จากชีวิตเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ขลุกและเติบโตอยู่กับกีตาร์ในห้องนอน เลือกเล่นคัฟเวอร์เพลงที่ตัวเองชื่นชอบโพสต์ลงยูทูบโดยไม่ได้คาดหวังว่าสิ่งนี้จะกลายมาเป็นเส้นทางหลักของชีวิต เขาใช้ช่วงเวลานั้นเป็นเหมือนโลกอีกใบให้ได้เข้าไปหลบซ่อนและมีความสุขกับงานอดิเรกของตัวเอง
แต่ใครจะไปเชื่อว่าโน้ตกีตาร์ที่ดังก้องภายในห้องวันนั้น จะเป็นเหมือนเสียงอินโทรเริ่มต้นเบาๆ ของบทเพลงชีวิตของ ภูมิ วิภูริศ ก่อนจะตัดเข้าท่อนฮุกและพีกสุดๆ ทันทีในเวลาเพียงไม่ถึงปี จากรอยยิ้มและสไตล์เพลงอันทรงเสน่ห์ที่เรียกว่า Sunshine Music ของเขา
ทันทีที่ปล่อยเพลงอัลบั้มแรกของชีวิตอย่าง Manchild เมื่อปี 2017 แทร็กที่ 9 ของอัลบั้มอย่าง Long Gone ของเขาได้เข้าไปติดในบล็อก Reddit จนส่งให้ชื่อของเขาติดหูแฟนเพลงทั่วโลก ตามมาด้วยเพลง Lover Boy ซิงเกิลจากอัลบั้มใหม่ล่าสุด ที่ตอกย้ำความนิยมให้เขาเพิ่มมากขึ้นไปอีก ส่งให้เขาได้ออกทัวร์ในเฟสติวัลและไลฟ์เฮาส์ใหญ่ๆ ทั่วโลก และน่าจะทำให้เขาเป็นศิลปินไทยที่ออกทัวร์ต่างประเทศมากที่สุดแล้วในปีที่ผ่านมา
แต่ความสุขจากความสำเร็จที่มาถึงอย่างรวดเร็วก็มาพร้อมเหรียญอีกด้าน ที่ทำให้เขาต้องเผชิญกับความสับสนในความเป็นตัวเอง งานอดิเรกที่เคยเป็นโลกที่สร้างความสุข กลายเป็นภาระกดดันที่ทำให้เขากลัวที่จะสูญเสียสิ่งที่รักไป จนถึงจุดที่เขาต้องหยุดทุกอย่าง และกลับมาหาสมดุลด้วยการฟังเสียงข้างในตัวเองอีกครั้ง
ซึ่งเขากลั่นกรองประสบการณ์ในช่วงเวลานั้นมาเป็นซิงเกิลใหม่ Hello, Anxiety ที่เขาบอกว่า นี่คือเพลงที่เขาแต่งด้วยความรู้สึกซื่อสัตย์ที่สุดในชีวิต
ดูเหมือนปีที่แล้วจะเป็นปีที่มีความหมายกับคุณมากใช่ไหม
มีความหมายมากๆ เป็นปีที่เราได้ออกเดินทางจริงๆ ได้เอาดนตรีไปเล่นให้ผู้ฟังที่ไม่ได้อยู่ในประเทศไทย เป็นปีแห่งการเดินทางและการเติบโตมากๆ ทำให้เรารู้จักตัวเองขึ้นเยอะเลย
ในแง่ไหน
ในทุกแง่ครับ ในแง่การเป็นนักดนตรี ในแง่การเป็น performer เติบโตในแง่ของการเป็นตัวเอง การเป็นคนอายุ 23 ปีที่ได้เห็นโลกมากขึ้น ได้เปิดมุมมอง ได้เจอสิ่งที่เราไม่ได้คาดคิดว่าจะเจอมาก่อนจากสถานการณ์ต่างๆ ในการเดินทาง ได้เพื่อนดีๆ กลับมา เลยรู้สึกว่าทุกด้านของชีวิตได้เติบโตหมดเลย เรารู้ว่าสิ่งที่ทำไม่ใช่แค่การเล่นดนตรีอีกต่อไป แต่คือสิ่งที่เรารักจริงๆ พอได้ไปเจอ ไปเหนื่อย ไปลุยจริงๆ เรารู้สึกว่ากลายเป็นสิ่งเดียวที่อยากจะทำไปอีกนานเลย
คิดมาก่อนไหมว่าดนตรีจะพาคุณเดินมาถึงจุดนี้
ก่อนหน้านี้คือมั่นใจว่าเป็นสิ่งที่เราชอบและอยากทำ แต่อาจจะยังไม่ใช่ความเป็นจริงที่เราอยู่กับมันได้เต็มเวลา จากที่ดนตรีเคยเป็นงานอดิเรก ตอนนี้กลายเป็นอาชีพของผมไปแล้ว จนพอปีที่แล้วที่ได้ออกไปทำจริงๆ เราก็ได้รู้ว่าสิ่งนี้เป็นอาชีพได้นะ แต่ต้องกลับมาคิดอีกทีว่า พอถึงจุดที่งานอดิเรกกับอาชีพมาผสมกัน เราต้องปรับตัวอย่างไรที่จะสนุกกับมันได้อยู่ และไม่สูญเสียสิ่งที่รักไป
ทำไมถึงกลัวว่าจะสูญเสียสิ่งที่รักไป
