“ยุคนั้นถ้าใครดังหน่อย ก็จะได้เล่นโฆษณา มีสาวๆ เดินตามเวลาไปห้างสรรพสินค้า ซึ่งอะไรแบบนี้ผมสัมผัสมาหมดแล้ว (ยิ้ม) จำได้ว่าเวลาไปเล่นต่างจังหวัด งานไหนที่เป็นลานกว้างก็จะมีคนดูเกินหมื่นคนอยู่ตลอด ณ ตอนนั้น ถ้าวัดแค่เรื่องความดังวงกะลาไม่เป็นสองรองใครจริงๆ”
เรื่องราวของกะลา วงร็อกแถวหน้าของเมืองไทย ที่ ‘หนุ่ม’ – ณพสิน แสงสุวรรณ นักร้องนำประจำวง บอกเล่าความยิ่งใหญ่เอาไว้นับตั้งแต่ชนะการประกวดเวที Hotwave Music Awards และกลายเป็นวงร็อกแถวหน้าของค่ายแกรมมี่ ที่มีเอกลักษณ์จากเสียงร้องสุดเพราะ บอกเล่าเนื้อเพลงสไตล์สุดแสนจะเจียมตัว ซึ่งฝากบทเพลงชื่อดังเอาไว้มากมาย
“ตอนที่พวกเรากำลังเข้าสู่ช่วงขาลง สิ่งที่หลายคนไม่รู้คือไม่ใช่แค่วงกะลาถึงจุดอิ่มตัว แต่เจ้าภาพและแฟนเพลงเขาก็ไม่เอาเราแล้วเหมือนกัน ครั้งหนึ่งเขาเคยดูวงกะลาที่มีทั้งความเศร้าคลุกเคล้ากับความดิบเถื่อนมาตลอด วันหนึ่งเขามาเจอวงกะลาในแบบที่แตกต่างออกไป พวกเขาเลยไม่เข้าใจ เพราะติดภาพพวกเราแบบเก่าไปแล้ว”
ทำให้หลังจากอัลบั้ม Minute (2551) วงกะลาจึงต้องฝ่าฟันกับอุปสรรคหลากหลายครั้ง ทั้งการเปลี่ยนแปลงสมาชิกใหม่ การต่อสู้เพื่อช่วงชิงพื้นที่ในวงการดนตรีให้วงอยู่รอดอีกครั้ง รวมถึงการปรับตัวมาเป็นศิลปินเดี่ยวของหนุ่ม กะลา ที่จะสอนให้ทั้งตัวหนุ่ม และวงกะลา ได้เรียนรู้และเติบโตขึ้น เพื่อกลายเป็นศิลปินที่ยืนอยู่บนเวทีทุกยุคทุกสมัยในเวลาต่อมา
My Name is Kala
คิดว่าปัญหาอะไรที่ทำให้วงกะลาช่วงเปลี่ยนแปลงสมาชิกใหม่ ไปไม่ถึงฝันเหมือนวงกะลายุคบุกเบิก
สิ่งสำคัญเลยคือพวกเราปีนข้ามกำแพงที่วงกะลายุคบุกเบิกสร้างเอาไว้ไม่ได้ แฟนเพลงยังอยากได้วงกะลาที่มีมือกีตาร์คนเดิม มือกลองคนเดิมอยู่ ซึ่งพวกเขาก็ไม่ผิดอะไรที่อยากได้แบบนั้น เพราะผมเองก็ยอมรับว่าตัวเองไม่สามารถพาวงกะลาไปถึงจุดเทียบเท่าเมื่อก่อนได้
จริงๆ ผมพยายามมากเลย ที่จะสร้างอะไรใหม่ๆ ขึ้นมากับวงกะลาอีกครั้ง แต่พอแฟนเพลงเขาไม่อยากได้แบบนี้ เราเลยกลายเป็นวงที่ไม่มีตัวตนทันที อย่างเพลง ไม่เห็นฝุ่น ก็ทำออกมาโดยตั้งใจให้แตกต่างไปจากเดิมทุกอย่าง ซึ่งจริงๆ ประสบความสำเร็จมากทั้งยอดขายและคำชม แต่วงกะลาที่เป็นเจ้าของเพลงกลับไม่ได้รับคำชมตามด้วย เพราะแฟนเพลงเขายังเรียกร้องอะไรแบบเดิมๆ อยากฟังเพลงแบบ ‘เธอเป็นแฟนฉันแล้ว’ หรือ ‘ขอเป็นตัวเลือก’ อยู่ ทำให้วงกะลายุคเปลี่ยนแปลงสมาชิกของผมจึงมีอายุที่สั้นเพียง 5 ปีเท่านั้น
