เรานัดสัมภาษณ์พิธีกรหนุ่มมากความสามารถ กันต์ กันตถาวร ผู้วาดลวดลายบนหน้าจอทีวีผสานไปกับลีลายียวน บวกความเป็นตัวเองเข้าไปอย่างแนบเนียนตั้งแต่เช้าตรู่ เราอยากถามถึงชีวิตที่ห้อมล้อมไปด้วยรายละเอียดมากมาย ดูน่าสับสนวุ่นวาย และก็น่าสนุกสนานท้าทายไปพร้อมๆ กัน อันประกอบไปด้วยเรื่องการงาน ครอบครัว ความรัก และแน่นอนว่าถ้าคุยกันเรื่องชีวิต กันต์จะขาดเพื่อนสนิทคนนี้ไปไม่ได้ คนที่เข้ามาเติมเต็มและกวนให้ส่วนผสมอื่นๆ กลมกลืนเข้ากันได้อย่างลงตัว
เขาเดินทางมาตรงตามนัดหมายพร้อมกับจูงเพื่อนคนนี้มาด้วย… จริงๆ ไม่น่าจะเรียกว่า ‘คนนี้’ แต่น่าจะเรียกว่าเจ้ายากูซ่า สุนัขสีน้ำตาลสายพันธุ์ชิบะอินุที่หน้ายิ้มตลอดเวลา
“ซ่า! ทำตัวเรียบร้อยนะเราน่ะ” กันต์เรียกชื่อเล่นและจัดการให้มันไม่ดื้อไม่ซน ก่อนที่จะปลีกตัวไปนั่งแต่งหน้าและเตรียมแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าจาก SMILEYHOUND ที่สไตลิสต์ได้จัดเตรียมไว้ เพื่อให้เหมาะกับลุกส์ที่ดูเรียบง่าย สูงโปร่ง ปราดเปรียวและดูคล่องแคล่ว แน่นอนว่าต้องรักสัตว์ด้วย ซึ่งตรงกับคอนเซ็ปต์ SMILEYHOUND เข้าอย่างเต็มเปา
“สารภาพก่อนเลยว่าผมชอบมาตั้งแต่ GREYHOUND, PLAYHOUND สมัยเรียนมหาวิทยาลัยนี่แบบว่า… นะ เราก็ต้องจัดเต็มกันสักหน่อย เวลาไปเรียนและไปแฮงเอาต์กับเพื่อนๆ หากเพื่อนในกลุ่มเรามีสีนี้ เราจะต้องมีสีนั้นไปสลับ มีคอลเล็กชันนั่นนี่ แต่งตัวกันสนุกดีตอนเป็นวัยรุ่น” กันต์คุยกับสไตลิสต์ของเราอย่างถูกคอ
พลังความสนุกสนานของกันต์แผ่เป็นรังสีสบายๆ กระจายไปสู่คนรอบข้าง ก่อนสร้างเป็นบทสนทนาว่าด้วยเรื่องราวง่ายๆ ใกล้ตัว และสร้างความเฮฮาเป็นกันเองกับทีมภาพแฟชั่นของเรา
จนกระทั่งถ่ายภาพเซตแฟชั่นกันเสร็จ ทีมเอดิทอเรียลก็ขอให้เขามาเข้าร่วมวงพูดคุยเรื่องจริงจังกันบ้าง สักพักเดียวน้ำเสียงและอารมณ์ของเขาก็ปรับเข้าสู่โหมดเอาจริงเอาจัง และทำให้เราได้เรื่องราวที่หนักหน่วงกินใจ น่าสนใจไม่แพ้เรื่องราวชีวิตที่สนุกสนานของเขา
“ไม่ว่าจะแต่งตัวหรือการใช้คำพูด ทุกอย่างต้องเรียนรู้และมีกาลเทศะเสมอ” นี่คือประโยคที่เขามักย้ำอยู่เสมอ
เมื่อได้เวลาทำงานแบบที่ไม่ได้ทำงาน (เขามักเรียกชีวิตการทำงานของเขาแบบนั้น ชีวิตที่สอดคล้องไปกับการงานจนแทบไม่เหมือนกันทำงาน) กันต์ก็ตบมือขึ้นหนึ่งครั้ง เพื่อเรียกสติสตังให้กับตัวเอง เขาพร้อมแล้วที่เล่าเรื่องราวไลฟ์สไตล์ที่เกี่ยวโยงกับสิ่งรอบตัวที่ใครๆ คาดก็ไม่ถึงมาก่อนให้ฟัง
