เปิดอก ‘นักร้อง (เรียน) เบอร์หนึ่งแห่งสยามประเทศ’ ศรีสุวรรณ จรรยา และที่มาของปริญญา 6 ใบ

ยังไม่ปรากฏหลักฐานชี้ชัดว่ากินเนสบุ๊คเคยบันทึกสถิติ ‘การร้องเรียนที่มากที่สุดในโลก’ เอาไว้หรือไม่ แต่ที่แน่เสียยิ่งกว่าแน่ วันนี้ที่เมืองไทย มี ‘นักร้องเรียน’ ที่เจ้าตัวคำนวนตัวเลขการลงมือฟ้องร้องคดีความต่างๆ นานา ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมาของเขา อยู่ที่จำนวนราวๆ ห้าพันกว่าคดี 

        ผู้ชายที่ว่าความคดีเหล่านี้มีชื่อว่า ศรีสุวรรณ จรรยา

        สำหรับใครที่ติดตามข่าวสารบ้านเมืองอยู่เป็นประจำ คงคุ้นหน้าค่าตากันดีกับผู้ชายคนนี้ ที่มักจะหอบเอกสารไปยื่นฟ้องหรือร้องเรียนกับหน่วยงานภาครัฐต่างๆ อยู่เสมอ จนกลายเป็นว่าภาพของเขามักไปปรากฎตัวออกสื่ออยู่ตลอดเวลา ทำเอาประชาชนเกิดความสงสัยไม่น้อย ‘เขาคือใคร ทำไมถึงต้องฟ้องอะไรเยอะแยะนักหนา’ และเลยเถิดไปอีกว่า ‘อยากดังใช่ไหม ถึงมาออกสื่อฟ้องร้องเยอะขนาดนี้’

        เชื่อว่าความสงสัยเหล่านี้ คงเคยเกิดขึ้นในใจใครหลายคน และเพราะอยากรู้จักตัวตน เราจึงขอนัดหมายพูดคุยกับเขา ซึ่งศรีสุวรรณตกปากรับคำยินดี เป็นที่มาให้เราบุกไปสนทนากับเขาถึงบ้านย่านลำลูกกา และทันทีที่ไปถึงก็อดยิ้มไม่ได้กับหุ่นจำลอง ‘ฮัลก์’ ที่ยืนทำหน้าโกรธเกรี้ยวและยืนตัวเขียวอยู่หน้าบ้าน ยิ่งพอเดินผ่านเข้ามาถึงบริเวณห้องรับรอง ก็ยังมาสะดุดตากับบรรดา ‘พญาครุฑ’ ที่เจ้าของบ้านนำมาประดับไว้บนข้างฝาอีกมากมายหลายตัว

        “ผมชอบครุฑ ไม่มีความหมายอะไรเป็นพิเศษ” ศรีสุวรรณว่าอย่างนั้น แต่อย่างน้อยก็ทำให้บ้านดูขรึมขลังและจริงจังเอาเรื่อง ไม่ต่างอะไรกับเวลาที่เขาหอบเอกสารไปยื่นฟ้องร้องดังที่ปรากฎตามหน้าสื่อ 

        “นั่นเป็นบทบาทหน้าที่ แต่ตัวตนผมจริงๆ ผมเป็นคนชิลๆ สบายๆ” เจ้าของบ้านบอกยิ้มๆ 

        จริงเท็จประการใด บทสนทนาจากนี้มีคำตอบอย่างแน่นอน รวมทั้งยังคลี่คลายข้อสงสัยอีกมากมาย ฟ้องทำไม? ฟ้องแล้วได้อะไร? ฟ้องแล้วมีผลกับชีวิตแค่ไหน? ตามไปจับเข่าคุยกับ ‘นักร้อง (เรียน)’ ที่ว่ากันว่า ร้อนแรงและน่าทำความเข้าใจที่สุดใน พ.ศ. นี้กันได้เลย…

สมมติว่านี่คือเกมฟุตบอล การฟ้องร้องหรือแม้แต่การร้องเรียนของคุณเปรียบเหมือนการยิงประตูคู่แข่ง ถึงวันนี้คุณยิงเข้าประตูเข้าไปแค่ไหนแล้ว เป็นดาวซัลโวเลยหรือเปล่า

        (หัวเราะ)  ถ้าเป็นเกมกีฬาฟุตบอล ผมคงยิงเข้าบ้างไม่เข้าบ้าง สมมติยิงร้อยครั้ง ถ้าเข้าสักลูกหนึ่ง มันก็ทำให้คนเชียร์รอบสนามเฮกันได้แล้ว เพราะฉะนั้น ผมจะไม่ค่อยซีเรียสว่าทำไมยิงไม่เข้าสักที เพราะว่าถ้ามันเข้าสักลูก ถือว่าคุ้มค่ามากแล้ว 