มีช่วงหนึ่งหลังจากทัวร์เสร็จผมเครียดมาก เป็นช่วงที่กลับมาแล้วรู้สึกว่าสิ่งที่เคยคิดฝันว่าอยากจะทำภายในเวลา 20 ปีของการเป็นนักดนตรี ผมกลับทำมันสำเร็จภายใน 1 ปีเท่านั้นเอง ผมได้ออกไปทัวร์ทวีปยุโรป ทวีปอเมริกา ได้ไปทัวร์รอบเอเชีย และได้ไปเล่นเฟสติวัลใหญ่ๆ ทั่วโลก จนรู้สึกว่ามันอิ่มมากๆ กับสิ่งที่ได้ทำไป การที่เราปล่อยอัลบั้มชุดหนึ่งและออกซิงเกิลจากอัลบั้มชุดใหม่แค่หนึ่งเพลง แล้วได้มีโอกาสขนาดนี้ ทำให้ข้างในเรารู้สึกล้น พอกลับมาก็รู้สึกว่าแล้วจะทำอย่างไรต่อดี เราจะแต่งเพลงอย่างไรต่อดี อยู่ดีๆ ก็เครียดมาก
ความสำเร็จที่เอ่อล้น สร้างความทรมานให้เราได้ด้วยเหรอ
จริงๆ มันแฮปปี้มากๆ นะ ผมไม่ควรจะมานั่งบ่นด้วยซ้ำไป (หัวเราะ) แต่พอได้รับความสำเร็จมาเร็วมากๆ มันมาพร้อมกับความกดดัน ด้านหนึ่งคือความสุข แต่ด้านหนึ่งก็เป็นความเครียด รู้สึกเหมือนว่าเรากำลังทำสิ่งนี้อยู่จริงๆ เหรอ อธิบายยากนะ แต่เราแค่รู้สึกว่าทุกอย่าง extreme ไปหมด extreme happiness, extreme anxiety ขนาดของสิ่งต่างๆ ที่เราทำใหญ่ขึ้น ผมไม่รู้ว่าอธิบายถูกหรือเปล่า แต่ความรู้สึกทุกอย่างล้นในแง่อย่างที่ผมพยายามพูดไป ทุกอย่างเข้ามาเยอะมาก
“
เหมือนกับว่าเราแคร์คนฟังทุกคนมาก จนลืมฟังตัวเองว่าตอนนี้รู้สึกอย่างไร สภาพจิตเราเป็นอย่างไร เราแฮปปี้กับโมเมนต์นี้ไหม ทุกอย่างเลยผิดเพี้ยนไปหมด
”
ความสำเร็จที่มาเร็วน่ากลัวอย่างไร
น่ากลัวตรงที่มาเร็วมากๆ ครับ บางครั้งผมก็รู้สึกว่าถ้ามาเร็วจะไปเร็วหรือเปล่า แล้วคนที่เขาชวนเราไปเล่นนี่เขาชวนเพราะอะไร ผมเริ่มจะคิดมาก คือเป็นคนที่คิดเยอะอยู่แล้ว แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องพยายามควบคุมให้ได้
มีช่วงหนึ่งที่ผมเครียดมากๆ จนต้องกลับมานั่งนิ่งๆ ดูหนังที่เราชอบ แล้วก็ทำอะไรที่ไม่เกี่ยวกับดนตรี ไม่ได้เกี่ยวกับว่าผลงานต่อไปของผมต้องเป็นอะไร คือเอาตัวเองหลุดออกมาจากโลกของ ภูมิ วิภูริศ น่ะครับ แค่ออกมาเป็นเด็กเพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัยคนหนึ่งที่หาอะไรทำไปเรื่อยๆ (หัวเราะ) กลับมาแล้วก็เล่นเกมบ้าง มีอีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยผมมากคือผมเริ่มฝึกคัฟเวอร์เพลงที่ชอบใหม่อีกรอบหนึ่ง กลับไปย้อนว่าทำไมเราถึงชอบร้องเพลงพวกนี้ในสมัยนั้น กลับไปย้อนฟัง ย้อนเล่นดู สิ่งนี้ช่วยดึงตัวเองกลับมาว่าเราเล่นดนตรีเพราะอะไร เราไม่ได้เล่นเพื่อเอาชื่อเสียง เราเล่นเพราะว่าชอบมัน
แล้วในแง่นักดนตรีล่ะเติบโตขึ้นแค่ไหน
สำหรับผม การที่ได้ออกไปทัวร์ไปเจอสิ่งต่างๆ ทำให้เราชัดเจนกับตัวเองมากขึ้นว่า ดนตรีที่เราแต่งออกไป เล่นออกไป ต้องเป็นสิ่งที่ทำแล้วรู้สึกรักและภูมิใจจริงๆ เป็นสิ่งที่เรารู้สึกกับมันจริงๆ เพราะว่าตอนเครียดมากๆ ผมพยายามคิดว่าจะแต่งเพลงอย่างไรดีให้อยู่ในคอนเซ็ปต์ที่เคยทำมาก่อน แล้วเหมือนกับว่าเราแคร์คนฟังทุกคนมาก จนลืมฟังตัวเองว่าตอนนี้รู้สึกอย่างไร สภาพจิตเราเป็นอย่างไร เราแฮปปี้กับโมเมนต์นี้ไหม ทุกอย่างเลยผิดเพี้ยนไปหมด
สิ่งที่ได้เรียนรู้และอยากทำตลอดไปคือจงทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ สิ่งที่ตัวรักจริงๆ ให้เป็นผลงานที่ซื่อสัตย์ที่สุด ถ้าเราไม่ได้แฮปปี้ขนาดนั้นก็ไม่จำเป็นต้องแต่งเพลงให้แฮปปี้ก็ได้ เรารู้สึกอะไรก็แสดงมันออกไป
