เคน ธีรเดช

เคน ธีรเดช | บทสนทนาถึงแพสชัน ครอบครัว และภาพถ่ายในอินสตาแกรม

เราไม่ได้เห็นผลงานของ ‘เคน’– ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์ บนจอภาพยนตร์มานานกว่า 9 ปี นับตั้งแต่บทบาทพระเอกหล่อทะลุแป้งในภาพยนตร์เรื่อง รถไฟฟ้า… มาหานะเธอ และตื่นเต้นมากๆ ที่เขามารับบทบาทในภาพยนตร์เรื่องใหม่ของ พิง ลำพระเพลิง เรื่อง The Pool นรก 6 เมตร หนังทริลเลอร์พล็อตลึกซึ้งของผู้ชายคนหนึ่งที่ตกไปในสระว่ายน้ำลึก 6 เมตร พร้อมต้องเจอสภาวะที่ตัวเขาต้องจัดการกับหลายสิ่งหลายอย่างที่ควบคุมไม่ได้

     ช่วงเวลา 9 ปีที่ผ่านมามีหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไปกับชีวิตเขา ทั้งบทบาทของสามี บทบาทของคุณพ่อลูก 2 งาน เบื้องหลังวงในการเป็นผู้จัดละครคู่กับ ‘หน่อย’ – บุษกร วงศ์พัวพันธ์ ภรรยาของเขา ซึ่งเส้นทางชีวิตและผลงานที่ผ่านมา เราคงไม่ต้องคำถามกับฝีมือการแสดง และการวางตัวยืนระยะในวงการของเขาอีกต่อไปแล้ว

     สิ่งที่เราสนใจและอยากพูดคุยกับเขาในวันนั้น จึงเป็นเรื่องอีกมุมหนึ่งในชีวิต ที่เขาเรียกมันว่าเป็น ‘หลุม’ ในแต่ละช่วงชีวิต ไล่ไปตั้งแต่จุดเริ่มต้นเส้นทางนักแสดงที่เขาบอกกับเราว่าไม่ได้เริ่มต้นจากความรักด้วยซ้ำ ความรู้สึกว่างเปล่าในวันที่ประสบความสำเร็จสูงสุดกับการแสดง การออกไปค้นหาและมองความสุขจากส่วนเล็กๆ ในโลกของเขาอีกครั้ง

 

เคน ธีรเดช

 

เก้าปีที่ห่างหายไปจากวงการภาพยนตร์ คิดถึงบรรยากาศอะไรถึงกลับมารับงานแสดงอีกครั้ง

     จริงๆ อยากเล่นอยู่ตลอดนะ เพราะหนังมันพาเราเปลี่ยนบรรยากาศเปลี่ยนมุมมอง ได้ไปเจอกับคนใหม่ๆ ที่ไม่เคยเจอ แต่เหมือนกับว่าที่ผ่านมาไม่มีหนังที่เราอยากเล่น แล้วถ้าจะรับก็อยากจะเล่นบทที่แตกต่างจากเดิมที่เคยทำ หนังที่ติดต่อเข้ามาก็จะเป็นแนวโรแมนติกคอเมดี้เสียส่วนใหญ่ ซึ่งผมก็รู้สึกเฉยๆ เพราะว่าในละครผมก็เล่นแบบนั้นอยู่แล้ว

     คือการที่ทำสิ่งเดิมมันก็มีทั้งข้อดีข้อเสีย ถ้าทำสิ่งเดิมแน่นอนว่าเราก็คงถนัดอยู่แล้ว แต่ว่าแพสชันหรือความอยากที่มีในตัวมันก็สามารถหมดไปได้ แต่ถ้าเราทำสิ่งใหม่ ความท้าทายที่เข้ามามันก็ทำให้เราตื่นเต้นอีกครั้ง

     ตอนที่เขาบอกว่ามีหนังของ พี่พิง ลำพระเพลิง ติดต่อมา ผมก็ถามว่าเกี่ยวกับอะไร เขาบอกว่าบทของผมเป็นเรื่องของคนที่ติดอยู่ในสระว่ายน้ำ ผมก็ เฮ้ยเหรอ น่าสนใจ ฟังคอนเซ็ปต์ว่าผมต้องติดในสระว่ายน้ำกับแฟนแล้วขึ้นมาไม่ได้ ก็รู้สึกสนใจเลยว่าทำไมวะ เหตุการณ์นี้มันคืออะไร เอาเป็นว่าไม่รู้สึกตื่นเต้นอย่างนี้มานานหลายปีแล้ว

 

สภาวะของตัวละครที่เจอในเรื่องเป็นอย่างไร

     เหมือนกับว่าคนเราช็อกแหละ ว่าสิ่งนี้มันเกิดขึ้นกับเราได้ยังไงวะ ซึ่งพอเกิดขึ้นแล้วยังไงเราก็ต้องเอาตัวรอดให้ได้ มันคือสภาวะที่คนต้องหาทางออกให้ได้ เรื่องที่ตัวละครพูดมันคือการบอกว่า ก่อนที่คนเราจะผ่านอุปสรรคอะไรต่างๆ ได้ เราต้องเอาชนะใจตัวเองก่อน คือตัวละครนี้มันมีปมที่รู้สึกว่าชีวิตตัวเองไม่มีคุณค่า หน้าที่การงานก็ไม่ดี ทำอะไรก็ไม่สำเร็จสักอย่าง เป็นคนที่มีปมด้อยอยู่ ซึ่งการที่เราติดอยู่ในสระว่ายน้ำ มีจระเข้ มีอุปสรรคอะไรก็แล้วแต่ สิ่งที่จะทำให้เราข้ามผ่านมาได้คือเราต้องเห็นคุณค่าของชีวิตก่อน เพราะต่อให้เราไม่ติดอยู่ในสระว่ายน้ำ แต่ถ้าเราไม่เห็นคุณค่าของตัวเราเอง ก็เหมือนว่าเรากำลังตายทั้งเป็นอยู่แล้วหรือเปล่า ตรงนี้มันคือบททดสอบที่ทำให้เราตื่นขึ้น

