TANACHIRA

ธนพงษ์ ‬จิราพาณิชกุล | ความสำเร็จที่ยั่งยืนจากการค้นหาคุณค่าที่แท้จริงในแบรนด์ระดับโลก

ในช่วงเพียงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ‬ถ้าคุณลองสังเกตผู้คนรอบตัว ‬ทั้งในศูนย์การค้า ‬บนรถไฟฟ้าบีทีเอส ‬สวนสาธารณะใกล้บ้าน ‬หรือแม้กระทั่งในยิมที่ไปออกกำลังกาย ‬ก็จะเห็นผู้คนหลากหลายสะพายกระเป๋าผ้าสกรีนเป็นรูปดอกไม้ดอกโตๆ ‬ออกแบบเรียบง่าย ‬มีองค์ประกอบเพียงสีพื้นไม่กี่สี ‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬

     มองเพียงแค่ผิวเผินเช่นนั้นจะไม่มีทางรู้เลยว่าลายดอกไม้เหล่านั้นสื่อสารข้อความใดๆ ‬เพราะมันไม่มีข้อความหรือการอวดอ้างอื่นใดอีก ‬นอกจากความสะดุดตา ‬ความรู้สึกสนุกสนาน ‬และผ่อนคลาย ‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬

     ดอกไม้ดอกนั้นจะดึงดูดให้คุณเดินเข้าไปเปิดบทสนทนากับพวกเธอหรือเขาที่สะพายมัน ‬ก่อนจะได้ทำความรู้จักกับคนแปลกหน้าที่ดูเป็นมิตร ‬และกระเป๋าผ้า ‬Marimekko ‬จากฟินแลนด์ ‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬

     นี่คืออีกหนึ่งตัวอย่างของการสร้างแบรนด์ที่ประสบความ‬สำเร็จ ‬จากแบรนด์เนมยิ่งใหญ่ระดับโลกที่สื่อสารตัวเองออกมาอย่างถ่อมตน ‬และสอดคล้องเข้าไปกับบริบทของแต่ละสังคม ‬ผู้ที่เป็นมาสเตอร์มายด์อยู่เบื้องหลังความสำเร็จนี้ในเมืองไทย คือ ‘แทน’ – ธนพงษ์ ‬จิราพาณิชกุล ‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬ ในฐานะของผู้ก่อตั้ง‬และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ‬บริษัท ‬ธนจิรา ‬รีเทลคอร์ปอเรชั่น ‬จำกัด ‬หรือ ‬TANACHIRA ‬เขามีสายตาแม่นยำและวิธีการสื่อสารที่ลึกซึ้ง ‬เขานำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้าไลฟ์สไตล์ของแบรนด์เนมที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลก ‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬

 

TANACHIRA

 

     นอกเหนือจาก ‬Marimekko ‬ยังมีแบรนด์ที่อยู่ภายใต้การดูแลอีก ‬4 ‬แบรนด์ ‬คือ ‬Pandora ‬แบรนด์เครื่องประดับจากเดนมาร์ก, ‬Cath Kidston ‬แบรนด์ไลฟ์สไตล์โมเดิร์นวินเทจจากอังกฤษ, ‬Tilda ‬แบรนด์เครื่องประดับจิวเวลรีเพชรแท้ ‬และ ‬HARNN ‬แบรนด์บอดี้แคร์ ‬สกินแคร์ และสปาไทยที่มีชื่อเสียงแพร่หลายออกไปยังต่างประเทศ แทนมานั่งคุยกับเราถึงเรื่องชีวิต ‬การงาน ‬ไลฟ์สไตล์ ‬ที่ทุกด้านหลอมรวมกันเข้ามาจนกลายเป็นธุรกิจซึ่งกำลังเติบโตไปได้ด้วยดี

     ในช่วงแรกเริ่มของการบริหารแบรนด์ต่างประเทศ ‬ภายใต้บริบทสังคมและพฤติกรรมผู้บริโภคบ้านเรา ‬คือโจทย์ที่ท้าทายสุดชีวิต ‬เพราะทุกอย่างตั้งอยู่บนความเสี่ยง ‬ไม่มีอะไรยืนยันได้ว่าสิ่งที่ทุ่มเทไปจะให้ผลตอบรับกลับมาสมความเหนื่อยยาก‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬

     แต่ด้วยความมุ่งมั่นของผู้บริหาร ‬ที่จะผลักดันสาระสำคัญคือคุณค่าที่แท้จริง ‬สื่อสารออกไปให้เกี่ยวโยงกับการใช้ชีวิตของทุกๆ ‬คน ‬TANACHIRA ‬จึงค่อยๆ ‬ก่อสร้างวัฒนธรรมองค์กรของตัวมันเองขึ้นมา ‬กลายเป็นบรรยากาศการเรียนรู้ในการทำงานให้พนักงานเข้าใจถึงคุณค่าที่แท้จริง ‬ไม่ใช่เพียงเพื่อเป้าหมายร่วมกันของบริษัทเท่านั้น ‬แต่รวมถึงโอกาสที่แต่ละคนจะได้ทำหน้าที่ที่รับผิดชอบด้วยความชำนาญ ‬และเติบโตเต็มศักยภาพต่อไป ‬สิ่งเหล่านี้จึงกลายเป็นส่วนผสมลับที่ทำให้องค์กรเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดภายในระยะเวลาอันสั้น ‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬

     ในโลกปัจจุบันที่หมุนเร็วขึ้น ‬เพราะความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรม ‬จนทำให้ทุกอย่างเร่งรีบไปหมดโดยเฉพาะรูปแบบการใช้ชีวิต ‬ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ไลฟ์สไตล์กำลังเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ ‬อยู่เสมอ ‬ในสภาพการณ์ดังกล่าว ‬TANACHIRA ‬สามารถยืนอยู่ได้อย่างมั่นคงและแข็งแรง ‬เพราะความชัดเจนที่เป็นธงหลักปักมั่นตั้งแต่เริ่มต้นของผู้บริหาร ‬ว่าจะต้องนำเสนอสิ่งที่เป็นประโยชน์‬และให้คุณค่ากับชีวิตจริงๆ ‬มีหลักปฏิบัติที่ดีเยี่ยมบนพื้นฐานความเข้าใจในบริบทสังคม ‬พัฒนาตัวเองไม่ให้หยุดอยู่นิ่ง ‬และที่สำคัญคือรู้จักชื่นชมยินดีกับทุกสิ่งที่ทำ ‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬

     นี่คือเบื้องหลังความคิดของผู้บริหารที่นำพาให้ ‬TANACHIRA ‬ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่า ‬9 ‬ปี‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬

 

TANACHIRA

 

เพราะอะไร ‬TANACHIRA ‬จึงเลือกทำธุรกิจกับแบรนด์ไลฟ์สไตล์ระดับโลกมากมาย ‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬

     เริ่มจากวิธีคิดแบบนี้ก่อน ‬ว่าผู้ซื้อหรือผู้บริโภคต้องได้อะไร ‬ไม่ใช่ควรได้อะไร ‬ฟังดูเหมือนไม่โยงใยไปกับตัวผลิตภัณฑ์ ‬แต่จริงๆ ‬แล้วมันมี ‬เพราะเรามองว่าสินค้าที่ผู้บริโภคซื้อไปต้องมีคุณค่าที่แท้จริง ‬คุณค่าในการใช้งานจริง ‬และคุณค่าที่เชื่อมโยงกับชีวิตประจำวัน ‬ผมตั้งต้นด้วยความคิดเช่นนี้ก่อน ‬แล้วค่อยมองหาแบรนด์ไลฟ์สไตล์ที่สามารถสื่อความคิดนี้ของเรา ‬และนำมาเสนออัตลักษณ์นี้ให้ผู้บริโภคอีกทีหนึ่ง‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬

     มุมมองการดำเนินธุรกิจในระยะยาวของเรา ‬ซึ่งไม่ได้ต้องการเป็นแค่ธุรกิจที่ทำกำไรจากการเป็นตัวแทนนำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้า ‬แค่ซื้อมาขายไป ‬แต่เราต้องการสร้างคุณค่าในธุรกิจให้สอดคล้องกับบริบทของประเทศไทย ‬ดังนั้น ‬ธุรกิจที่เราทำจึงไม่ใช่แค่สินค้าแฟชั่น ‬ไม่ใช่แค่สินค้าที่ซื้อตามกระแสนิยมตะวันตก ‬แต่ต้องเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงคุณค่าของมันบางอย่าง ‬และนำคุณค่านี้ไปอยู่ในชีวิตประจำวันของทุกคน ‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬

 

คุณค่าของสินค้าไลฟ์สไตล์พวกนี้คืออะไร ‬สอดคล้องกับบริบทสังคมไทยได้อย่างไร ‬‬‬‬‬‬‬‬‬

     ยกตัวอย่าง ‬ผมเริ่มจากแบรนด์แพนดอร่าในปี ‬2011 ‬ตัวผมเองเป็นผู้ชายจึงไม่ได้ใช้สินค้าแบรนด์นี้อยู่แล้ว ‬แต่ด้วยความน่าสนใจและได้ไปศึกษาธุรกิจนี้ที่ฮ่องกง ‬ทำให้เริ่มเข้าใจสาระสำคัญของแบรนด์นี้มากขึ้น ‬

      แพนดอร่าคือเครื่องประดับที่ทุกคนสามารถเลือกนำเสนอตัวตนหรือความเป็นตัวเองได้โดยไม่ซ้ำใคร ‬ทำขึ้นเพื่อคนคนเดียวสำหรับผู้ใช้ ‬มันมีความหมายเฉพาะ ‬มีชิ้นเดียวในโลก ‬เพราะเราหยิบเอาช่วงเวลาหรือความทรงจำในชีวิตมาสร้างสรรค์ขึ้นมาเป็นเครื่องประดับ ‬

     ตอนแรกผมคิดว่าคนไทยไม่น่าจะเข้าใจ ‬เราอาจจะมองเครื่องประดับว่าเป็นแฟชั่น ‬หรือบางคนก็มองเรื่องโชคลาภ ‬แต่ด้วยความที่เราเชื่อมั่นว่าจะสื่อสารคุณค่าของแบรนด์นี้ออกไป ‬เราจึงเดินหน้าต่อ ‬ผลคือสองปีแรกก็ค่อนข้างลำบาก ‬เพราะคนยังไม่เข้าใจ ‬พนักงานขายมักจะได้รับคำถาม ‬เช่น ‬เอาไปจำนำได้ไหม ‬มีน้ำหนักทองคำอยู่กี่กรัม ‬เราก็ต้องอธิบายให้เขาเข้าใจว่าเราขายชิ้นงานที่มีคุณค่าความเฉพาะตัว ‬ความเป็นเอกลักษณ์ ‬คุณจะบันทึกความทรงจำในชีวิตของคุณเองคนเดียว ‬เช่น ‬วันเกิดของลูก ‬วันครบรอบแต่งงาน ‬นั่นคือคำตอบ ‬แล้วเราก็เริ่มทำการตลาดให้อยู่ในบริบทการนำไปใช้งานจริงๆ ‬จนแบรนด์โตขึ้นได้ต่อเนื่องถึงปัจจุบัน ‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬

     ต่อมาผมต้องการสร้างฐานความมั่นคงของธุรกิจ ‬ตอนนั้นบริษัทเริ่มเข้าสู่ปีที่ ‬4 ‬ผมคิดว่าเราต้องมีแบรนด์เพิ่มเข้ามาอีก ‬แล้วต้องเป็นสินค้าเกี่ยวกับคุณค่าการใช้ชีวิตมากขึ้น ‬จึงเลือกนำเข้าแบรนด์ไลฟ์สไตล์ที่ผมมองเห็นอัตลักษณ์ชัดเจน ‬เริ่มจาก ‬Jonathan Adler ‬จากสหรัฐอเมริกา ‬Marimekko ‬จากฟินแลนด์ ‬Cath ‬Kidston ‬จากอังกฤษ ‬แล้วทำแบรนด์เครื่องประดับจากเพชรชื่อว่า ‬Tilda ‬ล่าสุดผมได้เข้าซื้อกิจการ ‬HARNN ‬แบรนด์บอดี้แคร์ ‬สกินแคร์ ‬และสปาไทยที่ประสบความสำเร็จ‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬

 

คุณมองเห็นคุณค่าอะไรในแบรนด์เหล่านี้ ‬‬‬‬‬

     ในกรณีของ ‬Marimekko ‬ตอนที่ผมเห็นร้าน ‬Marimekko ‬ครั้งแรกในนิวยอร์ก ‬ผมรู้สึกว่านี่แหละใช่เลย ‬ความนิ่งสงบ ‬ไม่กระโตกกระตาก ‬ดีไซน์ดี ‬และน่าดึงดูด ‬ครั้งนั้นผมให้นิยาม Marimekko ‬คือ ‬D.I.Y. ‬Store ‬ให้คุณเลือกผ้าเมตรมาตัดทำหมอนอิงได้ ‬มีของใช้ในครัว ‬มีกระเป๋าผ้าที่มีลายเป็นเอกลักษณ์ ‬เขาไม่ตามแฟชั่น ‬ผมสนใจคุณค่าลักษณะนี้ ‬

     ผมกลับมาไทยเพื่อทำการบ้าน  แล้วติดต่อพร้อมส่งแผนธุรกิจไปที่สถานทูตฟินแลนด์ประจำประเทศไทย ‬ผมจึงได้เดินทางไปพบซีอีโอที่เฮลซิงกิ ‬เพื่อพูดคุยและอธิบายความคิดของผมให้เขาฟัง ‬ด้วยเคมีที่ตรงกัน ‬ด้วยความเข้าใจเรื่องแบรนด์ที่ตรงกัน ‬ว่ามันไม่ใช่แบรนด์แฟชั่นปูพรมแดง หรูหรา ‬เพราะ ‬Marimekko ‬มีคุณค่าที่แท้จริงในเรื่องความดีงาม ‬ความเป็นธรรมชาติ ‬นำลักษณะของสิ่งต่างๆ ‬ที่อยู่แวดล้อมตัวเรามาเป็นบริบทการดีไซน์สินค้า ‬เขาจึงตอบตกลงให้ผมเป็นตัวแทนทำธุรกิจในไทย ‬จนถึงวันนี้ถือว่าประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง ‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬

 

คิดว่าคงไม่ใช่ทุกแบรนด์ที่จะสามารถสื่อสารคุณค่าแบบนี้ได้สำเร็จในตลาดเมืองไทย ‬‬‬‬‬

     ลองย้อนกลับไปที่ ‬Jonathan Adler ‬ตอนนั้นผมเห็นว่าเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่มีเอกลักษณ์ชัดเจน ‬เลยตัดสินใจทำเพราะอยากทำ ‬ผมมองเห็นบริบทการอยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ‬ซึ่งกำลังเติบโตขึ้นมาก ‬คนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ทันสมัยเริ่มย้ายไปอยู่ในคอนโดฯ ‬คุณค่าของแบรนด์แบบนี้ก็น่าจะตอบความต้องการคนที่อยากแต่งบ้านให้มีความพิเศษบางอย่างได้โดยไม่ต้องใช้เฟอร์นิเจอร์มากชิ้น ‬แต่ปรากฏว่าผมคิดผิด ‬เรานำหน้าตลาดเร็วเกินไป ‬ผู้บริโภคไม่ได้โตเร็วตามความคิด ‬เพราะการทำการตลาดนั้นเป็นเรื่องศิลปะ ‬มันเป็นส่วนผสมทั้งอารมณ์และความจริงของสิ่งที่ซื้อ ‬ว่าซื้ออะไรแล้วได้อะไร

     อารมณ์ของ ‬Jonathan Adler ‬นั้นผูกกับบ้านที่เป็นทรัพย์สินชิ้นใหญ่ ‬แต่ผมพบว่าอารมณ์คนกรุงเทพฯ ‬ผูกอยู่กับรถยนต์และเสื้อผ้า ‬เราลงทุนในบ้านหรือที่อยู่อาศัยน้อยกว่า ‬นี่คือบริบททางสังคมของบ้านเรา ‬ดังนั้น ‬ถ้าตลาดเรายังไม่มีศักยภาพพอ ‬Jonathan Adler ‬ก็จะไม่มีที่ยืน ‬เทียบกับบริบทของฮ่องกงนั้นเขาอยู่ได้ ‬มีความต้องการเฟอร์นิเจอร์ดีๆ ‬มากกว่า ‬หากเราขืนทำต่อไปก็มีแต่จะแพ้ ‬แล้วผมเป็นคนแพ้เป็น ‬พอครบสัญญาสามปี ‬ก็ยุติบทบาทตัวแทนธุรกิจ ‬ดังนั้น ‬ความเร็วของการจะทำให้เกิดการรับรู้ถึงคุณค่าของแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งจึงเป็นเรื่องยาก ‬แม้จะพยายามแล้ว ‬แต่สุดท้ายถ้าผู้บริโภคสนใจมูลค่าที่เขารับได้มากกว่าคุณค่า ‬ก็จบ‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬

 

TANACHIRA

 

ทำไมเราให้ความสำคัญกับบ้านของเราน้อยกว่ารถยนต์และเสื้อผ้า ‬ทั้งที่บ้านคือครอบครัว คือความอบอุ่น ‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬

     บริบทแวดล้อมของเราไม่ได้ให้คุณค่ากับสิ่งพื้นฐานที่มีคุณค่าที่แท้จริง ‬ผมพูดจากมุมมองสังคม ‬เศรษฐกิจ ‬และการเมือง ‬ที่ทำให้เราส่วนใหญ่มุ่งความ‬สนใจไปที่เรื่องภายนอก ‬ความมั่งคั่ง ‬นับถือคนที่มีฐานะ ‬โดยไม่มองถึงคุณค่าที่แท้จริง

