ตินกานต์

ตินกานต์ | เจ็บปวดเพราะความรัก เมื่อได้เรียนรู้จึงเติบโต

ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ได้พาเราไปพบกับแง่มุมที่หลากหลายในชีวิต และทำให้เติบโตขึ้น ทั้งจากการเป็นคนที่แอบรัก เคยหลงใหลใครสักคนอย่างหัวปักหัวปำ ไปถึงความเจ็บช้ำกับความรักจนแทบเสียผู้เสียคน หรือ (เคย) สุขสมหวังราวกับวิ่งอยู่ในทุ่งดอกไม้ นักเขียนหญิงเจ้าของนามปากกา ตินกานต์ จึงนำเรื่องเหล่านี้ที่ตัวเองเคยพบเจอมาถ่ายทอดลงในหนังสือ ดอก รัก โดยเธอเชื่อว่าเวลาคือองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ใครสักคนได้เจอกับความรัก ผ่าน 10 เรื่องราวแห่งความรักของสตรีผู้มีนามเป็นดอกไม้

ตินกานต์

 

การเติบโตของคุณในวันนี้ทำให้มองความรักเป็นแบบไหน

     รู้สึกเลยว่าสงบขึ้น ควบคุมอารมณ์ ความรู้สึกต่างๆ ได้มากขึ้น แต่ยังไม่ถึงขั้นตกผลึกไปเสียทุกอย่าง เพราะชีวิตคู่มีสถานการณ์ใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา วันนี้ทะเลาะกันเรื่องนี้ ผ่านไปได้ จบไปได้ อาทิตย์หน้าก็จะมีสถานการณ์ใหม่เข้ามาทำให้ชีวิตคู่เกิดปัญหาอีกอยู่ดี

 

คุณดีลกับความสัมพันธ์อย่างไร เพราะเรื่องนี้ต่อให้เด็กหรือผู้ใหญ่ สุดท้ายก็เจ็บปวดพ่ายแพ้กันมาตั้งเท่าไหร่กว่าจะได้เจอความรักที่ลงตัว

     เอาจริงๆ ถ้าในภาพรวมเรายังเอาอยู่ แต่ก็ต้องยอมรับว่าคนสองคนนั้นมาจากต่างที่ต่างถิ่น ต่อให้อยู่กันมาสิบปีก็ยังมีอะไรใหม่ๆ เข้ามาให้จัดการ ทั้งการดูแลความรู้สึกตัวเอง ดูแลความรู้สึกของอีกคน มีสถานการณ์เข้ามาท้าทายชีวิตคู่อยู่เสมอ ซึ่งก็ไม่ใช่ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่อะไรหรอก แต่ก็เกิดขึ้นได้ตลอด เช่น พรุ่งนี้เราต้องปลี่ยนงาน เจอสังคมใหม่ๆ แล้วเราเอาเรื่องใหม่ๆ มาเล่าให้เขาฟัง บางทีการเล่าอาจจะกลายเป็นการบ่นมากไปก็ได้ เพราะที่ทำงานเก่าเราอาจจะมีสังคมที่ดีกว่า แค่นี้ก็ไม่รู้ว่าจะทำให้อีกฝ่ายรำคาญเราหรือเปล่า

 

แล้วที่บอกว่าสงบขึ้น เพราะอะไร เพราะวัยหรือเพราะว่าเราอิ่มกับความสัมพันธ์ที่ร้อนแรงของวัยรุ่นแล้วอย่างนั้นหรือเปล่า

     เป็นความสงบในแง่ของการได้รู้ว่าจะจัดการอย่างไรให้ชีวิตคู่ไม่เกิดปัญหา ที่ผ่านมายอมรับว่าตัวเองเป็นวัยรุ่นที่ไม่น่ารักกับเรื่องความรักเท่าไหร่ เพราะเราชอบความตื่นเต้นในการพบเจอกับคนใหม่ๆ เป็นความกระชุ่มกระชวย ยิ่งโตยิ่งได้เจอสังคมที่ขยายตัวออกไป เจอกับอะไรใหม่ๆ ขึ้นเรื่อยๆ จนไม่รู้ว่าอะไรคือความต้องการที่แท้จริง

