ตั้งแต่โปรเจ็กต์ PLAY 1 เมื่อปี 2552 เขาเลือกเพลง ‘แววตา’ ของเจ เจตริน มาร้องใหม่ พอมาครั้งนี้ เขาก็เลือกเพลง ‘อยากให้รู้ว่าเหงา’ ของพี่เจมาทำอีก แสดงว่า ‘หนุ่ม’ – ณพสิน แสงสุวรรณ หรือที่เรารู้จักกันในนาม ‘หนุ่ม กะลา’ น่าจะมีอีกแง่มุมที่เขาอยากจะนำออกมาบอกแฟนเพลงของเขาผ่านโปรเจ็กต์ดนตรี PLAY 2 Project ของค่าย genie records
เราจึงชวนร็อกเกอร์คุณภาพคนนี้มาพูดคุยกัน เพื่อสำรวจการเดินทางบนเส้นทางดนตรีกว่า 19 ปี ที่พิสูจน์ให้เห็นว่า กาลเวลาไม่เคยกัดกินคนที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจ เสมอต้นเสมอปลาย และมีหัวใจที่แสนอบอุ่น
โปรเจ็กต์ PLAY 1 เมื่อปี 2552 คุณเลือกเพลง ‘แววตา’ ของเจ เจตริน มาร้องใหม่ พอมาครั้งนี้ คุณก็เลือกเพลง ‘อยากให้รู้ว่าเหงา’ แสดงว่าคุณต้องชื่นชอบเจ้าพ่อเพลงแดนซ์คนนี้มากๆ ใช่ไหม
ตอนเด็กๆ ผมมีความฝันว่าผมอยากเป็นนักร้องเพลงแดนซ์ อยากเป็นพี่มอส เป็นลิฟท์-ออย หรือพี่เจ แบบนั้นเลย (หัวเราะ) เวลาแต่งเพลงตอนเด็กๆ ก็แต่งแต่เพลงป๊อปตลอด พอโตมาเพื่อนชวนไปตั้งวงประกวด Hot Wave ก็ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนสไตล์ให้ร็อกขึ้นเรื่อยๆ เพราะตอนนั้นอยากออกเทปมาก จะร็อกหรือป๊อปก็ได้หมด
การเลือกเพลงของพี่เจ เจตรินมาร้องใน PLAY 2 Project นี้ ส่วนหนึ่งจึงมาจากความฝังใจในเพลงแดนซ์ตั้งแต่เด็ก หากสังเกตดีๆ เพลงอื่นๆ ของผมจะมีความเป็นป๊อปร็อกสูงมาก ยิ่งเพลงช้าจะมีความเป็นป๊อปมาก ถ้าถอดดนตรี เสียงกีตาร์แตกๆ ออก แล้วเอาดนตรีสังเคราะห์มาใส่แทนก็แทบจะเป็นเพลงป๊อปแดนซ์ได้เลยทันที เพราะตั้งแต่เด็กยันโต ผมรับอิทธิพลมาจากเพลงป๊อปเยอะ
เพลงนั้นก็ดี เพลงนี้ก็ชอบ แต่อะไรที่ทำให้มาจบที่ ‘อยากให้รู้ว่าเหงา’
ผมอยากร้องเพลงเพราะๆ ที่ผมเคยฟังมาตั้งแต่เด็ก เป็นเพลงที่ยังร้องเล่นๆ ตอนอยู่ในห้องน้ำ หรือยังร้องอยู่ในชีวิตประจำวัน พอนึกขึ้นมาได้ก็รู้สึกว่าเพลง อยากให้รู้ว่าเหงา เข้าวินที่สุด
การนำเพลงของศิลปินคนอื่นมาร้องให้เป็นแนวของตัวเองมีความยากง่ายยังไงบ้าง