ก่อนหน้านี้ นิยามดนตรีของคุณคืออะไร
เราเรียกว่างานอดิเรก เป็นความสุขเล็กๆ น้อยๆ แบบว่ากลับจากโรงเรียนแล้วได้เล่นกีตาร์สัก 1-2 ชั่วโมง มันคือการได้หนีไปในห้องนอนแล้วอยู่ในโลกที่เราได้แกะคอร์ดเพลงใหม่ ได้ค้นหาและเรียนรู้ตลอด ทุกวันนี้สำหรับผมก็ยังเป็นอย่างนั้น เพียงแต่มีแรงกดดันเข้ามาเพิ่ม เพราะดนตรีกลายเป็นอาชีพไปแล้ว ซึ่งเราต้องจริงจังกับมันมากขึ้น ต้องพยายามหาจุดกึ่งกลางระหว่างสองโลกนั้นให้เจอ แล้วเราจะได้เป็นคนทำงานที่แฮปปี้ที่สุดเท่าที่จะแฮปปี้ได้
การซื่อสัตย์กับตัวเองสำคัญกับการผลิตงานอย่างไร
ในการทำงานจริง พอมีหลายแรงกดดันเข้ามาทำให้เราคิดว่าต้องเป็นแบบนั้น ศิลปินควรเป็นแบบนี้ ถึงจะมีที่ยืนในโลกดนตรี บางคนบอกว่าแพลตฟอร์มในการทำงานส่งผลต่อวิธีคิดของศิลปิน บางคนก็บอกว่าไม่จริง แต่สำหรับผมเอง ผมว่าก็มีบ้างครับ พอทำอะไรไปแล้วเป็นผลงานที่ได้รับความชื่นชอบเยอะ บางครั้งเราก็ตกอยู่ภายใต้สิ่งนั้น
จะมีประโยคที่ฝรั่งพูดว่า ‘Once something you make become really successful, you become enslave to your own creation.’ แปลว่า บางคนอาจจะไม่อยากออกจากอะไรที่เคยทำ เพราะเป็นสิ่งที่เรารักมากๆ และไม่เคยหวังผลกำไร พอมันสร้างผลประโยชน์ สร้างชื่อเสียงให้เรามากๆ พอมีตรงนี้ ความรับผิดชอบที่เราไม่เคยมีมาก่อนกลับหนักขึ้น และต้องตกอยู่ภายใต้มัน
ผมว่าสิ่งที่ทำให้เราสร้างผลงานต่อไปได้เรื่อยๆ คือการที่กลับมาถามตัวเองว่าตอนนี้รู้สึกอย่างไร เราอยากจะส่งต่ออะไรออกไปจริงๆ นี่เป็นหนทางเดียวครับ เพราะถ้าเราเป็นคนทำเพลงแล้วไม่ได้ฟังตัวเอง สุดท้ายสิ่งที่ได้ออกมาก็จะกลายเป็นอะไรที่ไม่ใช่ตัวเอง
ฝึกฟังตัวเองอย่างไร
ชอบเขียนครับ สมัยก่อนผมเป็นคนที่ไม่ได้จดบันทึกว่าวันนี้ทำอะไรบ้าง วันนี้เรารู้สึกอย่างไรบ้างกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ช่วงนี้ผมกลับมาเขียนเป็น memo ว่าวันนี้ไปเจออะไรมาบ้างทำอะไรมาบ้าง มันได้เช็กกับตัวเองว่าเราได้พบเจออะไรมา เหมือนได้บันทึกสิ่งที่เจอ ไม่ใช่ว่ามันเป็นความคิดที่ลอยอยู่
คุณคิดว่าดนตรีส่งผลต่อรากฐานของวัฒนธรรมสังคมแค่ไหน
ผมว่าจริงส่วนหนึ่ง ลองดูแฟชั่นวัยรุ่นว่าเขาแต่งตัวตามใครก็จะพอรู้ได้ว่าเขาอาจจะแต่งตัวตามศิลปิน
แล้วตอนเด็กๆ คุณโตมากับวัฒนธรรมอย่างไร
ผมโตในนิวซีแลนด์ ประเทศที่ไม่ได้มีศิลปินนักดนตรีเยอะขนาดนั้น ดาราประเทศนิวซีแลนด์จะมีละคร soap opera อยู่เรื่องเดียว มีนักแสดงอยู่ประมาณ 5 คนซึ่งคนที่นั่นเรียกว่าดารา ที่เหลือจะเป็นนักรักบี้ที่ถือว่าเป็นดาราในประเทศนั้น ซึ่งผมโตมากับวัฒนธรรมที่ค่อนข้างตรงข้ามกับประเทศไทยมากๆ ไม่ได้รับอิทธิพลจากศิลปิน แต่ได้รับอิทธิพลจากเพื่อนรอบตัวมากกว่า
บรรยากาศที่นิวซีแลนด์ช่วยในการเป็นศิลปินของคุณไหม
เหมือนเราเติบโตมาในที่ที่เป็นแคนวาสให้เราไปเติมสีได้เยอะมากๆ นิวซีแลนด์กว้างมากและคนน้อยมาก เวลา 4-5 โมงทุกอย่างก็จะปิดแล้ว มีแค่อยู่บ้าน ไปเดินสวน ไม่ก็อยู่กับเพื่อน บรรยากาศสอนให้เราอยู่กับตัวเอง อยู่กับคนรอบข้างให้เป็น ซึ่งช่วยผมค้นหาตัวเองเจอเร็วและได้พลังงานดีๆ จากคนรอบตัว