     ตอนนี้เราควบคุมความต้องการของตัวเองได้แล้ว รู้ว่าอะไรที่ตัวเองชอบอะไรที่ไม่ชอบ รู้ว่าเริ่มจะรักคนคนนี้แล้ว จะทำให้ความสัมพันธ์กับคนคนนี้ยาวนานได้อย่างไร และไม่ปล่อยให้พฤติกรรมเดิมๆ ของเราเข้ามาทำร้ายชีวิตคู่ได้

 

จริงไหมที่การแต่งงานเป็นอีกวิธีที่ทำให้เรารักษาความสัมพันธ์ไว้ให้อยู่กันยาวๆ แต่เราก็เห็นว่าคู่รักหลายคู่ที่แต่งงานกันชีวิตของพวกเขาเองก็ไม่ได้สวยงาม

     การแต่งงานสำหรับเราไม่ใช่เรื่องสำคัญเลย เพราะเราก็เติบโตมาในบ้านที่เห็นว่าการแต่งงานไม่ได้ทำให้ชีวิตคู่สวยหรูตลอดเวลา เราเห็นพ่อกับแม่ทะเลาะกัน มันไม่ได้หวานซึ้งเหมือนในเทพนิยาย เราเลยไม่ให้ความสำคัญกับพิธีการ แต่ถ้าใครที่จะแต่งงานแล้วเชิญเราไปร่วมงานเราก็จะดีใจและมีความสุขมากๆ

     แต่ถ้าเป็นงานแต่งของตัวเอง เราอยากเอาเงินที่ใช้จัดงานนั้นไปท่องเที่ยวหรือทำอะไรที่เป็นความสุขระยะยาวมากกว่า เพราะงานแต่งบางทีก็ไม่ได้มีความสุขนะ คู่รักหลายคนก็ทะเลาะกันเรื่องการจัดงาน ซึ่งการแต่งงานต้องมีความสุขไม่ใช่เหรอ เพราะนั่นคือจุดเริ่มต้นของความสุข แต่ทำไมใกล้จะถึงวันงานอยู่แล้วยังทะเลาะกันอยู่เลย

 

ความสัมพันธ์ของคนในทุกวันนี้เปราะบางขึ้นไหม บางคนพูดจาไม่เข้าหูกันนิดเดียวก็แทบจะเลิกกัน มันทำให้เรารู้สึกอึดอัดในการระมัดระวังตัวมากเกินไปหรือเปล่า

     ยุคสมัยทำให้เรากล้าที่จะเลือกทางเดินของตัวเองมากขึ้น สมัยก่อนผู้หญิงอาจจะมีอะไรบางอย่างครอบอยู่ ทำให้ผู้หญิงหรือผู้ชายที่มีแฟนแล้วรู้สึกไม่โอเค อาจจะแยกจากกันยากกว่าสมัยนี้ เพราะโลกเปิดกว้างขึ้น ไม่มีใครมาตัดสินหรือตีค่าว่าถ้าคุณไม่ทนกับชีวิตคู่แล้ว คุณจะเป็นมนุษย์ที่แย่ แต่เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของคนแต่ละคู่นะ บางคู่เขาก็เจอคนที่ใช่ หรือบางคนดูแล้วไม่น่าจะเป็นคนที่ใช่แต่เขาก็ยังอยู่ด้วยกัน