ยากมาก โดยเฉพาะการนำเพลงเก่ามาดัดแปลงใหม่ เพราะเพลงเก่าเขาแข็งแรง ไม่ใช่แค่เนื้อเพลง แต่แข็งแรงไปถึงตัวนักร้องเลยด้วย ถ้าฟังแล้วเราจะจำเสียงร้องของเจ้าของเพลงได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นของพี่เจ เพลงของ อัสนี-วสันต์ หรือเพลงของพี่เบิร์ด เป็นต้น เราแทบจะเอามาร้องเป็นสไตล์เราไม่ได้เลย เพลงของพี่ๆ เขามีเอกลักษณ์ในการร้องเพลงนั้นๆ อยู่แล้ว ถ้าผมจะเอาเพลงของพี่ป้อม อัสนี มาร้องถามตรงๆ คุณจะร้องเป็นตัวเองได้จริงๆ หรอ เหมือนเสียงของพี่ป้อมนั้นฝังในหัวมา 20 ปีแล้ว เสียงของพี่เจก็เหมือนกัน อยู่ในหัวมา 20 กว่าปี การหยิบเพลงของเขามาร้องมันเป็นเรื่องยาก ผมจึงพยายามหลอกตัวเองด้วยการเปลี่ยนดนตรีใหม่ (หัวเราะ)
ในมุมมองของคุณ การได้เล่น การได้ทดลอง มีความสำคัญต่อชีวิตยังไง
สำคัญมาก ขอย้อนไปเล่าให้ฟังว่าเมื่อสัก 8 ปีที่แล้ว ตอนนั้นผมน่าจะอายุประมาณ 28 หรือ 29 ปี ผมคุยกับโปรดิวเซอร์ว่าชุดต่อไปที่ผมจะออกเพลง ผมจะไม่กระโดดแล้วนะ ขอไปยืนเท่ๆ อย่างเดียว เพราะคิดว่าพอทำเพลงมาได้ถึงจุดที่เราเริ่มแก่ เริ่มโต ก็ต้องยืนคีพลุกส์ให้สมวัยเราใช่ไหม จะมากระโดดโลดเต้นเหมือนตอนหนุ่มๆ ก็ไม่ใช่แล้ว แต่สุดท้ายผมก็ไม่ได้ทำแบบนั้นเลย ผมพูดแบบนั้นก็จริง แต่ว่าผ่านมา 8 ปีแล้ว วันนี้ผมกระโดดกว่าวันนั้นอีก และผมรู้สึกว่าผมเด็กกว่าวันนั้นด้วยซ้ำ ที่เป็นเด็กนี่หมายถึงใจกับร่างกายนะ ร่างกายของผมผมรู้สึกเฟรชกว่าเมื่อก่อนด้วยซ้ำไป
เล่นไปเถอะ ลองไปเถอะ ยุคนี้โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว การเล่นของคุณในเมื่อ 10 ปี หรือ 20 ปีที่ผ่านมา คุณอาจจะถูกตีกรอบโดยสังคม ครู พ่อ แม่ หรือใครก็ตามที่บอกว่าเล่นเป็นเด็กๆ แล้วจะไม่ได้ดีนะ ทุกวันนี้เหล่านักเล่นเกมเขาไปอยู่ระดับโลกกันแล้ว ทำเงินจากการเล่นเกม แคสต์เกมกันเป็นล้านๆ เลยใช่ไหม ถ้าคุณเล่นแล้วมีความสุข คุณก็จะดูเด็กลง เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณยังเด็กอยู่ จินตนาการก็ยังโลดแล่นอยู่
แล้วตอนนี้คิดว่าตัวเองเหมือนคนอายุเท่าไหร่
ตอนนี้ผมน่าจะสักประมาณ 27 ไม่ได้หมายถึงใบหน้านะครับ (หัวเราะ) แต่หมายถึงว่าร่างกาย ผมรู้สึกว่าผมแข็งแรงกว่าวันนั้นอีก วันนั้นยังดูแบบอิดโรยแต่วันนี้พอใจเรามันได้ และผมคิดว่าพอวันที่โลกมันเปลี่ยนไป ทุกคนเข้าใจคำว่าเล่นของเราอยู่แล้ว
“
โลกได้พิสูจน์แล้วว่าทุกอาชีพบนโลกใบนี้มันหล่อเลี้ยงตัวเองได้จริงๆ และถ้าคุณทำมันอย่างจริงจัง ทำมันอย่างสม่ำเสมอและนานพอ การเล่นของคุณมันพาคุณไปสู่ดวงดาวได้เลย ไม่ว่าคุณจะเล่นอะไรก็ตาม มันไม่มีกรอบอยู่แล้ว
”