การทำงานและวิถีชีวิตของคุณ ที่วันนี้หล่อรวมเป็นหนึ่งเดียวได้นั้นเกิดขึ้นจากสิ่งอะไร
ส่วนหนึ่งคงมาจากการที่ผมมีเพื่อน หรือคนที่มาสิงสถิตด้วยกัน และมักจะเป็นรุ่นพี่ เพื่อนคุณพ่อ หรือเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ในการใช้ชีวิต หรือบางคนก็เกษียณไป พวกเขาได้หล่อหลอมให้ผมมีมุมมองการใช้ชีวิตผ่านเรื่องราวดีและไม่ดี ประสบการณ์ที่ผ่านมา การทำงาน หรือคำแนะนำต่างๆ
ทำให้ทุกวันนี้ เรารู้สึกว่าทำงานเหมือนไม่ได้ทำงาน ง่ายๆ เลยคือมีคนจ้างให้เล่นไปเป็นตัวเอง ให้ไปเล่นกับพี่ กับน้อง กับเพื่อน ไปเล่นมุกเหมือนอยู่ในวงคุยกันปกติ ตลกไปตลกมา แต่จุดนี้แหละที่เขานำไปออนแอร์ เราเองก็มีความสุข คนอื่นก็มีความสุข จนการทำงานแบบนี้ได้กลายเป็นวิถีชีวิตของผม และได้กลายเป็นวิถีชีวิตของคนดูไปด้วยเช่นกัน
หมายถึงคนดูได้เฝ้ารอคุณผ่านหน้าจอโทรทัศน์ใช่มั้ย
ประมาณนั้น เหมือนตอนเด็กๆ ที่เราติดการ์ตูน โตมาหน่อยก็ติดละครหรือรายการอะไรสักอย่างแล้วต้องกลับบ้านมาดูให้ได้ อย่างผมกับพ่อแม่เคยติดซีรีส์ชนิดที่ว่าได้เวลากินข้าวเย็นแล้วก็ยังไม่ยอมลุก นั่งดูกันอยู่อย่างนั้นจนหัวค่ำถึงชวนกันออกไปกินข้าว นั่นแสดงว่าผู้จัดการและนักแสดงในซีรีส์นั้นเขาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตของเราแล้ว แล้ววันนี้ผมเองก็ได้เป็นพิธีกรรายการ ทั้ง I Can See Your Voice, The Mask Singer จากคนที่เคยดูรายการโทรทัศน์ กลายเป็นคนที่อยู่ในส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนดู ผมภูมิใจกับการทำงานแบบนี้มาก พูดแล้วก็ขนลุกน่ะ
การทำงานที่ได้เป็นตัวของตัวนั้นดีอย่างไร
แน่นอนว่าผมไม่โกหกตัวเอง ผมเป็นนักแสดง ต้องขายความสามารถยิ่งกว่าคนอื่น แต่พอเป็นพิธีกรก็ต้องเจอกับคำว่าขั้วบวก ขั้วลบ นั่นก็คือการขายความสามารถที่เป็นตัวของตัวเองให้ได้มากที่สุด คุณจะไม่เคยเห็น ปัญญา นิรันดร์กุล ไปเป็นแบบ ดู๋ สัญญา และคุณก็จะไม่เคยเห็น ดู๋ สัญญา ไปทำแบบ ไตรภพ ลิมปพัทธ์ เพราะแต่ละคนจะมีตัวตนที่ชัดเจนเด็ดขาดว่าต้องเป็นคนนี้เท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีนะ
มองกลับมาที่ กันต์ กันตถาวร ได้ทำทั้งสอง ทั้งนักแสดงและพิธีกร ทำให้ผมได้รู้ว่าการเป็นตัวเองนั้นโคตรจะมีความสุขเลย เพียงแต่แยกกาลเทศะให้ถูกต้อง เช่น อยู่ในรายการ The Driver กับ โอ๊ต ปราโมทย์ แล้วจะให้พูดลงท้ายว่า ‘ครับ’ ไอ้โอ๊ตคงหันมาด่าว่า ค…ย แน่ๆ
ระดับภาษาพูดที่ใช้กับแต่ละคนก็แตกต่างกันด้วย