 

สนใจสภาวะการติดอยู่ในหลุมแคบๆ แบบนั้น ถ้าเปรียบเทียบกับชีวิตของคุณในแต่ละช่วงวัย เหมือนหรือแตกต่างกันบ้างไหม

     ผมว่านะ ในแต่ละช่วงวัยมันก็จะมีปัญหาในแต่ละสภาวะไม่เหมือนกัน ในตอนวัยรุ่นก็อาจเป็นเรื่องความรัก พอโตขึ้นมาก็เป็นเรื่องการงานที่มันเป็นปัญหากับเรา ปัญหามันอาจจะคนละรูปแบบ แต่วิธีแก้ผมว่ามันมีอยู่ทางเดียว เราต้องมองไปในใจเราให้ได้ก่อน เราต้องยอมรับตัวเองให้ได้ก่อน ให้อภัยตัวเองและเห็นคุณค่าของตัวเอง เพราะสุดท้ายสิ่งที่อยู่รอบนอกมันก็ไม่สำคัญเท่ากับความรู้สึกนึกคิดของเรา

สิ่งที่อยู่รอบข้างมันตัดสินความเป็นตนของเราไม่ได้หรอก ต่อให้คนบอกว่าเราดีเราเก่ง แต่ถ้าตัวเราไม่ได้พอใจตัวเราเอง เราก็ไม่มีความสุขในชีวิตอยู่ดี

     แต่ถ้าเรามองให้แคบลง เพื่อน ครอบครัว คนรัก สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่สำคัญกว่าสังคมที่ครอบอยู่

 

แล้วชีวิตคุณล่ะ ตอนเด็กๆ ติดอยู่ในหลุมอะไร

     จริงๆ ผมเริ่มทำอาชีพนักแสดงเพราะว่าอยากได้เงิน ผมไม่ได้เป็นนักแสดงเพราะว่าผมรักอาชีพนี้ ที่จริงผมอยากกลับไปเรียนต่อ ผมเรียนภาพยนตร์ ผมชอบถ่ายภาพ แต่ตอนนั้นไม่มีเงินไปเรียนต่อแล้ว คุณพ่อคุณแม่บอกว่าไม่ส่งแล้ว เศรษฐกิจมันไม่ดี ถ้าจะไปเรียนต่อต้องหาเงินไปเอง คุณพ่อคุณแม่เลยเสนอทางเลือก เพราะท่านเคยอยู่ในวงการมาก่อน ท่านบอกว่า งั้นมาทำงานก่อนไหม แล้วถ้ามีเงินค่อยกลับไปเรียน เราก็เลยมาทำงานเพราะว่าอยากได้เงิน

     แต่อีกสิ่งหนึ่งที่เราแสวงหาต่อมาคือ พอเราทำงานตรงนี้มันมีเรื่องของบุคคลภายนอกค่อนข้างเยอะ เพราะงานมันเป็นตัวตัดสินชีวิตเราเหมือนกัน แม้ว่าเราจะอยากได้แค่เงินเท่านั้นก็เหอะ แต่สุดท้ายเสียงตอบรับตอนนั้นมันออกมาว่าเราทำได้ไม่ดี เมื่อได้ยินแบบนั้นสิ่งแรกๆ ที่เราวิ่งหาคือผมอยากได้การยอมรับจากคน อยากให้คนเปลี่ยนคำพูดถึงเราว่าในฐานะนักแสดง เราก็ใช้ได้นี่หว่า ไม่อยากให้คนบอกว่าเล่นได้ไม่ดี เลยเริ่มตั้งใจกับอาชีพนี้มากขึ้น หาวิธีทำยังไงที่จะต้องอยู่กับสิ่งนี้ แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ไม่ได้อยากทำตั้งแต่แรก แต่เราต้องหาวิธีเพื่อดีลกับมันให้ได้ อย่างน้อยก็ต้องทำให้คนยอมรับให้ได้ว่าเราโอเค

 

ชีวิตแบบนั้นแลกมาด้วยอะไรบ้าง

     ผมไม่เคยมองตัวเองว่าต้องมาพูดโปรโมตแบบนี้ ต้องมาขายของ ต้องมาออกรายการ ต้องมาพูดเพื่อให้คนมาสนใจเรา ต้องมาทำในสิ่งที่ฝืนตัวตนของเรา เพราะจริงๆ เราไม่ใช่คนแบบนี้ เราไม่อยากพูดถึงใคร (หัวเราะ) เราแค่อยากจะพูดกับคนที่อยากคุยด้วย คือสภาวะของการเป็นนักแสดงมันไม่ใช่ธรรมชาติของเราดีกว่า มันต้องแลกมาด้วยการฝืนธรรมชาติของตัวเองตั้งแต่เริ่มทำงาน แล้วก็เหมือนกับว่าเราเอาตัวตนบางอย่าง เอาแพสชันของเราบางอย่างพับเก็บใส่ลิ้นชักไว้ก่อน ซึ่งในวัยหนึ่งมันก็ทรมานนะ คือหนุ่มๆ เรามีไฟ แต่ไฟของเราต้องเอาไปไว้ในนั้นก่อน แล้วทำอีกสิ่งหนึ่งขึ้นมา