แล้วในรอบสิบกว่าปี คุณยิงประตูเข้า มากกว่ายิงออกไหม

        มันต้องแยกการยิงประตูออกเป็นสองประเด็น ประเด็นแรกคือ ผมเป็นนักฟ้องร้อง ฟ้องในที่นี้คือ เอาเรื่องของชาวบ้านที่เดือดร้อนทั่วประเทศไปฟ้องร้องให้กับเขา ส่วนใหญ่เป็นคดีปกครอง ทะเลาะกับนักการเมืองท้องถิ่นบ้าง ทะเลาะกับหน่วยงานภาครัฐบ้าง ผมก็เป็นทนายไปว่าความให้ คดีที่รู้จักกันมากที่สุดคือ คดีฟ้องร้อง 76 โรงงานที่ก่อปัญหามลพิษที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง สุดท้ายโรงงานถูกสั่งปิด คดีนี้เกิดเมื่อประมาณปี 2552 โด่งดังไปทั่วโลก สื่อต่างประเทศมาทำข่าวกันมากมาย ทั้งซีเอ็นเอ็น รอยเตอร์ อัลจาซีรา อีกคดีที่คนน่าจะจำกันได้ ผมฟ้องโครงการการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้าน ของรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ รู้สึกจะช่วงปี 2557 หลังเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ ตอนนั้นทำให้โครงการต่างๆ ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์สะดุดไปเหมือนกัน

        ที่เล่ามาพวกนี้คือส่วนของการฟ้องคดี ส่วนอีกประเด็นหนึ่งคือการร้องเรียน ซึ่งผมทำคู่ขนานกันไป แต่ระยะหลังๆ เรื่องร้องเรียนจะมีจำนวนเยอะขึ้น เริ่มมาตั้งแต่ร้องเรียนให้ยุบพรรคไทยรักษาชาติ แล้วก็มายุบพรรคอนาคตใหม่ ระหว่างทางก็มีพวกยิบๆ ย่อยๆ เป็นแนวฟรีซนักการเมือง หรือร้องเรียนให้นักการเมืองหยุดปฏิบัติหน้าที่ อย่างกรณี คุณปารีณา ไกรคุปต์ ที่ถูกพักการทำหน้าที่ ส.ส. อันนั้นก็ผลงานผม ผมไปร้องกับ ป.ป.ช. (คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ) ให้ไต่สวนเรื่องจริยธรรมกรณีการครอบครองที่ดินป่าสงวนแห่งชาติ จนตอนหลังเขาก็ถูกฟรีซ หยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.ไป ส่วนเรื่องคดีก็เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการ ไม่เกี่ยวกับการร้องเรียนของเรา นอกจากนี้ยังมีกรณี ส.ส. เสียบบัตรแทนกัน พวกนี้ผมก็ร้องเรียนหมด ทุกวันนี้โดนให้หยุดปฏิบัติหน้าที่กันอยู่หลายคน

จำได้ไหมว่าคุณฟ้องร้องไปกี่คดีแล้ว

        ถ้าในทางคดีความ ผมฟ้องร้องมาน่าจะราวๆ ห้าพันกว่าคดี ส่วนเรื่องร้องเรียน ไม่ได้จดเป็นสถิติเอาไว้ชัดเจน แต่โดยเฉลี่ยปีละประมาณร้อยเรื่อง สิบปีก็น่าจะประมาณพันกว่าเรื่อง 

คดีความเยอะขนาดนี้ คุณมีทีมงานมากน้อยขนาดไหน

        ผมทำคนเดียว (ยิ้ม) เวลาทำคดีผมจะร่างคำฟ้องร้อง คำคัดค้าน หรือการต่อสู้ทางคดีเองทั้งหมด ดังนั้น ทั้งข้อกฎหมาย ทั้งข้อเท็จจริง มันอยู่ในหัวสมองเราทั้งหมดเช่นกัน ด้วยความที่ทำคดีมาเยอะ เราแม่นเรื่องข้อกฎหมายอยู่แล้ว เวลาที่มีประเด็นอะไรขึ้นมา เราก็จะมองออกว่าจะฟ้องร้องในแง่มุมไหนได้บ้าง 

