญใหญ่

นพพันธ์ บุญใหญ่ | เวลามีอิทธิพลก็ต่อเมื่อเราจำนนต่ออำนาจ เหมือนกับการอนุญาตให้เงินเป็นพระเจ้า

เวลามีค่ากับคุณมากแค่ไหน?

เมื่อเราเติบโตมาถึงช่วงวัยหนึ่ง คำถามเชิงนามธรรมเช่นนี้มักจะเป็นคำถามที่เราเฝ้าคิดและใคร่ครวญกับตัวเองเพื่อค้นหาคำตอบมายืนยันความหมายของการมีชีวิตอยู่

     ก่อนหน้านี้เราเพิ่งได้อ่าน The Cult of Monte Cristo นวนิยายดัดแปลงจากบทละครเวทีในชื่อเดียวกัน ผลงานของ ‘อ้น’ – นพพันธ์ บุญใหญ่ เรารู้สึกอย่างชัดเจนว่า ‘เวลา’ คือประเด็นหลักสำคัญของเรื่อง มันจัดกรอบและกำกับความเป็นไปของทุกสรรพสิ่ง ไม่ใช่แค่เนื้อเรื่องในเล่มนั้น แต่ยังสะท้อนมาถึงชีวิตจริงของเราที่เป็นอยู่ และนี่คือจุดเริ่มต้นที่นำพาเรามาพบกับเขา เพื่อสนทนากันถึงเรื่องเวลา

     ทำไมเวลาถึงเข้ามามีบทบาทในผลงานของคุณ? — เราถามด้วยความใคร่รู้

     การที่คนคนหนึ่งจะให้ความสำคัญกับสิ่งใดนั้น น่าจะขึ้นอยู่กับเหตุผลหลักๆ อยู่สองข้อคือ ถ้าไม่ได้เป็นเพราะหน้าที่และความรับผิดชอบ ก็คงเป็นเพราะเคยมีประสบการณ์บางอย่างที่สร้างการเปลี่ยนแปลงให้ชีวิตจนต้องหันมาให้ความสำคัญกับมันอย่างจริงจัง

     “ในมุมมองของตัวละคร ซึ่งเป็นผู้ชายที่ผลาญเวลาไปกับความดาษดื่น ชีวิตสมรสที่ไม่นำพาไปไหน โดยเฉพาะทางด้านจิตวิญญาณ เวลาเลยถูกเลือกมาเป็นประเด็นหลัก” เขาตอบ

     จากที่เคยใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ตั้งแต่อายุ 9 ขวบ เขาคนเดียวกันในวัย 24 ปี ตัดสินใจกลับมาอยู่ประเทศไทยอีกครั้ง จนได้เป็นทั้งนักแสดง ผู้กำกับละครเวที และนักเขียน บางที ‘จังหวะของเวลา’ ในชีวิตอาจเป็นสิ่งที่สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับเขา รวมถึงเราทุกคน
ถ้าโลกคือโรงละคร และเราทุกคนคือนักแสดง จังหวะของเวลาในนวนิยาย วรรณกรรม หรือละครอื่นใดที่เรารู้สึกได้ ก็คงไม่แตกต่างจากจังหวะเวลาในชีวิตจริงที่เป็นอยู่ตอนนี้

     การสนทนาเริ่มต้นในช่วงบ่ายของวัน เราต่างใช้เวลาทั้งหมดที่มีพยายามค้นหาความหมายและคุณค่าของเวลาที่มีผลต่อชีวิต ไม่มีใครรู้ว่าเวลาในตอนนั้นผ่านไปนานเท่าไร จนกระทั่งแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า การสนทนาจบลงที่ตรงนั้น เหลือคงไว้เพียงคำตอบชวนขบคิดต่อ 

     ถ้าทุกสิ่งต้องใช้เวลาเพื่อที่เราจะเข้าใจความเป็นไปของมัน กาลเวลาเองก็อาจไม่ต่างกันในเรื่องนี้ หลังจากที่คุณได้อ่านบทสัมภาษณ์ คุณอาจจะพบคำตอบที่ว่า เวลามีค่ากับคุณมากแค่ไหน? หรืออาจจะยังไม่พบคำตอบใดๆ เลยก็ได้ แต่เชื่อเถอะว่าไม่ช้าก็เร็ว วันหนึ่งคุณจะเข้าใจ

     ถึงตรงนี้ อย่างน้อยที่สุดบทสรุปที่เราได้จากการให้ตัวเองหมกมุ่นและครุ่นคิดถึงเวลา อาจไม่ได้อยู่ที่ว่า ความสำคัญหรือคุณค่าของมันคืออะไร แต่เป็นเรื่องของเรามากกว่าว่าจะสร้างความหมายและคุณค่าให้กับห้วงเวลานั้นไว้อย่างไร และกับใคร ก่อนที่กาลเวลาจะพาทุกอย่างผ่านเลยไป และไม่เคยหวนกลับมาอีก

 

นพพันธ์ บุญใหญ่

 

ดูเหมือนว่าการสร้างสรรค์งานของคุณ ไม่ว่าจะเป็นละครเวทีหรือนวนิยาย ทั้งหมดนี้เกิดจากการทำงานกับเวลา

     ในการทำงาน เวลาเป็นตัวกำหนดทุกอย่าง ต้องเขียนบทให้เสร็จเมื่อไหร่ ต้องซ้อม ต้องพร้อมแสดงเมื่อไหร่ พีอาร์นานพอหรือยัง แม้กระทั่งระยะเวลาของการแสดง ยาวหรือสั้นเกินไปหรือเปล่า ทุกอย่างมีผลหมด แก่นของการเล่าเรื่องทุกอย่างก็คือเวลา เรียกว่าจังหวะการเล่าเรื่อง ซึ่งสำคัญมากคือ timing ถ้านานไปก็เรื่องอืด ถ้าสั้นไปอารมณ์คนดูก็ไม่ฟิน ถ้าแสดงแล้วไม่ลงจังหวะก็ขัดใจ มาช้าก็พลาด ชีวิตคนเราก็เหมือนกัน มันต้องมีจังหวะที่ดีในการใช้ชีวิต

