คุยกับ ‘วสพล แก้วผลึก’ จากล่ามสู่ผู้ช่วยโค้ช พาทีมชาติไทยคว้าแชมป์ซูซูกิคัพ 2020

ฮอตสุดในเวลานี้ คงหนีไม่พ้น ‘ทีมฟุตบอลทีมชาติไทย’ ที่เพิ่งคว้าแชมป์เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2020 จากประเทศสิงคโปร์ เรียกว่าเป็นการหวนคืนสู่การเป็น ‘แชมป์อาเซียน’ ได้อีกครั้ง รวมทั้งยังเป็นแชมป์สมัยที่ 6 มากที่สุดในบรรดาชาติในอาเซียนด้วยกันทั้งหมด 

        มากไปกว่านั้น ใน 8 นัดที่ลงทำการแข่งขัน พวกเขายังทำสถิติไม่แพ้ทีมใดเลย และทำผลงานยิงไปได้ 18 ประตู เสียไปแค่เพียง 3 ประตู พร้อมกันนี้ยังใช้ผู้เล่นทั้งหมด 29 คน ลงสนามแบบครบถ้วน 

        ไม่ธรรมดา และต้องเรียกว่ามาแบบเหนือๆ โดยสถิติอันน่าประทับใจเหล่านี้ ต้องยกเครดิตให้กับ 29 ขุนพลนักเตะไทยที่ทำผลงานครั้งนี้ได้ดีเอามากๆ รวมไปถึงเหล่าบรรดาสตาฟฟ์โค้ชและทีมงานอีกกว่า 20 ชีวิต ที่ลุยงานกันอย่างหนัก จนสุดท้ายก็สามารถคว้าถ้วยแชมป์มาครอง

        อย่างที่แฟนบอลทราบกันดี ทีมชาติไทยชุดนี้ได้กุนซือชาวบราซิล-เยอรมันที่ชื่อ ‘มาโน่ โพลกิง’ เข้ามาคุมทีม พร้อมมือขวาคู่ใจอย่าง ‘เอ็กซ์’ – วสพล แก้วผลึก เข้ามาเป็นผู้ช่วยโค้ช สำหรับใครที่ติดตามฟุตบอลไทยมานาน คงจะคุ้นเคยกับเฮดโค้ชและคู่หูคนนี้กันเป็นอย่างดี ทั้งสองทำงานด้วยกันมานับสิบปี สนิทกันชนิดมองตาก็รู้ใจ ทำให้พอมาโน่เข้ามาคุมทีมชาติไทย จึงได้ดึงเอาเอ็กซ์เข้ามาช่วยงาน เรียกว่ามาร่วมกัน ‘กอบกู้ศรัทธาบอลทีมชาติ’ ให้กลับคืนมาให้จงได้

        ผ่านไปหนึ่งเดือนเต็มสำหรับทัวร์นาเมนต์ดังกล่าว ปิดฉากลงด้วย ‘ถ้วยแชมป์ใหญ่’ พร้อมกระแสความคลั่งไคล้ในฟุตบอลไทยให้กลับคืนมาอีกครั้ง ในช่วงเวลาที่บรรดานักเตะทีมชาติไทย ตลอดจนผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ต่างกำลังอยู่ในบรรยากาศแห่งความสำเร็จนี้ a day BULLETIN ได้ชวนเอ็กซ์มาร่วมสนทนากันถึงการทำงานครั้งสำคัญ รวมทั้งทำความรู้จักตัวตนของเขา

        ‘ผู้ชายที่ยืนข้างมาโน่มานับสิบปี’ ชีวิตที่เริ่มต้นจากการเป็นล่ามแปลภาษาให้โค้ชต่างชาติ ก้าวมาสู่การเป็นผู้ช่วยโค้ชทีมชาติไทย 12 ปีในแวดวงฟุตบอลไทย ผู้ชายคนนี้ผ่านเรื่องราวอะไรมาบ้าง และในวันนี้ เขามองเห็นความสำเร็จ ตลอดจนเส้นทางของ ‘ฟุตบอลไทย’ ควรเป็นอย่างไรต่อไป ตามไปอ่านบทสนทนาครั้งนี้กันได้เลย…

ถ้าเป็นคนที่ไม่ได้ติดตามฟุตบอลไทย อาจจะไม่ค่อยคุ้นหน้าคุณนัก แต่เราเชื่อว่า นับถึงวันนี้ ต้องมีคนสงสัยบ้างล่ะว่า ‘ผู้ชายที่ยืนข้างโค้ชมาโน่ตลอดเวลาคือใคร?’