ที่อายุสั้นเพราะคุณรู้อยู่แล้วว่าไปไม่รอด เลยต้องรีบทำการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง
ผมไม่ได้รู้ว่าตัวเองต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง แต่ผมรู้ว่าโลกใบนี้เริ่มใหญ่ขึ้นต่างหาก สมัยก่อนผมกล้าพูดเลยว่าวงกะลาตัวใหญ่คับโลกจริง แต่ช่วงหลังๆ ขอให้มีคนดูให้ถึง 300 คนต่องานก็ดีใจแล้ว ซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราอ่อนหัดลงด้วย แต่เหมือนโลกใบนี้ไม่มีพื้นที่ให้ดนตรีร็อกแบบนี้ได้เปล่งแสงเหมือนสมัยก่อนแล้วต่างหาก เชื่อไหมว่าเพลง 4 นาที ที่ทำให้หลายคนรู้จักเรา แต่ถ้ามองภาพรวมของทั้งอัลบั้ม (Minute) นี่คืออัลบั้มที่ยอดขายแย่ที่สุดของวงกะลา คือมันเป็นช่วงที่ไม่มีใครเอาวงร็อกแบบกะลาแล้วจริงๆ
ที่แฟนคลับวงกะลาไม่ชอบเพลงแบบ ไม่เห็นฝุ่น เท่าไหร่ เพราะเพลงนี้ไม่มีภาพลักษณ์ชายหนุ่มผู้เจียมตัวเหมือนเมื่อก่อนหรือเปล่า
ต้องยอมรับว่าตอนนั้นแนวเพลงในเมืองไทยเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ จะเห็นว่าช่วงปล่อยเพลง ไม่เห็นฝุ่น ออกมา วงที่ได้รับความนิยมคือ Retrospect และ Bodyslam เป็นวงร็อกที่ใส่อารมณ์เต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งแตกต่างจากวงร็อกซึ้งๆ แบบกะลาอย่างสิ้นเชิง
ถามว่าผมรู้ไหม ผมรู้ และพวกเราก็พยายามเปลี่ยนกันแล้ว จะเห็นว่าเพลง ไม่เห็นฝุ่น ก็พยายามสลัดตัวเองออกมาจากความเจียมตัวแบบนั้นพอสมควร พวกเรากลายเป็นวงร็อกที่มีน้ำหนักในการถ่ายทอดความเศร้ามากขึ้น ภาพลักษณ์ผมก็ไม่ใช่ผู้ชายสบายๆ อีกต่อไป ตัวผมเองเริ่มสวมสูทมาถ่ายเอ็มวีเหมือนกัน แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอดอย่างที่เห็น
เสียใจไหมที่ตอนนั้นวงกะลาไม่ใช่เบอร์ต้นๆ ของเมืองไทยแล้ว
ผมยอมแพ้ถึงขนาดจะไปขายก๋วยเตี๋ยวแล้วตอนนั้น
เพลง ‘ทำใจให้ชิน’ จริงๆ ผมตั้งใจจะทำเป็นซิงเกิลสุดท้าย ให้เป็นเหมือนการสู้ครั้งสุดท้ายของวง ซึ่งถ้าเกิดเพลงนี้ยังไม่ประสบความสำเร็จอีก ผมก็จะไปทำอย่างอื่น เพราะตอนนั้นใจเราไม่สู้แล้ว