ผมว่าทุกคนเป็นเหมือนกันที่พูดคำสแลง หรือคำที่มักใช้กับบุคคลที่แตกต่างกัน รู้สึกว่าพูดได้กับเพื่อนหรือกับคนที่พูดได้ และกับวาระที่ควรจะพูด ถูกไหม เวลาพูดในรายการ ผมก็ใช้อีกภาษาหนึ่ง ผมก็ไม่ได้เฟก แต่อยู่ๆ ผมจะไปพูดคำหยาบคายกับผู้ใหญ่แล้วมีคนดูเป็นล้านก็ไม่น่าจะใช่เรื่อง แต่การรู้จักใช้คำพูดกลับทำให้ผมสนุกไปกับการทำงานและในทุกๆ เรื่องได้ แม้แต่เรื่องที่จริงจัง
งานดี พูดดี ย่อมส่งผลถึงการมีทีมทำงานที่ดีจริงหรือเปล่า
ถูกต้อง… ซึ่งทุกวันนี้ผมไม่ได้ทำงานคนเดียว ผมเหมือนเป็นแม่ทัพนำทีม และไม่ใช่นำทีมแบบดรีมทีม เพราะไม่เคยมี มันอาจจะเกิดขึ้นได้หนึ่งในร้อย แต่สำหรับเรา มีแต่คำว่า ‘ทีมเวิร์ก’ ดึงข้อดีของแต่ละคนออกมาใช้อย่างเต็มที่ แล้วก็กลบข้อเสียของแต่ละคน ไม่มีการกล่าวโทษกัน แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ขาดคำว่าทีมเวิร์ก ทุกอย่างก็จะพัง ต่างคนต่างเริ่มมองหาคนผิด โยนความผิด ปั่นความรับผิดชอบ งานก็ออกมาไม่ดี
หากทุกคนช่วยกันปรับและแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้าให้ออกมาดีที่สุด นี่ต่างหากคือการทำงานที่ดี และเป็นการซื้อใจคนทำงานไปในตัว ซึ่งทำได้ยากมาก แต่หากทำได้ก็จะเป็นเรื่องที่ดีมาก และทุกคนก็จะคิดแบบเดียวกัน คือการเป็นทีมเดียวกัน แตกต่างกันแค่เพียงหน้าที่ นอกนั้นคือสิ่งที่ต้องรับผิดชอบร่วมกัน ช่วยกันได้ก็ช่วยกันไป สุดท้ายการทำงานในทุกๆ วันก็เต็มไปด้วยความสุขไม่ต่างจากการมาเจอเพื่อนหรือพี่น้องเลย
การทำงานที่พอดี การใช้ชีวิตจึงดีพอตามไปด้วย
ถูกต้อง ง่ายๆ เลย ตื่นมา กินกาแฟ เล่นกับหมา ออกไปทำงาน กลับมากินข้าวกับพ่อและแม่บ้าง กับแฟนบ้าง กับเพื่อนบ้าง ดูหนัง นอน แล้วก็วนไปแบบนี้ เพราะงานสามารถตอบโจทย์ชีวิตเรา ตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์ตัวเองทุกทาง อยากไปเที่ยวก็ได้ไป อยากกินอะไรต้องได้กิน อยู่บ้านอย่างมีความสุข ได้นอนเต็มอิ่ม ทำงานให้หนัก งานไม่ดีไม่ทำ งานไม่เสร็จยันเช้าก็ยังไหว แต่ต้องเป็นทีมเวิร์กนะ ที่สำคัญ ไม่ได้แค่ตอบโจทย์ชีวิตตัวเองอยู่คนเดียว ยังสามารถตอบโจทย์ให้กับวงกลมคนที่เราแคร์ได้อีกด้วย ทั้งพ่อแม่ แฟน น้องสาว หมา 5 ตัว และเพื่อนสนิทแค่นี้พอ
ดูเหมือนคุณพอได้เร็วกว่าคนทำงานที่ใช้ชีวิตวัยเดียวกัน
