10 บทความ

Sundae Kids | ‘ความรักเปลี่ยนโลกของเราให้กว้างขึ้น’ บทเรียนจากความรักของคู่รักขี้เขิน

เราสงสัยมานานว่าเบื้องหลังเพจคอมิกสีหวานเนื้อหาโรแมนติกที่มีผู้ติดตามหลักล้านอย่าง Sundae Kids เขามีมุมมองความรักอย่างไร เพราะรูปวาดของพวกเขาไม่ได้แค่ทำให้เราเผลอยิ้มตามอย่างไม่รู้ตัวเท่านั้น แต่หลายครั้งก็บาดลึกจนทำให้ต้องขบคิดถึงรายละเอียดอันละเมียดละไมของความสัมพันธ์กว่าที่เคย

เมื่อมีโอกาส เราจึงไม่รอช้าขอไปพูดคุยกับ ‘โป๊ยเซียน’ – ปราชญา มหาเปารยะ และ กวิน เทียนวุฒิชัย อดีตเพื่อนสนิทที่ผันตัวมาเป็นคู่รักเจ้าของเพจสุดฮิต ถึงเรื่องราวความรักของพวกเขาทั้งคู่ กลายเป็นบทสนทนาที่ประกอบด้วยเสียงตีแขน แววตาเป็นประกาย และเสียงหัวเราะเก้ๆ กังๆ ของคนขี้เขินทั้งสองคน

Sundae Kids

 

เนื้อหาส่วนใหญ่ที่เราเห็นในเพจ Sundae Kids เป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักเป็นส่วนใหญ่ ทำไมคุณถึงสนใจประเด็นนี้

     โป๊ยเซียน: จริงๆ เราไม่ได้วางไว้ให้มีแค่เรื่องความรักหรือความสัมพันธ์ เราแค่ชอบเขียนถึงเรื่องที่เราไปได้ยิน หรือเจอสถานการณ์ไหนที่น่าสนใจก็เอามาวาด แต่พอดีเรื่องความรักเป็นเรื่องที่พบเจอได้เยอะกว่าเรื่องอื่น ไม่ว่าจะเพลง หนัง คำพูด สเตตัส หรือเรื่องที่แก๊งเพื่อนเล่าให้ฟัง เป็นประเด็นที่ใครก็น่าจะเคยประสบพบเจอมาเหมือนกัน แต่จริงๆ เราก็มีเรื่องอื่นปะปนไปด้วย

     กวิน: เหมือนถามนักแต่งเพลงว่าทำไมถึงแต่งเพลงรักก็ตอบยากเหมือนกัน แต่เราคิดว่าจริงๆ แล้ว เราแค่นำประสบการณ์ที่ประทับใจมาเขียนเล่า แล้วก็ดัดแปลงนิดหน่อย เพราะคิดว่าทุกคนก็คงมีช่วงเวลาเหล่านี้เหมือนกัน

 

มีประสบการณ์ของตัวเองผสมอยู่ในผลงานของ Sundae Kids ด้วยหรือเปล่า

     โป๊ยเซียน: มีบ้าง แต่ไม่บอกหรอกนะว่าอันไหนเอามาจากอะไร (หัวเราะ)

 

การทำเพจ Sundae Kids ขึ้นมาทำให้ได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับความรักความสัมพันธ์บ้าง

     กวิน: ปกติแล้วในทุกๆ สถานการณ์เราจะมองเห็นอะไรได้หลากหลายมุม เช่น นาย A ชอบนาย B แล้วทำเรื่องดีๆ ให้นาย B คนส่วนหนึ่งจะมองว่านาย A เป็นคนโรแมนติก อีกส่วนก็จะมองว่า มึงโง่จังเลย ทำไปเขาก็ไม่สนใจมึงหรอก ทำให้เราเห็นว่า ในเรื่องความรัก ไม่มีอะไรมายืนยันได้ตายตัวหรอกว่านาย A ถูกหรือผิด ทุกอย่างขึ้นอยู่กับมุมมองและประสบการณ์ของคนคนนั้นมากกว่า เราเรียนรู้ว่ามันไม่มีสิ่งที่มาตัดสินได้ว่าสิ่งที่เขาทำในเรื่องความรักดีหรือยัง ถูกต้องหรือเปล่า