        (หัวเราะ) ผมอยู่ในวงการฟุตบอลไทยมาราวๆ 12 ปี เริ่มต้นจากการเป็นล่ามแปลภาษาอังกฤษให้กับโค้ชในทีมชาติ ตอนนั้นราวๆ ปี 2011 ทางสมาคมฟุตบอลเขากำลังหาคนทำงานล่ามให้กับ ไบรอัน ร็อบสัน อดีตนักเตะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่มาเป็นเฮดโค้ชทีมชาติไทยในตอนนั้น และหลังจากนั้น ผมก็ได้มาเป็นล่ามให้กับ วินฟรีด เชเฟอร์ เฮดโค้ชชาวเยอรมันที่มาคุมทีมชาติชุดต่อมา ซึ่งก็ทำให้ได้มาเจอกับ มาโน่ โพลกิง ที่ตอนนั้นมาเป็นผู้ช่วยโค้ชให้กับวินฟรีด ผมเลยได้ทำหน้าที่เป็นล่ามให้กับทั้งสองคน

        พอหลังจากที่มาโน่ไม่ได้ทำทีมชาติ ออกมาเป็นเฮดโค้ชให้กับสโมสรในไทยลีก เขาก็ชวนผมให้มาเป็นทีมงานล่ามให้กับเขา เริ่มต้นที่สโมสรอาร์มี่ ยูไนเต็ด จากนั้นมาโน่ย้ายไปเป็นเฮดโค้ชที่สโมสรสุพรรณบุรี เอฟซี ผมก็ย้ายตามเขาไปด้วย ต่อมาเขาย้ายไปอยู่บียู (สโมสรทรูแบงค็อก ยูไนเต็ด) ผมก็ตามมาอยู่ด้วยเช่นเดิม เราทำงานอยู่ที่บียูประมาณ 6 ปี ซึ่งในช่วงเวลานั้น ผมเริ่มไปอบรมเรียนโค้ช จาก Introductory จนมาต่อที่ C License (‘C’ Certificate Coaching Course) B License (‘B’ Certificate Coaching Course) และล่าสุดเพิ่งจบ A License (‘A’ Certificate Coaching Course) ปีหน้ากำลังจะเรียนต่อ Pro License ซึ่งเป็นหลักสูตรสูงสุด สามารถทำหน้าที่เป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนในระดับนานาชาติได้ทั่วโลก

จากอาชีพล่าม ทำไมคุณถึงตัดสินใจไปเรียนการเป็นโค้ชเพิ่มขึ้นด้วย

        เพราะผมอยากคุมทีมฟุตบอล (ยิ้ม) จริงๆ จากการที่ทำงานกับทั้ง ไบรอัน ร็อบสัน วินฟรีด เชเฟอร์ และ มาโน่ โพลกิง ทำให้เรามีความรู้ในศาสตร์ฟุตบอลมากขึ้นมาโดยตลอด แต่ความรู้มันมีได้ทุกวัน เราสามารถเรียนรู้ได้ตลอดเวลา เพราฉะนั้น การที่เรามีความรู้มากเท่าไหร่ มันก็เป็นผลดีต่อเราอย่างแน่นอน โดยเฉพาะเรื่องฟุตบอล ลึกๆ ผมอยากทำงานด้านนี้อยู่แล้ว ผมอยากเป็นโค้ชในอนาคต การได้ทำในสิ่งที่รัก มันก็ทำให้เรามีความสุขไปด้วย

การเป็นผู้ช่วยโค้ช ต้องมีหน้าที่อะไรบ้าง

        หลักๆ คือ วางแผนการซ้อมร่วมกับเฮดโค้ช ฝึกซ้อมให้ผู้เล่นมีพัฒนาการที่ดีขึ้น ดึงศักยภาพออกมาให้เต็มที่ นอกจากนี้ก็ยังมีส่วนในการตัดสินใจเลือกผู้เล่น 11 คนแรกลงสนาม เราอาจจะเป็นคนคอยให้ความคิดเห็นเพื่อให้เฮดโค้ชเป็นผู้ตัดสินใจสุดท้าย รวมทั้งในระหว่างเกม ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนตัวผู้เล่น หรือมีการปรับเปลี่ยนระบบการเล่น หรือแท็กติกต่างๆ เฮดโค้ชจะปรึกษาร่วมกับเรา ซึ่งฟุตบอลมันเป็นเรื่องของรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ บางทีคนคนเดียวไม่สามารถเก็บรายละเอียดได้หมดทุกอย่าง ต้องอาศัยผู้ช่วย อาศัยหลายๆ ความคิดเห็น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องอยู่บนพื้นฐานของการทำงานที่เป็นไปทิศทางเดียวกัน หน้าที่ของเราคือ ต้องคอยซัพพอร์ตข้อมูล ให้รายละเอียดที่จะเป็นประโยชน์ และช่วยในการตัดสินใจของเฮดโค้ชให้ดีที่สุด

แล้วคุณคิดว่าตัวเองจะพร้อมในการทำหน้าที่ ‘เฮดโค้ช’ เมื่อไหร่

        ผมตั้งใจจะเรียนให้จบ Pro License เสียก่อน ผมอยากมีความรู้ที่พร้อมที่สุด ก่อนที่จะก้าวออกไปทำทีมเอง ซึ่งมันเป็นเรื่องในอนาคต สำหรับตอนนี้ ผมถือว่าผมได้มาอยู่ในจุดที่สูงที่สุด เกินที่จะฝันมาแล้วด้วยซ้ำ จากเมื่อ 12 ปีที่แล้วที่เริ่มต้นด้วยการเป็นล่าม ถือเป็นสิ่งที่ภูมิใจมากๆ จนมาถึงตอนนี้ ผ่านมา 12 ปี ผมได้เข้ามาทำทีมชาติไทยอีกครั้งในฐานะผู้ช่วยโค้ช เราได้เรียนรู้อะไรเพิ่มขึ้นมากมาย ที่สำคัญ เราสามารถนำประสบการณ์ตลอด 12 ปีที่อยู่ในวงการฟุตบอล มาช่วยให้ทีมชาติไทยประสบความสำเร็จ เพียงเท่านี้มันก็เป็นสิ่งที่น่าจดจำ และน่าภูมิใจมากๆ สำหรับผมแล้ว (ยิ้ม)