อาจจะเพราะว่าเราเป็นคนซ่า เกเรมาตั้งแต่เด็ก เรื่องผู้หญิงก็ผ่านมาหมด จนใกล้จะแต่งงานอยู่แล้ว สมัยก่อนสนุกไปกับปาร์ตี้ เมาเละเทะยันเช้า แต่ก็ลุกไปเรียนต่อ เรียนเสร็จกลับมาเมาอีก คิดดู 1 สัปดาห์ เที่ยวไปแล้ว 6 วัน แต่ก็เรียนจบจนได้ ทุกอย่างมันผ่านมาอย่างเต็มที่แล้ว และหากให้ย้อนกลับไป ผมก็จะไม่แก้ไขอะไรเลย เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้หล่อหลอมจนมาเป็นผมในทุกวันนี้
เมื่อพอแล้ว แสดงว่าคุณก็ไม่เหลือสิ่งที่อยากจะทำอีกแล้วล่ะสิ
ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น คือพอกับสิ่งที่มี แต่ความชอบของเราก็ยังมีอยู่ แต่เหลือไม่กี่อย่าง คือท่องเที่ยว และกิน ในวงเล็บว่ากินอะไรก็ได้แต่ต้องไม่ดูราคา ผมไม่ได้กระแดะนะ แต่ผมยืนยันว่า เมื่อเราสามารถเลือกสิ่งดีๆ ให้กับตัวเองหรือคนรักได้ เราก็จะเลือกสิ่งนั้นโดยไม่ให้ราคามาเป็นตัวกำหนด ผมเชื่อแบบนั้น
เช่น อยากกินข้าวกะเพราไก่ มีร้านที่อยู่ห่างออกไป 100 เมตร ขายในราคาจานละ 20 บาทเท่านั้น แต่ต้องเดินตากแดดออกไป แต่มีร้านที่ใกล้กว่า สวยกว่า ติดแอร์ และไม่ต้องเดินไป แต่ในราคาจานละ 80 บาท ผมเลือก 80 บาทนะ ส่วนรสชาติจะอร่อยกว่ากันหรือไม่ก็ค่อยว่ากัน หรือหากเลือกได้ คุณก็คงอยากให้คุณพ่อคุณแม่นั่งเครื่องบินแบบเฟิร์สต์คลาสแทนชั้นประหยัด จริงไหม วันนี้ผมเลือกอย่างนั้น ให้สิ่งดีๆ กับคุณพ่อคุณแม่ได้อย่างเต็มที่จริงๆ
ความสุขของคุณ ส่วนหนึ่งคือการได้ตอบสนองความต้องการให้กับคนที่คุณรักได้มากที่สุด?
ใช่เลย… โดยเฉพาะความสุขที่เกิดจากการมีเวลา ได้ไปเที่ยวกับคุณพ่อคุณแม่ เคยมีอยู่ปีหนึ่ง ก่อนปีใหม่ ผมก็ยื่นเงินให้พวกท่าน แต่พวกท่านก็ผลักคืน แล้วบอกว่า ตังค์พ่อมี แต่สิ่งที่อยากได้คือให้ลูกไปเที่ยวด้วยกัน ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนโดนต่อยหน้า ซึ่งเราไปด้วยไม่ได้เพราะติดงานจริงๆ แต่ตอนนี้ไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้ว แม้กระทั่งคุณแฟนเองที่เป็นคนชอบเที่ยวมาก ดังนั้น เขาอยากไปต้องได้ไป และผมต้องไปกับเขาด้วยได้ ซึ่งย้อนกลับไป หากทำงานเหมือนเดิม คือ 7 วัน สิ่งต่างๆ เหล่านี้คงจะไม่ตอบโจทย์ผมอย่างแน่นอน
แล้วความสุขของคุณเองคืออะไร
ขอแค่มีเวลาได้กินกาแฟที่ได้ชงเองตอนเช้า ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ได้อยู่กับตัวเอง โลกของผมจะหมุนช้า ได้มีเวลาคิด ตกผลึกตรรกะต่างๆ นึกถึงสิ่งที่ได้ทำแล้วหรือสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ และเมื่อกินกาแฟเสร็จเรียบร้อย ผมจะเริ่มเซตตัวเองด้วยการนับศูนย์ และนี่คือเวลาที่มีความสุขของผม แม้กระทั่งทำงานเสร็จตอนตี 4 กลับมาอาบน้ำ นอน ตื่นมา ผมก็ได้รีเซตตัวเองใหม่ เราเข้าใจแล้วว่าเมื่อวานตอนทำงานมันเหนื่อย แต่ไม่เป็นไร วันนี้เริ่มใหม่ ไม่มีอะไรค้างอยู่ในหัวอีกต่อไป