ผมกล้ายอมรับเลยว่าตอนนั้นทำใจไม่ได้ ที่ผ่านมาพวกเราเป็นรุ่นใหญ่มาโดยตลอด เวลามีคนมาถามว่าวงอื่นดังหรือเปล่า ก็จะตอบเสมอว่าวงพวกนี้คือวงที่เล่นเปิดให้วงกะลาแล้วทั้งนั้น แต่กลายเป็นว่าช่วงหลังพวกเราคือวงเปิดให้พวกเขาแทน ตอนนั้นวงกะลาไร้ศักยาภาพที่จะเล่นปิดในคอนเสิร์ตไหนก็ตาม เชื่อไหม แม้แต่ยืนถ่ายรูป ผมยังได้ยืนข้างหลังสุดเลย ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนั้นคือความจริงที่ตอกย้ำชัดเจนแล้วว่า วงกะลาเก่าเกินไปแล้ว
แต่คุณก็ยังทำเพลงต่อมาจากนั้น
หลังจากเพลง ทำใจให้ชิน กับ ไม่เห็นฝุ่น ที่แตกต่างจากวงกะลาจนแฟนเพลงไม่เข้าใจเท่าไหร่ พวกเราก็ทำอัลบั้ม 4Share ให้เสร็จ เป็นอัลบั้มที่พยายามทำให้ถูกใจแฟนเพลงวงกะลาทั้งหมดเลย ซึ่งก็แน่นอนว่าไม่สำเร็จเท่าไหร่ (หัวเราะ)
“ตอนแรกก็รู้สึกว่าจะถอดใจเหมือนกัน แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกว่าอยากลองอีกสักที อยากขออีกสักครั้งหนึ่ง ซึ่งคราวนี้จะไม่ทำเพลงเอาใจแฟนเพลงกะลาแล้ว”
ซึ่งตอนนั้นเพื่อนก็สงสัยกันว่าจะดีเหรอ แต่ผมมาคิดทบทวนดูแล้ว อัลบั้มที่ผ่านมาก็พิสูจน์ไว้ว่ากะลาแบบเก่ามันอยู่ไม่รอด และแฟนเพลงเขาก็ไม่ได้สนใจวงกะลาที่เป็นอยู่แล้ว ดังนั้น ผมจะขอทำเพลงที่อยากทำจริงๆ เลยกลายเป็นอัลบั้ม Love Infinity ที่มีเพลง ‘ใจเรายังตรงกันอยู่ไหม’ ซึ่งประสบความสำเร็จ ยอดขายดูดีมีความหวัง เหมือนเริ่มเห็นประกายแสงออกจากตัวบ้างแล้ว (หัวเราะ) ปีนั้นงานกลับมาเหมือนวงกะลาสมัยก่อนเลย ก่อนที่จะปิดตำนานวงกะลาเอาไว้ที่อัลบั้มนี้
ก็ดูเหมือนวงกะลากำลังกลับมายิ่งใหญ่ได้ แต่ทำไมถึงตัดสินใจยุบวงอีกครั้ง
คือตัวผมเองยังมีความมุ่งมั่นกับการร้องเพลงอยู่ นอนหลับตาก็ยังเห็นภาพตัวเองในฐานะนักร้องอยู่ตลอด เพียงแต่ภาพนี้ ตัวผมกลับไม่ได้ยืนอยู่บนเวทีในฐานะวงกะลาแล้ว อาจเพราะด้วยตอนนั้นแนวคิดของคนในวงเริ่มไม่ตรงกัน ประกอบกับตัววงเองที่เคยพักมาครั้งหนึ่งแล้ว ผมเลยคิดว่าถึงเวลาแล้วที่วงกะลาควรจะหยุดไว้ที่ตรงนี้จะดีกว่า
ถามว่าเสียใจไหม แน่นอนว่าผมเสียใจมากที่ต้องเลิกรากับความเป็นกะลาที่สร้างขึ้นมาเอง แต่ ณ จุดที่อยู่ตอนนั้น ผมก็เข้าใจดีเหมือนกันว่าถ้าฝืนทำต่อไปก็คงไม่ดีเท่ากับที่ต้องการ การตัดสินใจแบบนี้คงเหมาะสมกับทุกฝ่าย ทั้งตัวผม เพื่อนในวงคนอื่นๆ รวมไปถึงแฟนเพลงวงกะลาเองด้วย
ถ้าให้ย้อนกลับไปตัดสินใจใหม่ จะยังตัดสินใจเหมือนเดิมอยู่ไหม
เหมือนเดิมแน่นอน ทุกวันนี้ผมไม่เคยเสียใจกับการตัดสินใจครั้งนั้น
