วิโอเลต วอเทียร์

วิโอเลต วอเทียร์ | ‘Drive’ จากบทเพลงทรงพลังถึงเรื่องราวแห่งแรงบันดาลใจที่ใช้ขับเคลื่อนชีวิต

ในสังคมยุคโซเชียลฯ ครอบงำ rising star เกิดขึ้นมาไม่เว้นแต่ละวัน มีเพียงบางคนเท่านั้นที่จะยืนหยัดอยู่ได้ด้วยความสามารถเป็นแก่นสำคัญมั่นคง เช่นกันกับ ‘วี’ – วิโอเลต วอเทียร์ เธอเริ่มเข้าสู่วงการบันเทิงอย่างสูตรสำเร็จ ด้วยการประกวดร้องเพลงในรายการทีวียอดนิยม จนทุกวันนี้เธอกลายเป็นศิลปินที่โดดเด่นมากที่สุดคนหนึ่ง

ล่าสุด เธอเรียกเสียงฮือฮาอีกครั้งกับซิงเกิล Drive ในเนื้อหาภาษาอังกฤษที่ถนัด เราอดสงสัยไม่ได้ถถึงสิ่งที่ Drive เธออยู่ แรงบันดาลใจ แรงผลักดันบางอย่างที่ทำให้เด็กสาวตัวเล็กๆ ร้องเพลงประกาศกร้าวถึงเรื่องราวภายในใจออกมาได้ทรงพลังแบบนั้น

อะไรคือ Drive ที่ใช้ขับเคลื่อนชีวิต แล้วเป้าหมายที่แท้จริงของเธออยู่ที่ไหนกันแน่ไปหาคำตอบกัน

วิโอเลต วอเทียร์

เราอยากรู้ว่าสำหรับคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ อะไรคือสิ่งที่ผลักดันให้มีชีวิตอยู่ และผลักดันให้ทำงานสร้างสรรค์

     ทุกอย่างเป็นแรงขับได้อยู่แล้ว การที่ชีวิตจะขับเคลื่อนไปข้างหน้าไม่จำเป็นจะต้องใช้เฉพาะเรื่องดีๆ เป็นแรงขับเท่านั้น ทุกอย่างเป็นแรงขับให้กับวี ทั้งเรื่องดีใจ ความเศร้า รวมทั้งอารมณ์โกรธ ตัวเองก็เคยใช้ความโกรธ อารมณ์เคืองๆ มาขับเคลื่อนเหมือนกัน

     อย่างช่วงที่เล่นหนังเรื่องแรก (ฝากไว้ในกายเธอ) คอมเมนต์ในอินเทอร์เน็ตนี่มาเลย เลิกแสดงเถอะ กลับไปร้องเพลงดีกว่าเหอะ อ่านแล้วก็โกรธนะ อย่ามาว่าฉันนนะ อย่ามาว่าฉันสิ ฉันรักการแสดงมาตั้งแต่เด็ก ฉันเชื่อว่าทำได้ดีแล้ว ได้แต่พูดแบบนี้ในใจตัวเอง คอยดู ถ้าเจอกันเรื่องหน้า ฉันจะทำออกมาดีๆ ให้ดู แล้วผลที่ออกมาเป็นไง ได้รางวัลสุพรรณหงส์ (รางวัลนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม จาก ฟรีแลนซ์..ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ) ประเด็นหลักของแรงผลักคือ เราอย่าอยู่กับที่ อย่าปล่อยให้อะไรดึงเราไว้ อย่าให้อารมณ์โกรธดึงเราลงมา อย่ายึดติดกับมันจนจมทำอะไรไม่ได้ แต่ใช้มันเป็นแรงผลักดัน

 