ว่ากันว่าการมีคู่หูที่ดีคือรางวัลของชีวิต สำหรับคุณแล้วจำเป็นไหมที่คู่หูจะต้องเป็นเพื่อนหรือคนรักเท่านั้น
ไม่จำเป็น เพราะว่าคำว่าเพื่อนคู่ใจหรืออะไรก็ตามที่เราจะนิยามออกมา ผมเรียกสิ่งนั้นว่า ความอบอุ่นใจ ความสบายใจ อยู่ด้วยแล้วเป็นตัวของตัวเองได้ และผ่อนคลายได้ ซึ่งจะเป็นสิ่งที่มีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ได้
ลองคิดดูว่า สมัยเด็กๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง จะมีบางอย่างที่เราติด บางคนติดหมอนข้าง ตุ๊กตา ของเล่น หรือเสื้อสักตัว ผมว่ามันคือความรู้สึกสบายใจ รู้สึกปลอดภัยที่เราจะอยู่กับของสิ่งนั้น นั่นแหละมันคือ ความรู้สึกคล้ายๆ กัน เหมือนเวลาเราอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยของตัวเอง เมื่อเราโตขึ้น เราออกไปเจอสิ่งแวดล้อมต่างๆ มากขึ้น เจอคนมากมาย ทั้งดีและไม่ดี และทั้งที่ทำให้เราปลอดภัยและไม่ปลอดภัย แต่สุดท้ายเราก็จะหวนกลับมาหาสิ่งที่ปลอดภัยเสมอ
ในความคิดผม สิ่งนั้นอาจจะเป็นของสิ่งเดิมก็ได้ หรือเป็นเพื่อนคนหนึ่งที่เรารู้สึกว่าเขาเข้าใจเรา เราโดนคนอื่นแกล้งมา แต่คนนี้ไม่แกล้งเรา เราเลยรักคนนี้มากที่สุด นี่คือบัดดี้ของเรา หรือเจอเพื่อนแกล้งมา แล้วเจอครูคนหนึ่งซึ่งดีกับเรามากเลย ต่อมาครูคนนี้ก็อาจเป็น best friend หรือ buddy ของเราก็ได้ ผมว่ามันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่หล่อเหลาคนหนึ่งคนมา ซึ่งมีความแตกต่างกัน ส่วนผมเจอแล้วว่า best buddy ก็คือน้องหมา ส่วน best friendship คือเพื่อนสนิท
เพราะอะไรคุณถึงถือว่าเจ้ายากูซ่าเป็น the best buddy
เพราะทุกครั้งที่ออกไปใช้ชีวิตในมุมไหนก็แล้วแต่ เมื่อเรากลับบ้านมา กลับไปหาความสบายใจ มาอยู่ในที่ที่เป็นเซฟโซนของเรา เราอยากเจอคนที่พร้อมอยู่กับเรา ให้เราระบาย พร้อมทำทุกสิ่งทุกอย่างกับเรา จึงตัดสินใจเลี้ยงหมา ซึ่งเริ่มจากเจ้าหมูปิ้ง น้องหมาสายพันธุ์ปอมเมอเรเนียนที่คุณแฟนเลี้ยงอยู่แล้ว จากนั้นก็มาเลี้ยงยากูซ่า เราชอบเพราะให้ความรู้สึกว่าเป็นหมาหน้ายิ้มอยู่ตลอดเวลา สามปีผ่านไปยากูซ่าก็ยังอยู่ด้วยกันมาเรื่อยๆ และกลายเป็นบัดดี้ของผม ไปไหนก็มักไปด้วยกันเสมอถ้าไปได้ แม้กระทั่งตอนนอน