‘Inside’ Num Kala
หลังจากนั้นคุณก็เปิดตัวในฐานะศิลปินเดี่ยวที่ใช้ชื่อ Num Kala คราวนี้มีความแตกต่างไปจากวงกะลาอย่างไรบ้าง
เหมือนเป็นอีกคนเลย (หัวเราะ) Num Kala ตอนอยู่คนเดียวคือหนุ่มที่ไฟแรงที่สุด มีสภาพร่างกายที่พร้อมเล่นคอนเสิร์ตมากที่สุดในรอบหลายสิบปี หลังจากได้พักฟื้นจนเต็มที่ ที่สำคัญคือผมมีฝันที่รุนแรงและมีเป้าหมายที่ชัดเจนกว่าเดิม เพราะตอนทำเพลงในฐานะศิลปินเดี่ยว ผมไม่ได้ทำเพลงบนพื้นฐานความเป็นกะลาอีกต่อไปแล้ว ทุกอย่างที่ออกมาคือความเป็น Num Kala เพียงคนเดียวเท่านั้น
แต่ถึงอย่างนั้น สิ่งที่ยังเหมือนเดิมคือผมยังอยากให้คนฟังรู้สึกชอบและรักเพลงของผมอยู่ อย่างเพลง เขาจะรู้บ้างไหม ที่เป็นเพลงเปิดตัวในฐานะศิลปินเดี่ยว ผมชอบมาก แต่แฟนคลับกลับไม่ชอบเท่าไหร่ (หัวเราะ) เขาคงตกใจว่าทำไมเพลงถึงเปลี่ยนไปขนาดนี้ แต่ผมก็ค่อยๆ พยายามและปรับเปลี่ยน ให้เพลงออกมาดีขึ้นตามลำกับ
ถึงจะบอกว่าแตกต่าง แต่เพลงของคุณก็ยังมีความเศร้าเหมือนกับเพลงของวงกะลาเหมือนกันอยู่
ใช่ แต่ Num Kala จะไม่มีความเศร้าแบบผู้ชายเจียมตัวอีกแล้ว ส่วนหนึ่งเพราะผมโตขึ้น เวลาได้พิสูจน์แล้วว่าเราไม่ใช่คนแบบนั้น ผมเลยกลับไปทำเพลงแบบเดิมไม่ได้แล้ว เพลงของ Num Kala จึงเป็นเหมือนคนเศร้าที่กล้าพูดอะไรบางอย่างออกมาได้มากขึ้น ไม่เก็บมาคิดและตัดพ้อคนเดียวเพียงลำพังอีกแล้ว
ตรงไหนบ้างที่พิสูจน์ได้ว่า Num Kala คือชายที่โตขึ้นมาจากวงกะลาแล้วจริงๆ
เป็นเรื่องของวิธีการแสดงออกมากกว่า เหมือนก่อนหน้านี้วงกะลาคือคนที่แอบรักแบบเจียมเนื้อเจียมตัว แต่ตอนนี้เวลาพูดถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่เสียใจ เขาจะมีความกล้าที่อยากจะดูแลเธอมากขึ้นเพียงแค่เธอบอกมา Num Kala เลยกลายเป็นชายที่เจียมเนื้อเจียมตัวอยู่ แต่ก็ดูมีความกล้าและพึ่งพาได้มากขึ้น
ดูเหมือนการเป็นศิลปินเดี่ยวครั้งนี้จะราบรื่นดีและไม่ค่อยมีปัญหาอะไร เลยอยากรู้ว่าคุณเอาความเศร้าตรงไหนมาเป็นทรัพยากรในทำเพลง
พูดตามตรงตอนนั้นก็มีปัญหาอยู่เหมือนกัน ด้วยความที่ผมเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ความกดดันเลยสูงมาก เหมือนครั้งนี้ต้องปีนข้ามกำแพงของวงกะลาให้ได้อีกครั้ง ซึ่งตอนแรกก็หนักหนาสาหัสอยู่ อย่างเพลง เขาจะรู้บ้างไหม กว่ายอดวิวจะถึงล้านต้องใช้เวลานานถึง 6 ปี ซึ่งแบบนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกัน ยอมรับว่าตอนนั้นใจหวิวพอสมควรเลย เหมือนคนอกหัก ไม่อยากไปออกไปทำงาน ออกมาโปรโมทตัวเองแบบนี้เท่าไหร่