        หรือถ้าเป็นปัญหาของนักการเมือง เราอ่านกฎหมายรัฐธรรมนูญอยู่เป็นประจำ เรารู้หมดว่า ทำแบบนี้จะไปขัดหลักของรัฐธรรมนูญข้อไหน เราดูจนโชกโชน หรือเวลาจะไปร้องเรียน ควรจะไปที่ช่องทางไหน เช่น เรื่องนี้ไปที่สำนักผู้ตรวจการแผ่นดิน เรื่องนั้นไปที่ ป.ป.ช. หรือควรไป สตง. (สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน) เวลาเราเขียนมันก็ง่าย เพราะเราคล่องอยู่กับการร่างคำร้องอยู่แล้ว สมมติเกิดเหตุเมื่อวาน วันนี้ผมสามารถไปร้องเรียนได้เลย สามารถเขียนข้อมูลต่างๆ ได้ทันที

อาจมีคนสงสัย ที่เห็นคุณไปร้องเรียนตามสถานที่ต่างๆ คุณสามารถยืนยันได้ว่า ชีวิตอยู่กับข้อกฎหมายมาตลอด

        ผมจบปริญญา 6 ใบ เป็นปริญญาตรี 3 ใบ ปริญญาโท 2 ใบ และปริญญาเอก 1 ใบ ปริญญาตรีใบแรกผมจบที่คณะเกษตรฯ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ใบที่สองจบด้านสารนิเทศ ที่มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช และใบที่สาม ผมจบนิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง ส่วนปริญญาโท ใบหนึ่งผมจบคณะรัฐศาสตร์ของรามคำแหง และอีกใบเป็นด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมของนิด้า (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์) และปริญญาเอกจบด้านนโยบายสาธารณะ (Public Policy) จากมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต 

        คือผมไม่ใช่แค่รู้เรื่องกฎหมาย แต่ผมเป็นทนายที่รู้กว้างกว่านั้น แล้วเหตุที่ต้องเรียนเยอะ เพราะผมอยากรู้ให้เยอะ (ยิ้ม) ผมเป็นลูกชาวบ้าน บ้านอยู่พิษณุโลก พ่อแม่ทำไร่ทำนา ชีวิตจับผลัดจับผลูได้มาเรียนเกษตรฯ ที่แม่โจ้ ตอนเรียนก็ไปเป็นนายกองค์การนักศึกษา เคยนำนักศึกษาไปปิดถนนประท้วงผู้ว่าฯ เชียงใหม่ เรียกร้องความเป็นธรรมให้กับนักศึกษาและชาวบ้านในเวลานั้น ไปใช้ชีวิตอยู่บนถนนสามวันสองคืน ทำให้เราได้รู้ว่าเรียนจบมาเราคงไม่คิดรับราชการ เพราะมีความรู้สึกหัวรุนแรง (หัวเราะ) สุดท้ายได้มาเป็นเอ็นจีโอ ได้เคลื่อนไหวรณรงค์เรื่องสิ่งแวดล้อม ทีนี้เราต้องไปต่อกรกับหน่วยงานภาครัฐเยอะแยะมากมาย ทำให้ตัวเองต้องเรียนเพิ่ม รู้เพิ่ม ไม่อย่างนั้นเราสู้เขาไม่ได้  ก็เอาเวลาว่างเสาร์-อาทิตย์ไปเรียนเสริม กระทั่งได้ไปช่วยงานในสภาทนายความ จึงเป็นที่มาให้เราอยู่กับเรื่องกฎหมาย ข้อร้องเรียน และการฟ้องร้องต่างๆ มาตลอด   

การดำรงอาชีพของคุณในวันนี้คือการเป็นนักฎหมายเป็นหลัก พูดอย่างนี้ได้ไหม

        ได้ ผมเป็นนักฎหมาย ผมอยู่ได้ด้วยการฟ้องร้องคดี แต่เวลาผมฟ้องร้องคดีให้ชาวบ้าน ผมไม่ได้คิดค่าตัวหรือค่าทำงาน ผมฟ้องให้ฟรี เพราะพวกนี้เป็นคดีมวลชน เช่น ฟ้องโรงไฟฟ้า ฟ้องโรงงานถ่านหิน แต่เวลาเราฟ้องให้กับเขา ชาวบ้านก็จะลงขันนำเงินมาให้ผมเอง เรียกว่าค่าดำเนินการ ค่ารถ ค่ากระดาษ ค่าเอกสาร ซึ่งเราไม่เคยบอกว่าต้องได้เท่านั้นเท่านี้ แล้วแต่สินน้ำใจที่เขาจะให้มากกว่า 