เราชอบที่คุณดูโอเคกับความผิดพลาด แล้วพร้อมจะเริ่มใหม่

     โอ๊ย สบายมาก (ทำเสียงสูง) ประสบการณ์ผิดพลาดนี่บ่อย เราแค่หยุดแล้วเริ่มใหม่ ตั้งแต่ตอนเด็กๆ สมัยที่เริ่มหัดเล่นเปียโน พอถึงช่วงที่ต้องขึ้นไปแสดงบนเวที ตอนนั้นตื่นเต้นมากจนเล่นผิด แล้วยังพยายามมั่วต่อด้วยนะ แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอด เล่นต่อไม่ได้ หันไปบอกคุณครูว่า หนูขอเริ่มใหม่นะคะ ตั้งสมาธิใหม่แล้วก็เริ่มอีกครั้ง เรื่องนี้สอนเราเสมอเรื่องความผิดพลาด

หากดื้อดึงไป ไม่ยอมรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ก็คงเริ่มใหม่ไม่ได้

     เราจะจมกับเรื่องเดิมต่อไป ดังนั้น อย่างมากก็แค่ผิด ไม่มีอะไรแย่ ถ้ายังไม่ตายก็โอเค พยายามนึกๆ ว่าที่ผ่านมาเคยพลาดอะไรใหญ่โต เต็มที่ก็ทำให้เสียเงินเยอะแยะจากความผิดของตัวเราเอง แต่เวลาผ่านไปมันโอเค ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้น เงินที่เสียไปเรายังทำงานได้ก็พอหากลับมาใหม่ได้

 

ได้ยินว่าเป้าหมายหลักของคุณตั้งแต่นี้ไปคือเรื่องเพลง

     แน่นอนแล้วว่าคือดนตรี ส่วนเรื่องการแสดงก็เป็นเป้าหมายที่วางไว้ควบคู่กันได้ พอคิดๆ ไปการเขียนเพลงบางทีก็เหมือนหนังนะ บางบรรทัดมีภาพชัดเจนเต็มไปด้วยเรื่องราว

     ทั้งนี้เราโชคดีที่มีโอกาสเข้ามาทั้งละครและหนัง ก็ต้องรอให้ทุกอย่างมันลงตัว รอบทดีๆ เข้ามา รอสิ่งที่เหมาะกับตัวเรา ช่วงที่โอกาสนั้นยังมาไม่ถึงเราก็กลับมาสร้างโอกาสให้ตัวเองด้วยการทำเพลง และพอทำไปหากมีโอกาสดีเข้ามาอีก เราก็พักงานเพลงที่ทำไว้ก่อน เหมือนเป็นการแบ่งโฟกัสและเวลาเท่านั้น ถ้าคุณถามว่ามีเหตุผลอะไรถึงเลือกจะอยู่กับดนตรี มันง่ายมาก ไม่ซับซ้อน เพราะเราอยู่ด้วยแล้วมีความสุข ถ้าตัวเรามีความสุข คนที่รักเราเห็นเรามีความสุขเขาก็ย่อมมีความสุขไปด้วย

 

อะไรกัน เป้าหมายคือความสุขของตัวเองเท่านั้นเหรอ

     อืม… ถ้าหมายถึงเป้าหมายที่สูงขึ้นไปกว่านั้น อย่างการทำเพื่อสังคมหรือโลกใบนี้อย่างนี้ใช่ไหม ในตอนนี้ วีพูดกับแม่เสมอเลยว่า รายได้ที่เข้ามาจากการทำงานเราจะเก็บเอาไว้บางส่วนเพื่อมอบให้กับมูลนิธิหรือการกุศลอะไรสักอย่าง ในเมื่อเราได้มาก็ต้องให้คืนกลับไปบ้าง ได้มากให้มาก ได้น้อยก็ให้น้อย ซึ่งนี่มันเป็นแค่จุดเริ่มต้น เพราะตอนนี้วียังไม่รู้ว่าจะทำอะไรมากไปกว่านี้ วียังไม่มั่นคงในตัวเอง จะไปทำอะไรให้ใครได้เท่าไหร่กันเชียว แต่วันไหนก็ตามที่แข็งแรงมั่นคง ไม่ต้องพึ่งพาใครมาก ในเมื่อเสียงเราดังกว่าคนอื่นก็พร้อมที่จะพูดแทนคนอื่นเหมือนกัน