     เหมือนในเรื่องของบัว ที่สื่อออกมาว่าทำไมผู้ชายถึงชอบออกคำสั่ง ชอบทำร้ายผู้หญิงจัง ส่วนผู้หญิงทำไมถึงอดทนเหลือเกิน อยู่กับความทุกข์ที่หนักหนาสาหัสเหลือเกิน เรื่องนี้อาจจะเป็นบทบาทที่สอนเรื่องความรักในมุมของการสอดรับกันพอดีของคนสองคน คนชอบออกคำสั่งกับคนที่รู้สึกว่าถ้าฉันมีใครมาสั่งฉัน ฉันจะรู้สึกว่ามีตัวตนขึ้นมา ดังนั้นแม่ของบัวจึงไม่สามารถหนีออกไปจากตรงนี้ได้ เพราะถ้าไม่มีคนออกคำสั่งหรือควบคุมแล้วเธอจะรู้สึกว่าตัวเองว่างเปล่าไม่มีตัวตน หรือฉันไม่มีคุณค่าพอที่จะกำหนดชีวิตตัวเองได้ ต้องมีคนคอยบอกฉัน ซึ่งคนแบบนี้ก็มีอยู่จริง แต่ถ้าเป็นเราเราก็จะไม่ทนสถานการณ์อย่างนั้น

 

ตินกานต์

 

ความสัมพันธ์ที่มีคุณค่านั้นต้องเป็นในรูปแบบไหน

     เรามองว่าคือการพากันเติบโตไปในด้านไหนก็ได้ จะเป็นด้านที่ทำให้เราเข้าใจตัวเองจากภายใน หรือทำให้เรากลายเป็นคนที่ดีขึ้นกว่าเดิมก็ได้ เหมือนในหนังเรื่อง As Good as It Gets ที่ตัวละครของ แจ็ก นิโคลสัน พูดว่า คุณทำให้ผมอยากเป็นคนที่ดีขึ้น (You make me want to be a better man.)

     ดังนั้น เวลาคนมีความรักเขาจะรู้สึกเองว่าต่างคนต่างช่วยกันดึงด้านที่ดีของกันและกันออกมา แต่ก็มีคู่ที่พากันดึงด้านที่แย่ออกมาก็มี ซึ่งไม่ผิด เพราะเขาก็ได้เติบโตในเรื่องอะไรบางอย่างเหมือนกัน เพียงแต่ว่าเราเป็นคนที่จะไม่ทนอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น

 

คุณเชื่อในปาฏิหาริย์ของความรักบ้างไหม พวกความบังเอิญ โลกกลม พรหมลิขิต หรือผู้หญิงเลี้ยวซ้าย ผู้ชายเลี้ยวขวา ที่สักวันความรักจะชักพาคนให้มาเจอกัน

     ความรักบางทีก็มีปาฏิหาริย์หลายอย่างเกิดขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อในชีวิตจริงนะ ดังนั้น คนเพ้อๆ แบบเรา เราเชื่อ (หัวเราะ) แต่เชื่อในที่นี้ไม่ได้เชื่อแบบงมงาย เราเชื่อในเรื่องของการที่คนสองคนได้มาเจอกัน คนในโลกนี้มีตั้งเท่าไหร่ ทำไมคนนี้ถึงได้เจอคนนั้น บางคนอยู่คนละมุมโลกอะไรทำให้เจอกันได้ อะไรคือสิ่งที่พาหรือดึงดูดให้เรามาเจอกัน เหมือนกับที่ใครบางคนอาจจะเดินสวนกันอยู่ที่ RCA ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แล้วก็มีเหตุการณ์บางอย่างที่ประจวบเหมาะทำให้เขาได้พบกัน อย่างเรื่องสุดท้ายคือเรื่องของโรส ที่คล้ายๆ กันแบบนี้

 

จังหวะเวลาบางทีก็เล่นสนุกกับชีวิตคนเหลือเกินนะ อย่างบางคู่เลิกกันไปแล้วเป็นสิบปี ไม่ได้คุยไม่ได้ติดต่ออะไรกันเลย แล้วเวลาก็พาเขากลับมาเจอกัน ซึ่งเรื่องแบบนี้ไม่ได้มีแค่ในหนังหรือในนิยาย