พูดง่ายๆ ว่ารายได้ของคุณคือเงินจากการดำเนินการฟ้องร้อง แค่นั้นเอง

        ใช่ ผมฟ้องให้ตั้งแต่ยาจกไปจนถึงอัครมหาเศรษฐี ดังนั้น เงินค่าดำเนินการก็แตกต่างกันไป แต่ผมไม่เคยมีการกะเกณฑ์ว่าคนรวยต้องให้เท่านั้น คนจนต้องให้เท่านี้ มันเป็นเรื่องของเขา แล้วเชื่อไหมว่าสินน้ำใจเหล่านี้ บางทีมันมากกว่าค่าวิชาชีพของทนายความหลายคนด้วยซ้ำไป ปกติทนายความรับทำคดี ถ้าเป็นระดับจิ๋วๆ ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ราวๆ สามหมื่นถึงห้าหมื่นบาท ระดับกลางขึ้นมาหน่อยก็หนึ่งแสนบาท

        แล้วหลายเคสที่เคยมาให้ผมทำคดี ผมถามเขาว่าคุณมีนักกฎหมายอยู่ในมือเยอะแยะ ทำไมไม่ให้เขาฟ้องให้ เขาตอบกลับมาว่าผมเชื่อใจศรีสุวรรณมากกว่า ถามว่าทำไมเขาถึงเชื่อใจผม มันอาจจะเกิดจากการเห็นผลงานของผม หรือชื่อเสียงของผม ผมฟ้องแต่ละคดีก็เป็นข่าวใช่ไหม ส่วนทนายคนอื่นไปฟ้องไม่เป็นข่าว เขาก็อยากเป็นข่าว เพราะบางทีการเป็นข่าวมันช่วยให้คดีง่ายขึ้นหรือการเจรจาง่ายขึ้น เขาจึงมาให้ผมทำ พอผมทำไปแบบไม่คิดค่าอะไรเลย เขาก็ตอบแทนสินน้ำใจกลับคืนมา คนยากจนก็อาจให้น้อยหน่อย คนรวยก็อาจให้มากหน่อย

เพราะการฟ้องร้องคดีความต่างๆ ที่คุณทำมักจะได้เป็นข่าว เรื่องนี้เป็นเหตุผลด้วยไหมที่ทำให้คุณต้องออกมาร้องเรียน เพื่อให้สื่อมวลชนจับจ้องอยู่ตลอดเวลา

        อาจจะไม่ แต่ว่าประเด็นของผมก็คือ เวลาผมไปแจ้งเมื่อไหร่ มันก็เป็นข่าวเมื่อนั้น เข้าใจไหม คือผมมองว่าสื่อเขาก็อยากได้ข่าวเป็นเรื่องธรรมดาน่ะ ยิ่งเป็นศรีสุวรรณไปฟ้องก็ยิ่งน่าสนใจ แล้วเวลาผมทำเรื่องเหล่านี้ ผมไม่มีฝักมีฝ่าย บางทีก็อาจจะหนักไปทางฝ่ายค้านบ้าง หรือบางทีก็มาซัดทางฝ่ายรัฐบาลบ้าง ซึ่งการถูกค่อนขอด ถูกแซะ ถูกแซว ผมมองเป็นเรื่องปกติ อย่างเวลาไปซัดกับฝ่ายค้าน ฝ่ายค้านก็บอกว่าเป็นพวกรัฐบาลใช่ไหม แต่พอไปซัดกับรัฐบาลบ้าง ทางรัฐก็บอกเป็นนกสองหัวไปอยู่กับฝ่ายค้านใช่ไหม ทั้งๆ ที่เราก็ทำอย่างนี้ของเรามาโดยตลอด

ยุคนี้เมื่อเปรียบกับอดีต บรรยากาศการเมืองยุคไหนร้อนแรงกว่ากัน

        ผมอยู่ในแวดวงการเมืองมา 30 กว่าปี ผมว่ามันก็ไม่ได้ต่างอะไรกันมากหรอก นักการเมืองในสมัยอดีตกับปัจจุบัน ทุกคนล้วนแต่มีเล่ห์ฉลกลใน มีกระบี่พกหลังเอวไว้ทั้งสิ้น ได้โอกาสเมื่อไหร่กูก็ซัดเมื่อนั้น เรารู้เกมนักการเมืองมาโดยตลอด อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ 

        ส่วนเรื่องการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายความเห็นทางการเมือง ผมมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา ส่วนตัวเวลาโพสต์อะไรไปในเฟซบุ๊ก ผมแทบจะไม่เคยดูคอมเมนต์ที่ตามมาเลย เพราะเจตนาเวลาเราโพสต์ เราต้องการให้พี่น้องสื่อมวลชนเขาได้อ่าน หรือบางทีเพื่อให้รู้ว่าพรุ่งนี้ศรีสุวรรณจะทำอะไร วัตถุประสงค์ผมมีแค่นั้น ดังนั้น ใครที่เข้ามาคอมเมนต์ มาแซะ มาแซว ผมไม่สนใจเลย 