     โป๊ยเซียน: ใช่ เพราะถ้าดูจากรูปที่เราลง จะเห็นว่ามีความคิดเห็นหลายๆ แบบ ทุกเหตุการณ์เลย คนเรามองไปได้หลากหลายมาก ก็คงบอกได้มั้งว่าความรักไม่มีเรื่องอะไรตายตัวสำหรับใครเลย ตอนเราทำก็ไม่เคยคิดไปบอกใครว่าแบบนี้ถูก แบบนี้ผิด เราแค่ยกสถานการณ์ขึ้นมา แต่คนจะคิดยังไงก็ได้ เปิดกว้างเลย มีคนมาถกเถียง มีความคิดหลากหลาย

 

Sundae Kids

 

ขอย้อนกลับไปถามหน่อยว่าทั้งสองคนมาเจอกันได้ยังไง แล้วพัฒนาความสัมพันธ์ยังไง

     กวิน: เจอกันเพราะเรียนคณะเดียวกัน (มองหน้ากันกรุ้มกริ่ม) ตอนแรกก็เป็นคนรู้จักเฉยๆ แล้วค่อยๆ ขยับมาเป็นเพื่อน ส่วนตัวแล้วเวลาเราชอบใครเรารู้ตัวเองง่ายมาก เพราะเรามีนิสัยไม่ดีอย่างหนึ่งคือเป็นคนที่เกลียดคนประมาณ 95% ของประชากรมนุษย์ อีก 5% สามารถเป็นเพื่อนเราได้ แต่เขา (โป๊ยเซียน) ก็เป็นมากกว่า เป็นคนเดียวใน 5% นั้น ก็เลยค่อนข้างเลือกง่ายมากว่าเราชอบใคร ไม่มีอะไรซับซ้อน

 

การตามหาใครสักคนที่เป็นแค่ 1 ใน 5% นั้นยากมากเลยนะ แต่เหมือนความบังเอิญหรือเปล่าที่ทำให้คนนั้นอยู่ใกล้ๆ ตัวคุณนี่เอง

     กวิน: เราคิดแล้วว่าเขาเข้ากับเราได้ บอกไม่ถูกเหมือนกัน แต่เรารู้สึกตั้งแต่แรกๆ ว่าคนนี้เข้ากับนิสัยเรา ไม่ว่าจะพูดอะไรหรือคิดอะไรเราก็เข้าใจกัน ชอบอะไรคล้ายๆ กัน

     โป๊ยเซียน: ส่วนเราไม่ใช่คนที่จะไปเกลียดคนทั่วไปหรอกนะ (หัวเราะ) เราเกลียดคนยาก คือไม่ได้เข้ากับคนง่ายมาก แต่ก็อยู่ได้กับทุกคน ถึงอย่างนั้นเราจะเป็นคนที่มีบางอย่างแปลกๆ ที่บางทีคนที่อยู่ด้วยเขาอาจไม่เข้าใจ ซึ่งกวินก็เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่เข้าใจเราได้ดี เขาเก็ตว่าเราพูดอะไร ทำอะไร ถึงบางครั้งมันจะแปลกๆ ไปหน่อยก็เถอะ คนที่เราอยากใช้เวลาด้วยคือต้องอยู่ด้วยแล้วสบายใจ แล้วก็เข้าใจเรา เพราะคนที่เข้าใจเราจริงมันน้อยมาก กวินก็เลยเป็นอืม… (ยิ้ม) นั่นแหละ

 