     ทุกคนพอยิ่งอายุมากขึ้นเรายิ่งเห็นค่าของเวลา แต่การจะใช้เวลาให้มีประโยชน์ เราว่าคนเราต้องมีประสิทธิภาพก่อน คือต้องมีวินัยและต้องคำนึงถึงคนอื่นด้วย เพราะตัวเรามักจะทำให้คนอื่นเสียเวลาโดยไม่รู้ตัว เช่น ยืนขวางทางคนบนบันไดเลื่อนจนทำให้เขาพลาดรถไฟฟ้า หรือคุณไม่เก็บรถเข็นหลังไปช้อปปิ้ง ปล่อยทิ้งให้ขวางรถคนอื่น เขาก็ผลักต่อไปขวางคนอื่น และคนอื่นก็ผลักต่อ หรือการรอ ชีวิตของเราถูกทำให้เป็นฝ่ายรอบ่อยมาก โดยเฉพาะตอนเด็กๆ ประมาณเก้าขวบ แม่ชอบพาไปช้อปปิ้งด้วย แต่เราจะได้นั่งรออยู่ในรถซึ่งนานมาก แล้วมันทำอะไรไม่ได้นอกจากรออย่างเดียว หลายครั้งที่เราบ่นกับแม่ว่าทำไมต้องให้รอ มีประโยคหนึ่งที่แม่พูดกับเราซึ่งเราจำได้แม่นว่า ‘บางคนเขารอทั้งชีวิตเลยนะ อ้น’ นึกแล้วรู้สึกเจ็บ แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นความเจ็บสำหรับใคร บางทีคนเราต้องรู้จักรับผิดชอบต่อเวลาคนอื่น ถ้าบาปมีจริง นี่แหละที่เป็นบาป การรอเป็นสิ่งที่ทรมานมากสำหรับคนที่ไม่มีทางเลือก เพราะนั่นหมายถึงชีวิตนี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะต้องรอไปถึงเมื่อไหร่

 

แล้วคุณคิดอย่างไรกับคำกล่าวที่ว่า ‘ฆ่าเวลาบาปไม่น้อยกว่าฆ่าคน’

     เราคิดว่าจะไปเปรียบเทียบตรงๆ แบบนั้นไม่ได้ แต่ที่มีพระพูดอย่างนั้นเข้าใจว่าต้องการเปรียบเทียบเชิงสุภาษิตให้เห็นความสำคัญและคุณค่าของเวลา ถามว่าเข้าใจสิ่งที่พระต้องการสื่อสารไหม เราเข้าใจนะ แต่การตีความเกี่ยวกับเวลาเป็นเรื่องค่อนข้างส่วนตัวมากกว่า เพราะเวลาคือสิ่งสมมติที่ไม่มีอยู่จริง แต่ชีวิตทุกคนกลับมีเวลาเป็นตัวกำหนด อาจฟังดูย้อนแย้งแต่เวลาเป็นของมันแบบนั้นแหละ เราเลยไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่กับการเปรียบเทียบเวลาทำนองนั้น

     และถ้าฆ่าเวลาหมายถึงการบริหารเวลา ก็แล้วแต่คน แต่เรามักจะแสวงหาทางเลือกให้ชีวิตเสมอ เราไม่มีทางที่จะเอาตัวเองไปรอคอยอะไรหรือใครอีก การวางแผนทำให้เราไม่ต้องกังวลกับการรอ เรารู้ว่าการบริหารเวลาเป็นเรื่องสำคัญและไม่ใช่สิ่งที่ง่าย ถ้าทำได้ก็จะเป็นคนที่มีประสิทธิภาพ หลายคนทำได้ปกติ หลายคนพยายามทำ แต่เรากลับรู้สึกชอบและสนใจสิ่งรอบตัวไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจออะไรบางอย่าง เช่น วาดภาพ ถ่ายรูป ซึ่งเป็นสิ่งที่เราทำได้เป็นวันๆ แบบไม่สนใจโลกเลย เราพยายามลดทอนสิ่งไม่จำเป็นกับชีวิตออกไปให้เยอะที่สุด ทำให้ไม่ต้องมาคอยจัดการหรือบริหารเวลา ซึ่งค่อนข้างเหมาะกับชีวิตฟรีแลนซ์ตอนนี้

     แต่ถ้าทำละครก็ต้องบริหารเวลาอยู่ดี เพราะในการทำงานทุกขั้นตอนมีเวลาเป็นตัวกำหนดอย่างที่บอกไป สุดท้ายการใช้ชีวิตก็คือการบริหารเวลา เป็นทักษะที่ทำให้ชีวิตมีประสิทธิภาพ อย่างการนั่งคุยกันตอนนี้ คุณเองก็มีเวลาจำกัด คุณต้องมีทักษะบริหารเวลาให้ได้ครบประเด็น นี่คือการอยู่กับเวลา เราทุกคนมีเวลาเป็นตัวกำหนด

 