 

วิโอเลต วอเทียร์

 

ถ้างานเพลงที่ทำให้ความสุขแก่ตัวคุณเอง แต่คนอื่นไม่ได้ชอบมันสักเท่าไหร่ ไม่ค่อยมียอดไลก์ ยอดวิว คุณจะยังคงทำงานเพลงต่อไปหรือเปล่า

     เราทำงานให้ตัวเอง เราตั้งใจมาก เมื่อเราทำให้คนอื่นก็ตั้งใจเช่นกัน ผลแย่ที่สุดคืออะไรก็แก้ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็เจอจุดที่ลงตัวเอง ต่อให้เพลงนี้ไม่เจอ เพลงต่อไปก็เจอ แต่ถ้าเราตั้งใจแล้วมันไม่เวิร์ก คนจ้างไม่ชอบ คนฟังไม่ชอบหรือชอบงานจากคนอื่นมากกว่า ก็ไม่เป็นไร เพราะถึงจุดนั้นเราตอบตัวเองได้แล้วว่าทำอย่างเต็มที่ ทำไปก่อนเถอะ ไม่มีอะไรไม่ดีหรอก นอกจากจะไปฆ่าใครตาย หรือมีใครเดือดจากจากสิ่งที่เราทำ

     ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้หรอก นอกจากเราจะไปยึดติดกับกรอบที่เราสร้างขึ้นมาเอง ยกตัวอย่าง เมอรีล สตรีป กว่าจะเป็นดาราดังได้อายุเธอก็ปาเข้าไป 40 กว่า ตอนเป็นสาวๆ เธออดทนต่อสู้จนโอกาสมาถึง ทุกอย่างไม่มีคำว่าสายเกินไป ดังนั้น คนที่อยากทำอะไรสักอย่างแต่ติดโน่นนี่ อย่างอายุเริ่มเยอะแล้วมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ อย่าคิดเป็นข้ออ้าง ลองดู สนุกดี ถือว่าผจญภัย ลองออกไปจากผู้คน ไปที่ที่ไม่มีใครรู้จัก ไปลองทำในสิ่งที่อยากดู

 

จากประสบการณ์การทำงาน เพลงแต่ละเพลงหรืองานแต่ละชิ้นให้บทเรียนหรือการพัฒนาตัวเองอย่างไรบ้าง

     ยกตัวอย่างเพลงแรกๆ ที่ทำออกมา ถามว่าหากย้อนกลับไปช่วงที่ทำเพลงนั้นอยู่อยากจะแก้อะไรไหม วีก็จะตอบว่า คงไม่แก้หรอก เพราะทำดีที่สุดแล้วในขณะนั้น ซึ่งถ้ามองในนาทีนี้ วีก็จะทำอีกแบบแน่ๆ แต่ที่ไม่ย้อนกลับไปแก้เพราะเพลงเป็นเหมือนบทบันทึกของตัวเราในวัยนั้น พอมาถึงวันนี้ทำงานมาสักพัก ถามว่าฝีมือเป็นยังไง มันยังอีกไกลเลยล่ะถ้าเทียบกับเป้าหมายที่คิดไว้ เพราะมีเป้าที่ใหญ่กว่าเดิมไปแล้ว ก่อนหน้านี้คิดแค่ทำเพลงแบบไหน ร้องยังไง เอนเตอร์เทนยังไง มาตอนนี้มองไปที่โปรดักชันด้วย โชว์จะออกมาแบบไหน ควรมีแสงสี วิชวล หรือแดนเซอร์ขึ้นมาเต้นคอนเทมโพรารีเพื่อช่วยเล่าเรื่องให้โชว์มันสมบูรณ์ขึ้น

 