        บางคนมาบอกว่า นี่ไง เห็นไหมทัวร์มาลงคุณศรีสุวรรณจนได้ ผมก็ถามกลับ ทัวร์ที่ไหน หน้าบ้านผมไม่เห็นมีรถมาจอดสักคัน (หัวเราะ) คือเราไม่สนใจ ไม่เคยเอามาเป็นอารมณ์ โลกมันก็เป็นแบบนี้แหละ ทางธรรมเขาเรียกว่าโลกธรรม 8 คือมีรัก มีชัง มีชอบ มีเกลียด มีหลง เป็นธรรมดา ถ้าเราไปเครียด มันจะลดภาวะความสามารถของเราในการทำเรื่องอื่นๆ ในชีวิตไปเสียเปล่าๆ

เคยรู้สึกไหมว่าการทำหน้าที่ของคุณ เหมือนการสร้างศัตรูไปในคราวเดียวกัน

        การทำหน้าที่ของผมมันก็เหมือนการสร้างศัตรูอยู่แล้ว ก็เราไปร้องเรียนเขา เล่นงานเขา เอาผิดเขา ยังไงมันก็เหมือนเป็นการสร้างศัตรู แต่ผมไม่เคยเอาใครถึงตาย หมายถึงประเภทเอาให้จมดิน แบบนั้นไม่เคยเลย ผมฟ้องคดีส่วนใหญ่ก็เป็นคดีปกครอง แพ้ชนะกันก็แค่เพิกถอนคำสั่ง ซึ่งถ้าผมคิดจะเล่นงานต่อ ผมแค่เอาคำพิพากษาไปร้องกับ ป.ป.ช. เพื่อดำเนินการทางอาญา แบบนั้นก็เละกันไปข้างหนึ่ง ซึ่งผมไม่ทำ ผมถือว่าแค่นี้จบก็จบกันไป 

ส่วนตัวคุณดูแลเรื่องความปลอดภัยอย่างไร

        ไม่มีครับ ผมไปไหนไม่เคยมีการ์ด หลายคนบอกผม คุณต้องมีการ์ดแล้วนะ เพื่อคอยปกป้องคุณ ผมบอกชีวิตมันก็แค่นี้ อย่างมากผมก็อยู่ได้แค่ 120 ปี ถามว่าอยู่อะไรนานขนาดนั้น อยู่เป็นก้างขวางคอนักการเมืองไป (หัวเราะ)

        ที่ผ่านมา ถามว่าเคยสัมผัสถึงความไม่ปลอดภัยต่อชีวิตบ้างไหม ก็เคยมีอยู่บ้าง ในอดีตเคยมีโทรศัพท์มาข่มขู่ สมัยก่อนมีเยอะแนวนี้ หรือเคยถูกขับรถตาม เวลาเราเห็นก็แวะเข้าโรงพัก ไปนั่งกินกาแฟในโรงพักสักประเดี๋ยว ถ้ามึงเลิกตามเมื่อไรกูก็กลับ ผมเป็นคนแบบนี้ ไม่ค่อยสนใจ คือมึงอยากขู่ก็ขู่ไปสิ สุนัขเห่ามันไม่กัดหรอก แต่ถ้ามันไม่เห่านี่สิ อันนี้น่ากลัว

        บ้านผมติดกล้องวงจรปิดทั้งบ้าน ช่วงที่ คสช. ยึดอำนาจใหม่ๆ มีทหาร สันติบาล มาเฝ้าหน้าบ้านผมเป็นประจำ ที่รู้เพราะว่าถ้ามีรถคันไหนมาจอดแปลกปลอมแถวๆ นี้ ผมเห็นหมด กล้องผมมีเยอะไง หรือเคยแม้แต่ทหารมาเชิญตัว เรียกไปปรับทัศนคติ ผมก็เฉยๆ ไม่เห็นมีอะไร เรียกก็เรียกไปสิ เคยโดนเรียกไปสองสามครั้ง เขาเรียกไปก็ไม่มีอะไร ไปขอร้องให้ช่วยเพลาๆ หน่อย ขอความสมานฉันท์ อะไรประมาณนี้แหละ (ยิ้ม)