คุณพูดถึงจังหวะในการเล่าเรื่อง คุณคิดว่าชีวิตคนเราควรมีจังหวะอย่างไร

     ทุกคนมีเวลาเท่ากัน แต่ทุกคนมีจังหวะไม่เท่ากัน จะขึ้นหรือลงก็แตกต่างกันไป คนประสบความสำเร็จเร็ว มันเป็นจังหวะของเขา มันไม่ใช่ธรรมชาติของมนุษย์ทุกคน และไม่ใช่การเปรียบเทียบว่าเขามีแล้วเราต้องมี ถามตัวเองก่อน ทำอะไรแล้วมันดี ทำอะไรแล้วรุ่ง ทำสิ่งที่เรามีแรงขับ ทำไปเพื่ออะไร เพื่อใคร เพื่อรวยอย่างเดียวหรอ แต่อาจจะได้ เอาเงินไปซื้อเพื่อน ซื้อของ ซื้อใจคน ใครบอกว่าเงินซื้อความสุขไม่ได้ ประเด็นคือเราไม่ควรอยู่นิ่ง ชีวิตและเวลามันไม่ได้บงการเรา อยู่ที่เราจะไปค้นหาหรือเปล่ามากกว่า จะไปทางไหน จะอยู่ยังไง ใช้เวลายังไง ทั้งเวลาที่เรามีและเวลาที่เขาให้มา เพราะฉะนั้น จังหวะของชีวิตหรือการเปลี่ยนแปลงบางครั้งเกิดขึ้นเพราะเราไม่ได้เลือกด้วยซ้ำ

 

เราไม่ได้เป็นคนที่มีอุดมการณ์ว่าต้องออกไปใช้ชีวิตให้คุ้มค่าห่าเหวอะไร ต้องมองชีวิตที่จริงที่สุด เราเป็นคนแบบนั้น จะให้มุ่งมั่นอยากฝ่าฟันไปสู่ความฝันเราไม่ทำ ชีวิตมีแค่ว่าต้องทำอะไรบ้าง มากขนาดไหน แล้วมันจะถูกทำเมื่อไหร่

 

     ถามว่าอีก 5 ปีข้างหน้าจะเป็นอะไร แบบนี้เราคิดไว้คร่าวๆ นะ เพื่อเป็นทางให้ตัวเองเดินไป เหมือนตอนที่อยู่อังกฤษมา 13 ปี แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเราเลย พอได้ย้ายมาอยู่ไทยแค่ 3 ปี มีหลายอย่างเกิดขึ้นเยอะมาก เราคิดว่ามันเกี่ยวข้องกับจังหวะชีวิต เพราะบางสิ่งบางอย่างต้องใช้เวลานานเหมือนกันกว่าจะรู้ตัว เราไปเร่งไม่ได้ ในเรื่องเวลาเราไม่สามารถเอาใครไปเทียบกับใครได้ ทุกคนมีจังหวะของตัวเอง ใช้ใจอยู่กับสิ่งที่ทำ อย่าไปมัวเสียเวลาเคร่งเครียดว่าทำไมตัวเองถึงไม่มีอย่างคนอื่น ดูว่าตอนนี้ตัวเองมีอะไรดีกว่า แล้วใช้มันทำให้ตัวเองมีความสุขดี

 

แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าชีวิตจะต้องดำเนินไปสู่เป้าหมายอะไรสักอย่าง แล้วพอมีเวลาจำกัด มันก็บีบให้เราต้องเร่งรีบ แข่งขัน และเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น

     มันมีเทรนด์ young billionaires อายุน้อยร้อยล้าน ได้เกษียณตั้งแต่อายุยังน้อยๆ รวยเร็ว หรืออะไรก็แล้วแต่ แล้วคุณต้องทำแบบนี้ๆ นะ แต่มันไม่ใช่สำหรับทุกคนไง อย่างที่บอกตอนแรกว่าจังหวะเวลาของเราไม่เท่ากัน อย่าให้คนอื่นมาบอกคุณว่าต้องเป็นยังไง ก็เหมือนกับอยู่ดีๆ คนอื่นเขาเล่นบาสเก่ง คุณต้องเล่นบาสเก่งด้วยหรอ แล้วถ้าไม่ชอบบาสล่ะ มันไม่ใช่ เราคิดว่าเรื่องแบบนี้ที่สังคมเน้นย้ำการประสบความสำเร็จเร็วๆ มีมานานแล้ว จนทำให้คนกังวลว่าประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง แต่ถ้าดูลึกลงไปจริงๆ คนที่ทำสำเร็จเพราะเขาทำสิ่งนี้ให้มีประสิทธิภาพได้ ซึ่งผ่านขั้นตอนมาไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ แต่คนส่วนใหญ่มักจะมองที่ผลลัพธ์ และเอาไปเชื่อมโยงกับบางอย่างที่นำเสนอได้ ขายได้ เช่น อายุ นี่ไงคนนี้ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย

     ถามจริงมันใช่หรอ มันไม่ใช่เหตุผลที่เราต้องทำทุกอย่างด้วยความรีบเร่งเพื่อแข่งกับเวลา คือคนที่ทำได้เพราะนั่นเป็นจังหวะของเขา แต่ไม่ใช่จังหวะของเรา เรายังไม่พร้อมหรือเปล่า วุฒิภาวะ ความสามารถ โอกาส ทุกอย่างมีผลหมด มันจึงไม่ใช่เรื่องที่เราต้องตะบี้ตะบันดิ้นรนตัวเองไปตามกระแสเหล่านั้น

 

นพพันธ์ บุญใหญ่

 

หมายความว่าทุกคนต้องรับผิดชอบกับเวลาในชีวิตตัวเอง

     ใช่ เราต้องรับผิดชอบกับเวลาของเรา เวลาจะนำพาเราไปสู่บางสิ่งบางอย่างได้ หนึ่งวันเรามีเรื่องที่ต้องทำมากมายตามเวลาที่กำหนดไว้ เราก็ต้องรักษาเวลา มีวินัย เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบอื่นๆ ได้ โดยเฉพาะความรู้สึกไม่ดีทั้งต่อตัวเองและต่อคนอื่น เช่น มาสาย ผิดนัด งานไม่เสร็จทันเวลา บางคนบ่นว่าทำงานไม่ทัน ไม่มีเวลา ซึ่งเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง จะมาร้องโหยหาอะไรในเมื่อคุณบริหารเวลาไม่ได้เอง บางอย่างก็ต้อง make time แต่ทั้งหมดนี้มันแค่ไอเดีย เราไม่อยากเป็นคนที่ออกมาพูดว่าต้องบริหารเวลานะ เพราะมันไม่ง่าย ใครทำได้คือเก่งมาก