ตั้งแต่ก้าวแรกขึ้นไปบนเวที The Voice จนวันนี้ สิ่งสำคัญที่สุดที่วีเรียนรู้คืออะไร

     จงจริงที่สุดเท่าที่คุณเป็นได้ อย่าปล่อยให้อะไรมาเปลี่ยนแปลงตัวตน หรือไปยึดติดกับสิ่งไหน วียังจำแม่นกับบทสัมภาษณ์ของพี่โอปอล์ (ปาณิสรา อารยะสกุล) มันจริงมาก เมื่อครั้งที่พี่เขาป่วยนอนอยู่โรงพยาบาล เขารู้เลยว่าชื่อเสียงเงินทองมากเท่าไหร่ก็ไม่สำคัญ ไม่มีความหมายอะไร สิ่งสำคัญคือตัวเราและคนข้างๆ ดังนั้นจงจริงที่สุดกับตัวเราและคนที่เราแคร์ มันเป็นแบบนั้นจริงๆ นะ

ชีวิตคนเรามีอะไรจริงกว่าเงินและชื่อเสียงอีกเยอะ มันเป็นไปได้ หากเราทำในสิ่งที่ตัวเองมีความสุข คนรอบข้างที่เรารักก็มีความสุขไปด้วย เพราะเขาเห็นเรามีความสุขจากสิ่งที่ทำ

     และโชคดีที่งานของวีมันเปลี่ยนเป็นรายได้ที่สูงพอเลี้ยงดูครอบครัวได้ บางคนเขาสนใจเฉพาะสิ่งที่เขาจะได้จนไม่ทันมองว่าคนรอบข้างๆ ค่อยๆ หายไป นั่นเป็นเรื่องน่าเศร้าสุดท้าย You gonna die alone

 

วิโอเลต วอเทียร์

 

ดูคุณเป็นคนมองโลกในแง่บวก มีพลังใจในการสร้างสรรค์ผลงาน แต่มิวสิกวิดีโอล่าสุดกลับออกมามืดหม่น มันสะท้อนอีกด้านของคุณออกมาใช่ไหม

     คนเราต้องมีหลายอารมณ์สิ วีมีหลายอารมณ์ แต่ไม่ได้เป็นคนหลายบุคลิกนะ แล้วทุกครั้งที่อยู่ในอารมณ์ ไม่ว่าจะสุขหรือเศร้าอะไรก็ตาม วีก็จะปล่อยให้ตัวเองดำดิ่งลงไป และดื่มด่ำกับอารมณ์นั้นจริงๆ เพื่อจะได้เอามาขยายความหรือต่อยอดออกมาในรูปแบบต่างๆ เช่น เขียนเพลง

     วีจัดว่าเป็นคนเซนสิทีฟมากๆ คนหนึ่งเลยล่ะ หลายครั้งจะจำว่าเจอเหตุการณ์แบบนี้ๆ เรารู้สึกอย่างไรบ้าง แล้วก็เอามาเขียนเพลง เนื้อหาที่ออกมาก็เลยมีความจริงแฝงอยู่ หรือมีสิ่งที่ต้องการจะบอกซ่อนอยู่ แต่ตัวเองจะไม่ยอมไปติดอยู่กับอารมณ์นั้นนานจนเกินไปนัก ทำให้รวมๆ แล้ววีมองโลกในแง่บวกมากกว่า ไม่ใช่คนคิดมาก

แม้ว่าจะอยู่ในเหตุการณ์ที่มืดมน ก็เชื่อเสมอว่าต้องมีความสวยงามอยู่ในนั้น มันไม่เลวร้ายไปหมดหรอก

     ส่วนในมิวสิกวิดีโอก็แล้วคนดูจะตีความ เหมือนคำว่า drive ของแต่ละคน ความหมายก็คงไม่เหมือนกัน นำมาใช้ต่างกัน เพราะเราเรียนรู้มาต่างกัน

 