ฟังแล้วเขินไปด้วยเลย แล้วคุณเชื่อว่าการที่คนสองคนมาเจอกันเป็นเรื่องของพรหมลิขิตไหม

     กวิน: มันอาจไม่ได้เป็นเชิงพรหมลิขิตอะไรขนาดนั้น อาจจะเป็นโชคชะตาก็ได้ หรืออาจเป็นดวงด้วยส่วนหนึ่ง (หัวเราะ) เพราะคนในประเทศก็มีหลายสิบล้านคน แต่เราไม่ได้เชื่อเรื่องพรหมลิขิตว่า คนสองคนจะเกิดมาคู่กันตลอดไปในชาตินี้ชาติหน้าอะไรแบบนั้น

     โป๊ยเซียน: อาจเป็นเรื่องจังหวะเวลามากกว่า เรารู้จักกันมาตั้งนาน เป็นคนรู้จัก เป็นเพื่อน จนกระทั่งได้มาคบกัน ซึ่งเป็นช่วงที่ทุกอย่างลงตัว ถ้าเราไม่ได้เจอกันในช่วงเวลานั้น เราอาจไม่ได้คบกันก็ได้ เรียกว่าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแล้วกัน คิดว่าเป็นช่วงเวลาที่มันพอดีมากกว่า

 

Sundae Kids

 

จากคนที่คบกันแบบเพื่อนแล้วสานต่อมาเป็นแฟนนั้นยากไหม ทำไมใครมากมายมักไปติดอยู่ตรงเฟรนด์โซนแล้วออกมาไม่ได้

     โป๊ยเซียน: ปกติถ้าเราจะคบกับใครต้องเป็นเพื่อนกันมาก่อนระยะหนึ่งแล้ว เพราะเราชอบคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ รู้จักกันดี เป็นตัวเองได้จริงๆ เพราะฉะนั้น การทำลายเฟรนด์โซนของเราได้จึงเป็นเรื่องปกติ

     กวิน: ไม่นะ สำหรับเราไม่ใช่เรื่องปกติ (หัวเราะ) แต่อย่างที่บอก อาจเป็นเรื่องช่วงเวลาและทุกอย่างที่ลงตัวพอดี

 

คุณมองว่าการที่คนสองคนมีอะไรคล้ายๆ กัน คิดอะไรเหมือนๆ กัน ความเหมือนพวกนี้เป็นประโยชน์ให้กับเรื่องของความสัมพันธ์แค่ไหน

     โป๊ยเซียน: สำหรับเราคือเยอะเลย เช่น มีกิจกรรมที่เราชอบมากๆ อย่างการดูหนัง แต่เราดันชอบดูหนังกันคนละสไตล์ แล้วเรื่องที่เขาอยากดูไม่ใช่เรื่องที่เราจะทนดูได้เลย ก็น่าจะอยู่ด้วยกันได้ยาก ไม่งั้นก็ต้องปรับ เจอกันครึ่งทาง แต่ถ้าชอบอะไรคล้ายๆ กันอยู่แล้วก็ต้องมีเรื่องที่ต้องปรับน้อยลง

     กวิน: แต่เราจะโชคดีหน่อยที่ทั้งสองคนเป็นคนอะไรก็ได้ สมมติเราอยากดูเรื่องนี้ เขาอยากดูเรื่องนี้ เราก็จะไปดูกับเขาก่อน แล้วต่อมาเขาค่อยมาดูเรื่องนี้กับเรา ทั้งๆ ที่เรารู้ว่าเราอาจจะไม่ชอบหนังของเขาขนาดนั้น แต่เราก็ลองเปิดใจไปดู

     โป๊ยเซียน: เราก็จะได้รู้ด้วยว่า สิ่งที่เขาชอบมันคืออะไร ทำไมชอบ ได้ทำความเข้าใจเขามากขึ้นด้วย

 

มีคนเคยพูดไว้ว่าการคบใครสักคนทำให้โลกเราใหญ่ขึ้นมันจริงไหม

     (ตอบพร้อมกัน) จริง

 