ย้อนกลับไปกับการทำงานสำหรับทัวร์นาเมนต์นี้ มันเริ่มต้นเป็นมาอย่างไร

        หลังจากที่คุณแป้ง (นวลพรรณ ล่ำซำ) ประกาศดึง มาโน่ โพลกิง เข้ามาคุมทีมชาติชุดนี้ เราเริ่มทำงานกันตั้งแต่เดือนตุลาคม ผมกับผู้ช่วยโค้ชอีกสองคน คือเซอร์จเด็จ (จเด็จ มีลาภ) และโค้ชหนึ่ง (หนึ่งฤทัย สระทองเวียน) ทำหน้าที่ตามดูฟอร์มนักเตะที่ทำผลงานได้ดีในไทยลีก ด้วยความที่เวลาในการทำงานค่อนข้างน้อย เราจึงต้องเลือกนักเตะที่มีผลงานดีที่สุดในช่วงเวลานี้จริงๆ เป็นคนที่เราต้องมั่นใจว่าเขาจะสร้างผลงานในสนามได้ดี พอหลังจากที่มาโน่บินมาถึงเมืองไทยในช่วงเดือนพฤศจิกายน เราก็ประกาศตัวผู้เล่นรอบแรก ก่อนที่ตัดตัวให้เหลือ 29 คน ตอนนั้นไทยลีกจบเลกแรกพอดี เราจึงเรียกผู้เล่นทั้งหมดมาเข้าแคมป์ ใช้เวลาประมาณ 2-3 วันเองมั้ง หลังจากนั้นเราก็บินไปที่สิงคโปร์เลย

        คือต้องยอมรับว่าทัวร์นาเมนต์นี้เรามีเวลาเตรียมตัวน้อยมาก แถมยังไปด้วยความกดดัน เพราะเวียดนาม แชมป์เก่ารายการนี้ รวมตัวกันมา 5 เดือนแล้ว เนื่องจากเขามีแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก โซนเอเชีย ทำให้เรื่องความฟิต ความเข้าอกเข้าใจในการเล่นย่อมดีกว่า มันจึงเป็นงานที่ค่อนข้างยากสำหรับเรา แต่ในความยาก มันก็เป็นความท้าทาย 

        โชคดีที่เราได้คุณแป้งที่เข้ามาช่วยประสาน ช่วยเจรจากับต้นสังกัดของผู้เล่นอย่าง ‘เจ’ – ชนาธิป สรงกระสินธ์ หรือ ‘อุ้ม’ – ธีราทร บุญมาทัน ซึ่งตอนนั้นทั้งสองคนยังอยู่ที่ญี่ปุ่นอยู่เลย หรือแม้แต่ ‘กัน’ – ธนวัฒน์ ซึ้งจิตถาวร ที่เล่นอยู่เลสเตอร์ ซิตี้ ที่อังกฤษ ก็เป็นทางคุณแป้งที่ไปช่วยประสานขอนักเตะกลับมาเล่นให้กับทีมชาติ ตรงจุดนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ช่วยทีมงานได้เป็นอย่างมาก พอได้นักเตะที่ต้องการ นำมารวมกับนักเตะที่เราเลือกเข้ามา ซึ่งเป็นนักเตะเลือดใหม่ที่ฟอร์มดี อย่าง วีระเทพ ป้อมพันธุ์ หรือ กฤษดา กาแมน เมื่อทุกคนมารวมกัน มันจึงเป็นความลงตัวอย่างที่เห็น

        แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันไม่ง่าย การที่เราจะทำทัวรนาเมนต์นี้ให้ประสบความสำเร็จ เพราะมันไม่มีช่องว่างให้เราผิดพลาดได้เลย เราไม่มีเวลาให้มาทดสอบอะไรทั้งสิ้น อย่างเกมแรกที่เจอกับติมอร์ฯ เหมือนเป็นการทดสอบทีมกลายๆ ซึ่งก็อย่างที่มีคนวิพากษ์วิจารณ์ ทำไมทำได้แค่ 2-0 ทำไมไม่ชนะสัก 7-0 เราก็เข้าใจแฟนบอลนะ (ยิ้ม) แต่ในความเป็นจริงของการทำทีมแล้ว มันไม่ง่าย ไหนจะเป็นนัดแรก ทุกคนตื่นเต้น ทุกคนเพิ่งจะมารวมกัน แถมเราไม่ชนะถ้วยนี้มา 4-5 ปี มันห่างเหินไปนาน ทุกทีมในละแวกอาเซียนที่เข้าร่วมแข่งขันก็พัฒนาขึ้นมา โดยเฉพาะเวียดนาม งานครั้งนี้จึงไม่ง่าย แต่เราก็มีเป้าหมายชัดเจน เราต้องการเอาชนะเขา ต้องกลับมาสู่ตำแหน่งความเป็นจ้าวอาเซียนอีกครั้งให้ได้