ใครเห็นคุณทำงานแบบนี้ ร้อยทั้งร้อยต้องคิดว่า วันหนึ่งคุณต้องเล่นการเมืองอย่างแน่นอน คุณมีความคิดนั้นอยู่ในหัวบ้างไหม

        ผมเคยลงเล่นการเมืองมาแล้ว เมื่อปี 2556 ผมลงสมัครเลือกตั้ง ส.ว. ซึ่งตอนนั้นมีความคิดว่า การเป็น ส.ว. ไม่ต้องสังกัดพรรคการเมือง แล้วได้เข้าไปทำหน้าที่ตรวจสอบฝ่ายบริหาร ได้ไปคัดกรองกฎหมาย ด้วยเหตุผลทั้งหมดมันไม่ขัดต่ออุดมการณ์ของเรา ผมจึงตัดสินใจลงสมัคร แต่พอลงไปแล้วก็รู้สึกว่า การเป็นนักการเมือง บางทีมันก็ไม่ง่าย 

        แต่พอหลังจากนั้นในปี 2562 ที่มีการเลือกตั้งใหญ่ บ้านผมนี่หัวบันไดไม่แห้ง พรรคการเมืองพรรคนู้นพรรคนี้มาจีบเพื่อไปลงสมัครกับพรรคเขา มาแทบทุกพรรค พรรคใหญ่ๆ ทั้งนั้น แต่ผมไม่สนใจ ปฏิเสธไปหมด ผมบอกกับเขาไปตรงๆ ขอให้ผมทำหน้าที่ตรงนี้เถอะ เพราะถ้าไม่มีผมแล้ว ใครจะมาทำหน้าที่ตรวจสอบตรงนี้ ดังนั้น ให้ผมหน้าที่ตรงนี้ดีกว่า

หรืออย่างเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. หนนี้ ก็มีขบวนมาทาบทามเยอะ ทั้งนักธุรกิจ เพื่อนฝูง นักการเมืองหลายคน มาชักชวนให้ผมลงสมัคร ซึ่งผมก็บอกสั้นๆ เหมือนเดิม ผมไม่สนใจ

ถ้าคนอย่างศรีสุวรรณจะลงเล่นการเมือง มันต้องมีเหตุผลอะไรที่สำคัญ

        คงไม่มีเหตุผลอะไร เพราะผมไม่อยากเล่นแล้วแน่นอน ตั้งแต่เมื่อครั้งลงสมัคร ส.ว. ผมก็ไม่คิดจะเล่นการเมืองอีกเลย เพราะเรามีความรู้สึกว่าวันนี้ศรีสุวรรณน่าจะอยู่เหนือนักการเมืองด้วยซ้ำ อันนี้เรานึกของเราเองนะ เนื่องจากเราไปไล่บี้ ไปตรวจสอบเขา ไปไล่ฟ้องคดีกับเขา ทำให้เวลาไปไหนมาไหน เวลาเจอหน้านักการเมืองหรือข้าราชการระดับสูง พวกอธิบดี ปลัด เขาเห็นผมเมื่อไหร่ จะเข้ามาทักทายก่อนทุกครั้ง  บางคนยกมือไหว้มาก่อนเลย

        หรือเมื่อไหร่ที่ศรีสุวรรณไปสภา วันนั้นจะคึกคักเป็นพิเศษ พอทุกคนเห็นจะรีบมาทัก เพราะสงสัยว่าศรีสุวรรณจะมาทำอะไร จะมาฟ้องใคร (หัวเราะ) เรื่องทำนองนี้มันทำให้เรารู้สึกว่าเราอยู่เหนือนักการเมือง แล้วถ้าสมมติเราไปเล่นการเมือง ทุกอย่างมันจะกลับตาลปัตรไปหมด ผมจะต้องไปยกมือไหว้คนตั้งแต่ระดับล่างไปจนถึงระดับบน ซึ่งผมคิดว่าผมทำอย่างนั้นไม่ได้แล้วล่ะในวันนี้

ถามตรงๆ คุณไม่สนใจเรื่องผลประโยชน์ใดๆ ที่จะตามมาหากว่าลงเล่นการเมืองเหรอ

        ผลประโยชน์มันจะมีอะไร ทุกวันนี้แค่นี้เราก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร เราทำคดีให้ชาวบ้าน ชาวบ้านเขาให้เรากลับคืนมาตลอด จริงๆ ชีวิตผมผมก็ไม่ได้เป็นคนยากคนจนซะเมื่อไหร่ ครอบครัวผมเป็นครอบครัวคนชั้นกลาง บ้านผมพ่อแม่ก็มีทรัพย์ศฤงคารพอสมควร มีที่ดินเป็นร้อยไร่ ผมไม่ใช่คนยากคนจน แม้จะมาจากต่างจังหวัดก็จริง แต่เรามีความพอ ผมจึงไม่รู้สึกว่าจะต้องมีเพิ่มขึ้นมากมายอะไร