แล้วพวกคุณได้ค้นพบอะไรในโลกที่มันใหญ่ขึ้นบ้าง

     กวิน: สำหรับเรา ตั้งแต่เด็กจนโต ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเรียนโรงเรียนชายล้วนหรืออะไร แต่เราไม่มีทักษะเรื่องการเข้าสังคม หรือการคุยกับคนอื่นอย่างที่ปกติชนเขาทำกัน เราคุยกับใครแล้วเขาจะเกลียดเราหมด (หัวเราะ) จริงๆ นะ เพื่อนในคณะหลายคนแค่เจอกันครั้งแรก ยื่นกระดาษให้กัน เขาก็เกลียดเราเลย ไม่รู้เป็นเพราะคำพูด หรือหน้าเราไม่รับแขกหรืออะไร แต่พออยู่กับโป๊ยเซียน เขาจะเป็นคนที่ใส่ใจความรู้สึกของคนอื่น แล้วเขาสอนเราเรื่องนี้เยอะมากๆ (เน้นเสียง) ก็เลยรู้สึกว่าหลังๆ คนคงเกลียดเราน้อยลง

     โป๊ยเซียน: อย่างที่เขาบอก เขาเป็นคนเข้าสังคมไม่ค่อยเก่ง คิดอะไรก็ไม่ค่อยพูดตรงๆ ต้องทำอ้อมๆ ซึ่งเมื่อก่อนเราก็เป็นคนอย่างนั้น แต่พออยู่กับกวินก็รู้สึกว่า ในเมื่อเขาเป็นคนแบบนี้ เราก็อาจจะต้องเปลี่ยนนิสัยไม่ค่อยแสดงออกแบบนี้เหมือนกัน ลองแสดงออกมากขึ้น กลายเป็นว่าทุกวันนี้เราก็ชอบทำอะไรเปิดเผย คิดอะไรก็พูด อยากทำอะไรก็ทำ อยากจะกอดก็เดินไปกอด ทำให้เราเป็นคนตรงไปตรงมามากขึ้น เพราะเรารู้สึกว่าเราก็ไม่อยากไปเปลี่ยนเขา เราก็ชอบ (ยิ้ม) ชอบที่เขาเป็นแบบนี้อยู่แล้ว ก็เลยปรับตัวเราให้อยู่ด้วยกันแล้วโอเคมากขึ้น แล้วเป็นฝ่ายที่แสดงออกแทน

 

Sundae Kids

 

เรื่องการพูดอ้อมๆ ปากไม่ตรงกับใจ เป็นเนื้อหาที่เราเห็นในเพจ Sundae Kids เยอะเหมือนกัน พวกคุณมองว่ามันเป็นอุปสรรคในความสัมพันธ์ไหม

     โป๊ยเซียน: เราว่าไม่เป็นหรอกถ้าเรารู้ว่าเขาคิดอะไร อย่างเราอยู่ด้วยกันจนรู้ว่าเขาทำอะไร หมายถึงอะไร คิดอะไร บางทีก็แค่มองหน้ากันก็รู้เลย การสื่อสารมีหลายแบบ ไม่จำเป็นต้องพูดออกมาตรงๆ ก็ได้ บางทีการพูดอ้อมๆ ก็เป็นการสื่อสารอย่างหนึ่ง

 

เราสามารถรู้ใจรู้ความคิดของคนคนหนึ่งโดยไม่ต้องพูดกันได้จริงๆ เหรอ

     (ทั้งคู่) แน่นอน แต่มันก็ไม่ได้เป็นได้ตั้งแต่แรกๆ หรอก

     กวิน: อย่างเราขับรถอยู่ เขาก็มองแล้วบอกว่าคิดอะไรแปลกๆ อยู่แน่เลย ซึ่งเราก็ทำสิ่งนั้นอยู่จริงๆ แล้วก็ไม่รู้ด้วยนะว่าเขารู้ได้ไง อาจเป็นเพราะสีหน้า แววตา ที่มันเล็กน้อยมากๆ