นัดไหนที่เป็นนัดที่ยากที่สุดในความรู้สึกของคุณ

        นัดที่เจอเวียดนามนี่ล่ะครับ (หัวเราะ) ความจริงทุกคนมองว่าควรจะเป็นรอบชิงชนะเลิศมากกว่า แต่มาเจอกันในรอบรองเสียก่อน เขาเองก็ไม่อยากเจอเราในรอบนี้ ต้องยอมรับว่าเกมนี้เป็นเกมที่เดือดพอสมควร (ยิ้ม) ด้วยศักดิ์ศรี ด้วยความเป็นคู่อริ ไหนจะโค้ชของเขา (พัคฮังซอ) ที่เล่นสงครามประสาทกับเรามาตลอด แต่ก่อนเริ่มเกมเราย้ำกับผู้เล่นว่าต้องควบคุมสติอารมณ์ให้ดี เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าเขาจะต้องมายั่วเรา มาเล่นนอกเกม หรือเล่นหนักอย่างแน่นอน แต่เราต้องสนใจแค่ฟุตบอลอย่างเดียว  

        โชคดีที่เกมแรกเราขึ้นนำเขาเร็วจากประตูของ เจ ชนาธิป โดยมาจากความผิดพลาดของเวียดนามเอง หลายคนอาจจะมองว่าเรามีโชคพอสมควร แต่ความจริงประตูที่ได้มานี้ มันเกิดจากการซ้อมของเรา เราพยายามเน้นการเพรสบอล เพราะเรารู้ดีว่า ถ้าเวียดนามมีเวลาเล่นกับบอล เขาจะอันตรายมาก เนื่องจากเขามีผู้เล่นที่ดี เราจึงย้ำเป็นพิเศษว่า ช่วงต้นเกมให้เพรส หรือเคลื่อนที่เข้าหาเขาให้เร็ว เพื่อบีบให้เขาอึดอัด จนทำให้เกิดการผิดพลาด ซึ่งสุดท้ายเขาก็พลาดจริงๆ กับจังหวะที่สไลด์บอลแล้วลื่น แล้วเป็นชนาธิปที่ตามเข้าไปยิงประตูจนขึ้นนำ 1-0

        เกมนี้ถือเป็นหนึ่งเกมที่ชนาธิปเล่นได้อย่างยอดเยี่ยม เขาแสดงให้ทุกคนเห็นว่าทำไมเขาถึงเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ดีทีสุดในเอเชียตอนนี้ เพราะผู้เล่นที่ดีที่สุดต้องแสดงออกในเกมใหญ่ ต้องสร้างความแตกต่างได้ ซึ่งเจทำให้เราเห็นในวันนั้น ลูกแรกเขาอยู่ถูกที่ถูกเวลา จนมาถึงลูกที่สอง ซึ่งน่าจะเป็นประตูที่ดีที่สุดในทัวร์นาเมนต์นี้ก็ว่าได้ เป็นลูกที่เกิดจากการรับส่งบอลกันไปมาทั้งทีม ก่อนที่จะเป็นกฤษดาทำเกมขึ้นไป จากนั้นเป็นการเล่นชิ่งบอลกันสั้นๆ ระหว่างเจ, มุ้ย (ธีรศิลป์ แดงดา) และตัง (สารัช อยู่เย็น) ก่อนจะไปจบลงที่เจ ภาษาบอลเรียกว่าเป็นบอลวันทัช (one touch) ส่งกันเท้าต่อเท้า แล้วจบที่การทำประตูที่สวยงาม

        แต่ในความลงตัวที่เห็น มันก็มีความยาก เนื่องจากเวียดนามเขากลับมากดดันเราในครึ่งหลังอย่างหนัก เราไม่สามารถคุมเกมได้อย่างที่ตั้งใจไว้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเมื่อเราขึ้นนำ 2-0 ความคิดของทีมที่ได้ประตูนำมักจะลดการบุกลง แล้วหันมาเล่นเกมรับโดยอัตโนมัติ ซึ่งจุดนั้นทำให้เราเสียการควบคุมไปพอสมควร เราพยายามจะแก้ไขใน 45 นาทีนั้น ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนตัวผู้เล่น เปลี่ยนระบบการเล่น แต่ต้องยอมรับว่าเวียดนามเขาก็เล่นกันได้ดี ยิงชนคานบ้าง ชนเสาบ้าง แต่สุดท้ายเกมแรกเราก็สามารถยันจนไม่เสียประตู 

        จากเกมแรกมีข้อดีคือ ช่วยให้เราเรียนรู้ที่จะไปเล่นกับเขาในนัดที่สองให้ดีขึ้น ซึ่งเรารู้เลยว่า เขาต้องมาบุกแหลกเหมือนกับช่วงครึ่งหลังในเกมแรก แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เขาเพรสกดดันเราตั้งแต่เริ่มเกม ใช้บอลโยนยาวเข้าโจมตีเรา แต่เราก็พยายามประคองเกมกัน จนเข้าสู่ครึ่งหลัง เราเปลี่ยนเอา เอเลียส ดอเลาะ ซึ่งเป็นกองหลัง กับธนวัฒน์ซึ่งเป็นกองกลาง ลงไปแก้เกม โดยให้เอเลียสจัดการกับลูกโยนยาว ส่วนธนวัฒน์ลงไปช่วยคุมเกมในแดนกลาง ทำให้เราคุมเกมได้มากขึ้น และสุดท้ายเราก็สามารถยันไว้ได้อีกครั้งแบบไม่เสียประตู ทำให้เราผ่านเข้าไปสู่รอบชิงชนะเลิศ และที่สำคัญ เราสามารถเอาชนะเวียดนามจนได้ (ยิ้ม)