ต่างจากกรุงเทพฯ โดยสิ้นเชิง
ผมก็คิดเหมือนกันว่าทัศนคติผมจะเปลี่ยนไปไหม ถ้าผมโตในกรุงเทพฯ ที่คนเยอะ และแรงกดดันอาจจะเยอะกว่าประเทศนิวซีแลนด์ แต่กรุงเทพฯ เป็น beautiful mess มากๆ สำหรับผมครับ ตอนกลับมาแรกๆ ผม culture shock มาก ทั้งๆ ที่ผมเกิดที่นี่ รู้สึกว่าทุกอย่างเคลื่อนตัวเร็วมากๆ ถ้าไม่เคลื่อนตัวเร็วมากๆ ก็จะติดอยู่บนถนนสัก 2-3 ชั่วโมง (หัวเราะ) แต่ในความวุ่นวายก็เป็นประเทศที่มีสีสัน ชอบในความเป็นเมืองที่เปิดกว้างกับศิลปะหลายๆ อย่าง
“
ถ้าสิ่งที่เรารักไม่ได้ไปเหยียบเท้าคนอื่น ไม่ได้ไปกดคนอื่นลง สิ่งที่เรารักสร้างสรรค์และดีต่อตัวเองก็จงทำไปครับ อย่าไปฟังว่าใครอยากให้เราเป็นยังไง เพราะสุดท้ายแล้วก็คือชีวิตของเราเอง
”
ในมุมหนึ่ง วัฒนธรรมในประเทศไทยก็กดให้เด็กอยู่ในกรอบ คุณคิดอย่างไร
โชคดีที่ผมไม่เคยเจอครับ อาจเพราะไม่ค่อยมีใครแคร์ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ (หัวเราะ) ผมมีอิสระในการทำอะไรก็ได้ สำหรับคนที่เจอแรงกดดันอยู่ ผมว่าวิธีที่จะผ่านมันไปได้คือการอย่าไปแคร์มาก ถ้าคนอื่นพูดว่าเราทำสิ่งนี้ไม่ได้ แต่ถ้าสิ่งที่เรารักไม่ได้ไปเหยียบเท้าคนอื่น ไม่ได้ไปกดคนอื่นลง สิ่งที่เรารักสร้างสรรค์และดีต่อตัวเองก็จงทำไปครับ อย่าไปฟังว่าใครอยากให้เราเป็นยังไง เพราะสุดท้ายแล้วก็คือชีวิตของเราเอง ไม่ว่ามันจะขัดแย้งกับคนรอบตัวเราขนาดไหน สุดท้ายแล้วเราก็ต้องเลือกในสิ่งที่เราอยากทำจริงๆ ครับ อาจจะไม่ได้ทำเลยในตอนนี้ แต่ผมหวังว่าจะหาเวลาให้มันได้ อาจจะไม่ได้เป็นสถานการณ์ที่เราทิ้งทุกอย่างแล้วทำในสิ่งที่เรารัก เพราะโลกความเป็นจริงของทุกคนไม่ได้เป็นอย่างนั้น
อย่างถ้าผมไม่มีโอกาสได้เจอตัวเองในวัยที่ผมกำลังเติบโต ก็อาจจะไม่มีภูมิวันนี้ก็ได้ ผมเชื่อว่าเราไม่สามารถเลือกสถานการณ์ที่อยู่รอบตัวเราได้อยู่แล้ว ก็ต้องอาศัยการปรับตัวไปเรื่อยๆ แต่ผมหวังว่าน้องๆ จะหาตัวเองเจอ ลองทำในสิ่งที่ตัวเองรักก็ได้ครับ อาจจะไม่ใช่สิ่งที่เอามาเป็นอาชีพ แต่ถ้าเราสนใจอะไร อย่ากลัวที่จะลองทำ อย่ากลัวที่จะเปิดเผยตัวเองออกมาว่าชอบ อย่าคิดมาก แค่ลองทำไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งเดี๋ยวเจอเอง
สำหรับเด็กที่อยากเติบโตคนหนึ่ง สภาพแวดล้อมแบบไหนเหมาะสมที่สุด
จริงๆ ควรจะอยู่ใกล้คนที่เขาไม่กดเราลง ไม่ดูถูกเราในสิ่งที่เรารัก พยายามพาตัวเองไปอยู่กับคนที่มี neutral respect ไม่ว่าเราจะแตกต่างกันขนาดไหนแต่เคารพในสิ่งที่เขาทำ ผมว่าเวิร์กที่สุด
ครอบครัวมีอิทธิพลมากไหม
อย่างพ่อและแม่ผมเขาไม่เคยห้ามในการที่เราจะลองอะไรในชีวิต ผมเคยเป็นนักกีฬาว่ายน้ำตอนเด็กๆ แล้วพอไปนิวซีแลนด์ อยู่ดีๆ ผมก็ไปคุยกับแม่ว่าไม่ไหวกับการว่ายน้ำแล้ว ผมเกลียดมันมาก มันหนาว แม่ก็ถามว่างั้นภูมิอยากเล่นอะไร ผมเลยบอกว่าผมอยากเล่นบอลครับ ผมเล่นไปได้ 3-4 ปี แล้วอยู่ดีๆ ปีสุดท้ายผมอยากเปลี่ยนไปเล่นบาส แม่ก็ให้ลุยเลย