     ‬เปรียบเหมือนกับบ้าน ‬มันคือโครงสร้างสำคัญของชีวิต ‬คือสิ่งที่เราต้องให้ความสำคัญมากกว่าการคิดว่าคนอื่นจะมองตัวเรายังไง ‬เรามักไม่เปิดเผยชีวิตความเป็นอยู่ในบ้าน ‬แต่จะโพสต์ภาพถ่ายตอนที่อยู่นอกบ้านมากกว่า ‬ผมมีโอกาสเติบโตในต่างประเทศตั้งแต่อายุสิบห้า ‬เขาใช้ชีวิตอยู่กับบ้าน ‬บ้านที่ไม่มีรั้ว ‬บ้านที่มีพื้นที่ทำงานอดิเรก ‬ทำสวน ‬นั่นคือบริบทของต่างประเทศ ‬ไม่ใช่ประเทศไทย ‬กว่าเราจะเข้าใจคุณค่าของบ้าน ‬คงต้องเรียนรู้กันต่อไป ‬สังคมไทยก็ทำให้เราเป็นคนช่างเสพ ‬ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมพยายามค้าน ‬เพราะไม่อยากให้คนเสพติดหรือวิ่งตามกระแส ‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬

     ผมถึงบอกว่าแบรนด์ต้องมีคุณค่าที่แท้จริง ‬และสินค้านั้นต้องใช้ได้ในชีวิตประจำวัน ‬ที่เห็นได้ชัดเจนมากๆ ‬คือ ‬Marimekko ‬เพราะเป็นแบรนด์ที่ใส่ใจการใช้วัสดุไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ‬และต้องไม่ผลิตโดยการใช้แรงงานที่ไม่ถูกต้อง ‬แล้วเขาก็ถ่ายทอดเรื่องราวทุกอย่าง ‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬ทั้งการผลิต ‬การออกแบบ ‬ให้ผู้ใช้ได้รับรู้ที่มาที่ไป ‬ดังนั้น ‬ถุงผ้าจึงไม่ใช่เรื่องของแฟชั่น ‬แต่เพื่อให้ใช้ได้ในชีวิตประจำวัน ‬ถ้าไปซื้อของในร้าน ‬Marimekko ‬ที่ฟินแลนด์แล้วซื้อถุงผ้าด้วย ‬พนักงานจะถามว่าเอาของทั้งหมดใส่ถุงผ้าใบนี้ไปเลยดีไหม ‬แต่บริบทไทยอาจจะไปถึงจุดนั้นช้าหน่อย ‬เรายังอยากได้ถุงช้อปปิ้งที่มีโลโก้แบรนด์ใหญ่ๆ ‬อยู่ ‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬

     เราก็ต้องใช้จุดนี้มาเชื่อมโยงการตลาด ‬ผมเริ่มต้นวางแผนว่ากระเป๋าผ้านี่แหละที่จะทำให้แบรนด์ ‬Marimekko ‬เป็นที่รู้จัก ‬เพราะเป็นสินค้าราคาต่ำสุดใช้งานได้จริงที่สุด ‬และสื่อสารคุณค่าของแบรนด์ที่ตรงจุดที่สุด ‬ตั้งแต่นักเรียน ‬นักศึกษา ‬ไปจนถึงคุณแม่ ‬คุณป้า ‬โดยผมไม่ต้องใช้เงินทำการตลาดอะไรมากมาย ‬ปีนี้เข้าปีที่สี่แล้ว ‬เราไม่สงสัยกันแล้วว่า ‬Marimekko ‬คืออะไร ‬และแบรนด์ก็ยังโตต่อไปได้ ‬เพราะตอนนี้คนเริ่มเบื่อหน่าย ว่าทำไมต้องสะพายกระเป๋าแพงๆ ‬แค่ฉันสะพายถุงผ้าเรียบๆ ‬ง่ายๆ ‬ใบนี้ใบเดียว‬ก็มีเอกลักษณ์สื่อความเป็นตัวฉันแล้ว ‬ราคาไม่แพง ‬สะพายไปได้ทุกที่ ‬หรือใช้เป็นกระเป๋าใบที่สองก็ยังได้ ‬

     เมื่อคนที่ใช้มองว่าเป็นกระเป๋าใส่ของได้ทุกอย่างแล้วเราก็ไม่คิดผูกติดกับความจำเจในเรื่องการทำการตลาดแบบเดิมๆ ‬ที่ต้องลด ‬แลก ‬แจก ‬แถม ‬คนถึงซื้อ ‬เพราะแบรนด์อยู่ในจุดที่คนรู้ถึงคุณค่านั้นแล้ว ‬นี่คือคุณค่าของไลฟ์สไตล์ในความหมายของ ‬TANACHIRA ‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬

 

หลักคิดของคุณ ‬เหมือนเป็นการเก็บงำคุณค่าทางจิตใจ ‬ความสุขและความพึงพอใจเอาไว้ภายในตัวเอง ‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬

     ใช่ครับ ‬และเรื่องนี้เป็นเรื่องยากที่จะสื่อสารออกไปให้พอเหมาะ ‬เพราะว่าเราต้องไม่เอาคุณค่านี้ไปครอบงำคนอื่นจนกลายเป็นลัทธิ ‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬ตอนผมคุยกับซีอีโอ ‬Marimekko ‬เขายังบอกเลยว่า ‬ไม่ต้องการให้แบรนด์เป็น ‬Cult ‬หรือลัทธิ ‬แต่ต้องการให้อิสระในการเลือกใช้ด้วยตัวเองเหมือนสิ่งที่ผมพยายามจะทำตลอดมา ‬ซึ่งมาจากสิ่งที่ผมมองเห็นและเชื่อมั่นว่าต้องรู้ตัวตนก่อนว่าต้องทำอะไร ‬มีวัตถุประสงค์อะไร ‬ที่ตกกระทบแล้วสะท้อนถึงคนอื่น ‬แล้วต้องไม่เอาเปรียบใคร ‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬

     TANACHIRA ‬ต้องสะท้อนภาพของผู้รู้จริงในหน้าที่รับผิดชอบ ‬ทีมงานของเราทุกคนก็จะรับรู้คุณค่านี้ด้วย ‬พวกเขาไม่ใช่ทำงานแค่ผ่านไปที ‬ก่อนจะรู้ว่าลูกค้าต้องได้อะไร ‬ต้องรู้ตัวเองก่อนว่าเรามาทำงานทำไม ‬มีเป้าหมายอะไร ‬ผมมองตัวเองเป็นโค้ชมากกว่าเป็นเจ้านาย ‬เพราะการทำงานทุกวันนี้ไม่ใช่แค่ทำงานได้เงินเดือน ‬แต่เป็นการเรียนรู้ไม่หยุดนิ่ง ‬แล้วความยากของงานในองค์กรก็คือการสร้างศรัทธาและความเชื่อมั่นในสิ่งที่ประธานพูด ‬ผมต้องเป็นตัวอย่าง ‬มีความชัดเจน ‬นี่เป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนผมให้สร้างธุรกิจเดินหน้าต่อ ‬และเป็นนิยามของความสำเร็จ ‬คือความที่พนักงานและทีมงานมีความเชื่อมั่นและศรัทธาในตัวเรา‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬

     ปีนี้ ‬TANACHIRA ‬เข้าสู่ปีที่ ‬9 ‬รายได้อยู่ที่ ‬1,500 ‬ล้านบาท ‬ถือว่าโตเร็วพอสมควร ‬สเกลนี้ทำให้เราต้องมีสมรรถนะหลักขององค์กร ‬หนึ่ง ‬คือความเป็นเลิศในการทำงานขายหน้าบ้านยันเรื่องการบริหารสต็อกหลังบ้าน ‬สอง ‬คือความ‬เข้าใจอย่างดีเยี่ยมในการทำงานด้านการตลาด ‬สองอย่างนี้จะเกิดขึ้นเมื่อมีความมุ่งมั่นและมีความตั้งใจจริงโดยที่ผมไม่ต้องบังคับ ‬ช่วงเริ่มต้นทำบริษัทมีพนักงานรวมผมด้วยแค่ ‬4 ‬คน ‬จนตอนนี้เรามีกัน ‬450 ‬คนแล้ว ‬ในระหว่างทางมีคนที่ไม่มีศรัทธาหรือเชื่อมั่นก็จะจากไปบ้างเป็นเรื่องปกติ ‬แต่น้ำหนักของคนส่วนใหญ่ที่อยู่เพราะเชื่อมั่นและมีศรัทธาที่จะอยู่ ‬ตรงนี้คือสิ่งที่ทำให้บริษัทขับเคลื่อนต่อไป ‬เรื่องนี้ผมคิดทุกวัน ‬เพราะคือความยั่งยืน ‬ไม่ใช่ตัวสินค้าอย่างเดียว ‬แต่คือตัวคนด้วย ‬แม้ผมตายจากไป ‬TANACHIRA ‬ต้องยังคงอยู่ได้ ‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬

 

จะรู้ได้อย่างไรว่าคนที่สมัครงานเข้ามามองเห็นคุณค่าร่วมกับองค์กร ‬TANACHIRA ‬จริงๆ ‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬

     คำถามนี้น่าสนใจ ‬ผมจะบอกให้ว่าส่วนใหญ่พนักงานที่เข้ามาในองค์กร ‬ยกเว้นพนักงานขาย ‬ผมจะเป็นผู้สัมภาษณ์เองทุกคน ‬ผมเลือกความ-‬ตั้งใจมากกว่าความเก่ง ‬ผมเลือกความสนใจกระตือรือร้นมากกว่าความคิดแบบขอผ่านไปที ‬ซึ่งเรื่องแบบนี้ดูได้จากสีหน้า ‬แววตา ‬ว่าเขาสนใจเราหรือเปล่า ‬ผมอาจจะแกล้งพูดออกนอกเรื่องเกี่ยวข้องกับความเป็นตัวผม ‬เพื่อทดสอบดูว่าเขาสนใจฟังไหม ‬เมื่อมีความตั้งใจมาก ‬แต่ยังไม่เก่งกาจ ‬ก็จะเป็นหน้าที่ของผู้นำในการให้โอกาส ‬สร้างความเข้าใจให้ถูกต้อง ‬อาจมีบางอย่างที่ยังไม่ตกผลึก ‬แต่เราต้องไม่ปิดประตูใส่เขา ‬เพราะทุกคนต้องได้รับโอกาส ‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬

     TANACHIRA ‬เป็นเหมือนกับโรงเรียน ‬เมื่อเริ่มเรียนคาบแรกก็ต้องพร้อม ‬ความหมายคือทุกคนต้องรู้หน้าที่ตัวเอง ‬ผมต้องการให้ทุกคนได้เรียนรู้งานตั้งแต่ศูนย์ถึงร้อย ‬เพราะผมไม่ได้อยากให้เขาเป็นม้าวิ่งทางเดียวไปตลอดชีวิต ‬คือต้องรู้ก่อนว่าเราอยากเป็นผู้ประกอบการแบบไหน ‬ถ้ายังไม่ชัดเจน ‬คลุมเครือ ‬เหมือนกั๊กอะไรบางอย่างไว้ ‬พนักงานก็จะทำได้อยู่แค่นั้น ‬ไม่พัฒนา ‬ฉะนั้น ‬เป็นหน้าที่ผมในการโค้ชและทำให้ดีที่สุด

     ‬ผมบอกกับทีมงานเสมอว่า ‬พวกคุณไม่ได้เสียเงินเรียนนะ ‬คุณได้เงินเดือน ‬และผมยินดีให้ความรู้ทุกอย่างมากกว่าที่คุณต้องการ ‬พอมีพนักงานหลายคนเข้ามาถาม ‬ขอคำแนะนำจากผม ‬ผมจะภูมิใจและใช้เวลาจริงจังให้ความรู้พวกเขา ‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬

 

การทำงานของคุณในทุกวันนี้ ‬ทั้งการสื่อสารคุณค่าของแบรนด์ ‬และการส่งเสริมทีมงานในองค์กร ‬คุณคิดว่ามันจะส่งผลต่อสังคมไทยอย่างไร ‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬

     โอ้โฮ ‬ผมคงไม่กล้าคิดฝันไปไกลถึงขนาดนั้น ‬แต่จริงๆ ‬ตอนหนุ่มๆ ‬กว่านี้ผมเคยคิด ‬และเลิกคิดไปแล้ว (‬หัวเราะ) ‬ว่าวันหนึ่งจะได้อยู่ในฐานะชี้นำประเทศหรือสังคม ‬ผมเคยอยากเป็นรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการเพราะเป็นคนชอบเรียนรู้ ‬แต่พอได้เห็นการเมืองสมัยนี้ผมก็ยอมแพ้ดีกว่า ‬ขอทำงานในบริบทของบริษัทเท่าที่เราทำได้ ‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬

     ผมคิดว่างานที่ทำอยู่น่าจะส่งผลต่อเนื่องไปในสามสิ่งที่เกี่ยวโยงกัน ‬และผมพยายามจะทำให้เห็นเป็นรูปธรรม ‬คือการศึกษา ‬ศิลปะ ‬และวัฒนธรรม ‬ผมพยายามหาวิธีสอดแทรกทั้งสามสิ่งนี้ลงไปในการดำเนินธุรกิจ ‬

     อย่างตอนที่ ‬TANACHIRA ‬ครบรอบ ‬6 ‬ปี ‬ผมจัดงานประมูลภาพวาดจากศิลปินอิสระ ‬แล้วนำเงินไปบริจาคให้องค์กรการกุศล ‬พอปีต่อมา ‬ด้วยความชอบศิลปะทำให้ได้รู้จักกับ ‬คุณนที ‬อุตฤทธิ์ ‬เพราะผมติดตามผลงานของเขา ‬เขาเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงระดับโลก ‬แต่คนไทยกลับยังไม่รู้จัก ‬ผมเลยขอเป็นตัวแทนจัดแสดงการ ‬launch ‬หนังสือการทำงานศิลปะชุดล่าสุดของเขา ‬แล้วเราก็เลือกบริจาครายได้จากการจำหน่ายหนังสือโดยไม่หักค่าใช้จ่ายใดๆ ‬ให้มูลนิธิที่ให้การช่วยเหลือเด็กสลัมในไทย ‬

     มันน่าเหลือเชื่อมาก ‬เพราะกิจกรรมนี้เกิดจากการสนับสนุนของลูกค้าที่ซื้อสินค้าเรา ‬ในงานนี้ผมได้จำหน่ายหนังสือที่มีราคาสูงถึงเล่มละสองพันบาท ‬เราก็ขายหมดเกลี้ยง ‬คนทั่วไป ‬นักเรียน ‬นักศึกษามาซื้อไป ‬เรานำศิลปินกับผลงานจริงๆ ‬มาเปิดให้คนทั่วไปได้มาสัมผัส ‬เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้เขาส่งต่อไปยังคนอื่นๆ ‬อีก ‬นี่คือสิ่งที่ผมพยายามจะสอดแทรกเข้าไปร่วมกับการทำธุรกิจ ‬เราพยายามทำไปเรื่อยๆ ‬เมื่อมีโอกาส ‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬

 

TANACHIRA

 

อยากรู้ว่าถ้าได้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการจริงๆ คุณจะสอนให้เด็กไทยได้เข้าถึงคุณค่าที่แท้จริงของชีวิตได้อย่างไร

     (หัวเราะ) สาเหตุที่ประเทศฟินแลนด์มีระบบการศึกษาดีที่สุดในโลก เพราะไม่ต้องเรียนหนังสือในช่วงวัยที่ต้องมีพัฒนาการ ผมเองเลือกส่งลูกตัวเองไปอยู่ในระบบการศึกษาที่เน้นการค้นคว้าทดลอง ไม่ต้องมีการบ้าน ผมว่าสำหรับเด็กๆ เมื่อถึงเวลา ถ้าอยู่ในบริบทที่ใช่ เขาก็จะมาเอง ตอนนี้ลูกผม 6 ขวบ เขียนหนังสือไม่สวย ผมก็ไม่มีปัญหา

     ดังนั้น สำหรับคำถามของคุณ ผมตอบไม่ได้ว่าจะสอนอะไร แต่ผมจะเปรียบเทียบให้เห็นถึงการเตรียมความพร้อมให้เด็กปฐมวัย คือเราใส่โปรแกรมเข้าไปเพื่อการแข่งขัน แต่ผลลัพธ์มันไม่ได้ เราต้องให้เด็กค้นคว้าทดลอง ให้เขาฝึกการเชื่อมโยงฝึกคิดแก้ไขปัญหา ได้ออกไปดูต้นไม้ใบหญ้า และฝึกการ Critical Thinking ไม่ใช่ท่องจำ นี่คือสิ่งที่เมืองไทยยังไม่มี

     แม้แต่ในระดับอุดมศึกษา เรายังสอนแบบท่องจำหลักการตลาดของ Philip Kotler สองร้อยกว่าข้อ เปรียบเทียบกับที่ผมไปเรียนต่อ MBA ที่สหรัฐอเมริกา ปรากฏว่าที่นั่นทำให้ผมรู้ว่าการตลาดไม่ใช่วิชาท่องจำ แต่เป็นคณิตศาสตร์ที่ต้องคำนวณ ผมอึ้งมากเลยเพราะไม่เคยรู้มาก่อน แล้วมีเพื่อนร่วมห้องที่นั่งข้างๆ เป็นแชมป์รายการ Fear Factor อีกคนทำงาน CIA แต่ละคนมีโปรไฟล์ที่เจ๋งมาก ทุกอย่างเปิดโลกเราให้กว้างขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาหัวไวกันมาก ซึมซับสิ่งที่ได้ยินแล้วเข้าใจได้เร็ว Critical Thinking อยู่ในสัญชาตญาณไปแล้ว ส่วนเราพยายามเท่าไหร่ก็ไม่ถึงขั้นนั้น เพราะพื้นฐานวิธีการคิดที่เราถูกปลูกฝังมาต่างจากเขา Critical Thinking จึงเป็นเรื่องสำคัญกับการเรียนรู้ตลอดชีวิต