นอกจากการคว้าแชมป์เป็นสมัยที่ 6 ดูเหมือนว่าทีมฟุตบอลทีมชาติไทยชุดนี้ จะมีเรื่องราวและเหตุการณ์ให้เป็นที่จดจำอยู่มากมาย อย่างการทำประตูสุดสวยในนัดกับเวียดนาม การเสียประตูน้อยที่สุดแค่ 3 ประตู รวมไปถึงการใช้ผู้เล่นลงสนามครบทั้งหมด 29 คน คุณรู้สึกอย่างไรกับเรื่องเหล่านี้บ้าง

        ส่วนตัวผมคิดว่ามันเป็นทัวร์นาเมนต์ที่น่าประทับใจ และต้องจดจำเอาไว้ อย่างเรื่องการใช้นักเตะทั้ง 29 คนลงสนามทั้งหมด เป็นความตั้งใจของมาโน่ที่พูดตั้งแต่วันแรกว่า ทั้ง 29 คนที่เขาเลือกมา ล้วนเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุด ฉะนั้น ถ้าทุกคนสามารถแสดงให้เห็นว่ามีดีพอในการซ้อม พวกเขาจะมีโอกาสลงสนามทั้งสิ้น ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นในสนามซ้อมคือ ทุกคนมุ่งมั่น ทุ่มเท พวกเขาแสดงให้มาโน่เห็นว่า เขาก็มีดีพอที่จะลงสนาม มาโน่จึงตอบแทนพวกเขา 

        อย่างที่เห็นในนัดที่เราเจอกับสิงคโปร์ มาโน่เปลี่ยนนักเตะจากชุดเดิมหมดเลย 11 คน คือมันไม่ใช่แค่การให้โอกาสนักเตะเท่านั้น แต่มันสะท้อนให้เห็นว่า นักเตะทั้ง 29 คนมีดีพอที่จะลงเล่นได้ทุกคน ผมยอมรับเลยว่า พวกเขาเป็นมืออาชีพ และซ้อมกันได้ดีมาก อีกอย่างคือต้องชื่นชมมาโน่ด้วยเช่นกัน ที่ใจกล้าให้พวกเขาได้แสดงผลงาน มันเหมือนเป็นการตอบแทน จากการทำงานหนักของผู้เล่นทุกคน ทางกลับกัน พวกเขาก็ตอบแทนด้วยผลงานในสนาม 

ในฐานะผู้ช่วยโค้ช มีนักเตะคนไหนที่คุณประทับใจฟอร์มการเล่นเป็นพิเศษไหมในทัวร์นาเมนต์นี้

        ให้ตอบแบบง่ายๆ เลยนะ คือทั้ง 29 คน (หัวเราะ) นี่ผมพูดจริงๆ เพราะถ้า 29 คนนี้ไม่สามารถซ้อมได้ดีทุกวัน มันก็ไม่สามารถออกมาเป็นอย่างนี้ได้ คือถ้าจะให้ชม ก็คงชมได้ทุกคน แต่หากให้เจาะลงไปเป็นรายบุคคล แน่นอน กัปตันเจ ชนาธิป นี่คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดของเขา ทั้งที่เจลีก หรือในนามทีมชาติ เรื่องความเก่งเราคงไม่ต้องพูดถึง แต่เจสามารถเป็นตัวอย่างให้กับรุ่นน้องในทีมได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเป็นมืออาชีพ ความมีวินัย เห็นเขาเป็นคนเฟรนด์ลี่ ขี้เล่นอย่างนั้น แต่ถ้าใครไม่มีวินัยในแคมป์ เขาจะตักเตือนทันทีในฐานะของกัปตันทีม 

        นอกจากเจ คงเป็นรุ่นพี่อย่างธีราทร อุ้มแสดงให้เห็นแล้วว่าเขาคือแบ็กซ้ายที่ดีที่สุดในเอเชียตอนนี้ เขานำคุณภาพมาสู่ทีม และเราก็ได้เห็นความเป็นมืออาชีพของเขา ไม่ว่าจะเป็นช่วงก่อนซ้อม ก่อนแข่ง เขามีสมาธิกับเกม ตัดทุกอย่างออกไปได้หมดเพื่อทำผลงานให้ได้ดี อีกคนที่ต้องพูดถึงคือ มุ้ย ธีรศิลป์ ผมได้ยินมาเยอะว่าเขาอายุมากแล้ว ไม่สามารถทำผลงานได้เหมือนเดิม แต่สำหรับมาโน่ นี่คือผู้เล่นที่เขารู้จักตัวตนดีคนหนึ่ง เรื่องชื่อเสียงที่ผ่านมาของเขาคงไม่ต้องพูดถึง หรือเรื่องคุณภาพการเล่นก็คงไม่ต้องพูดถึง แต่สิ่งที่เราต้องทำคือ เราใช้มุ้ยอย่างไรให้เหมาะสม ซึ่งเมื่อถึงเกมสำคัญ หรือว่าในจังหวะที่มุ้ยจะต้องสร้างความแตกต่าง เขาก็ยังทำมันได้ดีอยู่เหมือนเดิม