เช่นเดียวกับการเลือกวิชาเรียน การสนใจในดนตรีของผมเริ่มต้นจากตีกลอง เล่นได้ 2 ปี แล้วผมก็บอกแม่ว่าอยากเปลี่ยนมาเล่นกีตาร์ แม่ก็บอกว่า โอเค ลองดู คือครอบครัวเป็นคนที่ชอบให้เราลองในทุกๆ อย่างที่สนใจ โดยที่เขาไม่คาดหวังว่าผมลองเล่นกลองแล้วภูมิต้องตีเก่งนะ ภูมิเล่นกีตาร์แล้วภูมิต้องเล่นเก่งที่สุดเพราะแม่อุตส่าห์ซื้อกีตาร์ให้ ไม่เคยมีแรงกดดันอะไรแบบนั้นครับ แม่เขามีความสุขในการที่ผมเป็นเด็กที่ได้ลองทำหลายๆ อย่างและมีความสุขกับการค้นหาตัวเอง ซึ่งทุกวันนี้ผมเป็นหนี้บุญคุณกับสิ่งที่ครอบครัวมอบให้ตรงนี้มากๆ เพราะว่าทำให้เราได้ลอง
จริงๆ เด็กอาจอยากได้แค่โอกาสได้ทดลอง
ใช่ครับ แค่นั้นเลย แค่ได้ลอง แค่ได้สัมผัสอะไรบางอย่างที่ไม่เคยสัมผัส ก็เป็นโมเมนต์มหัศจรรย์มากๆ สำหรับเด็กที่กำลังเติบโต
คุณเคยบอกว่าความรักคือพื้นฐานของเพลงของคุณ วันนี้ยังเชื่อสิ่งนี้อยู่หรือเปล่า
เชื่ออยู่ครับ เชื่ออยู่มากๆ ไม่ว่าเราจะเครียดจากตรงไหนมา ผมเชื่อว่าความรักยังเป็นรากของเพลงอยู่ดี เพราะว่าเพลงของผมชุดแรก Manchild (2017) ทำไปตอนที่เรายังเป็นวัยรุ่นมากๆ ก็เลยอาจจะมีเรื่องความรักเข้ามาเยอะ ซึ่งเพลงชุดนี้ที่ทำอยู่ก็ยังเป็นความรักเหมือนเดิมครับ อาจจะไม่ได้เป็นรูปแบบความรักในทางโรแมนติก แต่เป็นความรักที่มีให้กับตัวเองหรือคนรอบข้างที่อาจจะไม่ใช่ partner romantic ครับ แต่ก็ยังเป็นคอนเซ็ปต์ที่ผมเอามาแต่งเพลงอยู่
ทำไมต้องเป็นความรัก
ผมเชื่อว่ามันเป็นพลังงานที่ดี เป็นพลังงานที่บริสุทธิ์ที่สุดในโลกสำหรับผม ผมว่าถ้าเป็นความรักจริงๆ มันไม่มีวันหมดครับ สิ่งนี้เติมเต็มให้เราได้ตลอด
ทำไมถึงเชื่อในเรื่องพลังบวก
ไม่รู้สิ ผมชอบถ่ายทอดสิ่งที่ไม่ว่าเราจะเจอเหตุการณ์เศร้า เครียด หรือเจออะไรที่ไม่ดีขึ้นมา ผมอยากถ่ายทอดให้เป็นข้อความที่สุดท้ายแล้วเรายังเรียนรู้จากมันได้เสมอ อาจจะเป็นทัศนคติในการมองชีวิตของผมก็ได้ ผมเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กๆ ค่อนข้างที่จะอะไรก็ได้ แม้ว่าเราจะรู้สึกกดดันขนาดไหนก็ยังหาวิธีที่จะยิ้มได้ ผมไม่รู้ว่าเป็นแบบนี้ได้ยังไงนะ (หัวเราะ) แต่ผมเชื่อว่าถ้าเอาสิ่งนี้มาใส่อยู่ในดนตรีแล้วน่าจะเป็นพลังงานที่ดี ผมเชื่อว่าคนที่ฟังเพลงผมไม่ใช่คนที่มีความสุขตลอดหรอก ไม่ใช่คนที่ทุกอย่างในชีวิตเพอร์เฟ็กต์ เช่นกันกับผม ผมก็ไม่ใช่คนที่มีความสุขตลอดเวลา ไม่ได้มีอะไรที่เพอร์เฟ็กต์
เราจะเปลี่ยนความเศร้าความทุกข์ให้เป็นพลังงานบวกได้อย่างไร
ผมว่าความเศร้าของมนุษย์เป็นพลังได้ด้วยการร้องมันออกมา (หัวเราะ) สำหรับผมนะ เวลาผมได้แปลงความรู้สึกมาร้องเป็นเพลง หรือเอามาเปลี่ยนเป็นโน้ต ตีเป็นคอร์ด พอผสมผสานเข้าด้วยกันเรารู้สึกว่ามันไม่ใช่แค่ความรู้สึกที่อึนๆ อยู่ข้างในอีกต่อไป สิ่งที่เราอึดอัด สิ่งที่เราเครียดมากๆ ได้ปล่อยออกมาเป็นเสียง ซึ่งบางคนก็ปล่อยออกมาเป็นภาพวาด บางคนก็อาจจะทำหนัง สำหรับผมคือการปล่อยออกมาเป็นเสียง แล้วถ้าในเวลา 3 นาทีของเพลงที่ผมแต่งทำให้คนฟังได้รู้สึกเหมือนถูกเยียวยา หรือแค่ลืมไปว่าเราเครียดกับอะไรอยู่ แค่นั้นก็เป็นสิ่งที่ทำให้ผมอยากทำเพลงไปตลอดมากๆ แล้ว
บางคนอาจคิดว่ามองโลกบวกไปหรือเปล่า เป็นการโกหกตัวเอง
ผมไม่มีสิทธิ์ไปบอกว่าเขาทำไม่ถูก แต่เราต้อง agree to disagree คือเขาคิดอย่างไรก็ไม่เป็นไร เราเลือกที่จะจัดการกับความคิดแง่ลบที่เข้ามาในตัวเองด้วยการทำแบบนี้ดีกว่า ถ้าคุณมีรูปแบบในการคิดหรือระบายที่ไม่เหมือนกันก็ไม่เป็นไร เป็นสิทธิ์ของแต่ละคน