     เรามักจะเชื่อมโยงสองสิ่งไว้ด้วยกัน คือเวลาและประสิทธิภาพ มีประสิทธิภาพก็จะประหยัดเวลา แล้วเอาเวลาที่เหลือไปทำสิ่งที่มีความสุขให้กับตัวเอง ชีวิตมันจึงต้องมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าคุณจะเป็นอะไรก็ต้องรับผิดชอบเวลาด้วยการบริหารเวลา พิธีกรเป็นตัวอย่างของคนที่เก่งเรื่องนี้ในสายตาเรา เพราะว่าเขาสามารถเรียบเรียงเรื่อง และคุมเวลา ดำเนินรายการได้ในเวลาที่มี หรือบางคนที่บริหารเวลาเก่งๆ เชื่อไหมว่าเขาสามารถสร้างประโยชน์ได้จากเวลา เพราะว่า Time is money. มีคนยอมจ่ายเพื่อฟังคนอื่นพูด คิดดูไลฟ์โค้ชค่าตัวชั่วโมงละเท่าไหร่ เวลามันบียอนด์ไปมากกว่าที่เราคิด เราเองก็เคยสนใจบ้าง แต่สุดท้ายแล้วอะไรที่ไม่ใช่เราก็ไม่ใช่เรา เราอาจจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารเวลาน่ะ (หัวเราะ)

 

เราสนใจประเด็นที่คุณเล่าว่าเวลาชอบทำอะไรบางอย่าง แล้วก็นั่งทำมันไปทั้งวันโดยไม่สนใจโลกเลย

     การมีเวลาได้อยู่กับตัวเอง ทำสิ่งที่รักหรือกิจกรรมบางอย่างเพลินๆ ได้ทั้งวัน โดยไม่ต้องคำนึงว่าใช้เวลาไปนานเท่าไหร่ น่าจะเป็นสิ่งที่คนในยุคนี้ขาดหายไป ส่วนหนึ่งคิดว่าเกี่ยวกับอุดมการณ์ที่เป็นอยู่ คนทั่วไปที่เกิดมาก็ต้องใช้เวลาให้คุ้ม ใช้ชีวิตและเวลายังไงให้มีประสิทธิภาพ แต่บางคนก็อาจจะไม่อยากมีเวลาว่าง เพราะเวลาว่างทำให้ฟุ้งซ่าน ความยุ่งกับงานทำให้จิตอยู่กับงาน ไม่เตลิดไปไหน การที่จิตได้อยู่ในจุดที่ไม่มีความวิตกกังวลคือสิ่งประเสริฐมากสำหรับเรา ไม่เครียด ไม่มองอนาคต ไม่สนใจอดีต ใจอยู่แค่ตรงนั้นในความรู้สึกที่เกิดขึ้น เป็นการบำบัดตัวเองเพื่อจะหนีจากความวุ่นวายของชีวิตไปสู่ความสงบ มันคือกิจกรรมที่เรียกว่า hobby (งานอดิเรก) นั่นแหละ เป็นการหาสมดุลของความรู้สึกและชีวิต ที่ไม่ถูกกำหนดด้วยกรอบของเวลา

     ชีวิตต้องการ hobby เพราะเราต้องรู้จักพักบ้าง งานกับความสัมพันธ์ฉกฉวยเวลาไปเยอะมาก เราต้องบริหารเวลาให้กับสองสิ่งนี้ตลอด มีแต่ hobby นี่แหละที่เยียวยาเราได้ บางคนเถียงว่าไม่มีเวลา ซึ่งเราไม่ไปเถียงกับเขาหรอก เพราะการจะให้เวลากับสิ่งใด สิ่งนั้นต้องเป็นสิ่งสำคัญ ที่ไม่มีเวลาให้ก็เพราะมองว่ามันไม่สำคัญพอ เพราะถ้ามันสำคัญพอก็ต้องมีเวลาให้แน่ๆ ดังนั้น ไม่จริงหรอกที่บอกว่าไม่มีเวลา คุณมีแต่คุณไม่ได้ make time

 

ในทางตรงกันข้าม ทุกคนค่อนข้างจะคุ้นเคยกับเดดไลน์มากกว่า

     เดดไลน์เป็นสิ่งที่ต้องเคารพในเชิงการทำงาน ทุกครั้งที่ทำงานเราจะดูก่อนเลยว่าเดดไลน์คือเมื่อไหร่ เพราะเป็นการสื่อสารที่ชัดเจนถึงการเสร็จสิ้น แต่ถ้าคิดต่อไปว่าชีวิตมีเดดไลน์ไหม คงไม่มีอะไรมาคอนเฟิร์มได้ ก็เหมือนกับเวลา มันไม่มีตัวตน หรือเดดไลน์อาจหมายถึงจุดสิ้นสุด นั่นคือความตาย ซึ่งไม่มีใครรู้จริงๆ ว่าอนาคตจะเป็นยังไง แม้ว่าจะวางแผนไว้ แต่บ่อยครั้งความจริงก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด

 