        อีกคนที่ถือว่าเป็นเซอร์ไพรส์มากๆ สำหรับเรา และน่าจะเป็นเซอร์ไพรส์สำหรับแฟนบอลด้วยเช่นกัน คือ กฤษดา กาแมน คนนี้ต้องให้คะแนน 9.5 เต็ม 10 คือเซอร์ไพรส์มาก ปกติเขาจะเล่นตำแหน่งกองกลางในสโมสรชลบุรี แต่โจทย์แรกที่มาโน่คุยกับเขาตั้งแต่การซ้อมวันแรกคือ เขาต้องการให้กฤษดาเล่นตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็ก เพราะกฤษดามีคุณภาพในการ build up หรือการพาบอลขึ้นเกมได้ดีมาก เขาซ้อมด้วยตำแหน่งนี้มาตลอด และสามารถทำผลงานได้อย่างเหลือเชื่อ เป็นเซ็นเตอร์แบ็กที่รูปร่างไม่ใหญ่ แต่ตัดบอลดี อ่านเกมได้ เล่นลูกโหม่งก็ไม่ธรรมดา โดดเด่นมากในทัวร์นาเมนต์นี้

        นอกจากนี้ก็ยังมีอีกหลายๆ คนที่แจ้งเกิด อย่างวีระเทพ กองกลางอีกคนที่เล่นได้ดีมาก รวมไปถึง ศุภโชค สารชาติ คนนี้ก็เด่นมากในทัวร์นาเมนต์นี้ และกลุ่มที่ทำงานแบบนักรบ คือคอยปัดกวาดเช็ดถูแผงกลางและแผงหลังให้กับทีม ไม่ว่าจะเป็นสารัช, ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ หรือแม้แต่ พิธิวัต สุขจิตธรรมกุล ก็เป็นอีกคนที่เป็นหัวใจสำคัญของทีม

ขอย้อนกลับไปยังนัดชิงชนะเลิศที่ผ่านมา กับสองนัดที่ต้องลงเล่นกับทีมชาติอินโดนีเซีย บรรยากาศภายในทีมตอนนั้นเป็นอย่างไร

        เกมแรกเราทำผลงานกันได้ดี เราเอาชนะอินโดนีเซียไปได้ 4-0 หลังจากเกมแรกผ่านไป บรรยากาศในแคมป์ทีมชาติถือว่าดีมาก ลึกๆ ทุกคนรู้ว่างานหนักที่ทำร่วมกันมาตลอดทั้งเดือน มันกำลังจะสำเร็จลงในไม่ช้า กระทั่งมาถึงนัดที่สอง จริงๆ เราคุยกันมาก่อนแล้วว่าเกมที่สองยังไงมันก็ไม่ง่ายแน่นอน เพราะเขา (อินโดฯ) ไม่มีอะไรจะเสีย ด้วยความที่เป็นบอลนัดชิง อะไรก็เกิดขึ้นได้ ซึ่งก็เป็นจริงอย่างนั้น ครึ่งแรกเขากดดันใส่เราอย่างหนัก โค้ชมาโน่พยายามย้ำกับนักเตะทุกคนว่าอย่าเสียประตูเร็ว ซึ่งปรากฏว่าโดนเร็วจริงๆ (หัวเราะ) ช่วงเวลานั้นทำให้เรารวนกันไปนิดนึง แต่โชคดีที่เรามีผู้เล่นที่มีประสบการณ์ ทั้งธีรศิลป์ ธีราทร ชนาธิป สารัช ทุกคนพยายามคุมเกมให้นิ่ง พยายามกลับเข้าสู่เกม จนสุดท้ายเราก็ทำได้ในที่สุด

เมื่อสักครู่คุณบอกว่าเป็นการทำงานหนักร่วมกัน อยากรู้ว่าตลอดหนึ่งเดือนในแคมป์ทีมชาติ มีเรื่องราวอะไรที่หนักหนาที่ผ่านมากันมาบ้าง

        นอกจากเรื่องการฝึกซ้อม ความเป็นอยู่ที่สิงคโปร์ถือว่ามีกฎระเบียบที่ค่อนข้างเข้มงวดมาก เราต้องอยู่ใน bubble ที่เขาจัดไว้ให้ นั่นคือโรงแรมที่พักเท่านั้น ตลอดหนึ่งเดือนที่อยู่ที่นั่น เราใช้ชีวิตกันอยู่แค่ 3 ที่ คือห้องนอน ห้องประชุม+ห้องอาหาร ใช้ที่เดียวกัน และสนามซ้อม มีแค่นี้เลย (ยิ้ม) ไม่สามารถออกไปไหนได้เด็ดขาด เพราะเป็นมาตรการควบคุมโควิด-19 ของเขา จะออกไปซื้อกาแฟที่ร้านก็ยังทำไม่ได้ ต้องสั่งเข้ามากินในโรงแรมเท่านั้น ส่วนเรื่องอาหาร ต้องกินอาหารฝรั่งแบบกล่อง ซึ่งแน่นอน มันก็ไม่ค่อยถูกปากคนไทยเท่าไหร่นัก เราใช้ชีวิตอยู่อย่างนั้นหนึ่งเดือน ต้องยอมรับในความเป็นมืออาชีพของนักเตะทุกคน ทุกคนทำงานหนัก และเสียสละมาก