        ที่ผ่านมา บางทีทางรัฐบาลมักจะแต่งตั้งขอให้ผมไปเป็นกรรมการนู่นกรรมการนี่ ผมก็ปฏิเสธทุกครั้ง ไม่เอา อย่ามาแต่งตั้งให้ผม อย่าให้ผมต้องไปอยู่ข้างใดข้างหนึ่งเลย ผมอยู่อย่างนี้ดีกว่า อยู่กลางๆ ของเราไป ตรวจสอบได้ทุกฝ่าย แต่บ้านผมต้อนรับทุกพรรคการเมืองนะ นักการเมืองคนไหนอยากมากินไวน์กับผม มาได้เลย ยินดี เปิดบ้านต้อนรับ ไม่ว่าจะพรรคไหน เราต้อนรับหมด 

แล้วส่วนตัวคุณมีอุดมการณ์ทางการเมืองเป็นอย่างไร

        อุดมการณ์ทางการเมืองของผมคือความตรงไปตรงมา ผมอยากให้นักการเมืองทำงานรับใช้ประชาชนจริงๆ ภาษีประชาชน งบประมาณแผ่นดิน มันควรจะเอาไปใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ แล้วก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ นักการเมืองทุกคนต้องมีเจตจำนงอย่างนั้น ไม่ใช่เข้ามาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ ไม่ว่าจะด้วยกลวิธี หรือด้วยเล่ห์กลใดๆ และไม่ว่าจะเป็นฝักฝ่ายไหนก็ตาม 

มาถึงวันนี้ ความเป็น ‘ศรีสุวรรณ’ ส่งผลบวกกับชีวิตคุณอย่างไรบ้าง

        ผมว่าโอเคนะ แต่ผมพยายามยึดถือชีวิตอยู่ทางกลางๆ ไม่ได้ไปซ้ายขวามากนัก ก็ยอมรับข้อที่เขาเรียกขานว่าเป็นนักร้อง แม้ว่ามันอาจจะดูเหมือนเป็นการแซวหรือแซะอะไรก็ตาม แต่ผมก็คิดว่าไม่ได้เสียหายอะไร ดีด้วยซ้ำไปที่เขาขนานนามให้กับเราว่าเป็นนักร้องเบอร์หนึ่งของประเทศ 

        แล้วที่สำคัญ มันทำให้เป็นที่รู้จัก ผมเดินไปไหนต่อไหนมีแต่คนหันมามองทั้งนั้น เดินศูนย์การค้า เดินที่ตลาด เดินไปที่ไหน คนรู้จักหมด แม้แต่พี่น้องตำรวจ เวลาผมขับรถไปต่างจังหวัด บางทีเราก็ขับเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดบ้าง ถูกจับบ้าง เราไม่ปฏิเสธนะ คือเราผิดก็บอกว่าผิด ตอนถูกจับ เราก็ลดกระจกลง แล้วยกมือไหว้ สวัสดีครับพี่ ขออภัยนะครับ พอเขาเห็นหน้าเรา อ้าว พี่ศรีสุวรรณเองเหรอ เราก็ยื่นใบขับขี่ให้ เขารีบยกมือ ไม่เป็นไรๆ กรณีนี้แค่ว่ากล่าวตักเตือน แถมบางทียังมีฝากขอร้องเรียนมาด้วยนะ แต่เรื่องร้องเรียนอะไร อันนี้บอกไม่ได้

เรื่องนี้ที่เล่ามา คุณกำลังจะบอกว่าศรีสุวรรณเองก็เคยพลาดพลั้งทำผิดกฎหมายอยู่เช่นกัน 

        มีสิ เราก็ปุถุชนคนธรรมดา ไม่ใช่เทวดามาจากไหน แต่ว่าเชื่อไหม เวลาผมไปเจอด่านที่ไหน ถ้าไม่ใช่ด่านถาวร เป็นลักษณะด่านชั่วคราว พอขับรถเลยไปปุ๊บ ผมมองกระจกหลัง เจ้าหน้าที่ตำรวจรีบเก็บด่านกันหมด เขากลัวศรีสุวรรณไปร้องเรียน (ยิ้ม)