การเป็น Mr. Sunshine ช่วยให้ใช้ชีวิตมีความสุขขึ้นด้วยไหม
มีความสุขครับ ทำให้เราได้พลังบวกจากคนรอบตัวเยอะ ผมรู้สึกโชคดีมากที่ทุกวันนี้ได้ตื่นมาแล้วได้ทำในสิ่งที่รักมากๆ แม้จะมีเครียดบ้าง แม้ว่าเราต้องปรับตัวกับการเติบโตและชีวิตที่เปลี่ยนไปในหนึ่งปี ผมอาจจะไม่ได้มองตัวเองเป็นมนุษย์ sunshine ขนาดนั้น ผมมองว่าผมเป็นคนที่อยู่กลางๆ แค่อาจจะยิ้มเก่ง (หัวเราะ) คนก็คิดว่าผมมีความสุขมากๆ ตลอดเวลา ถ้าผมเป็นพลังดีๆ ให้คนที่กำลังเศร้าได้ก็ดีใจมากๆ ครับ ก็หวังว่าผลงานของผม เพลง หรือการที่ได้มาฟังเราเล่นสดเป็นโมเมนต์ที่ดีๆ
แล้วการที่คนมองเราเป็น Mr. Sunshine สร้างความกดดันให้เราไหม
ผมเรียกเพลงของผมว่า Sunshine Music เพราะผมอาจจะไม่ได้มองคำว่า sunshine เหมือนคนข้างนอกมองก็ได้ครับ sunshine ของผมคือเล่นกับ cycle ของพระอาทิตย์ในหนึ่งวัน สมมติว่าผมเป็นคนคนหนึ่งที่ยืนกลางสนามในวันที่พระอาทิตย์ขึ้น ในเวลา 12 ชั่วโมง หรือ 24 ชั่วโมง การที่พระอาทิตย์เคลื่อนไป สามารถสร้างเงาให้ตัวเราได้หลายรูปร่างมากๆ อยากตีความแบบนั้นมากกว่า ว่าแต่ละวันเรามีความรู้สึกหลายแบบมากๆ อาจจะไม่ใช่สำหรับผมเอง แต่คนคนหนึ่งในวันหนึ่งเขาต้องเจอเหตุการณ์อะไรบ้าง ตอนเช้าอาจจะมีมุมโรแมนติก ตอนกลางวันทำงานเครียด ตอนเย็นวิตกกังวลว่าพรุ่งนี้ต้องทำอะไรต่อ คือเราเล่นกับคอนเซ็ปต์ sunshine ในแบบนั้น จริงๆ พวกนี้มันเป็น life cycle of the sun มากกว่า แต่ผมเรียกมันว่า sunshine
แล้วสนใจเฉดไหนของมนุษย์ที่สุด
ผมชอบโมเมนต์ตอนพระอาทิตย์ตกไปแล้ว ช่วงที่ไม่มีเงาเลย ช่วงก่อนนอน ผมได้คุยกับเพื่อนหลายคนที่มีปัญหานอนไม่หลับว่าเขาคิดอะไรกันบ้าง ช่วงที่ผมเครียดมากๆ จากที่เป็นคนหลับง่ายมากกลายเป็นนอนไม่หลับเลย สนใจในช่วงเวลานั้นครับว่าสมองคิดอะไรอยู่ เรากำลังกังวลกับเรื่องอะไร ทั้งๆ ที่อาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่โตคอขาดบาดตายเลย แต่ทำไมทำให้เรานอนไม่หลับ เป็นคอนเซ็ปต์ที่ผมเอามาแต่งเป็นเพลงที่ชื่อว่า Hello, Anxiety เป็นเพลงที่ผมซื่อสัตย์กับตัวเองที่สุดว่าเรากำลังรู้สึกอะไรในตอนนี้ เราเลือกที่จะพูดกับความวิตกกังวลนี้เหมือนเขาเป็นคนอีกคนหนึ่ง หรือเหมือนเราพูดคุยกับตัวเองในตอนที่นอนไม่หลับว่ารู้สึกอย่างไร
บอกได้ไหมว่าพูดถึงอะไรบ้าง
เหมือนเป็น inner monologue ที่เราพูดกับตัวเอง ผมหวังว่าคนฟังที่เคยรู้สึกอย่างที่ผมรู้สึกจะเข้าใจ และหวังว่าเขาจะรู้สึกถึงพลังดีๆ จากมัน ทั้งๆ ที่เพลงมันชื่อ Hello, Anxiety แต่ว่าไม่ใช่เพลงเศร้าเลย เป็นเพลงที่บอกว่าเราปลดปล่อยมันออกมาได้แล้ว ไม่ต้องเก็บไว้กับตัวเองอีกต่อไป ความวิตกกังวลหรืออะไรที่เกี่ยวกับสภาพจิตไม่ใช่อะไรที่เราควรต้องเก็บไว้ มันเป็นอะไรที่เราพูดกันได้ พูดกับเพื่อนว่าเขาเคยรู้สึกแบบนี้หรือเปล่า เชื่อว่าการที่ได้พูดและระบายออกมาเป็นอะไรที่ healthy กับตัวเรามากกว่า พอคุณได้รับฟังอะไรข้างนอกเยอะมากๆ การอยู่กับตัวเองและได้เข้าใจตัวเองจริงๆ ว่าเรารู้สึกแบบนี้เพราะแบบนี้ พอเราผ่านตรงนั้นมาได้ก็จะรู้สึกดีขึ้น แต่ตัวเราต้องยอมรับกับข้างในของเราได้ก่อน