อยากจะมีอิสรภาพจากเวลา

    (นิ่งคิด) เวลาจะมีอิทธิพลก็ต่อเมื่อเรายอมให้มันเป็นนาย เหมือนกับที่เราอนุญาตให้เงินเป็นพระเจ้า ทั้งหมดขึ้นอยู่กับเราว่ามองมันยังไง แต่จะว่าไปเราต่างต้องสู้กับเวลามาพอควร นักกีฬามีเวลาเป็นตัววัดเพื่อให้เกิดผล ฝึกวิชาสิบปีนานไหม ไปเรียนเอาปริญญาโทสองปีนานไหม การจะเป็นผู้เชี่ยวชาญอะไรสักอย่างต้องใช้เวลาสองปีพอไหม เราเองทำละครมากว่าสิบปีแล้ว รู้สึกว่ายังไม่รู้ทุกอย่าง ยังไม่เก่ง ยังมีอะไรที่อยากรู้อีก รู้แค่ว่าเราต้องใช้เวลาฝึกฝนต่อไปเพื่อสร้างงานที่มีประสิทธิภาพ เวลามีอิทธิพลเพราะเราอนุญาต เราเป็นทาสของเวลาโดยไม่รู้ตัว เลยต้องทำสิ่งต่างๆ เพื่อสู้กับเวลา แต่พอถึงอายุหนึ่งเราหวังว่าจะปล่อยวาง ปลง ไม่รีบกับอะไรทั้งนั้น เพราะทุกคนรู้ว่าสุดท้ายเวลาของตัวเองจะหมดลงในสักวัน นั่นคือตาย ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไหร่ นี่แหละคือความร้ายกาจและเลือดเย็นของเวลา

     แต่กว่าเราจะคิดถึงเรื่องนี้ ก็ต้องใช้ชีวิตและมีประสบการณ์มามากระดับหนึ่ง ยิ่งอายุมากขึ้นจะยิ่งรู้สึกว่าเวลามีค่า เพราะมันถูกใช้ไปเยอะแล้ว เราควรเอาเวลาไปทำในสิ่งที่มีความสุข ตอบสนองชีวิตที่ยังหายใจอยู่ แล้วพอเราเป็นคนชอบสังเกตคนอื่น ทำให้มักจะเห็นคนใกล้ชิดที่เคยประสบอุบัติเหตุเกือบตาย หรือหายป่วยจากโรคร้ายเปลี่ยนไปอย่างกับคนละคนเลย กลายเป็นชีวิตมีค่าที่ต้องใช้ให้เต็มที่ อะไรที่ไม่จำเป็นกับชีวิตก็ทิ้งไป เพราะเวลาชีวิตมีค่าสูงที่สุดในตอนที่กำลังจะตาย ส่วนคนที่ไม่ได้ต่อสู้หรือต้องดิ้นรนอะไรก็จะใช้เวลาอย่างฟุ่มเฟือยต่อไป เพราะคิดว่ายังมีเวลาอีกเยอะ

     ทุกวันนี้เลยเป็นคนที่พยายามจะไม่เสียเวลา มีหลายสถานการณ์ที่พรากเวลาไปจากเรา แต่ในเวลาเดียวกันมันก็มอบอะไรบางอย่างให้ และเมื่อใช้ชีวิตถึงจุดหนึ่งก็ต้องตัดสินใจว่าจะไปทางไหนต่อ เราเคยทุ่มเทเวลาให้คนหนึ่งไป 7 ปี เยอะมากนะ แต่ไม่มีอะไรดีขึ้น เลยตัดสินใจเริ่มใหม่ เพราะไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้ มันยาก แต่เราต้องเลือก

 

นพพันธ์ บุญใหญ่

 

ในเรื่องความรักความสัมพันธ์ เวลาจะทำให้มันจืดจางและทำลายมันไปในที่สุดใช่ไหม

     มันแล้วแต่นะ บางคนเจอกันครั้งแรกแล้วตกลงคบกันเลยก็มี เป็น love at ffiirst sight ประหยัดเวลาสัตว์ๆ (หัวเราะ) บางคนคบกันมาหลายปีแล้วเลิก ซึ่งก็ดีนะ จะได้ไม่ต้องเสียเวลา คนหนุ่มสาวคงกังวลเรื่องนี้ แต่ในผู้ใหญ่ก็คิดต่างออกไป ตอนเลิกกันจะเสียดายเวลาไปทำไม เพราะมองได้ว่าที่ผ่านมาเป็นเวลาที่ดี แล้วการเลิกคือการเริ่มต้นใหม่ ก็เป็นเรื่องที่ดี เหมือนเราได้รีเฟรชชีวิต มีความสุขกับตัวเอง

     แต่สำหรับคนที่เลือกอยู่คนเดียวมักจะโดนถามทำนองว่า อายุเท่านี้แล้วทำไมยังไม่แต่งงาน เราว่าไม่ถูกต้องนะ อย่าไปทำให้คนรู้สึกว่าคุณค่าของตัวเองจะลดลงเมื่ออายุมากขึ้น มันไม่เกี่ยวว่าเวลาผ่านไปเยอะแล้วต้องอย่างโน้นอย่างนี้ ไม่จริงเลย คนเราไม่เหมือนกัน เขาอาจไม่ได้มองว่าเวลาเป็นตัวกำหนดความสัมพันธ์ เพราะเขาอยู่กับตัวเองได้ ดังนั้น เวลาจึงไม่ได้เกี่ยวกับความสัมพันธ์โดยตรง การใช้เวลาในความสัมพันธ์ก็เพื่อศึกษาดูว่าเข้ากันได้หรือเปล่า คุ้มไหมที่จะตกลงอยู่ร่วมกัน

     สำหรับเรา ความรักมันต้องใช้เวลา เพราะตัวเราขับเคลื่อนด้วยความรู้สึก ในความสัมพันธ์ใดๆ ถ้าเราไม่ได้ทุ่มเทเวลาให้ มันก็ไม่เติบโตหรอก ความรักเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับเรา มันต้องให้เวลา ให้ความใส่ใจ

 