เป็นศรีสุวรรณนี่อยู่ยากไหม

        ไม่ยากครับ เราอย่าไปวางตัวเองเป็นกฎเป็นเกณฑ์อะไรเยอะแยะ เราก็วางตัวธรรมดา เวลาไปตลาด บางทีใส่กางเกงขาสั้น เสื้อยืดไปสบายๆ แต่บางทีเวลาคนเห็นเราจากภาพข่าวที่ออกไป ผมจะดูขึงขัง พูดให้สัมภาษณ์อะไรดูซีเรียส แต่ว่าเบื้องหลังจริงๆ ผมเป็นคนสบายๆ ชิลๆ ที่เห็นมันเป็นบทบาทมากกว่า 

        เมื่อวันก่อนไปบ้านที่พิษณุโลก ไปเยี่ยมครอบครัว เลยถือโอกาสไปนมัสการพระพุทธชินราช เห็นพระนั่งกันอยู่เต็มโบสถ์ พอเราเดินเข้าไป พระมองเราเป็นตาเดียว เพราะพระจำได้ คนนี้ไงที่เล่นงานพระ (หัวเราะ) ไล่มาตั้งแต่พระมหาสมปองยันวัดท่าไม้ ยังไงพระก็จำได้อยู่แล้ว

สมมติถ้าจะให้กินเนสบุ๊กมาบันทึกสถิติการฟ้องร้องของคุณ มันควรจะเป็นการบันทึกแบบไหนดี

        น่าจะเป็นสองแนวทาง เรื่องแรก ผมน่าจะเป็นคนที่ฟ้องคดีต่อศาลปกครองมากที่สุดของประเทศไทย ไม่ว่าจะวันนี้หรือวันไหนๆ ถ้าผมวางมือไปแล้ว ก็คงไม่มีใครทำสถิติมากกว่าผมอย่างแน่นอน เพราะจากอดีตมาจนถึงปัจจุบัน และกำลังจะไปต่อในอนาคต ผมน่าจะทำคดีปกครองอีกไม่ต่ำกว่าหมื่นคดี ซึ่งผมเชื่อว่าไม่มีนักกฎหมายคนใดทำได้เท่ากับผม 

        ส่วนเรื่องที่สอง เรื่องการร้องเรียน ผมเชื่อว่าคงไม่มีนักร้องเรียนคนไหนทำสถิติเท่าผม ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เฉลี่ยปีละร้อยเรื่อง ผมทำมาแล้วเป็นสิบปี ก็คงเป็นพันๆ เรื่อง และจนกว่าผมจะวางมือไป ผมว่ามันคงเป็นหมื่นเรื่องละมั้ง คงไม่มีใครทำเท่าผมอีกแล้วเช่นกัน กินเนสบุ๊กควรจะต้องลงเรื่องเหล่านี้ 

สมมติถ้านี่เป็นเรื่องจริง ทุกวันนี้คุณไม่ได้หวังทำสถิติอยู่ใช่ไหม

        ไม่เคยคิดเลย (หัวเราะ) ทุกคดีมันมาของมันเอง ถ้าไม่วอล์กอินเข้ามา ก็นัดหมายเข้ามา หรือไม่ก็โทรศัพท์เข้ามา ไลน์เข้ามา มีคนร้องเรียนเข้ามาที่ผมอยู่ตลอดเวลา

ไม่ว่าจะเป็นการฟ้องร้อง หรือว่าการร้องเรียนใดๆ การได้ทำอะไรแบบนี้ ความสุขของคุณคืออะไร

        ความสุขของผมคือการได้ช่วยชาวบ้าน ความสุขของผมคือ ผมมีครอบครัวที่เข้าใจผม นี่คือสิ่งที่ผมพอใจแล้ว อ้อ! รวมทั้งยังได้เห็นความถูกต้องเกิดขึ้นในสังคม ง่ายๆ มีแค่นี้เอง

ถ้าหากว่าจะมีใครสักคนอยากเป็นแบบ ‘ศรีสุวรรณ’ ขอสัก 3 ข้อที่คุณจะแนะนำกับเขา

        หนึ่ง คุณต้องมีอุดมการณ์ที่มุ่งมั่น สอง คุณต้องมีพื้นฐานทางความรู้ที่ดี และต้องมีมากพอสมควร เพื่อที่จะนำความรู้เหล่านั้นไปใช้ในการทำงานได้ และสาม คุณต้องมีทุน หรือมีรายได้พอสมควร เพราะเรื่องที่ทำเหล่านี้ มันต้องขับเคลื่อนด้วยการมีทุน หรือพูดง่ายๆ ว่า คุณต้องมีเงินเพื่อซื้อข้าวกิน  


เรื่อง: สันทัด โพธิสา | ภาพ: สันติพงษ์ จูเจริญ