 

เคน ธีรเดช

 

แล้วสิ่งที่คุณทำได้คืออะไร นั่งมองแพสชันของตัวเองถูกแช่ไว้ในลิ้นชักอย่างนั้นเหรอ

     คือมันก็ค่อยๆ คลาย ช่วง 5 ปีแรกที่เริ่มทำงาน เราก็รู้สึกว่าแพสชันอย่างพวกการถ่ายภาพทำภาพยนตร์ เดี๋ยวเราจะกลับไปทำมัน แต่พอมันเริ่มผ่าน 5 ปีแรกของการทำงานไป มาเข้า 5 ปีหลัง บางทีเราเองก็ลืมไปเหมือนกันว่าเคยอยากทำสิ่งนี้เว้ย เคยเป็นคนแบบนี้เว้ย เราไม่จำเป็นต้องทำสิ่งนั้นแล้วก็ได้มั้ง มันเป็นช่วงที่มีเงิน อยากทำอะไรก็ทำได้ ซึ่งมันก็ตอบโจทย์ชีวิตอีกแบบหนึ่ง ว่าชีวิตผมก็มีอิสระในแบบที่เพื่อนในวัยเดียวกันบางคนเขายังทำไม่ได้ แต่ผมทำได้แล้ว

     แต่ในขณะเดียวกันก็มีช่วงที่เหมือนกับว่าเราประสบความสำเร็จทุกอย่าง มีชื่อเสียง แต่กลับไม่รู้สึกแฮปปี้ ถามตัวเองว่ากำลังทำอะไรอยู่วะเนี่ย เหมือนเรา lost ไม่มีความสุขในสิ่งที่ได้มา มีช่วงหนึ่งที่เราก็เคยคิดแบบนั้นนะว่าเราหาเงินเยอะเพื่อเป็นอิสระจากทุกอย่าง แต่วันนี้ไม่ได้คิดแบบนั้นแล้ว ไม่ได้อยากจะนั่งอยู่เฉยๆ เพราะเราก็ตั้งคำถามกับอิสระด้วยนั้นไง

     โอเค ถ้าเรามองว่า เรามีเงินเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเป็นทาสของระบบ แต่จริงๆ แล้วมันก็ไม่ใช่อยู่ดี ถ้าถามผม คนเราถ้าได้ทำในสิ่งที่รัก ตรงนั้นต่างหากที่คืออิสระ ในวัยหนึ่งเราอาจจะคิดว่ามีเงินแล้วจะแลกมากับคำว่า freedom ได้ แต่มันไม่ใช่ เฮ้ย เราต้องได้ทำสิ่งที่รักด้วย เรามีมีชีวิตอย่างที่อยากจะเป็นหรือยัง เรามีสุขภาพที่ดี ครอบครัวเรามีความสุขหรือยัง ตรงนี้แหละที่ทำให้เราเชื่อว่าเป็นอิสระในชีวิต ไม่ใช่ว่าเราต้องหยุดงาน เราต้องออกไปนั่งเรือยอชต์สามเดือน ไม่ใช่เลย

 

มันเหมือนตัวเองออกมาจากหลุมหนึ่ง เพื่อไปสู่อีกหลุมหนึ่ง

     ใช่ๆ (หัวเราะ) คือตอนนี้ผมรู้แล้วว่าในงานหลายๆ อย่างที่ผมทำ อย่างงานผู้จัดละครที่เพิ่งมาทำกับคุณหน่อยก็มีบทละครที่ผมต้องเทสต์เยอะแยะมาก มีหลายเหตุการณ์มีหลายสิ่งที่ต้องทำทั้งที่ไม่ชอบ คือพอผ่านมาถึงจุดหนึ่ง ผมแต่งงานเป็นสามีภรรยากับคุณหน่อย แล้วคุณหน่อยต้องการอีกความท้าทายหนึ่งในชีวิตด้วยการเป็นผู้จัดละคร แต่ผมก็ไม่อยากทำไง คือเราเพิ่งดีลกับอาชีพนักแสดงของตัวเองได้ด้วยซ้ำ ผมก็ปฏิเสธภรรยาตลอดเวลาว่าอย่าทำ ไม่อยากทำ มันเป็นสิ่งที่วุ่นวาย แต่ในฐานะสามีภรรยา ถ้าเราอยากมีชีวิตที่ราบรื่น ผมต้องเสียสละแล้วเลือกที่จะทำ

     ซึ่งในช่วงแรกที่ทำมันผมแทบไม่มีความสุขกับงานเลย แต่มาถึงวันนี้ผมเริ่มรู้แล้วว่าในฐานะผู้จัดละครผมสนุกกับอะไรได้บ้าง อ๋อ ผมดูตรงนี้ได้เว้ย ผมทำสิ่งนี้แล้วมีไฟว่ะ ยิ่งพอเราโตขึ้น ผมยิ่งรู้สึกว่าแพสชันในชีวิตมันเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับใครก็ตาม คือถ้าเราปล่อยให้แพสชันเราดับไปเรื่อยๆ ชีวิตเราจะไม่มีค่า ถ้าต้องอยู่กับสิ่งที่เราไม่อยากทำ จงหาแพสชัน หาประโยชน์ของตัวเองเจอเพื่อที่จะเข้าไปทำสิ่งนั้น มันก็มีความสุขได้เหมือนกัน

 