ตอนหมดรักหรืออกหัก เวลาจะเป็นสิ่งที่ช่วยเยียวยาใช่ไหม

    เราอกหักครั้งแรกในชีวิต เศร้าอยู่ประมาณ 6 เดือน ตอนนั้นอายุ 18 จำได้ว่ามันแย่มาก เราทำงานในร้านอาหารไทยที่อังกฤษ ก็จะได้ฟังแต่เพลงอัสนี-วสันต์ ทุกเพลงพูดตรงตามที่เรารู้สึกทุกอย่าง การที่มีเพลงพูดแทนความรู้สึกของเราได้แสดงว่ามีคนอื่นเคยรู้สึกแบบนี้เหมือนกันมาก่อนแล้ว แปลว่าเราไม่ได้พิเศษอะไรเลยนี่หว่า มันคือ universal feeling เดี๋ยวมันก็ต้องหาย ใครเขาอกหักตลอดชีวิต บ้าเปล่า เวลาจึงเป็นสิ่งเดียวที่เรามีในขณะนั้น

     เพื่อนคนหนึ่งเคยบอกเราว่า หากคุณเลิกกับใครสักคน ต้องใช้เวลาเท่ากับที่คุณคบเขา เพื่อที่คุณจะลืมเขา คบมาสามปีก็ต้องใช้เวลาสามปีถึงจะลืมได้ ยิ่งสะสมมามากเท่าไหร่ ยิ่งต้องใช้เวลามากเท่านั้น ไม่รู้จริงไหม แต่เราเชื่อว่ามันต้องใช้เวลา แล้วตอนอกหัก เราจะมีเวลาเยอะมาก (หัวเราะ) เพราะไม่ต้องทุ่มเวลาไปให้ใครอีก จะเอาไปทำอะไรก็ได้ ไปเที่ยว ไปทำงานอดิเรก แต่คนส่วนมากมักไม่ทำอะไร ก็แล้วแต่มุมมองคน เวลาอาจจะไม่ได้เยียวยาเราโดยตรง แต่พอมีเวลาเยอะ เราก็ต้องเอาเวลาไปทำอะไรให้ตัวเองบ้าง แผลอาจจะยังไม่หายในทันที แต่จากแผลสดก็จะค่อยๆ แห้งตกสะเก็ด จนหลุดล่อนออกไป ทิ้งไว้แค่แผลเป็นให้เห็นเพื่อเตือนความจำ คุณจำไว้นะ เลิกทำสิ่งเดิมๆ ที่จะทำให้เราอกหักได้อีก เปลี่ยนมาทำสิ่งอื่นๆ ที่มันยกชีวิตเราให้ก้าวไป ไม่ควรเสียดายเวลาไปกับเรื่องที่ผ่านไปแล้ว แต่อย่างน้อยเราได้เรียนรู้ชีวิตและคุณค่าของเวลาจากความสัมพันธ์

 

ในวรรณกรรมหรือในละครดราม่า มักจะบอกว่า กับคนนี้ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เราก็ยังรักเขาเหมือนเดิมตลอดไป แบบนี้มันหมายความว่ายังไง

     ตลก! เหมือนคนที่พูดว่าจะรักเธอไปตลอดไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ถ้าเคยดูหนังเรื่อง ชั่วฟ้าดินสลาย คุณจะเข้าใจเลยว่าคนเราไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปหรอก เราเป็นอย่างที่เป็นแบบนั้นมาตั้งแต่แรก เพราะทุกคนเติบโตกันไปคนละทาง แต่คนอื่นไม่เลือกที่จะมองเห็น หรือเขามองแต่แง่ดี ว่าสวย ว่าดี พอเวลาผ่านไปๆ แม่งเริ่มน่ารำคาญ ก็เหมือนถ้าได้แต่งงานอยู่ด้วยกันทุกวัน แล้วเริ่มรู้สึกว่าอีกคนเปลี่ยนไป ทำให้เราคิดถึงคนคนเดิม ซึ่งเขาก็เป็นของเขาแบบนั้นอยู่แล้วแหละ หรือเขาอาจจะเปลี่ยนเพราะเขาโตขึ้นก็ได้ มุมมองเขากว้างขึ้น แต่เรายังแคบอยู่ หรืองี่เง่าอยู่ ก็เลิกคบกันไป เติบโตไปคนละทางกัน เวลาจะช่วยสอนเราในเรื่องนี้

 

มีหนังเรื่องหนึ่งบอกว่า เราไม่ได้เจ็บปวดเพราะความรักที่จากไป แต่เจ็บปวดเพราะความทรงจำที่คงอยู่ต่างหาก

     ความทรงจำเป็นสิ่งเดียวที่เรามีเหลืออยู่ เป็นสมบัติส่วนตัวที่ไม่มีใครเอาไปได้ ไม่ว่าความทรงจำนั้นจะดีหรือไม่ มันไม่เกี่ยว เพราะทั้งหมดคือสิ่งที่เราเลือกบันทึกไว้ในการมีชีวิตครั้งหนึ่ง แต่มันน่ากลัวตรงที่เวลาทำให้เราหลงลืมไป วันหนึ่งอาจจำอะไรไม่ได้เลย คนเราจึงพยายามสร้างร่องรอยทิ้งไว้ อย่างเช่น ทำละครเวทีและเขียนหนังสือ คนอื่นอาจจะจดจำเราผ่านสิ่งเหล่านี้ แล้วความทรงจำบางอันมันช่วยเราด้วยไง เราได้เรียนรู้ตัวเองจากมัน

     เวลามีเพื่อนมาถามว่า จำได้ไหมตอนนั้น ตอนนี้ แล้วเราจำไม่ได้ จะขอให้เขารีบเล่าต่อทันที เพราะความทรงจำของคนอื่นต่อเราเป็นเรื่องน่าสนใจมาก เขาเลือกบันทึกความทรงจำเกี่ยวกับเราไว้ ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องของเรา ฉะนั้นเวลาเจอเพื่อนๆ หรือครอบครัวแล้วทุกคนเล่าเรื่องถึงกันและกัน ความทรงจำเราจะค่อยๆ รื้อฟื้นขึ้นผ่านการพูดคุยของคนอื่น ความทรงจำแบบนี้มีค่ามาก แปลกเหมือนกันนะ เป็นคนที่จำเรื่องคนอื่นได้เยอะมาก แต่เรื่องของตัวเองกลับจำห่าอะไรไม่ได้เลย เราจึงมักจะหยิบความจำของคนอื่นมาสร้างงานอยู่บ่อยๆ

