ฉีกกรอบจากเพลงร็อกหม่นๆ ในอัลบั้มก่อนๆ และกระโจนออกไปทดลองสิ่งใหม่ นี่ไม่ใช่แค่สนุกและท้าทายเท่านั้น แต่ยังแสดงถึงการเติบโตทางความคิด a day BULLETIN ตื่นเต้นและดีใจมากๆ เมื่อได้เห็นวง KLEAR ปล่อยมิวสิกวิดีโอเพลง ‘ซักกะนิด’ ใน PLAY 2 Project ของค่าย genie records ออกมาด้วยสไตล์ดนตรีจัดจ้าน ลีลาการเต้นสุดพลิ้ว และคอสตูมที่มีสีสันฉูดฉาดแปลกตา ทั้งหมดนี้คือเหตุผลสำคัญว่าทำไมเราต้องรีบชวน ‘แพท’ – รัณนภันต์ ยั่งยืนพูนชัย นักร้องนำ มานั่งพูดคุยกัน
อะไรที่ทำให้คุณเลือกฉีกตัวเองออกมาทำเพลงเปรี้ยวๆ อย่าง ‘ซักกะนิด’ ใน PLAY 2 Project
เราชอบพี่ทาทา ยัง เขาเป็นหนึ่งในไอดอลของเราตั้งแต่เด็กๆ ก็เลยตั้งใจว่าอยากคัฟเวอร์เพลงของพี่ทาทา เพลงไหนก็ได้
วิธีการของเราก็คืออยู่ในห้องซ้อมแล้วก็เปิดเพลงฟังไปเรื่อยๆ แล้วก็เลือกว่ามีเพลงไหนบ้างที่น่าจับมาเล่น ตอนนั้นมีประมาณ 6-7 เพลง มี โอ๊ะ โอ๊ย กับ แมลง ด้วย หลังจากลอง rearrange เพลงในห้องซ้อมแล้วก็ดูว่า เพลงไหนที่ดนตรีพลิกแพลงได้เยอะ แล้วก็ร้องสนุก จนเจอเพลงที่ลงตัวกับเรา และคิดไอเดียกับเพลงนั้นออกมากที่สุด
เราทึ่งกับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มากเลยนะ เพราะก่อนหน้านี้จะติดภาพว่าคุณเป็นสาวร็อกดาร์กๆ
เราฟังเพลงนี้ก่อนที่เราจะดาร์กอีก (หัวเราะ) นี่เป็นเรื่องที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ แต่เมื่อก่อนเราเป็นสายแดนซ์เลย เราเรียนเต้นมาตั้งแต่เด็ก ทั้งเต้นแจ๊ซ เต้นป็อป เต้นแอโรบิค ยิมนาสติก เรียนทุกอย่างที่เกี่ยวกับการเต้น เราจึงชอบนักร้องแบบพี่ทาทา พี่แคท พี่ติ๊นา พี่ใหม่ แต่พอโตขึ้นก็เหมือนฟีลการฟังเพลงของตัวเองเปลี่ยนไป เริ่มชอบเพลงร็อกมากขึ้น แต่จริงๆ เป็นคนชอบเต้นอยู่แล้ว ซึ่งเพลง ซักกะนิด เป็นการเอาสองจุดนี้มารวมกัน กลายเป็นเพลงเต้นที่เอาความร็อกของวง KLEAR ใส่เข้าไป เราเรียกกันเองว่าเป็น ‘ร็อกสว่าง’ เลยคิดว่ามันลงตัวพอดี
การที่เอาเพลงคนอื่นมาร้อง กว่าจะเจอจุดที่สนุกกับเพลงมันยากไหม
มีหลายเพลงที่เราร้องสนุก แต่ทำดนตรีพลิกแพลงได้ไม่เยอะ เราก็ไม่เอา หรือไปเจอเพลงที่เข้ากับดนตรีเราได้ แต่ร้องแล้วไม่เข้าปาก ก็ไม่ได้เหมือนกัน เหมือนต้องตกลงกันทั้งกลุ่มมากกว่า PLAY 2 Project จริงๆ แล้วเป็นข้ออ้างของวง KLEAR ที่จะทำอะไรก็ได้ ที่อยู่เหนือความคาดหวังของทุกคน เพราะเป็นช่วงเวลาที่วงทำอัลบั้มที่แล้วจบพอดี แล้วเรากำลังเตรียมแพลนทำอัลบั้มใหม่ ซึ่งจังหวะนี้กลายเป็นแก๊บที่ดีมาก พวกเราจะทำอะไรก็ได้ เพราะถ้าวง KLEAR ออกอัลบั้มใหม่แล้วออกเพลงแบบ ซักกะนิด เราว่าก็ต้องมีคนตั้งคำถาม แบบ เอ๊ะ! ได้หรอ (หัวเราะ)
การออกอัลบั้ม PLAY 2 Project เลยเหมือนได้ล้างไพ่ทุกอย่าง ได้บอกทุกคนว่าได้โปรดอย่ายึดติดกับวง KLEAR ที่เคยเป็น เพราะเราอยากเปิดรับกับสิ่งใหม่ๆ เสมอ เราสามารถทุบกรอบเดิมไปได้หมดเลย เป็นโอกาสในการทำสิ่งใหม่ๆ ที่พวกเราสนุกมาก