จริงๆ ทุกช่วงเรามีโอกาสเจอหลุมในชีวิตอย่างนี้อยู่แล้วหรือเปล่า อยู่ที่เราจะออกมาได้หรือไม่ได้

     ตั้งแต่เด็กๆ ผมเชื่อว่าทุกคนอยากที่จะมี อยากที่จะเป็น อยากที่จะก้าวหน้าขึ้นๆ แล้วเราก็ได้ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ ความอยากมันพาเราไปถึงจุดหนึ่งที่อยากจะเป็นได้ แต่สุดท้ายบางอย่างมันอาจเกิดขึ้นเร็วเกินไป เราต้องกลับมามองก่อนว่า เฮ้ย ลึกๆ แล้วตัวเราต้องการอะไรวะ เราต้องไม่ลืมความสุขลึกๆ ว่าแพสชันที่ตัวเองต้องการหรืออยากจะมีจริงๆ คืออะไร บางทีเราไปทำบางอย่างมากเกินไป เสียความเป็นตัวตนมากเกินไป ลึกๆ มันก็บั่นทอน เอ๊ะ พอกลับมานั่งย้อนถึงรู้ว่า อ๋อ ที่ความสุขเราหายไปเพราะเราลืมทำสิ่งนู้นลืมทำสิ่งนี้

     มันเป็นแค่หลุมที่เหมือนกับว่าเราเอาขาหย่อนลงไปในสิ่งนี้ แล้วก็แช่มันอยู่อย่างนั้น อาจจะไม่ต้องเป็นสระว่ายน้ำลึกหกเมตรแบบที่ผมติดอยู่ในหนังก็ได้ อาจจะเป็นแค่หลุมหนึ่งที่ลึกเท่าเข่าหรือเท่าเอวเราก็ได้ เราจะปีนมันขึ้นมาได้ไหม ได้ แต่ด้วยอะไรก็ตามที่มันบังตาเราอยู่ หรือทำให้เราคิดไม่ออก เราก็เลือกที่จะไม่ขึ้นมาเอง ก็จมอยู่ในนั้น ง่ายๆ ก็ปีนออกมาสิ ถ้าเป็นธรรมะ เขาบอกว่าถ้าเราแบกของหรือถือของไว้มันก็หนัก เราเลือกที่จะถือของสิ่งหนึ่ง เมื่อมันเริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ มันก็หนักขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้าถือไม่ไหวเขาก็บอกให้ปล่อยวาง เราก็เลือกวางบางชิ้นไหม ไม่ต้องถือทุกอย่างไงเพราะเราถือไม่ไหว

 

เคน ธีรเดช

 

มาค้นพบวิธีปีนออกมาตอนไหน

     ไม่กี่ปีมานี้เองนะ เพราะมันก็มีช่วงหนึ่งที่ผมทำงานน้อยลง เราคิดไว้แล้วถ้ามีเงินและทำงานน้อยลง เมื่อชั่งน้ำหนักดูมันเหมือนว่าเรามีอิสระมากขึ้น คิดแบบนั้นเพื่อให้มันเป็นรูปธรรมขึ้นมา แต่อย่างที่บอกว่ามันอาจจะยังไม่ใช่คำตอบทีเดียว เพราะคำตอบมันคืองานเยอะงานน้อยไม่เกี่ยว เราได้ทำในสิ่งที่เรารักหรือยัง เราได้เป็นคนที่เราอยากเป็นหรือเปล่า ตรงนี้ต่างหากที่ทำให้คนเราแฮปปี้หรือไม่แฮปปี้

     เพราะตอนแรกไปคิดว่าหรือเราทำงานเยอะไป มัวแต่หาเงินไม่ได้ชีวิต เรารู้สึกว่าต้องทำงานให้น้อยลง แล้วก็เที่ยวให้มากขึ้น ใช้ชีวิตให้มากขึ้น มันก็ดีในอย่างหนึ่ง แต่สุดท้ายแล้วมันก็ได้ตอบโจทย์ขนาดนั้น แล้วความสุขมันคืออะไรวะ ความสุขมันคือการที่เราต้องไม่โกหกตัวเองก่อนว่าเราอยากทำอะไร ทำสิ่งไหนแล้วมีความสุข เราต้องเอาสิ่งนั้นกลับมาทำหรือเปล่า

     คือบางทีเราอาจจะไปมองว่าเราไม่อยากทำอาชีพนี้ แต่นั่นคือองค์ใหญ่ของมัน สุดท้ายแล้วแต่ละอาชีพมันมีข้อจำกัดอยู่ ผมเคยคุยกับเพื่อนที่รู้สึกว่าเขาได้ทำแพสชันของเขา เรียนจบก็ไปทำอาชีพนี้เลย ผมก็ถามเขาว่า เป็นยังไงวะ การที่เราได้ทำในสิ่งที่อยากทำ เขาก็บอกว่า กูไม่ได้มีความสุขกว่ามึงหรอก (หัวเราะ) เพราะทุกอาชีพมันมีข้อจำกัด