 

นพพันธ์ บุญใหญ่

 

โดยทั่วไปคนเรามักจะหวนคิดถึงเรื่องแย่ๆ ในอดีต และรู้สึกวิตกกังวลกับอนาคต คุณมีความคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้

     เป็นคำถามแนวพุทธศาสนามากเลย เกี่ยวข้องกับจิตล้วนๆ เราหมายถึงสตินะ เวลาอาจจะไม่เกี่ยวด้วยซ้ำ เวลาไม่เคยเปลี่ยนแปลงอะไร เพราะเวลาไม่มีแม้กระทั่งตัวตน จิตเราต่างหากที่คิดไปเรื่อย จะด้วยอะไรก็แล้วแต่ จิตของเราไว้ใจไม่ได้ มันเกี่ยวข้องกับการคิด การวิเคราะห์ และการแยกแยะทุกสิ่ง ทำไมเราชอบ ไม่ชอบ อะไรดี ไม่ดี ทั้งหมดทั้งมวลมาขมุกขมัวอยู่ในจิตใจ เราเองไม่เคยกังวลเรื่องอดีต เพราะมันกลับไปแก้ไขไม่ได้ ส่วนอนาคตคือการมาถึงในทุกๆ วินาที เลยมักจะมองการใช้ชีวิตที่เป็นอยู่ตอนนี้มากกว่า เพราะอนาคตก็เป็นแบบนี้แหละ เรารู้ว่าตัวเองมีอะไรต้องทำ แต่ไม่เคยนำเรื่องพวกนี้ไปผูกกับอนาคต เราไม่เชื่อว่าอนาคตมีอยู่จริงด้วยซ้ำ

     ตอนเด็กๆ เคยอ่านคอมิกค่ายมาร์เวล เรื่อง The Inffiinity Gauntlet ตอนธานอสจะทำลายล้างโลก แค่ดีดนิ้วก็จะเห็นความหายนะถึงกัลปาวสานโลก ชีวิตเด็กๆ ตอนนั้นมีแต่คอนเซ็ปต์เรื่องโลกแตกอยู่ในหัว แต่เมื่อโตขึ้น ตอนปี 2000 เกิด Y2K หรือวิกฤตคอมพิวเตอร์ มีข่าวลือว่าโลกจะแตก ซึ่งเราไม่อินแล้ว ดังนั้น ความคิดที่ไม่ทำห่าอะไร อยู่เฉยๆ รอวันตาย รอโลกแตก จึงเป็นความสิ้นคิดมากๆ ต่อให้โลกจะแตกก็ต้องตั้งใจทำต่อไปอยู่ดี ทำให้ดีที่สุดด้วย ต้องอยู่กับปัจจุบัน เราเลยเป็นคนที่ไม่ทุ่มเทไปกับอนาคตหรือคิดฝัน แต่จะวางแผนให้มีสิ่งต่างๆ รองรับอนาคตมากกว่า เช่น ประกัน ของแบบนี้มันต้องมี เป็นเรื่องความใส่ใจ เพราะเราไม่รู้ว่าเวลาของแต่ละคนจะจบลงเมื่อไหร่ ซึ่งไม่เกี่ยวกับอุดมการณ์อะไรทั้งนั้น หมายความว่าถ้าในชีวิตคุณมีคนที่คุณรัก แน่นอนคุณต้องทำสิ่งเหล่านี้ให้เขา

 

ในฐานะมนุษย์ เราควรปฏิบัติตัวอย่างไรต่อเวลาและการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในบริบทสังคมที่เป็นอยู่ตอนนี้

     ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงตลอด เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องเปลี่ยนเพื่ออยู่รอด ตัวเราจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เราวันนี้คือวันนี้ เราในเมื่อวานได้หายไปแล้ว นี่คือกาลเวลาที่เปลี่ยนไปสำหรับเรา หมายความว่าเราไม่สามารถเป็นเราในเมื่อวานได้อีก คนเราต้องรู้จักปรับตัว ปรับเพื่ออยู่กับพื้นที่ อยู่กับคน คนที่นี่ปรับตัวเพื่ออยู่กับความขัดแย้ง ความรุนแรง ความไม่มีสิทธิ์ ความไม่มีระบบ เพราะเมืองมันเถื่อนคนเลยต้องเถื่อนตาม (หัวเราะ) ไม่ใช่สิ ประเทศนี้คือต้องเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ทำเป็นไม่เห็นอะไรๆ ที่มันเกิดขึ้นอยู่ แล้วการเปลี่ยนแปลงมันค่อยๆ เกิดขึ้น แต่มันใช้เวลาอีกเยอะมาก (ลากเสียงยาว)

     เราจะรู้สึกประหลาดทุกครั้งที่มองเห็นรถติด คนที่นี่เขามีความฝันบ้างไหม มีเป้าหมายกันไหม ซึ่งก็มีแหละ แต่ทำไมชีวิตต้องมาเสียเวลาให้กับการจราจร ไม่มีใครคิดจะเปลี่ยนแปลงอะไรเลยหรอ อาจจะมีบ้างแต่เขาคงเหนื่อยหน่ายเต็มที มันยากนะที่เราจะอยู่ให้รอดท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง ยากที่จะต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีประสิทธิภาพ เพราะเวลามันพร้อมจะพรากทุกสิ่งทุกอย่างไปจากเราได้ตลอด