 

ในบริบทประเทศไทยที่ยังมีข้อจำกัดเรื่องการศึกษา การตระหนักถึงคุณค่าที่แท้จริงแบบนี้ TANACHIRA จะประสบความสำเร็จได้และเติบโตไปอย่างไร

     ต้องพยายามต่อไป ต้องไม่หยุดยั้ง ผมเชื่อว่าเรื่องพวกนี้ต้องดูประเทศตะวันตกหรือสังคมที่พัฒนาแล้วเป็นแนวทาง พยายามศึกษา เปรียบเทียบ แล้วปรับให้เข้ากับบริบทของเรา แล้วสิ่งที่เราทำอยู่จะเติบโตต่อไปได้

 

ศึกษาตัวอย่าง เรียนรู้ เปรียบเทียบ แล้วประยุกต์ใช้ นี่คือวิธีการหรือแนวทางพื้นฐานของมนุษย์ที่ต้องการเติบโต

     ใช่ ผมเชื่ออย่างนั้น เราอยู่ในภูมิศาสตร์ที่ถูกสปอยล์ให้ไม่ต้องดิ้นรน อยู่บริเวณที่ราบลุ่ม ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว เราไม่รู้หรอกว่าความหนาวติดลบเป็นอย่างไร แดดร้อนจัดเป็นอย่างไร เขาต้องดิ้นรน ต้องคิดตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐานไปจนถึงนวัตกรรม ไม่ใช่สวยอย่างเดียวแต่ต้องใช้งานได้จริง อยู่ในบริบทอย่างนั้นได้ แล้วโลกทุกวันนี้ถูกเชื่อมโยงกันด้วยเทคโนโลยี ทุกอย่างเร็ว ความรู้ก็ถูกถ่ายทอดเร็วกว่าเมื่อก่อน เราเอาตรงนี้เข้ามาใช้เพื่อเป็นการปรับเปลี่ยนได้เท่าที่ภูมิศาสตร์ที่เราจะอำนวย เราไม่ต้องรออะไรอีกต่อไปแล้ว

     อย่างเซี่ยงไฮ้ตอนนี้คือแมนฮัตตันดีๆ นี่เอง ภายในเวลาแค่ 10 ปี ผมไม่ได้บอกว่าคุณค่าอันดีงามของวัฒนธรรมจีนมันหายไป มันก็ยังอยู่ แต่เทคโนโลยีทำให้ภาคเอกชนเข้มแข็ง ไม่มีคนจีนเสียงดังโช้งเช้ง มีคนทำงานชาวต่างชาติ แล้วทั้งหมดช่วยให้คนรู้คุณค่าของสิ่งที่ถูกต้องมากขึ้น แต่เราก็ต้องเลือกเองด้วย คือใช้เทคโนโลยีในหน้าที่ที่ถูกต้องและเกิดประสิทธิผลสูงสุด เพราะว่าเราใช้โซเชียลมีเดียในการนำเสนอการตลาดด้วย ไม่ได้ใช้แค่ร้านค้าเป็นตัวกลางสื่อสารอย่างเดียว

     ในร้าน Marimekko เราจะให้ความรู้แก่ลูกค้าเสมอว่าดีไซน์มีที่มาที่ไปยังไง เกี่ยวข้องกับปัจจุบันยังไง แบรนด์เนมทั่วไปบอกแค่ว่าใครออกแบบ จัดแฟชั่นโชว์ คนดูแล้วก็ซื้อ จบ ฉันเติมเต็ม ฉันอิ่มแล้ว ฉันใส่คอลเล็กชันใหม่ แล้วมีอะไรพิเศษมากกว่านี้เหรอ ไม่มี แต่เราต้องพยายามสอดแทรกเรื่องราวและคุณค่าให้ผู้บริโภค แล้วต้องใช้เทคโนโลยีเข้ามาเพื่อให้เกิดความเข้าใจ ภาพที่เกิดในแฟชั่นโชว์ใจกลางสวนใหญ่ของเฮลซิงกิเมื่อวานนี้ วันนี้ถูกส่งมาที่กรุงเทพฯ เป็นการสอดประสานกับธรรมชาติที่เกิดขึ้นรอบข้าง อย่างคอลเล็กชันล่าสุดของ Marimekko เอาคนอายุ 70+ มาเป็นนางแบบ หลังเธอค่อม ฟันเธอไม่สวยงาม แต่นี่คือคุณค่าที่เป็นความจริงของชีวิต โดยที่ผมคิดว่ามันคือความจริง เป็นสิ่งที่ต้องนำเสนอต่อไป ไม่มีใครชี้นำลูกค้า เพราะเขาจะเห็นคุณค่านั้นด้วยตัวเอง

 

TANACHIRA

 

จะพัฒนาตัวเราเองอย่างไรให้มีความสามารถในการยกย่องชื่นชมและมองเห็นคุณค่าที่แท้จริงได้