     พอเราทำงาน มันมีระบบ มันมีสิ่งที่ต้องเกี่ยวข้องกับคนอื่น สมมติบอกว่าตัวเองเป็นช่างภาพ เป็นศิลปิน แต่ถ้าเราอยากได้เงินเราต้องถ่ายอะไร เราก็ต้องถ่ายสิ่งที่สปอนเซอร์เขากำหนดมาหรือเปล่า ทุกอย่างมันมีกรอบของมันอยู่ ทุกสิ่งที่เราคิดฝันมันก็ต้องถูกตัดทอนลงไป ไอเดียแบบนี้มันไม่เวิร์ก มันไม่ขาย มันมีเรื่องที่มาบัญญัติอีกมากมาย สุดท้ายแล้วก็คืองาน เราต้องหาข้อดีของงานให้ได้ หาแพสชันจากสิ่งที่เราไม่ถนัดให้ได้ แต่ในขณะเดียวกันเราก็ต้องยอมรับและปรับตัวให้ได้ว่าในโลกความเป็นจริงมันเป็นแบบนี้ว่ะ เราจะเอาแพสชันของเราใส่ไปทั้งหมดไม่ได้ บางอย่างเราก็ต้องยอมรับความคิดเห็นของคนอื่น

 

เราถูกสอนว่าโตขึ้นต้องเรียนจบ มีงานทำ แต่งงาน มีลูก คุณคิดว่าอะไรที่สำคัญในการทำให้ชีวิตเราสมบูรณ์

     ยิ่งโตขึ้น เรายิ่งรู้ว่าชีวิตคนเรามันไม่ควรสมบูรณ์ (หัวเราะ) ชีวิตมันต้องมีแย่ มีดี เพราะว่าสิ่งเหล่านั้นมันทำให้เราโตขึ้น ถ้าเราไม่มีบทเรียนอะไรเลย ชีวิตคุณอาจเป็นคนโชคดีก็ได้ แต่มันไม่ทำให้เกิดการเรียนรู้อะไรหรือเปล่า ในบางทีก็ต้องเจอให้ครบทั้งสองอย่าง แต่แน่นอน คนเราก็มุ่งหวังให้เกิดแต่สิ่งดีๆ ในชีวิต ไม่มีใครอยากให้เกิดสิ่งร้ายๆ เรามองโลกในแง่บวก มองโลกในแง่ดี แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องเผื่อพื้นที่เอาไว้ว่าในความหวังหรือความฝันของเรา สุดท้ายแล้วบางครั้งมันอาจจะเป็นจริง แต่บางครั้งมันก็ไม่เป็นจริงไง ซึ่งเราก็ต้องเรียนรู้กับมันแล้วก็เดินหน้าไป

     พอเราหวังว่ามันจะดีแล้วมันไม่เป็นอย่าหวัง จนเรากลายเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายไปเลยมันก็ไม่ถูกนะ ยังไงก็ต้องคิดบวกเอาไว้ ผลลัพธ์มันเป็นยังไงก็ต้องเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ต้องยอมรับ

 

แสดงว่าใช้คำว่าชีวิตที่สมบูรณ์กับมนุษย์อาจจะเกินไป เราควรใช้คำว่าอะไร ชีวิตที่มีคุณภาพเหรอ

     ใช่ ชีวิตที่มีคุณภาพ อย่างวันนี้ผมให้ความสำคัญกับครอบครัวก่อน สุดท้ายแล้วครอบครัวคือคนที่ตัดไม่ขาด ยังไงเราต้องอยู่กับคนเหล่านี้ตลอดชีวิต แม้เราจะรู้สึกน้อยใจ โกรธ หรือเบื่อ แต่เราจะรู้ว่าชีวิตต้องเป็นอย่างนี้ และคนเหล่านี้คือคนที่สำคัญกับเราที่สุด ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อย่างน้อยมันมีพื้นที่ปลอดภัยของเรา ถ้าครอบครัวดี มันเหมือนพื้นฐานเราดีแล้ว

     เรื่องต่อมาที่สำคัญคือเรื่องสุขภาพ มันจริงนะ เวลาที่เราป่วยหรือเป็นอะไร เราจะคิดว่ามันไม่มีประโยชน์เลย บางทีทำงานไปเยอะๆ แล้วต้องมาเป็นแบบนี้มันไม่สนุก นี่เป็นบทเรียนเลยตอนที่พ่อผมป่วย และเรารู้เลยว่าไม่มีคนป่วยคนไหนที่เมื่อป่วยแล้วมานั่งมองย้อนไปแล้วคิดว่า โธ่ รู้อย่างนี้เราทำงานมากกว่านี้ดีกว่า ไม่มี ผมไม่เชื่อ และไม่คิดว่าพ่อของผมคิดอย่างนั้นนะ สิ่งที่พ่อและผมคิดคือ รู้อย่างนี้เราน่าจะใช้เวลาด้วยกันมากกว่านี้นะ ตรงนี้คือสิ่งที่สำคัญกว่า

     เราได้เรียนรู้ว่าเคยใช้ชีวิตมากไปอย่างไม่มีประโยชน์ ทำงาน ปาร์ตี้ กินเหล้า ดูดบุหรี่ ใช้ชีวิตโหด คือตอนหนุ่มๆ อาการเรายังไม่แสดงออกไง เด็กๆ เราก็ทำงานแล้วก็ไม่เห็นเหนื่อย ไม่นอนก็ไม่เห็นเป็นไร ยังไปทำงานต่อได้ แต่พอโตขึ้นก็เริ่มเห็นผลแล้ว เราก็ต้องรู้ตัว เดี๋ยวแต่ละคนก็ต้องรู้ รู้เร็วหรือช้า ถ้ารู้เร็วก็โชคดีไป มันก็มีประโยชน์กับตัวเรา

 