ต้องอย่าลืมว่าการเป็น Num Kala ครั้งนี้เดิมพันไว้สูงมาก ผมไม่มีอะไรมาอ้างแล้ว ทุกอย่างเริ่มจากตัวเอง สิ่งที่ทำก็รักมากที่สุด ถ้าครั้งนี้ยังไม่ประสบความสำเร็จ ผมก็ไม่เหลืออะไรแล้วเหมือนกัน โชคดีที่สุดท้ายทุกอย่างก็ดีขึ้น มีงานจ้างเพิ่มขึ้นมาบ้าง Num Kala เลยได้ไปต่อ
คิดว่าอะไรที่ทำให้ Num Kala สามารถปีนข้ามความสำเร็จที่วงกะลาเคยสร้างเอาไว้ได้
ที่สำคัญคือผมได้ทำเพลงที่ตัวเองชอบจริงๆ ไม่ได้หมายความว่าผมไม่สนใจแฟนเพลงนะ แต่จุดหนึ่งที่ผมเข้าใจว่าทั้งแนวเพลง และแฟนเพลงในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ยิ่งทุกวันนี้ที่กระแสของแนวเพลงเปลี่ยนกันแบบรายเดือน ผมเลยมานั่งเดาว่าคนชอบหรือไม่ชอบเพลงแบบไหนไม่ได้แล้ว ต้องเริ่มทำเพลงที่ตัวเองชอบจริงๆ สักที
เพราะถ้าได้ทำเพลงแบบนี้แล้ว ถ้าวันหนึ่งเพลงไม่ประสบความสำเร็จมาก อย่างน้อยผมยังกล้ายอมรับว่า เพลงที่ตัวเขียนได้ทำหน้าที่ของมัน และตัวเราเองก็มีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำแล้วจริงๆ ไม่มีอะไรต้องเสียดายเท่าไหร่นัก
หลังจากกลับมายืนในวงการดนตรีได้อีกครั้ง คราวนี้ระมัดระวังตัวในการใช้ชีวิตขึ้นไหม
จริงๆ ผมแทบไม่ทำอะไรที่เป็นความเสี่ยงของอาชีพอีกเลย ผมค่อนข้างจะรักษาภาพลักษณ์ของตัวเองมากพอสมควร ทุกวันนี้ผมยังคงใช้ชีวิตแบบคนติดดินเหมือนหนุ่ม วงกะลา คนเดิม เพียงแต่พยายามจะไม่สร้างภาพลักษณ์ที่เสื่อมเสียออกไป รู้จักระมัดระวังมากขึ้น
ส่วนหนึ่งที่ต้องทำแบบนี้เพราะว่าผมรักอาชีพนี้มาก เวลาที่เรารักอะไรมากๆ เราจะยอมทำทุกอย่างเพื่อมัน ซึ่งหลายปีที่ผ่านมา คำตอบหนึ่งที่อยู่กับผมเสมอเวลาถามถึงอะไรที่รักมากๆ คืออาชีพนักดนตรี ผมอยากร้องเพลง อยากอยู่กับแฟนคลับ อยากให้เขามีความสุขกับสิ่งที่เราทำ ผมเลยจะดูแลตัวเองเพื่อสิ่งเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา
Love Infinity
คุณดูเป็นศิลปินที่ค่อนข้างรักและเอาใจแฟนคลับพอสมควร