คนหนุ่มสาวมองชีวิตข้างหน้าอย่างไร มันเป็น dead end เหมือนในตอนจบของมิวสิกวิดีโอเพลง Drive หรือเปล่า

     ไม่เลย สำคัญที่สุดคือเราต้องมีเป้าหมายข้างหน้า วันนี้เราจะมานั่งทำตัวสบายๆ ไปตลอดไม่ได้ เมื่อเรามีเป้าหมายว่าอยากทำอะไร อยากเป็นอะไรแน่ๆ แต่มันยังไม่รู้วิธีการ แรงขับจะยิ่งแรง ถ้าเรายิ่งชอบมันมาก อยากทำ อยากลงมือ มีแพสชันจริง คอยคิดอยู่ตลอดเวลาว่าหากได้ทำสิ่งนั้น เราต้องมีความสุขแน่ๆ เพราะมันเป็นความฝันของเรา เพียงแต่จะไม่เอาเรื่องนี้มากดดันตัวเองเกินไปจนไม่มีความสุข แบบนั้นมันเหมือนตอบสนองความกระหายอะไรบางอย่างมากกว่า ซึ่งถ้าเรามีความสุขที่ปลายทาง ระหว่างทางก็ควรต้องมีความสุขด้วยใช่ไหม บางคนมุ่งไปอย่างเดียวจนไม่สนใจอะไรรอบข้าง ไม่สนความรู้สึกใครเลย เอาแต่ตัวเอง มันก็ไม่ใช่นะ

     บางคนเขาพลาดไม่ได้ ต้องทุ่มเทเต็มที่ ยอมแลกทุกอย่างเพื่อความสำเร็จ หากมองว่าแนวนี้ดีต่อการบรรลุเป้าหมายก็อาจจะดี ดังนั้น ระหว่างทางก็ลองทำอะไรดูไปเรื่อยๆ แล้วก็จะเห็นทางต่อไปเอง ถ้ามันผิดก็ไม่เป็นไร กลับมาเริ่มต้นใหม่ก็ได้ แค่ผิดพลาดไป

     ยกตัวอย่างช่วงสอบ วีตั้งเป้าชัดเจนอยากเรียนนิเทศศาสตร์ แต่ในขณะที่เพื่อนเรียนพิเศษกันทุกคน เรียนสะสมตั้งแต่ ม.5 ม.6 วีเพิ่งกลับจากเมืองนอก ไป AFS ที่แคนาดา ก็คิดว่าไม่เป็นไร เพราะเรามีทักษะเอาตัวรอดอยู่แล้ว เรามี survivor skill วิชาไหนไม่เวิร์ก ก็เอาวะ ช่างมัน ไปมุ่งเอาคะแนนกับวิชาที่เราถนัดให้คะแนนสูงไปเลย ทำให้เต็มที่ หากมันจะแย่ก็แค่เรียนช้าไปปีเดียว ปีหน้าสอบใหม่ แล้วมันจะเป็นอะไรไป เรียนไม่พร้อมเพื่อนแล้วไง เพราะยังไงๆ พอเข้ามหาวิทยาลัยทุกคนก็ไปเจอเพื่อนใหม่อยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นหากเป้าหมายที่คิดไว้แต่แรกเราพยายามแล้วแต่มันเป็นไปไม่ได้ ก็หาเป้าหมายอื่นที่ใกล้เคียงได้นี่ มันไม่มีอะไรแย่แบบโลกแตกขนาดนั้น ทุกอย่างในโลกนี้มันมีดีเยอะมากทั้งหมด อยู่ที่เงื่อนไขในชีวิตของเราแต่ละคน วีโชคดีที่ครอบครัวสนับสนุนจนมีโอกาสได้ทำในสิ่งที่ชอบแม้พลาดก็ยังมีคนช่วย

 


เรื่อง: พรรษิษฐ์ วิชญคุปต์ สไตลิสต์: Hotcake เสื้อผ้า: DISAYA