แล้วมีเรื่องอื่นอีกไหม

     ที่เหลือก็เป็นเรื่องงานแล้ว เราได้ทำสิ่งที่ชอบหรือเปล่า ทุกวันนี้งานอดิเรกอย่างการถ่ายรูปมันคือแพสชันของผม ผมก็เอามาทำอย่างเต็มที่ มันคือความสุขเลยล่ะ ไม่ใช่งาน ผมจะไม่ลืมความเป็นตัวตนของผมไปว่าผมชอบถ่ายรูปนะ ผมชอบเที่ยว ผมก็เดินทาง แต่พอตอนนี้มีครอบครัวแล้วเราก็เอาครอบครัวไปด้วย ทำให้เรารู้สึกว่า เออ เราไม่ขาด เราเป็นคนแบบนี้ ไม่หลอกตัวเองว่าชอบอะไร

 

เคน ธีรเดช

 

พูดถึงชีวิตครอบครัวบ้าง ผู้ชายทุกคนควรสัมผัสไหมชีวิตแบบนี้

     ไม่นะ ผมไม่ได้บอกว่าเป็นแบบไหนแล้วดี ก่อนหน้านี้ผมก็ไม่ได้มองว่าตัวเองจะเป็นพ่อคนได้นะ แต่ผมมองตัวเองว่าเป็นคนที่ต้องมีชีวิตคู่ ผมไม่ใช่ผู้ชายที่อยากจะใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่มีใคร อย่างนั้นไม่ใช่แน่ๆ แต่พอผมแต่งงานปุ๊บกลายเป็นว่า คุณหมอบอกว่าภรรยาผมมีลูกยาก เพราะว่าเขามีปัญหาเรื่องระบบภายใน ถ้าแต่งงานเมื่อไหร่ไม่ต้องคุมกำเนิดเลย ทันทีที่ผมจดทะเบียนกันที่อำเภอ เราก็เลยหยุดการคุมกำเนิด จดทะเบียนตุลาคม เดือนธันวาคมคุณหน่อยท้อง (หัวเราะ) คุณหมอ… (ลากเสียงยาว) ผมไม่ได้แพลนและไม่ได้มองตัวเองเลยว่าจะเป็นพ่อคน

     คนชอบถามผมว่าตอนพบหน้าคุณหน่อยแล้วรู้เลยใช่ไหมว่านี่คือผู้หญิงที่ผมต้องอยู่ด้วย ผมบอกว่าผมไม่รู้ว่ะ มันไม่เหมือนในละคร ผมรู้แค่ว่าวันที่เราคบกันอยู่ เรามีความสุขกับเขา ปัญหามีไหม มี ทะเลาะกันไหม มี แต่ผมรู้สึกลึกๆ ในใจ ไม่ว่าผมทะเลาะกับเขามากแค่ไหน ผมก็ไม่อยากเลิกกับผู้หญิงคนนี้ ผมเลยรู้สึกว่าสามารถที่จะใช้ชีวิตกับผู้หญิงคนนี้ได้ นี่คือคู่ชีวิตของเรา

 

การมีลูกล่ะเปลี่ยนคุณไหม

     เรื่องลูกผมค่อยมาเรียนรู้ทีหลัง คือผู้ชายเราไม่ได้อุ้มท้อง เราก็จะไม่รู้สึกถึงความผูกพันเท่ากับคนเป็นแม่ คุณหน่อยเขาก็จะมีความรู้สึกมากกว่าตอนตั้งท้องนะ ตอนที่ลูกออกมาผมก็อึ้งๆ ว่านี่ลูกเราเหรอเนี่ย เราเป็นพ่อคนแล้วเหรอ มันไม่ได้เหมือนในละครที่เห็นผลอัลตราซาวนด์แล้วน้ำตาเล็ด ผมไม่เป็นนะ ทันทีที่ลูกคลอดผมก็รู้สึกว่า เออ ลูกเราว่ะ จากนั้นค่อยมาทำความรู้จักกันข้างนอก จากการที่เราเลี้ยงเขา ใช้เวลากับเขา

     อีกสิ่งที่ผมเรียนรู้ คือเรื่องที่คนอาจจะคิดว่ามีลูกต้องมีเงิน แต่ผมไม่ได้เชื่อเรื่องนั้นนะ เพราะถึงเป็นคนที่มีเงิน พอมีลูก เขาก็จะบอกว่ามีลูกมันเปลืองอยู่ดี แต่สุดท้ายแล้วสิ่งเหล่านั้นเป็นข้ออ้างที่เราเอามาบอกตัวเอง ทั้งที่มันไม่จริงเลย ลูกก็คือเรานี่แหละ เราต่างหากที่ไปบอกว่าถ้าเป็นลูกเรานะ ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเรียนที่นี่ ต้องกินอันนี้ แต่เด็กไม่รู้เรื่องหรอก มันอยู่ที่เราป้อนอะไรให้เขา เขาไม่รู้หรอกว่าสิ่งไหนดีหรือไม่ดี ความรักสำคัญกว่า การดูแลสำคัญกว่า บางคนบอกว่าลูกออกมาต้องส่งเรียนโรงเรียนนานาชาติเทอมละสองสามแสน เป็นสิ่งที่สิ้นเปลืองแน่ๆ แต่อย่างลูกผมก็ไม่ได้เรียนโรงเรียนนานาชาติ เรียนโรงเรียนธรรมดาๆ มันอยู่ที่เราให้อะไรกับลูก

สิ่งที่เราให้กับลูกมันไม่ได้ตัดสินกันด้วยมูลค่าของเงิน แต่มันตัดสินกันด้วยเวลา เรามีเวลาให้เขาหรือเปล่า