ตลอดเวลาที่ใช้ชีวิตกับน้องหมา 5 ตัว ผมรู้ว่าสิ่งเล็กๆ ที่แสนง่ายที่จะทำให้เราได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับพวกเขาคือ เขาแค่ต้องการอยู่กับเรา ให้เราป้อนข้าว พาเข้านอน เล่นกับเขา หรือนั่งอยู่ด้วยกัน แต่จะมีกิจกรรมที่ทำร่วมกันบ่อยๆ คือ วิ่งด้วยกัน อย่างน้อยสองวันหนึ่งครั้ง โดยการวิ่งรอบหมู่บ้าน ผมจะวิ่งทีละตัวกับทุกตัว ตัวละ 45 นาที จนครบ 4 ตัว ส่วนอีกตัว คือหมูปิ้งที่เป็นหมาปอมฯ นั่นแค่พาออกมาเดินนิดๆ หน่อยๆ เพราะอายุเยอะแล้ว นี่แหละคือการใช้ชีวิตในไลฟ์สไตล์ของเขา โดยที่ไม่ได้เอาเขามาใส่ในไลฟ์สไตล์ของเรา
The best friends ของคุณคือเพื่อนสนิท แต่มีคนเคยบอกว่า ยิ่งโตยิ่งมีเพื่อนน้อยลง คุณคิดเห็นอย่างไร
คงจะจริง อย่างส่วนตัว เพื่อนสนิทจะเป็นเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย เพื่อนที่รู้จักกันมาก่อนที่เราจะเข้าวงการ พวกเขาจะรู้จักเราจริงๆ ที่ไม่ได้รู้จักเราในฐานะ กันต์ กันตถาวร จากหน้าจอทีวีแล้วค่อยมารู้จักกันต์ตัวจริง คือมึงรู้จักกูตั้งแต่กูเป็นกู เรื่อยมาจนเป็นนักแสดง พิธีกร ส่วนเพื่อนดาราด้วยกันน้อยมาก สำหรับเราทั้งหมดคงมีไม่ถึง 20 คน ที่เราจะเป็นตัวของตัวเองได้
ส่วนหนึ่งคงเพราะคุณรู้จักรักษาความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน จนกลายเป็นมิตรภาพที่มั่นคงทางใจ
เมื่อก่อนกลุ่มเพื่อนสนิทของผมที่จุฬาฯ เจอกันอาทิตย์ละครั้ง สังสรรค์กันทุกอาทิตย์ ล้วนเป็นเจ้าของบริษัท เจ้าของโรงแรมทั้งนั้น พวกมันยอมเคลียร์งาน เคลียร์ตารางเวลากับภรรยาเพื่อมาเจอเพื่อน ผมเลยรู้สึกดี ไม่ใช่ว่าการสังสรรค์กับเพื่อนบ่อยๆ เป็นสิ่งที่ดีนะ แต่เรามองลึกไปกว่านั้นว่าการที่เพื่อนของเราเคลียร์ทุกอย่างเพื่อมาเจอกันในวันเสาร์ตั้งแต่สองทุ่มถึงเที่ยงคืน แล้วแค่มาสังสรรค์ด้วยกัน นับว่าเป็นช่วงเวลาที่สนุก แต่ความสำคัญอยู่ที่การได้เจอกัน
จนมาถึงปัจจุบันเมื่อหน้าที่การงานเริ่มขยายตัวมากขึ้น ก็ยังหาเวลามาสังสรรค์จากรายสัปดาห์เป็นรายเดือน นี่ ‘เพื่อนแท้’ คือเพื่อนที่เต็มไปด้วยความเชื่อถือ เชื่อใจ และพึ่งพาได้ทั้งสุขและทุกข์ คนเราก็ต้องการแค่นี้แหละ แค่รู้สึกว่าไม่ได้โดดเดี่ยว
ความมั่นใจและปลอดภัยเหมือนบัดดี้หรือเพื่อน คือคีย์เวิร์ดที่คุณนำมาเลือกสไตล์หรือแบรนด์เสื้อผ้าหรือเปล่า