     เราต้องหาความรู้ให้ตัวเองตลอดเวลาจากสิ่งรอบข้าง ด้วยความสนใจของเราที่มีในสิ่งนั้นๆ แล้วเปรียบเทียบหรือทำ benchmarking เป็นขั้นตอนแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ เหมือนผมเปรียบเทียบระหว่างภูมิศาสตร์ตะวันตกกับทางตะวันออก แล้วทำให้มองเห็นได้ชัดเจนว่า What is the right one? What is the right concept? What is the right practice? ถ้าผมไม่ค้นคว้าไม่ศึกษาเอง ไม่สนใจ ผมจะมองแค่บริบทในประเทศ มองแค่สิ่งที่ทำอยู่วันนี้ ขายไม่ได้ใช่ไหม ก็ลดราคา เราจะไม่มองอนาคตหรือบทเรียนมากมายในอดีต เราจะไม่เห็นว่าคนทำแบบนี้แล้วเจ๊งนะ สิ่งเหล่านี้ผมตอบไม่ได้ว่าแต่ละคนจะไปหาจุดสนใจนั้นได้จากอะไรหรือที่ไหน

     ผมมีตัวอย่างที่เห็นชัดคือลูกสาว เขายังตอบไม่ได้หรอกว่าเขาชอบอะไรที่สุด แต่ผมรู้ว่าเขาชอบศิลปะ ชอบการ์ตูนโพนี่ เรนโบว์สีสัน สิ่งสวยงาม ซึ่งพาเขาไปสู่การเล่นยิมนาสติก เมื่อต้องลงสนาม สิ่งที่ผมเห็นคือเขาทำเต็มที่และคิดว่านี่คือดีที่สุดแล้ว แล้วด้วยความเป็นเด็กก็จะงอแงที่ตัวเองไม่ได้เหรียญ ทำไมเพื่อนได้ สิ่งที่ผมสอนเขาวิธีเดียวคือต้องเรียนรู้จากคนที่เก่งกว่า แต่ธรรมชาติของมนุษย์มักจะเถียงก่อนว่าทำไม่ได้ มันยาก ผมก็ไปดูคะแนนแต่ละคนแล้วเทียบกับเขา ไม่มีใครสอนเขาว่าต้องทำยังไง เพื่อพัฒนาตัวเองจาก 9 คะแนน ไปสู่ 9.6 คะแนน ผมเลยให้ดูคลิปเปรียบเทียบ นี่คือสิ่งที่ตัวเขาทำไป ส่วนนี่คือที่คนอื่นทำ เพราะฉะนั้นมันไม่ใช่เรื่องของการแข่งขัน ผมไม่ได้ต้องการให้เขาได้เหรียญทอง แต่ผมต้องการให้เขาพัฒนาขึ้น ด้วยการ benchmarking กับสิ่งรอบตัว เราจะเป็นคนที่ไม่โอ้อวด

     ผมคิดว่าคนส่วนใหญ่คือคนที่ไม่ฉลาดเพราะคิดว่าฉันรู้หมดอยู่แล้วจึงปฏิเสธความช่วยเหลือจากคนอื่น กลับกันคนฉลาดจะทำให้ตัวเองโง่ตลอด ในใจจะคิดแต่ว่า เอ๊ะ ถูกหรือยัง? ใช่ไหม? เวลายังเหลือขอเช็กอีกรอบ ถ้าคิดแบบนี้ว่าเราต้องพัฒนาตัวเองอยู่เรื่อยๆ และทำให้เราชื่นชมคุณค่าของสิ่งต่างๆ ได้จริงๆ ต้องเริ่มจากการที่มี benchmarking ที่ถูกต้อง การเอาจริงเอาจังและความใส่ใจจะเป็นพื้นฐานการพัฒนาอื่นๆ ได้ดี

 

อยากรู้ว่าใครเป็น benchmarking ให้กับคุณ

     คนแรกคือคุณแม่ผมเอง ความเป็นอาซิ้มธรรมดาๆ แต่มีความมุมานะดังที่คนคนหนึ่งพึงมี ทำให้ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคง่ายๆ แม้จะมีความรู้ไม่สูง แต่ปัจจุบันผมเห็น คุณนที อุตฤทธิ์ เป็นต้นแบบโดยการไม่ยึดติดกับชื่อเสียง ไม่คัดลอกงานตัวเอง สร้างงานใหม่ๆ ไม่ให้คนจำได้ นี่คือความท้าทายของการไม่หยุดเดินหน้าต่อไป ดังนั้น ในการทำธุรกิจหรือการเป็นผู้นำของผมก็จะไม่จบอยู่แค่นี้ ผมต้องค้นคว้าหาตัวเองต่อไปว่าเราจะมีส่วนผลักดันเรื่องไหนได้อีก ตั้งโจทย์ล่วงหน้าว่าต้องทำอะไรในอีก 2 ปีหลังจากนี้

     เช่น ผมมีความตั้งใจว่าต้องทำให้สำเร็จ คือตั้งมูลนิธิธนจิรา เอาศิลปะ การศึกษา และวัฒนธรรม มาเป็นส่วนหล่อหลอมให้เกิดบริบทที่สร้างประโยชน์กับสังคม

 

น่าแปลกที่กลับกลายเป็นคนธรรมดาๆ อย่างคุณแม่และศิลปินคนหนึ่ง ไม่ใช่นักธุรกิจหรือนักการตลาดที่ประสบความสำเร็จระดับโลก

     แน่นอนครับ เพราะคนเหล่านั้นสร้างแรงบันดาลใจ แต่คนส่วนใหญ่สนใจแค่ผลลัพธ์ของคนที่ประสบความสำเร็จมากๆ ว่าเขายืนอยู่ในจุดที่เป็นหนึ่งของโลก เช่น เป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุด เล่นกอล์ฟเก่งที่สุด แล้วมีผลกับเรายังไงล่ะ? คำถามที่สำคัญคือแก่นสารคืออะไรต่างหาก ทั้งหมดเป็นแค่องค์ความรู้ และแรงบันดาลใจ สุดท้ายเราต้องลงมือทำเอง คุณนทีไม่เคยเล่าให้ผมฟังว่าต้นแบบของเขาคือใคร เขาแค่ตั้งใจทำ แล้วผมก็เห็นเพียงแค่แก่นของเขาซึ่งไม่ใช่คนที่อยู่จุดเดิม ความหมายของผมคือต้องพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่หยุดเฉย