คุณเชื่อว่าทุกอย่างเป็นไปได้ถ้าเราพยายามมากพอ
ผมเชื่อว่ามนุษย์เราเกิดมา ต่อให้ร่างกายปกติหรือไม่ปกติก็ตาม คุณต้องมีสิ่งที่ชอบอยู่แล้ว มีเหรอ คนที่เกิดขึ้นมาแล้ว ฉันชอบนอนเฉยๆ ฉันไม่อยากจะทำอะไรเลย ไม่มีหรอก ต้องมีสักอย่างที่คุณรู้สึกสนุกกับมัน คุณจะดีดลูกแก้ว คุณจะไปโดดหนังยาง ทำอะไรก็ได้ ที่คุณทำแล้วสนุก ทำแล้วมีความสุข แต่ถ้าจะให้ความฝันหรือความสนุกนั้นเป็นจริงขึ้นมาได้ คุณต้องจริงจังกับมัน แล้วก็ลองทำสิ่งนั้นซ้ำๆ ศึกษามันหน่อย มันก็จะเป็นจริงได้ แค่จริงจังกับสิ่งที่ตัวเองเล่น
อยู่บนเส้นทางนี้มากว่า 19 ปี บทเรียนสำคัญที่ได้เรียนรู้จากการศิลปินคืออะไร
19 ปีที่ผ่านมา สิ่งที่ผมได้เรียนรู้คือ ถ้าเรารักอะไรสักอย่าง เราควรถามตัวเองว่ารักมันมากพอขนาดไหน ตอนที่เป็นวงกะลามา 10 กว่าปี ผมไม่เคยถามคำถามนั้นกับตัวเองเลย ผมได้แต่ใช้ชื่อเสียงของตัวเองทัวร์คอนเสิร์ต ใช้ความเป็นร็อกสตาร์อย่างเต็มที่ ไม่ได้ขวนขวาย ไม่ได้อ่าน ไม่ได้ดู ไม่ได้ฟังอะไรเท่าไหร่ แล้วชีวิตก็เหมือนถอยหลังลงไปเรื่อยๆ
พอวันที่เป็นนักร้องเดี่ยว มาถึงจุดที่ผมถามตัวเองแล้วว่า ผมรักอะไรที่สุด คำตอบเดียวที่มันออกมาก็คือ ผมรักการร้องเพลงที่สุด แล้วคำถามต่อไปก็คือ รักแล้วคุณจะทำอะไรกับเรื่องนี้ได้บ้าง ก็หยุดกินเหล้าสิ เลิกสูบบุรี่สิ ออกกำลังกาย เรียนร้องเพลง เรียนดนตรี เข้าฟิตเนสสิ นั่นคือคำตอบที่ได้รับ
“
ถ้าคุณรักอะไรสักอย่าง แล้วคุณตั้งใจทำมันอย่างจริงๆ จังๆ คุณจะอยู่ได้ตลอดไป แต่ถ้าคุณแค่พูดว่า ‘รัก’ แต่ไม่มีเวลาทำอะไรเพื่อพัฒนามันเลย คุณก็ถอยหลัง
”
คำสองคำที่ผมคิดอยู่เสมอคือ สม่ำเสมอและนานพอ ทุกอย่างก็จะสำเร็จ คุณทำมันอย่างสม่ำเสมอหรือยัง และทำมันอย่างนานพอหรือยัง ไม่ใช่ทำ 3 วันแล้วบอก โอ๊ย ทำไมมันไม่สำเร็จสักที ดูผมสิผมรอตั้ง 19 ปี กว่าจะทำได้
PLAY 2 Project
NUM KALA : อยากให้รู้ว่าเหงา
เพลงที่อยู่ในอัลบั้ม J-Day (ปี 2541) ของ เจ เจตริน ทันทีที่เพลงถูกปล่อยมาก็ทะยานขึ้นชาร์ตเพลงฮิตหลายคลื่นวิทยุทั่วประเทศ ที่ใครได้ฟังก็อยากหยิบโทรศัพท์โทร.ไปหาใครสักคน ส่วนซีนร้องเพลงกลางสายฝนในมิวสิกวิดีโอก็กลายเป็นภาพจำของวัยรุ่นยุคโทรศัพท์โนเกียเฟื่องฟู และต่อมาเพลงนี้ก็เป็นหนึ่งในเพลงแอบรักที่แค่ได้ยินทำนองก็ร้องตามกันได้โดยไม่ต้องดูเนื้อเพลงตลอด 20 ปีที่ผ่านมา
Teaser: PLAY 2 Project