เพราะเขาเป็นทำให้ผมมีเงินใช้ทุกวันนี้ (หัวเราะ) จริงๆ เพราะผมเคยผ่านจุดที่มีชื่อเสียง ได้อยู่กับคนพวกนี้มาก่อน พอวันหนึ่งที่เราไม่มีพวกเขาจนรู้สึกว่าชีวิตขาดความสุขบางอย่างไป ดังนั้น ในวันที่มีโอกาสได้อยู่กับคนพวกนี้อีกครั้ง ผมเลยบอกตัวเองเสมอว่าจะทำให้เต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นต์เพื่อรักษาพวกเขาเอาไว้ จะเห็นว่าทุกครั้งหลังเล่นคอนเสิร์ตผมจะลงมาถ่ายรูปกับแฟนคลับอยู่ตลอด วันละ 2-3 ชั่วโมง
ไม่เหนื่อยเหรอก กับการที่ต้องยืนถ่ายรูปนานขนาดนี้
ตอนเป็นเด็ก เวลาคุณไปเจอศิลปินที่ชื่นชอบ ก็อยากถ่ายรูปก็เขาใช่ไหม ดังนั้น พอผมได้มาอยู่ในจุดนี้ ผมเลยอยากสานต่อความสุขแบบนั้นให้กับคนอื่นบ้าง จริงๆ ไม่ใช่แค่แฟนคลับที่มีความสุข ผมเองก็มีความสุขเหมือนกัน ใครจะไม่ชอบอยู่กับคนที่รักเราล่ะ จริงไหม
วันนี้คุณก็มีอีกหนึ่งบทบาทที่ต้องรับผิดชอบในฐานะพ่อของลูก ตอนนี้คุณได้วางแผนอนาคตให้ลูกไว้อย่างไรบ้าง
จริงๆ ผมไม่ได้คิดอะไรเลย และคงไม่ไปผลักดันว่าต้องเป็นนักร้องเหมือนพ่ออะไรแบบนั้น เพราะนี่คือชีวิตของเขา ก็ต้องให้เขาเลือกเอง แล้วผมจะคอยสนับสนุนและผลักดันในสิ่งที่เขาชอบ ไม่อยากให้เขาต้องเป็นเหมือนเราที่เคยเป็นเด็กที่ชอบดนตรีมากๆ แต่ไม่ได้รับการสนับสนุนเท่าไหร่ในยุคสมัยนั้น
แล้วตัวคุณเองได้วางแผนในอนาคตมองหาลู่ทางเกษียณไว้บ้างหรือยัง
พอมีลูกยิ่งแทบไม่คิดเรื่องนี้เลย (หัวเราะ) ถ้าถาม ตอนนี้ไม่ได้คิดเรื่องนี้ เพราะผมก็รู้สึกว่าตัวเองยังทำได้ดีตรงจุดนี้อยู่ อีกอย่างวงการเพลงในบ้านเราก็เริ่มเปิดกว้าง เริ่มเปิดรับนักร้องหลากหลาย ก็ทำให้ผมมีโอกาสได้ทำงานตรงนี้มากขึ้น
นอกจากนี้มีอะไรที่อยากทำอีกไหม
เราอยากทำคอนเสิร์ตอีกครั้ง (ยิ้ม) ตอนทำครั้งที่แล้วสิ่งที่ประทับใจมากคือพลังที่เราได้จากงานครั้งนั้น เหมือนพลังานทุกอย่างทั้งจากฉาก แสง สี และแฟนเพลง พุ่งมาหาเราทั้งหมด ทุกวันนี้เราเลยรู้สึกโหยหาความรู้สึกแบบนี้อีกครั้ง
จึงเป็นเหตุผลที่คุณตัดสินใจจัดคอนเสิร์ตอีกครั้งในปีนี้ใช่ไหม งานครั้งนี้จะแตกต่างไปจากเดิมอย่างไร
คอนเสิร์ตครั้งนี้จะพาแฟนเพลงเข้ามาสู่โลกของผมจริงๆ สักที เพราะครั้งก่อนจะมีความก้ำกึ่งระหว่างวงกะลา และหนุ่ม กะลา อยู่ จะมีลิสต์เพลงและโชว์ที่ยังเอาใจแฟนเพลงสมัยก่อนค่อนข้างมาก แต่คราวนี้จะมีเพียงแต่ทุกอย่างที่เป็นผมเท่านั้น จะได้รู้จักความแตกต่างระหว่างผมกับวงกะลา ซึ่งจะมีอะไรบ้างนั้น อยากให้ทุกคนได้มาสัมผัสด้วยตัวเอง