     ใช่ๆ เราเชื่อเหลือเกินว่าโลกนี้ไม่มีความบังเอิญหรอก แต่เป็นความประจวบเหมาะของเวลา สมมติว่าถ้าเราไม่เลิกกันวันนั้น ความสัมพันธ์ก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง แต่พอเราเลิกกันแล้วกลับมาคบกันวันนี้ ก็จะมีมุมมองของคนสองคนที่โตขึ้นมาคบกัน ซึ่งอาจจะเป็นความรักที่สงบขึ้น สวยงามมากขึ้น ถนอมน้ำใจกันมากขึ้น แต่จะเป็นอย่างนั้นทุกคนหรือเปล่าก็ยังไม่แน่ใจ

 

เหมือนอย่างในหนังเรื่อง เถียน มี มี่ 3650 วันรักเธอคนเดียว กว่าพระเอกกับนางเอกจะได้เจอกันต่างก็ทิ้งระยะตั้งหลายปี

     ในชีวิตจริงเกิดขึ้นได้แหละ แค่เราเคยเจอคนนั้นหรือเปล่า เขาเคยเล่าให้เราฟังหรือเปล่าอะไรแบบนี้ แต่ละคนจะมีเวลาของกันและกัน เหมือนที่เราเคยคิดว่าไม่อยากเลิกกับแฟนคนนี้ แต่ก็มีเหตุผลทำให้เราต้องเลิกกัน เรามองว่าเรื่องนี้คือการหมดเวลาของกันและกัน แต่แล้วทำไมวันดีคืนดีถึงกลับมาเจอกัน ซึ่งก็แค่ถึงเวลาที่กลับมาเจอกัน เท่านั้นเอง แล้วเวลาตรงนี้ก็ไม่รู้ด้วยว่าใครเป็นคนกำหนด แต่เราเองก็มีความเชื่อเรื่องชาติภพ เชื่อว่าคนที่กลับมาเจอกันได้ต้องมีสายใยอะไรบางอย่างที่เชื่อมโยงกันอยู่ ผู้ชายคนนี้อาจจะเป็นน้องสาวของเราในชาติไหนสักชาติก็ได้ แล้วถึงเวลาที่ต้องกลับมาเรียนรู้ในบทเรียนเดียวกัน เป็นจังหวะที่ลงล็อกกันพอดี

 

ชาติภพ คุ่บุญ คู่กรรม สายสัมพันธ์ที่ยึดโยงเรากับใครสักคนไว้ แล้วเรื่องของการอธิษฐานขอพรในเรื่องความรักล่ะ คุณเชื่อในสิ่งนี้ด้วยไหม

     ถ้าเป็นการอธิษฐานขอให้เจอเนื้อคู่ เรื่องนี้เราไม่เชื่อเลย

 

ตินกานต์

 

ในหลายๆ ตอนของ ดอก รัก ก็มีเรื่องเวลา และการโหยหาอดีตอยู่ในเส้นเรื่องด้วย อย่างเรื่องของแก้ว ที่พูดถึงสวนลิ้นจี่และภาพของวิถีชาวสวนในอดีต

     เพราะในแต่ละตอนของ ดอก รัก มีความมีความจริงของชีวิตที่คาบเกี่ยวอยู่กับความแฟนตาซี เลยเป็นความรู้สึกที่เราเรียกว่ากึ่งจริงกึ่งฝัน อย่างเรื่องของแก้วก็มีความจริงผสมอยู่ เพราะที่อัมพวา ต้นลิ้นจี่เพิ่งออกผลไปเมื่อปีที่แล้ว และมันไม่ได้ออกผลมาแล้วถึงสามปีจริงๆ เราเคยไปอยู่ตรงนั้น เคยไปเห็นลูกลิ้นจี่ที่หล่นลงมา ทุกภาพที่เราเอามาเล่าอยู่ในความทรงจำของตัวเองหมดเลย ทั้งจังหวะที่เราไปยืนอยู่กลางสวนแล้วเห็นผลลิ้นจี่เต็มสวน เรารู้สึกเหมือนยืนอยู่ท่ามกลางดวงดาวเลย ดังนั้น อะไรที่มันชัดเจนแปลว่าเราต้องรู้สึกกับมันจริงๆ ถูกไหม เราเลยดึงมันออกมาเล่น มาใส่ในงานเขียนของตัวเองได้