มองชีวิตคู่เป็นอีกหลุมหนึ่งของชีวิตมนุษย์หรือเปล่า

     ไม่ๆ มันเป็นข้ออ้าง เพราะคนเรากลัวและไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่างหาก หรือบางคนอาจจะเคยเห็นตัวอย่างมาก่อนจากชีวิตคู่พ่อหรือแม่ แต่อย่างที่บอก ไม่ได้แปลว่าทุกคนต้องมีชีวิตคู่ บางคนอาจจะแฮปปี้กับการมีชีวิตคนเดียว แล้วมีความสุขได้จากสิ่งที่เป็นก็ได้

     ในเรื่องของครอบครัว ผมไม่เคยรู้สึกเลยว่าตกไปอยู่ในหลุมหรือบ่อของอะไร ไม่ได้รู้สึกแบบนั้น แต่ครอบครัวมันทำให้ผมลดทิฐิในตัวลงได้ ลดความคาดหวังที่เรายึดมั่นถือมั่นที่มากเกินไป ทำให้ผมลดลงมาได้ และก็ยอมรับกับสิ่งที่เป็นได้ ยอมรับความจริงได้ แล้วลูกก็สะท้อนให้เราเห็นอะไรหลายอย่างในตัวเอง บางทีเราดุลูกมากเกินไป เรามองย้อนกลับไป ตอนเด็กๆ เราก็เป็นแบบนี้นี่หว่า บางทีลูกเราแม่งดีกว่าเราอีก (หัวเราะ) มันก็ทำให้เรามองเห็นตัวเองมากขึ้น ลูกก็เหมือนกระจกที่สะท้อนตัวของพ่อแม่ออกมา

     บางทีผมทำผิดผมก็เดินไปบอกลูกว่าขอโทษนะ มันทำให้ผมไม่ต้องปิดบัง ไม่ต้องทำตัวให้เขาคิดว่าพ่อต้องเป็นฮีโร่ที่ทำถูกเสมอ เพราะลูกยังไงเขาก็มองว่าเราเป็นฮีโร่อยู่แล้ว ผมคิดอย่างนั้นนะ ลูกเขาจะคิดว่าผมดีที่สุด เก่งที่สุด โห พ่อแข็งแรงจังเลย แต่พอเขาโตขึ้น เขาจะเริ่มยอมรับว่าพ่อเขาไม่ได้เก่งที่สุดว่ะ บางทีเขาเห็นลุงอาร์ตเพื่อนพ่อตัวสูงกว่าพ่ออีก ใช่ มีคนที่สูงกว่าพ่อ แข็งแรงกว่าพ่อ เก่งกว่าพ่อ เราก็ทำให้เขายอมรับตรงนี้ได้ แล้วเราก็จะรู้จักตัวเองไปในตัวด้วย

 

พูดถึงแพสชันเรื่องกล้องฟิล์มบ้าง ทุกคนฮือฮากับไอจีลับของคุณมาก

     (หัวเราะ) คือผมถ่ายรูปมานานแล้ว ด้วยความที่ถ้าผมไม่ได้เอามาลงในอินสตาแกรมก็คงไม่มีคนรู้มั้ง เพราะว่าผมไม่ค่อยมีตัวตนในโลกโซเชียลมีเดียเท่าไหร่ ไม่ค่อยมีคำจำกัดความว่า เคน ธีรเดช เป็นอย่างนี้ๆ คนก็เลยอาจจะไม่ค่อยรู้ ก็จะมีแต่คนรอบตัว ครอบครัว และเพื่อนที่รู้ แต่จริงๆ เราถ่ายฟิล์มมานานแล้ว ตอนนี้เราก็อยากโชว์แพสชันของเราให้คนเห็นแหละ เคยคิดว่าเราอยากจะเอามารวมเล่มแต่ก็ไม่มีเวลาสักที จริงๆ อินสตาแกรมแรกๆ เราก็ไม่ได้เล่น ไม่ชอบ มันคืออะไรวะ แต่มองไปมองมาเราหาประโยชน์และความสุขกับมันได้นี่น่า ถ้าเราเอารูปถ่ายของเราที่เป็นฟิล์มมาลงในอินสตาแกรมได้ มันก็ทำให้คนเห็นเหมือนกัน ก็ไม่ต้องมาห่วงเรื่องสำนักพิมพ์หรือเรื่องทำหนังสืออะไรเลย มันเป็นพื้นที่ส่วนตัวที่เราจะเอาสิ่งนี้ออกมาโชว์ ผมคิดว่าเป็นเหมือนงานศิลปะของผมที่อยากจะโชว์คนอื่น ก็น่าจะมีคนที่สนใจบ้างแหละ

 

เคน ธีรเดช

 

การถ่ายรูปมีเสน่ห์สำหรับคุณยังไง

     มันเหมือนกับวาได้เข้าไปอยู่อีกโลกหนึ่ง เวลาที่ถ่ายรูปเราจะมีสมาธิ เหมือนว่าเราสร้างโลกขึ้นมา เวลาถ่ายรูปเราจะเลือกสิ่งที่ต้องการไว้ในสี่เหลี่ยมนี้ แล้วตัดสิ่งที่ไม่ต้องการออกไป แรกๆ มันเหมือนกับการหนีสำหรับผมนะ หนีจากความวุ่นวาย หนีจากสิ่งที่เราไม่ชอบทำในเวลานั้น ถ้าจะถ่ายรูปเราต้องปิดตาข้างหนึ่ง และสิ่งที่เห็นคือสิ่งที่เราเลือกสรรแล้ว ว่าเราอยากจะมองอยากจะเป็น ถ้าพูดแบบธรรมะอาจเป็นเหมือนธรรมะเบื้องต้น ที่ทำให้เรามีสมาธิกับมันจริงๆ โดยที่ไม่สนใจอย่างอื่นก็ได้