เชื่อว่าสนุกมากจริงๆ เพราะในมิวสิิกวิดีโอนี่ทุกคนจัดจ้านกันมาก
ใช่ๆ เราก็บอกทางค่ายว่าเราอยากฉีกกรอบ ขอทำแบบสีๆ เลย อยากสนุก อยากเต้นนะ ทาง genie records ก็ หืม…ใส่ (หัวเราะ) เพราะพวกเขาเองก็ยังนึกไม่ออกว่าวงเราจะทำออกมายังไง
แต่พักหลังๆ มานี้เราก็เห็นว่าทางวงเริ่มให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ที่เปลี่ยนไปของวงบ้างเหมือนกันนะ
จริงๆ ก็แค่อัลบั้มหลังๆ เท่านั้นเอง เพราะสามอัลบั้มแรก เราแทบไม่ได้ให้ความสำคัญกับเสื้อผ้าหน้าผมเท่าไหร่ ตอนนั้นเราไม่ตระหนักว่าเรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งของการทำงาน เหมือนเวลาทำเพลง ช่วงแรกๆ เราก็อยากทำให้คนรู้จักก่อน ก็ทำเพลงที่วงชอบ และคนฟังก็ชอบ โดยไม่ได้เอาเรื่องลุกส์มาเป็นเรื่องสำคัญ เวลาเขาจะให้แต่งตัวเราก็ไม่เอาๆ
จนพอมาเริ่มที่อัลบั้ม 4 เพลง กระโดดกอด เราก็กลับมาคุยกันว่าจริงๆ การแต่งตัว หรือเรื่องสไตล์ลิ่ง เป็นส่วนหนึ่งของการทำงาน เป็นแบรนด์ดิ่งที่วงอยากสื่อออกไป เพราะในเชิงการตลาด จะเป็น Touch Point ของคน ที่ไม่ได้มีแค่หู แต่มีตาด้วย เราก็เลยมาคุยกันอย่างจริงจังว่าถ้าจะปรับลุกส์ จะออกมาเป็นแนวไหน เพื่อที่จะไปคุยกับสไตลิสต์ได้อย่างชัดเจน จึงเริ่มแต่งตัวกันบ้าง แทนที่จะปล่อยให้มันเซอร์ๆ แบบเมื่อก่อน
เชื่อเหมือนกันไหมว่าเวลาได้แต่งตัวแล้ว จะทำให้เราเหมือนเป็นคนใหม่และมีความมั่นใจเพิ่มขึ้น
เราสบายใจขึ้นด้วย เหมือนเคยมีกรอบเดิมๆ ของตัวเองอยู่ แล้วได้ทลายกรอบตรงนั้นออกไป อย่างเมื่อก่อนจะมีความคิดว่า เป็นวงร็อกจะไม่ทำเพลงช้า ไม่ทำเพลงรัก แล้วกรอบนั้นแหละที่ทำให้เราไปไหนไม่ได้ สุดท้ายก็ยอมทำลายกรอบ ทำเพลงรัก และทำเพลงช้า แล้วมันก็ดีกับเรา เช่นเดียวกับกรอบความคิดเดิมๆ ว่าเป็นศิลปินแล้วจะไม่แต่งตัว แต่พอลองทำลายกรอบนั้นดู เฮ้ย! มันดีกับเราหมดเลย ยิ่ง PLAY 2 Project ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ได้ทำลายกรอบอีกรอบ ได้คิดอะไรใหม่ๆ ได้เต็มไปหมด
แล้วก็ได้มาทบทวนว่าเมื่อก่อนเราปิดกั้นตัวเองหรือเปล่า การที่คนอื่นมาแนะนำว่า ทำแบบนี้ไหม แล้วเราตอกกลับไปว่า ไม่ ไม่แม้แต่จะลอง เรารู้สึกว่าไม่ควรทำอย่างนั้นอีกต่อไป เพราะเข้าใจแล้วว่าถ้ามีโอกาสเข้ามาก็ควรรับไว้ก่อน แล้วค่อยมาคิดว่าทำยังไงถึงจะเหมาะสมกับตัวเอง
เหมือนเป็นความคิดที่ตกตะกอนหลังจากที่โตขึ้นด้วยหรือเปล่า
ใช่ๆ เหมือนเป็นการเปิดให้โอกาสเข้ามาในชีวิต อย่างล่าสุดเราได้ขึ้นไปพูดบนเวที TEDxKasetsartU ช่วงนี้เราได้ลองทำนั่นทำนี่ รับปากไปแบบไม่ได้มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์
“
เรารู้สึกถึงคำว่า ‘ช่างแม่ง’ ซึ่งมันไม่ใช่คำหยาบนะ คำนี้ทำให้เรากล้าลองทำอะไรใหม่ๆ อีกเยอะ โดยไม่ยึดติดกับตัวตน ไม่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ไม่ลัวผิด ไม่กลัวพลาด