 

เราชอบรายละเอียดหลายๆ อย่างที่อยู่ในแต่ละตอนของ ดอก รัก มันเยอะไปหมดแต่ไม่ได้รู้สึกน่ารำคาญเลย

     เพราะเราเคยไปอยู่ตรงนั้นจริงๆ เราเคยทำงานแมกกาซีน แล้วก็เคยไปสัมภาษณ์ศิลปินในห้องๆ นั้น ซึ่งห้องที่อยู่ในตอน พุดพิชญา ก็คือที่โรงแรมสยามเคมปินสกี้ เพราะเราจำบรรยากาศในวันนั้นได้ เราเห็นว่ามีหน้าต่างบานใหญ่อยู่ตรงนั้น มีโซฟาหนึ่งตัว แต่ที่ตลกก็คือ ตอนที่ไปสัมภาษณ์ในหนังสือคือผู้กำกับภาพยนตร์หนุ่ม แต่ในภาพจริงคือ เจนนิเฟอร์ คิ้ม แต่เพราะบรรยากาศที่สวยงามของห้องเราจึงเอาความรู้สึกนั้นมาใช้บรรยายในตอนของพุดพิชญา

 

พระเอกที่เป็นรักในฝันของพุดพิชญาคือพี่คิ้ม ภาพในหัวพังทลายหมดเลย

     นั่นสิ ไปหมดเลยใช่หรือเปล่า (หัวเราะ)

 

แต่ละตอนที่อยู่ในหนังสือ ดอก รัก ดำเนินเรื่องด้วยตัวละครที่เป็นผู้หญิงทั้งหมด แต่กลายเป็นว่ากลับไม่รู้สึกถึงความเป็นเฟมินีนแบบสุดโต่งเลย

     เราไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย เพราะเราเชื่อว่าในความสัมพันธ์ของทั้งผู้หญิงและผู้ชายต่างก็ต้องพึ่งพาอาศัยกัน เราไม่เคยคิดที่จะเขียนหนังสือด่าผู้ชายเพราะเรารักผู้ชายมาก ดังนั้น เราจะไม่ด่าในสิ่งที่เรารัก (หัวเราะ) ถึงแม้ในเรื่องจะมีผู้ชายที่ไม่ดีอยู่ก็ตาม แต่เราก็ไม่ได้ไปตัดสินเขา เราแค่เล่าเรื่องของเขา ซึ่งในมุมของตัวละครที่เกิดการปะทะกันบ้าง แต่ฝ่ายชายเองก็ยังพาภรรยาไปออกหน้าออกตา เพราะในตัวของมนุษย์นั้นมีทั้งด้านดีและไม่ดีอยู่ ดังนั้น เราจะไม่ตัดสินหรือด่าว่าผู้ชาย เพราะจริงๆ แล้ว เราก็ไม่รู้หรอกว่าผู้ชายจริงๆ เป็นยังไง

 

ตินกานต์

 

คุณเรียงลำดับของแต่ละตอนในหนังสืออย่างไร เพราะเรารู้สึกว่าการเปิดเล่มด้วยเรื่องของแววมยุรานั้น สร้างความตื่นเต้นและทำให้เราต้องพลิกไปอ่านเรื่องอื่นๆ ที่เหลือจนวางไม่ลงเลย