ใช้เวลาเขียนเพลงนี้นานไหม
ผมใช้เวลาเขียนนานมาก เพราะดนตรีเพลงนี้เสร็จไปนานมากแล้ว ซึ่งผมยังหาคอนเทนต์ที่นำมาใส่เป็นเนื้อร้องแล้วเป็นสิ่งที่รู้สึกจริงๆ ไม่ได้สักที เลยใช้เวลาคิดกับมันอยู่สักพักเลยครับ
ทุกวันนี้ก่อนขึ้นเวทีบอกตัวเองว่าอะไร
ผมจะย้ำตัวเองเสมอว่าตอนนี้ผมอยู่เมืองอะไร มาเล่นที่ประเทศอะไร (หัวเราะ) พูดกับตัวเองว่าเรามาจากที่ไหนไม่รู้ ดนตรีของผมเริ่มในห้องนอนแล้วอยู่ดีๆ ได้มาเล่นที่เบอร์ลิน ได้เล่นเฟสติวัลที่อัมสเตอร์ดัม เป็นอะไรที่มหัศจรรย์มากๆ แค่ได้ไปอยู่ตรงนั้นกับเพื่อนบนเวทีก็เติมเต็มเรามากๆ แล้ว
Magic moment ในการเล่นดนตรีของคุณคืออะไร
เกิดขึ้นตอนผมแสดงสดครับ โมเมนต์ที่ดีที่สุดคือช่วงที่เราไม่แคร์แล้วว่าคนเข้าใจในสิ่งที่เราร้องออกไปหรือเปล่า อาจจะสื่อสารไม่เข้าใจผ่านภาษา แต่มีการเชื่อมต่อในการเป็นมนุษย์คนหนึ่งกับอีกคนหนึ่ง ที่กำลังส่งพลังงานดีๆ ให้กัน เป็นอะไรที่อธิบายยากถ้าไม่เคยเจอเอง จริง ๆ แล้วดนตรีเป็นแค่คลื่นความถี่ครับ เสียงทุกอย่าง เราอาจสัมผัสไม่ได้ มันเป็นแค่ vibe ที่เราต้องรู้สึกข้างใน ไม่จำเป็นต้องมีคนมาดูเยอะ เป็นอารมณ์ร่วม เห็นเขายิ้ม เห็นเขาโยกตามเราก็เป็น vibe ที่ดีมากแล้ว
การได้เชื่อมกับคนอื่นผ่านเพลงของเรา ให้อะไรคุณกลับมาบ้าง
ผมรู้สึกว่าเราตัวเล็กลงครับ หมายถึงว่าปัญหาที่รู้สึก ความเครียด หรือสิ่งที่ได้ปลดปล่อยไปในตอนนั้น เขาได้รู้สึกไปกับเราด้วยแล้ว ทุกอย่างมัน not that bad as it seems อย่างน้อยก็มีคนที่รู้สึกกับสิ่งที่เราทำ ทำให้มุมมองของเรากว้างขึ้น วันนี้เราอาจจะรู้สึกไม่ดีเลย แต่พอได้แชร์ไปผ่านการเล่นดนตรี ก็รู้สึกเบาลง อาจจะพูดว่าเบาลงมากกว่าตัวเล็ก เรารู้สึกไปด้วยกัน สนุกกับสิ่งเดียวกัน
มีประเทศไหนที่วัฒนธรรมดนตรีสร้าง culture shock ให้คุณบ้างไหม
ช็อกมากๆ ตอนที่ไปเล่นที่ญี่ปุ่นครั้งแรกในชีวิตครับ ช็อกกับการที่เขาตั้งใจฟังเราขนาดนั้น ทั้งๆ ที่เขาอาจจะไม่ได้รู้จักเพลงทั้งอัลบั้ม เพลงดังๆ อาจจะร้องไม่เป็นด้วยซ้ำไป เรารู้ถึงพลังงานการมีส่วนร่วมที่เขาตั้งใจฟัง แล้วเวลาเขาตบมือเขาตบมือแบบจริงๆ จนเรารู้สึกตื้นตัน อันนั้นช็อกในแง่ดี
ช็อกอีกครั้งหนึ่งตอนไปยุโรป แล้วไปเล่นที่ไลฟ์เฮาส์ เมืองวอร์ซอ ประเทศโปแลนด์ ก็รู้มาบ้างว่าไลฟ์เฮาส์ของเขาไม่ได้เหมือนที่ไทยนะที่จะมีทีมงานมาเซตอะไรให้พร้อม ผมและรถตู้ขนของไปถึงไม่มีใครเลย มีแค่โปรโมเตอร์เปิดประตูมารับบอกว่า โอเค วันนี้เล่นที่นี่นะ เชิญยกของขึ้นไปได้เลย ผมก็งง อ๋อ ระบบมันเป็นอย่างนี้ เราต้องหิ้วกลองชุด หิ้วแอมป์ขึ้นไปเซตเอง ต่อสายไฟเอง เสร็จแล้วซาวนด์เอนจิเนียร์เขาถึงจะมาคุมทีหลัง ผมทำอย่างนี้อยู่ 17 เมืองครับ (หัวเราะ) จากคนที่ไม่เคยเจอมาก่อนก็ต้องปรับตัวเร็วมาก ก็สนุกดีครับ เป็นนักดนตรีที่เล่นดนตรีแล้ว เราก็ควรจะเซตทุกอย่างเป็น สอนให้เราเติบโตมากขึ้น
ที่ไหนท้าทายที่สุด