”
เมื่อก่อนเราไม่เป็นแบบนี้เลยนะ เพราะเมื่อก่อนจะค่อนข้าง strict กับสิ่งที่ตัวเองเป็น จะร้องเพลงแบบนี้อย่างเดียว จะพูดแบบนี้เท่านั้น อยู่บนเวทีก็ไม่พูดกับคนดูด้วยซ้ำ แสดงเสร็จก็หันหลังให้คนดู ไม่ยิ้ม ร้องเพลงดาร์กๆ แต่สุดท้ายก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป วันนี้เรารู้สึกว่า ดีนะที่ยอมฟังคนอื่นบ้าง ดีนะที่เคยเจ๊งมาก่อน ดีนะที่ได้กลับมาพังเพลงในอัลบั้มแรก ซี่งตอนนั้นเราก็รู้แหละว่ามันไม่เวิร์ก แต่เราก็รั้นเกินไป จนเราค่อยๆ เปลี่ยน ค่อยๆ ฟัง ออกไปเจอโลกความจริง ออกไปดูว่าคนฟังเพลงของเรามีแบบไหนบ้าง แล้วก็บอกตัวเองตลอดว่าบทเรียนครั้งนั้นทำให้รู้ว่าจริงๆ ควรจะ open mind มากกว่านี้ เพราะถ้ามัวแต่อยู่ในโลกของตัวเอง เราก็จะคิดได้แค่นั้น
คุณเห็นด้วยไหมกับการที่มีคนบอกว่า ‘เราต้องล้มให้เยอะ และลุกขึ้นให้เร็ว’
ใช่ ตอนที่ไปพูดในงาน TEDxKasetsartU ครั้งล่าสุด เราได้เจอสปีกเกอร์หลายคนที่มีความคิดที่เจ๋งมาก เขาบอกว่า ความล้มเหลว จริงๆ ไม่ใช่ความล้มเหลว แต่เป็น success in process เราล้มเพื่อจะรู้ว่าตรงนี้ไม่ใช่ แล้วรีบลุก อย่าไปกลัวว่าล้มไม่ได้หรือผิดไม่ได้ PLAY 2 Project ก็เหมือนกัน เราคิดว่า ถ้าทำออกมาแล้วคนไม่รับ อย่างน้อยเราก็ได้ทำออกมาเพราะเราอยากทำ และเราก็ได้ทำแล้วไง ทำไปแบบไม่กลัวผิด และไม่คาดหวังว่าใครจะรับหรือไม่รับ
จากสิ่งที่ได้เรียนรู้มาทั้งหมด ยังมีสิ่งไหนไหมที่วง KLEAR ยึดมั่นและไม่ยอมเปลี่ยนจริงๆ
เราเชื่อมั่นในรสนิยมของกันและกัน สิ่งที่เรายังทำตั้งแต่อัลบั้มแรกจนถึงวันนี้คือ วงเราไม่มีประชาธิปไตย เราไม่มีการโหวต ถ้าอยากทำกันแค่ 3 ใน 4 คน ก็จะไม่ผ่าน ต้องอธิบายว่าทำไม ค่อยๆ ปรับ แก้ไข จนทุกคนเห็นด้วยทั้งหมด ซึ่งเรารู้สึกว่า นี่คือเพียงพอแล้วสำหรับพวกเรา ไม่จำเป็นต้องไปยึดมั่นเรื่องสไตล์หรืออะไร เราปรับเปลี่ยนได้ แต่ต้องเห็นด้วย และปรับเปลี่ยนไปพร้อมๆ กัน เราเชื่อว่าคนที่ปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลาคือคนที่เติบโต ถ้าทั้ง 4 คนในวง KLEAR ชอบเหมือนกัน ถือว่าผ่านแล้วสำหรับเรา
PLAY 2 Project
เพลงโปรโมตในอัลบั้มชุดที่ 2 ของสาวน้อยมหัศจรรย์ ทาทา ยัง ซึ่งเปิดตัวด้วยท่าเต้นสนุกๆ กับเนื้อร้องกวนๆ ซึ่งนอกจะเป็นเพลงฮิตของทาทาแล้ว กางเกงหลายกระเป๋าสีเงินก็โด่งดังไม่แพ้กัน โดยได้คอนเซ็ปต์มาจากการเข้าสู่ยุคมิลเลนเนียม ที่เทรนด์ตอนนั้นอะไรๆ ก็ต้องเป็นสีเงิน พอถูกนำมาทำให้เวอร์ชันของวง KLEAR ทางวงก็ได้คำแนะนำจาก ต้า พาราด็อกซ์ ว่าให้สร้างคาแร็กเตอร์ขึ้นมาระหว่างร้องเพลง โดยนึกถึงผู้หญิงที่ชอบเต้นรำอยู่ในผับ แล้วเอามาบวกกับท่าทางการเต้นของตัวเทเลทับบี้ จนได้ออกมาเป็นสไตล์การร้องและเต้นที่แปลกตาของนักร้องนำ