 

ส่วนใหญ่คุณถ่ายรูปอะไร

     สมัยก่อนจะไม่ค่อยได้ถ่ายคน ถ่ายวิวถ่ายภาพอย่างอื่นประมาณ 80% แต่พอมีครอบครัว ตอนนี้เป็นครอบครัว 80% อย่างอื่น 20% (หัวเราะ) สมัยก่อนเวลาที่ผมเดินทางผมจะไปคนเดียว ไม่มีคนไปด้วย สิ่งที่ถ่ายก็จะเป็นสิ่งที่ผมเห็นจริงๆ เท่านั้น แต่ตอนนี้เวลาผมเดินทางผมก็เอาครอบครัวไปด้วย สิ่งที่เราเห็นทุกวันนี้ ก็คือครอบครัวและสถานที่ ผมเป็นคนบ้าแสง ชอบแสง ชอบเงา ผมจะไม่ชอบถ่ายรูปในวันที่แสง overcast ชอบให้มีพระอาทิตย์ออกมาตอนบ่ายๆ ชอบแสงตอนบ่ายๆ แก่ๆ ผมจะชอบอะไรที่เป็นแบบนี้ เพราะว่ามันอบอุ่น

 

แล้วที่เลือกลงในอินสตาแกรมล่ะ

     แล้วรูปที่ลงส่วนใหญ่ก็จะลงสถานที่และปีที่ถ่าย มันทำให้ผมต้องย้อนกลับไปแล้วหาคำตอบว่า เอ๊ะ ตอนนั้นมันปีอะไรวะ ทำให้เกิดการเชื่อมต่อกับความทรงจำที่ลืมไปแล้ว เฮ้ย ปีนั้นนี่หว่าที่เราไปที่นั่นที่นี่ แล้วบางทีผมก็เอามาคุยกับคุณหน่อย ก็เหมือนการเปิดไดอารี่ว่าครั้งหนึ่งเราเคยลืมมันไปแล้ว รูปนี้ทำให้เราย้อนนึกถึงความทรงจำนั้นๆ เฮ้ย วันนั้นเราขับรถไปถึงแล้วน้ำมันหมด ปั๊มน้ำมันก็ปิด มันก็เกิดเรื่องราวอะไรตามมา ซึ่งผมใช้ฟิล์มถ่าย แล้วเวลาลงรูปผมไม่เคยแต่งสีรูปเลย แต่รูปผมทุกรูปมันดูเหมือนกันหมดเลย ผมแค่เอามันออกมาวางไว้เฉยๆ แต่มันดูเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ไม่ต้องไปบังคับมัน ผมจะเอารูปมาลงตอนไหนก็ได้ รูปนี้ห่างกันสิบปี สิบห้าปี แต่ทุกรูปเหมือนกับว่ามันไม่มีเวลา ถ้าไม่เห็นว่าคนนี้เด็กขึ้นหรือแก่ลง รูปของผมมันอยู่เหนือกาลเวลาตรงนั้น คุณค่าที่ผมเห็นหรือว่าความรู้สึกที่ได้มา มันเท่ากัน ไม่ว่าจะลงภาพก่อนหรือหลัง

 

ความสนุกของการถ่ายภาพแบบแอนะล็อกมันคืออะไรบ้าง

     ถ้าเป็นสมัยก่อนความระทึกของมันเลยก็คือ คนถ่ายไม่รู้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่ารูปจะออกมาเป็นยังไง ได้แค่คาดเดา ต้องอาศัยประสบการณ์​ว่ารูปที่ถ่ายมันน่าจะเป็นประมาณนี้เว้ย จะมารู้อีกทีตอนที่เอาฟิล์มไปล้าง คือวันที่ไปรับฟิล์มนี่สนุกที่สุด ตื่นเต้นว่ารูปจะออกมาเป็นยังไงวะ จะสวยอย่างที่เราคิดหรือเปล่า อันนี้ที่กูตั้งใจจะให้มันสวยแม่งไม่สวยเลย เสน่ห์มันอยู่ตรงนี้นะ บางครั้งสิ่งที่เราคาดเดาแม่งก็ผิด แต่บางครั้ง อ้าว รูปนี้เราไม่ได้คิดแต่ดันออกมาดีมากๆ 

     แต่ทุกวันนี้เทคโนโลยีมันก็ย่นเวลา เราถ่ายรูปก็รู้เดี๋ยวนั้นแหละว่ารูปไหนทิ้ง ใช้ไม่ได้ รูปไหนเอา มันก็มีประโยชน์คนละแบบ ในการทำงานมันทำให้เราไม่เปลือง เรารู้ ถ่ายน้อยลง ตัดสินใจได้เร็วขึ้น แต่สำหรับผมที่ไม่ได้เอามาทำงาน สิ่งนี้เป็นแพสชันร้อยเปอร์เซ็นต์ ผมก็ยังสนุกกับสิ่งเหล่านี้ได้อยู่ โห ภาพที่เราถ่ายแม่งห่วยสัส อันนี้แม่งสุดยอดเลย ก็ยังสนุกอยู่


เวลาลงรูปพี่หน่อยต้องช่วยเลือกไหม

     ไม่ๆ ผมลงเลย เพราะสำหรับผม ผมมองว่ามันเป็นงานศิลปะของผม บางครั้งเขาก็บ่น ไม่เห็นสวยเลย ก็ไม่ได้มองตรงนั้นนี่ เรามององค์รวมของมันต่างหาก (หัวเราะ) เราก็เนียนๆ ไป