น่าจะเป็นอิตาลี ผมมีโอกาสได้ไปเล่น 4 เมือง เริ่มที่มิลาน ไปตูริน ไปเจโนวา และโบโลญญา อิตาลีเป็นประเทศที่แฟนเพลงเราไม่เยอะอยู่แล้ว มีโอกาสไปทัวร์ก็ลองดู เป็นการเล่นดนตรีที่ได้เรียนรู้ว่าบางครั้งเขาอาจจะไม่เข้าใจและไม่ได้อินกับเราขนาดนั้น ซึ่งเป็นบททดสอบที่ทำให้เราต้องเริ่มต้นใหม่ จงลืมไปเลยว่าเราเป็นใครมาจากไหน เราแค่เล่น และพยายามเอาคนที่ไม่รู้จักเราเลยให้อยู่ เขาอาจจะไม่ได้แคร์ในสไตล์ดนตรีของเราด้วยซ้ำ ต้องทำให้เขาอินให้ได้ เป็นความท้าทายที่เหนื่อยแต่สนุกมากครับ
ทุกวันนี้ฟังเพลงคนอื่นๆ ยังสนุกอยู่ไหม
ผมไม่ได้เสพดนตรีน้อยลง ยังเสพดนตรีเหมือนเดิม และพยายามฟังเพลงใหม่ๆ ทุกวันให้ได้ ช่วงนี้กลับมาสนุกกับการดูหนังขึ้นเยอะ เพราะเราก็เรียนภาพยนตร์มา แล้วจบมาก็ยังไม่ค่อยได้เข้าไปแตะในสายงานที่เรียนมาเลย ช่วงนี้การดูหนังเป็นอะไรที่ผ่อนคลาย สนุก
ซีรีส์เรื่องล่าสุดที่ติดคือเรื่องอะไร
เพิ่งดู Kingdom ตื่นเต้นมากครับ ดีมากแนะนำ จริงๆ ผมดูหนังได้ทุกแนว แต่ถ้าไม่อยากให้เครียดมักจะชอบดูแนว romantic-comedy จะยุค 2000s หรือ 90s อย่าง Notting Hill หรือ Pretty Woman อะไรแบบนี้ไปเลยครับ
เรียนภาพยนตร์มาด้วย ถ้างานดนตรีซาลงยังสนใจงานกำกับอยู่ไหม
จริงๆ ผมสนใจมากครับ คือซาหรือไม่ซาผมก็ยังอยากกลับไปทำ เพิ่งได้คุยกับเพื่อนที่เรียนมาด้วยกันว่าว่างๆ เราไปถ่ายอะไรกัน ไปทำ one-minute short ffiilm ก็ได้ อยากทำมาก
มีอะไรที่ชอบทำแล้วไม่เคยบอกคนอื่นไหม
ผมชอบคีบตุ๊กตาครับ แต่จริงๆ ก็เปิดเผยมาสักพักแล้ว แต่พอมาดูอีกทีคนที่คีบในร้านก็มีแต่เด็กๆ แล้ว (หัวเราะ) ก็รู้สึกว่าผมอาจจะอายุเยอะไปสำหรับการทำสิ่งนี้ แต่มันเป็นอะไรที่เราชอบมาก หรืออย่างเพลงผมชอบฟังเพลงแบบ Akon เพลง Lonely อะไรแบบนี้ปาร์ตี้ๆ เพลงดีนะ จริงๆ ก็ไม่ได้ guilty ขนาดนั้น
ความฝันต่อไปล่ะ
ตอนนี้โอเคแล้วครับ ได้คุยกับตัวเองขนาดนั้นแล้ว ได้ทำเพลงระบายความรู้สึกเครียดๆ ออกมาแล้ว สิ่งที่อยากทำต่อไปคือทำผลงานที่ดีสำหรับตัวเองต่อไปเรื่อยๆ เราหวังว่าคนที่ชอบเราเขาจะชอบจริงๆ ไม่ได้ชอบแค่ในความที่ภูมิน่ารัก ภูมิยิ้มเก่ง ถึงมาฟัง แต่ชอบในตัวดนตรีจริงๆ เป้าหมายต่อไปน่าจะเป็นการใส่ตัวเองเข้าไปในผลงานครับ ไม่อยากให้คนเข้ามาสนใจเพราะหน้าตาหรือภาพลักษณ์ภายนอก เมื่อเราไม่อยู่แล้ว งานดนตรีจะได้อยู่ตลอดไป เราอยากใส่พลังงานเข้าไปในดนตรีจริงๆ มันจะได้เป็นผลงานที่มีพลัง
ทุกวันนี้ยังใช้เพลง Long Gone ปิดโชว์อยู่ไหม
ยังใช้ครับ (หัวเราะ) เพราะมันเป็นเพลงที่เปิดประตูให้ทุกอย่างสำหรับเราจริงๆ ก่อนเพลง Lover Boy ก่อนที่คนไทยจะรู้จักภูมิจริงๆ Long Gone คือทุกอย่าง เป็นเพลงที่ไปติดบล็อกของ Reddit แล้วสร้างผู้ฟัง มีเด็กฮิปสเตอร์อเมริกันเข้ามาคอมเมนต์ แล้วผมก็งงว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง แล้วก็เปิดประตูให้เราได้ไปเล่นเฟสติวัลที่ไต้หวันครั้งแรก ได้ไปเจอโปรโมเตอร์ของแต่ละประเทศ ได้พูดคุย และเกิดการทัวร์ เลยเป็นเพลงที่สำคัญสำหรับผม และเป็นเพลงที่เล่นสดสนุกที่สุด แล้วเพลงนี้มีเมสเซจและทัศนคติที่เราพยายามจะส่งให้คนมากที่สุดว่า ไม่ว่าคุณจะเจออะไรมา ไม่ว่าวันนี้จะแย่ขนาดไหน ขอให้คุณฟังเพลงนี้แล้วรู้สึกเหมือนปลาว่ายน้ำไปด้วยกัน
PHUM VIPHURIT