คุณคิดว่าปัจจัยสำคัญอะไรที่ทำให้ โค้ชมาโน่ โพลกิง สามารถนำพาทีมชาติไทยชุดนี้ประสบความสำเร็จได้อย่างที่เห็น

        มาโน่เป็นคนที่เหมาะที่จะเข้ามาทำทีมชุดนี้อย่างแท้จริง เพราะเขาเป็นคนที่เข้าใจผู้เล่นทุกคน ด้วยประสบการณ์ที่เป็นโค้ชอยู่ในไทยลีกมา 8 ปี ทำให้เขาเข้าใจทุกอย่าง โดยเฉพาะ culture หรือธรรมชาติของนักเตะไทย เรื่องพวกนี้เป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แต่ว่าเป็นสิ่งสำคัญ มาโน่เข้าใจว่าคนไหนเป็นยังไง หรือคนไหนต้องทำยังไงที่จะดึงศักยภาพออกมาให้มากที่สุด ถ้าใครได้ดูทัวร์นาเมนต์นี้ทั้งหมด จะเห็นว่าการเปลี่ยนตัวผู้เล่นในเกมของเรา มันออกมาเกือบจะสมบูรณ์แบบที่สุด คือไม่ว่าจะเปลี่ยนใครลงมา ก็สามารถทำผลงานได้ดี นั่นเป็นเพราะว่า มาโน่รู้ดีว่า บุคลิกหรือศักยภาพของผู้เล่นแต่ละคนเป็นยังไง และควรจะใช้ตอนไหนให้เกิดประโยชน์สูงสุด

มาถึงคำถามที่น่าจะมีการถามกันมาแล้วนับไม่ถ้วน แต่กับความสำเร็จตรงนี้ อย่างไรเราก็คงจะต้องถาม ‘เมื่อไหร่ทีมชาติไทยจะไปบอลโลก’

        (หัวเราะ) ถ้าให้ตอบในมุมมองของผม ผมคิดว่ามันยังเป็นกระบวนการที่เราต้องทำงานหนักกันอีกพักหนึ่ง ความจริงก่อนที่เราจะไปมองถึงรายการใหญ่อย่างฟุตบอลโลก เรามองในระดับไปต่อกรกับญี่ปุ่น เกาหลีใต้ หรือทีมในตะวันออกกลางให้ได้เสียก่อน ซึ่งถามว่าต้องทำยังไง เราต้องมีการอุ่นเครื่องกับทีมที่เก่งกว่า การได้เจอทีมที่แข็งแกร่งกว่า หรือทีมที่มีอันดับในฟีฟาแรงกิงที่สูงกว่าเรา มันจะทำให้เราได้เรียนรู้ ไม่ต้องสนผลลัพธ์ว่าจะชนะ หรือแพ้ หรือเสมอ เราเก็บเกี่ยวเอาประสบการณ์มาปรับใช้ดีกว่า

        อีกเรื่องที่สำคัญคือ การพัฒนาผู้เล่นจากระดับเยาวชนขึ้นมา เราควรมีฟุตบอลลีกเยาวชนที่จริงจัง เพื่อให้เยาวชนได้พัฒนาการเล่นสูงขึ้นเรื่อยๆ พยายามทำให้มันเป็นโครงสร้าง ยกตัวอย่างประเทศญี่ปุ่น เขามีลีกเยาวชนหลายต่อหลายชุด ไล่เรียงอายุกันมาเลย ซึ่งมันช่วยให้มีตัวเลือกในผู้เล่นชุดใหญ่มากขึ้น และมีความพร้อมมากขึ้น

        เรื่องสุดท้ายที่ผมอยากให้เกิดขึ้นมากกว่านี้ คือการส่งนักเตะออกไปเล่นในลีกที่สูงขึ้น เช่น ชนาธิป ธีราทร ธีรศิลป์ หรือฐิติพันธ์ นักเตะเหล่านี้ได้ทำให้เห็นแล้วว่า การกล้าออกไปหาความท้าทายที่ยากกว่าเดิม ไม่ได้อยู่แค่ในประเทศ หรือเรียกว่าอยู่ใน comfort zone มันช่วยทำให้เขาเป็นผู้เล่นที่ดีขึ้น โอเค แรกๆ อาจจะยากลำบากหน่อย แต่สิ่งที่ได้กลับมานั้นมันส่งผลต่อตัวเขาเอง รวมไปถึงทีมชาติด้วยแน่นอน