 

หลายคนบอกว่าความเข้าใจคือองค์ประกอบหลักของความสัมพันธ์ แต่ก็เป็นสิ่งที่ยากที่สุดด้วย พวกคุณคิดว่าความเข้าใจของพวกคุณนั้นแทบไม่ต้องพูดออกมาด้วยซ้ำ เอาจริงๆ ความเป็นเคมีที่ลงตัวได้แบบนี้ต้องใช้อะไรเป็นส่วนผสม

     โป๊ยเซียน: ก่อนที่จะเข้าใจ เราต้องรู้จักและยอมรับก่อนว่าคนเราไม่ได้เหมือนกันทุกคน ในความสัมพันธ์เราจึงต้องเข้าใจทั้งข้อดีและข้อเสียของเขา เราคิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะสร้างขึ้นมาได้ ถ้าเราไม่อยากเข้าใจเขาจริงๆ เราคงไม่ไปพยายามทำความเข้าใจตั้งแต่ต้น น่าจะเป็นความรู้สึกล้วนๆ ว่าเราอยากจะเข้าใจคนคนหนึ่งจริงๆ แล้วกระบวนการจะเป็นไปเองโดยธรรมชาติ คอยเก็บรายละเอียด สังเกตว่าเขาเป็นคนยังไง แล้วถ้าเกิดมีอะไรที่เราไม่ชอบ เราก็ต้องเข้าใจ ถ้ามีบางอย่างที่เปลี่ยนไม่ได้ ก็ต้องยอมรับและอยู่กับมัน

 

มีงานวิจัยเคยบอกว่าคนรุ่นใหม่กลัวการผูกมัดโดยเฉพาะเรื่องของความสัมพันธ์ พวกคุณคิดว่าจริงแค่ไหน

     กวิน: เราว่ามันอาจเป็นเพราะเราโตขึ้นมากกว่า เพราะตอนเด็กเวลาชอบใคร เราก็บอกเขาไปตรงๆ ไม่คิดหน้าคิดหลัง แต่พอโต ได้ผ่านประสบการณ์อกหักมาแล้ว ผ่านการไม่สมหวัง โลกมันสอนให้เราปกป้องตัวเอง เพราะถ้าก้าวพลาดไปนิดเดียวเราอาจจะผิดหวังอีกครั้งก็ได้

     โป๊ยเซียน: เราไม่ใช่คนที่พยายามหาแฟนหรือคิดว่าไม่กล้าอยู่กับใครเลย เราแค่เปิดใจ ลองดู ไม่ได้ไม่เป็นไร ไม่ได้กดดันตัวเองเรื่องความสัมพันธ์ขนาดนั้น เรารู้สึกว่าความสัมพันธ์มันไม่ใช่เรื่องที่บังคับกันได้อยู่แล้ว แต่ตอนเด็กๆ เราจะตรงข้ามกับกวิน ที่ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง เหมือนตอนนั้นเราใหม่กับความรัก แล้วไม่ค่อยแสดงออก เราไม่ใช่คนที่จะมีใครมาชอบเยอะอยู่แล้ว ทำให้บางทีก็เลยรู้สึกไม่แน่ใจ ขี้เก๊ก ถ้ามีใครมาคุยก็จะไม่ได้เล่นด้วย

     โตมาก็รู้ว่าความสัมพันธ์ไม่ใช่เรื่องยากขนาดนั้น แค่เปิดใจ แล้วก็ลองดู ไม่ได้คิดว่าเราต้องมีแฟนหรืออยู่คนเดียว สำหรับเรายังไงก็ได้ สบายใจที่จะอยู่ตรงไหนก็โอเคหมด ซึ่งปัจจุบันนี้อยู่ตรงนี้เราก็โอเคมากจริงๆ (ยิ้ม)