     การที่คนเราเมื่อวานคิดแบบหนึ่ง วันนี้คิดแบบหนึ่ง อาจเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการคิดที่ยังไม่ตกตะกอน ซึ่งเป็นเรื่องธรรมชาติ หมายความว่าในทุกๆ เรื่องเราต้องใช้เวลากับมัน หรืออาจเป็นเพราะชีวิตมีข้อมูลหรือตัวเลือกเยอะเกินไป จิตจะวอกแวกง่ายมาก แต่ถ้าไม่มีทางเลือกชีวิตจะง่ายมาก อย่างตอนนี้ไม่มีเลือกตั้ง จบ ทำอะไรไม่ได้ แล้วชีวิตก็เป็นกันไปแบบนี้แหละ แต่ถ้ามีทางเลือกเมื่อไหร่ เราจะเลือกไปเรื่อยๆ เราว่าข้างในของทุกคนเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด การได้เลือกทำให้ตัวเองหักเห มันก็คือผลประโยชน์ที่ทำให้อยู่รอด สมมติเมื่อก่อนคุณไปเป่านกหวีด แต่ตอนนี้คุณเลิกแล้ว เมื่อก่อนคุณเคยใส่เสื้อสีนี้ วันนี้คุณไม่ใส่ หรืออาจเปลี่ยนสีเสื้อไปแล้ว อะไรทำนองนี้ เพราะว่าการเปลี่ยนมาทำสิ่งใหม่ มันตอบสนองความต้องการในตอนนี้ มันคือ put food on the table เป็นความพยายามเพื่อการอยู่รอดโดยมองที่ผลประโยชน์ จนทำให้ต้องมองข้ามความสับปลับหรือกลับกลอกไป

     ส่วนเรื่องจริยธรรมเราจะไม่แตะต้อง เราไม่ใช่คนที่จะมาตัดสินใครได้ จริงๆ เราว่าคนมีแนวโน้มจะเลือกสิ่งที่มีประโยชน์ต่อตัวเองอยู่แล้ว จะอาชีพ การงาน ไลฟ์สไตล์ ความคิด ความเชื่อ ทุกอย่างจึงเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เพราะเราในวันก่อนอาจจะไม่เวิร์กในวันนี้ ถ้าได้เลือกใหม่แล้วเวิร์กก็โอเคนะ เพราะการเลือกควรเป็นสิ่งที่มีอยู่ในชีวิตของคนคนหนึ่ง ซึ่งตอนนี้เราไม่มีทางเลือก เราก็ต้องอยู่กันแบบนี้ เพราะเขาเลือกให้เราแล้ว

 

เวลาพรากทุกอย่างไปจากเรา แม้กระทั่งตัวเราเองในอดีต

     Time is the greatest thief in the world. เวลาเป็นขโมยที่หัวโจกที่สุดในโลก มันจะขโมยทุกสิ่งทุกอย่างของเราไปโดยไม่ทันได้รู้ตัว แล้วสุดท้ายมันก็จะเอาไปทั้งหมด ความทรงจำ คนที่เรารัก ความสัมพันธ์ สุขภาพ ความเยาว์วัย ความฝัน จนกระทั่งเราตาย มันเป็นเรื่องธรรมชาติ และที่เรามองเวลาเป็นขโมย เพราะว่าถ้าเราไม่ทำอะไรมันอาจจะเลยจังหวะหรือโอกาสที่จะทำสิ่งนั้นไปแล้ว You missed the opportunity.

 

เป็น critical period ไหม คือถ้าคุณพลาดที่จะทำตอนนี้ไปแล้ว ในอนาคตต่อให้คุณทำได้ดีแค่ไหน ผลลัพธ์ที่ได้ก็ไม่มีทางดีเท่าตอนนั้น

     คิดว่ามันจะมีขึ้นมีลงเรื่อยๆ มากกว่า ซึ่งถ้าพูดถึง critical period หรือช่วงพีกของชีวิตก็ไม่ค่อยแน่ใจ เพราะชีวิตมันพีกได้ตลอด นักแสดงบางคนพีกตอนแก่ หรือนายแบบคนจีนเป็นลุงอายุ 60 ปีที่บึกสัตว์ มันไม่มีหรอกว่าคุณแก่เกินไปที่จะทำอะไร หลายคนสนใจเรียนรู้ตลอดเวลา เลยไม่มีเซนส์ของจุดที่พีกที่สุด แค่มุ่งมั่นตลอด ทำตัวเป็นฟองน้ำรับสิ่งที่สนใจไปเรื่อย เขาไม่ได้เสียเวลานะ เขาแค่ใช้เวลาในเรื่องที่เขามองว่ามีประโยชน์ แต่คนที่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยไม่ทำอะไรเลยต่างหาก เวลาจะขโมยสิ่งต่างๆ ในชีวิตให้หายไป และเมื่อมองย้อนกลับไปจะเกิดความรู้สึกว่า ทำไมไม่ทำแบบนี้แต่แรก หรือถ้ารู้อย่างนี้ทำตั้งแต่ตอนนั้นดีกว่า เวลาเป็นต้นทุนที่เราทุกคนได้มา ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะทำยังไงกับมัน

 

ท้ายที่สุดแล้ว คุณค่าของเวลาอยู่ตรงไหน

     แล้วแต่คน อย่างคำว่าติดคุกในภาษาอังกฤษเรียกว่า doing time มันคือการทำโทษที่รุนแรงมากนะ เพราะเป็นการเอาเวลาออกไป ดูสิ โหดร้ายไหมล่ะ ค่าของเวลาอยู่ตรงนี้แหละ เขาไม่ฆ่าคุณให้ตายนะ เขาแค่เอาคุณไปกักขังและจองจำไว้ไม่ให้คุณได้ใช้เวลา ไม่รู้วันและเวลา เวลาจะมีค่าก็ต่อเมื่อเราไม่ได้ใช้มัน และเวลาจะมีความหมายขึ้นมาทันทีเมื่อเราไปให้ค่ากับมันด้วยเหตุผลใดสักอย่าง เช่น การเริ่มต้น จุดสิ้นสุด เหมือนที่ จอห์น เลนนอน เคยพูดไว้ว่า ‘Time you enjoy wasting, was not wasted.’