        ตอนนี้เรามีผู้เล่นที่มีศักยภาพพร้อมที่จะออกไปลีกต่างแดนมากมาย อย่างศุภโชค วีระเทพ วรชิต หรือกฤษดา สามารถไปเล่นในลีกที่สูงกว่าได้ ขอเพียงโอกาส ซึ่งเรื่องนี้เราอาจจะต้องช่วยกัน ไม่ว่าจะเป็นสโมสรต้นสังกัด หรือผู้ใหญ่ในสมาคมฟุตบอล ผมเชื่อมั่นว่า ถ้าเขาได้ไปเล่นในลีกที่แข็งแกร่งขึ้น เขาก็จะกลับมาอย่างชนาธิปหรือธีราทร ที่กลายเป็นผู้เล่นในอีกระดับหนึ่งไปเลย ซึ่งถ้าเราช่วยกัน ทำให้ผู้เล่นรุ่นหลังๆ ไปถึงตรงนั้นได้ เราจะได้ทีมชาติไทยที่ดีขึ้น ถึงตรงนั้นเรื่องไปฟุตบอลโลกมันคงไม่ใช่แค่ความฝันอีกต่อไป

คุณเชื่อมั่นในศักยภาพนักเตะไทยแค่ไหน

        เชื่อมั่นมากๆ ผมว่าผู้เล่นไทยไม่แพ้ชาติใด ถ้าเขาได้รับการสนับสนุน รวมทั้งได้อยู่ในสภาพแวดล้อมในการฝึกซ้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาจริงๆ อย่างที่ เจ ชนาธิป หรือ อุ้ม ธีราทร ทำให้เห็นมาแล้ว การได้ซึมซับในบรรยากาศของความเป็นมืออาชีพ ได้ซ้อมกับผู้เล่นที่ดีกว่า มันช่วยทำให้เราเป็นผู้เล่นที่ดีขึ้น ส่วนตัวผมคิดว่า ผู้เล่นไทยมีเทคนิคที่ดีอยู่แล้ว เรามีความพร้อมแทบทุกอย่าง แต่สิ่งที่ไม่พร้อมคือสิ่งแวดล้อม บรรยากาศต่างๆ ในการฝึกซ้อม และสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่เขาควรจะได้รับ ทั้งหมดจะทำให้เขาพัฒนายิ่งขึ้น 

จินตนาการว่าอีก 5 ปี หรือ 10 ปีต่อจากนี้ อยากให้เส้นทางการทำงานของตัวเอง รวมทั้งการทำงานกับทีมชาติเป็นอย่างไร

        ถ้าระยะสั้นๆ ผมคงช่วยงานมาโน่ทำทีมชาติไทยต่อไป ในที่นี้คือหากมาโน่ยังได้รับโอกาสคุมทีมต่อไปนะครับ เราคงพยายามพัฒนาทีมกันไปเรื่อยๆ อย่างที่บอกไป เราต้องทำงานให้หนัก ถ้าเป็นแผนที่วางไว้ใกล้ๆ อยากพาทีมชาติไทยผ่านรอบควอลิฟายล์เข้าไปเล่นในรายการเอเชียนคัพกลางปีหน้าให้ได้ รวมทั้งทำผลงานต่อกรกับทีมในระดับเอเชียได้ดียิ่งขึ้น ส่วนในอีก 10 ปีข้างหน้า ถ้าจะมองฝันไปขนาดนั้น หวังว่าเราจะได้ไปฟุตบอลโลก ต้องตั้งเป้าหมายอย่างนั้นไว้ เพราะมันเป็นเป้าหมายที่เราควรจะมี (ยิ้ม)

ปิดท้ายกับความรู้สึกในการเป็นส่วนหนึ่งของการคว้าแชมป์ซูซูกิ คัพ 2020 ของทีมชาติไทยครั้งนี้

        แน่นอน มันเป็นความประทับใจมากๆ มันเป็นงานหนักตลอดทั้งเดือนที่เรากว่า 50 ชีวิต ทั้งนักเตะ ผู้จัดการทีม สตาฟฟ์โค้ช และทีมงานที่เกี่ยวข้อง ต่างลงทุนลงแรงร่วมกัน ที่สำคัญคือ เรามีเป้าหมายเดียวกัน ถ้าเราไม่มีเป้าหมายเดียวกัน เราไม่มีทางทำได้สำเร็จ เพราะฟุตบอลเล่นกันเป็นทีม ถ้ามีใครไม่เชื่อในแนวทางที่เราทำ หรือไม่สามารถเดินไปพร้อมๆ กันได้ มันจะไม่มีทางสำเร็จแน่นอน ซึ่งต้องชื่นชมทุกคนที่อยู่ที่นั่น ตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้าย เรามีเป้าหมายเดียวกัน เราช่วยกันทำให้มันเป็นความสำเร็จของคนไทยทั้งประเทศ เป็นสิ่งที่คนไทยทั้งประเทศภูมิใจ และจดจำกับความสำเร็จครั้งนี้

ถ้าให้คะแนนเต็มสิบ คุณจะให้คะแนนการทำงานครั้งนี้เท่าไหร่

        ผมให้ 9 คะแนน ที่ให้ 9 เพราะอยากทำนัดสุดท้ายให้ดีกว่านี้ เราเสียไปสองประตูในนัดสุดท้าย แต่ก็เข้าใจว่านี่คือฟุตบอล อะไรมันก็เกิดขึ้นได้ ไว้ครั้งหน้าเราจะทำให้ดีกว่านี้ เราสัญญา (ยิ้ม)


เรื่อง: สันทัด โพธิสา | ภาพ: สันติพงษ์ จูเจริญ