ใช่เลย อย่างวันนี้ผมก็ชอบชุดที่ใส่ของ SMILEYHOUND นะ เพราะดูเป็น daily use มากกว่า ใส่ไปทำงานก็ได้ หรือใส่สบายๆ สไตล์ตัวคุณเองก็โอเค ราคาก็คุ้มค่าด้วย ซึ่งจริงๆ แล้วผมเองก็เป็นลูกค้าของทั้ง GREYHOUND และ PLAYHOUND มาตั้งแต่สมัยตอนเรียนจุฬาฯ ก็ให้แบรนด์นี้เป็นชุดนิสิตทั้งเซต สมัยตอนที่เรายังเป็นแฟชันนิสต้าแบบแต่งเต็มและยังสนุกกับการแต่งตัวที่เพิ่มความมั่นใจให้เรา ต่อมาหลังเรียนจบ เราก็อยากแต่งตัวแบบสบายๆ เลยมาลงที่ PLAYHOUND เพราะใส่ง่ายและมีความเป็นแฟชั่นที่มีดีเทลเล็กๆ ซ่อนอยู่ จนวัยทำงานที่เลิกเสพติดแฟชั่นไปแล้ว เราก็มาติดตาม SMILEYHOUND ที่เพิ่งออกมา ด้วยเอกลักษณ์โดดเด่นที่ทำให้ชอบคือโลโก้และลวดลายน้องหมา ทำให้ SMILEYHOUND โดนใจผมอีกแบรนด์
หากนำสไตล์ตัวตนมาเป็นตัวตั้งในการเลือกแบรนด์เสื้อผ้า แล้วลิมิตของการแต่งตัวที่เป็นตัวเองอยู่ตรงไหน
เราเป็นตัวของตัวเองได้ แต่สิ่งสำคัญคือคุณต้องให้เกียรติคนอื่น งาน และสถานที่ที่คุณไปด้วยเสมอ
อย่างผมเองก็เป็นคนใส่รองเท้าแตะและแต่งตัวสบายๆ แต่หากต้องไปทำงานเป็นพิธีกร ก็ต้องใส่สแล็ก หรือไปงานแคชวลหน่อย ก็ใส่กางเกงยีนส์ เบลเซอร์ หรือแจ็กเกต ติดโบหรือเนกไท ทั้งหมดคือการที่เราต้องใฝ่รู้เองว่าควรจะแต่งกายแบบไหนและขนาดไหน โดยส่วนตัว ผมเป็นคนชอบความสบาย บางชุดเสื้อยืดกางเกงสามส่วน ผมจะใส่ทำงานก็ได้ แต่ต้องเป็นการทำงานแบบที่ผมไม่ได้ถือไมค์ ทั้งหมดคือกาลเทศะที่ควรจะรู้
คุณมองผู้คนหรือการเลือกสิ่งของจากสิ่งใด ว่าคนไหนหรือแบบไหนใช่หรือไม่ใช่สำหรับคุณ
ผมเชื่อในความรู้สึกแรกของตัวเองก่อนเหตุผลหรือตรรกะต่างๆ เสมอ ใช่คือใช่ ไม่ใช่คือไม่เอาเลย แต่ก็ต้องยอมรับความรู้สึกแรกอาจจะไม่จริงก็ได้ แต่เมื่อไหร่ก็ตามแวบแรกที่เราบอกตัวเองว่าใช่! เราจะมีใจในการขับเคลื่อนต่อ ไม่เกิดคำถาม ไม่เกินจุดฟูลสตอป หากรู้สึกว่าไม่ใช่แต่แรก ใจจะหาย ไม่สนุก และเกิดคำถามทุกครั้ง
ทุกอย่างในชีวิตของคุณดูเหมือนเกี่ยวโยงชีวิตและคอยหนุนให้คุณใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่จริงๆ
ถูกต้อง ทั้งหมดมาลงตัวที่คำว่า สบายกาย สบายใจ ปลอดภัย มั่นใจ ไว้ใจได้ และเชื่อกันได้ในทุกๆ เรื่องที่หนุนหลังให้ชีวิตของผมโคตรมีความสุข แต่ทั้งหมดก็ไม่ได้มาตูมเดียว
“
ชีวิตก็เหมือนการเล่นเกมที่ต้องเก็บเลเวลไปเรื่อยๆ แต่ละเลเวลก็มีความยากและความพิเศษแตกต่างกันไป ซึ่งจะค่อยๆ ขึ้นไปเรื่อยๆ กว่าจะเก็บครบทุกเลเวลไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้เวลา ประสบการณ์ในการเรียนรู้
”
ลองผิดมาเยอะจนกว่าจะได้สิ่งที่ถูก ทุกวันนี้ผมเองก็ยังเก็บได้ไม่ครบทุกเลเวล แต่เราพร้อมที่จะเรียนรู้ต่อไป ไม่ว่าจะเป็นข้อผิดพลาดหรือเจอปัญหาอะไรก็ตามแต่
สถานที่: The Jam Factory