     จริงๆ เราเขียนพุดพิชญาเป็นตอนแรกนะ เพราะเป็นเรื่องของรักครั้งแรก แต่พี่แป้งร่ำ (ชมพูนุท ดีประวัติ) บรรณาธิการเล่ม มาช่วยเรียงลำดับใหม่ให้ แต่เราทั้งคู่ก็เห็นตรงกันว่าตอนของโรสจะเป็นตอนที่ปิดท้ายของหนังสือเล่มนี้ ซึ่งตอนแรกก็ว่าจะเอาตอนเฟื่องฟ้าขึ้นมาไว้เป็นตอนแรก แต่ก็รู้สึกว่าดีแล้วที่เอาแววมยุราขึ้นมา เพราะถ้าเอาเฟื่องฟ้ามาไว้ต้นเล่ม หนังสือเล่มนี้ก็จะถูกเปิดด้วยความรักสดใสวิบวับ แต่พอเปิดด้วยแววมยุรากลับทำให้รู้สึกว่าน้ำหนักของเรื่องเล่าทั้งหมดกำลังพอดี

 

เราชอบตอนของแววมยุราในเรื่องของการปลดล็อกความผิดบางอย่างในอดีต และการเติบโตขึ้นของตัวละครหลังจากผ่านคืนนั้นไป

     เราดีใจนะที่ใครได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วรู้สึกว่าเรื่องราวนั้นไปแตะอะไรบางอย่างในใจของเขาได้บ้าง มีคนอ่านส่งข้อความมาบอกว่าเขาอ่านตอนของแววมยุราไปถึงตอนที่รู้ว่าแฟนเก่ากลับมาหา เขาบอกว่าตอนแรกรู้สึกว่าต้องโรแมนติกสมหวังแน่ๆ เลย แต่กลายเป็นว่าตอนจบกลับเป็นอีกแบบหนึ่ง

 

บางครั้งเรื่องที่ไม่สุขสมหวังก็สวยงามมาก

     เราชอบหนังรักที่ไม่ได้จบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง เหมือนหนังเรื่อง Once (2007) เราไม่ชอบหนังที่จบแบบประคองคู่กันและมองตะวันไปด้วยกัน เราชอบหนังที่สรุปเรื่องราวความเป็นไปของชีวิต ไม่จำเป็นว่าการที่คนรักกันมาเจอกันต้องสมหวังทุกคู่ ความเจ็บปวดบางครั้งก็สวยงามจริงๆ แหละ

 

จำเป็นแค่ไหนที่เราต้องเอาความรู้สึกของตัวเองไปปะทะกับความสัมพันธ์บ่อยๆ เพื่อให้มีเรื่องเล่าในหลายแง่มุม

     เราว่าจำเป็นมาก เพราะเรื่องที่เราเล่าในแต่ละตอนเป็นสิ่งที่สะสมมาตั้งแต่เด็ก แม้กระทั่งคนปัจจุบันก็มีการสะสมของความสัมพันธ์มาเหมือนกัน เราเคยไปอยู่เมืองนอกกับเขา เราก็จะได้แง่มุมบางอย่างมาเขียน เป็นแง่มุมของคนที่อยู่ด้วยกัน พออยู่กันมาปีที่หกที่เจ็ดก็จะเริ่มนิ่งๆ เฉยๆ แต่ก็จะมีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นมาให้เราเอามาเขียนได้ เลยออกมาเป็นตอนโบตั๋น เป็นเรื่องของความรักที่มีคนรักเป็นตัวเป็นตนแล้ว

 


ดอก รัก

ตินกานต์

     10 เรื่องราวแห่งความรักของสตรีผู้มีนามเป็นดอกไม้ สะท้อนอารมณ์และความฝันใฝ่ในหัวใจผู้หญิง ความรัก ความแค้น ความใคร่ ความเดียวดายไร้ที่มา…

สั่งซื้อได้ที่ https://godaypoets.com/dokruk