“เราสมควรที่จะมีความสุข
เพราะนั่นคือสิ่งที่เราควรได้รับ
ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเล็กหรือใหญ่
มันก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี”
-นายทัศณุ ลมุนทรัพย์
หลายสัปดาห์ก่อน ผมได้พบการเปลี่ยนแปลงที่เป็นอีกหนึ่งบทเรียนของชีวิต นั่นคือบทเรียนที่ว่าด้วยเรื่องของการจากลา สำหรับผมการจากลามีอยู่ 2 อย่าง คือการจากเป็นและการจากไป เชื่อว่าเรื่องนี้ทุกคนต่างเข้าใจกันดี เพราะเป็นเรื่องจริงของชีวิตที่ไม่อาจหลีกหนีหรือเลี่ยงการเผชิญได้
การจากลาแบบที่เรายังรู้ตัวนั้นไม่ต่างกับการที่เราต้องบอกลาความสัมพันธ์กับใครสักคนทั้งๆ ที่เรายังรักเขาอยู่ แม้รู้ดีว่าหากยังคงทนฝืนคบกันต่อไป ไม่เพียงแต่จะเป็นเรื่องยากลำบากในการประคับประคองความสัมพันธ์ แต่มันยังค่อยๆ กัดเซาะหัวใจของคนสองคนให้เป็นแผลลุกลาม จนท้ายที่สุดแม้แต่เวลาก็ไม่อาจรักษาเยียวยาความเจ็บปวดที่เรื้อรังนี้ได้
คำถามคือ เมื่อไหร่หรือตอนไหนที่เราจะสามารถกล่าวคำว่า ‘ลาก่อน’ ออกไปได้ เพราะไม่ว่าจะพูดคำนี้ออกไปตอนไหน ความรู้สึกของการจากลานั้นคงไม่ได้ต่างกัน มันทิ่มแทงและสร้างความปวดร้าวอยู่เสมอ แม้ว่าเราจะเตรียมตัวมาดีแค่ไหนก็ตาม
ระหว่างทางผมได้เรียนรู้และเก็บเกี่ยวคุณค่าจากการพังทลายของความผูกพัน นั่นคือการให้อภัยซึ่งกันและกัน รวมถึงการกล่าวคำขอบคุณสำหรับทุกเรื่องที่เกิดในชีวิตของเรา
แต่การจากลาที่กำลังพูดถึงนี้ เป็นเรื่องของคนใกล้ตัวที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับผมมานาน เขาได้มอบสมุดเล่มหนึ่งให้ผม ข้างในนั้นมีภาพประกอบที่เล่าเรื่องราวของเราทั้งคู่ที่ได้ทำงานด้วยกันมา ตั้งแต่วันที่พบกันแรกๆ จนเรื่องราวในช่วงท้าย
สิ่งที่น่าสนใจของสมุดเล่มนี้ คือข้อความที่ได้บรรยายเอาไว้ บางประโยคก็เล่าถึงสถานที่ เรื่องราว และความรู้สึก แต่ข้อความที่สะดุดใจผมที่สุดคือ “เราสมควรที่จะมีความสุข เพราะนั่นคือสิ่งที่เราควรได้รับ”
ใช่ – เราสมควรที่จะมีความสุข เพราะนั่นคือสิทธิที่เรามีติดตัวมาตั้งแต่เกิด ไม่ต้องรอให้ใครมาอนุมัติ ไม่ต้องรอวัยที่เหมาะสม
ทุกวันนี้เราอยู่ในยุคที่โลกเชื่อมต่อกันแค่ปลายนิ้ว โลกที่ผันผวนไปตามกาลเวลา ความเป็นใหญ่เริ่มวัดกันด้วยอำนาจและเงินตรา จนบางทีก็เผลอดคิดไปว่าหากไม่มีสองอย่างนั้นก็คงไม่มีความสุข ทั้งๆ ที่ความสุขนั้นหาได้ง่ายมาก แต่หลายคนก็กลับมองไม่เห็น เพราะไปยึดติดและเอาความรู้สึกตัวเองไปผูกมัดไว้กับตรงที่ไหนสักแห่งจนไกลตัว และต้องออกวิ่งตามหา
การได้อ่านสมุดเล่มนี้ทำให้ผมกลับมาถามตัวเองว่า เราปลดปล่อยตัวเองให้เจอกับความสุขจริงๆ แล้วหรือยัง ถ้ายัง… ก็ควรจะเริ่มได้แล้วตั้งแต่วันนี้ไม่ใช่พรุ่งนี้ และเริ่มจากตัวเองไม่ใช่การไปผูกมัดกับใครหรือสิ่งใด
ถ้าเปรียบความสุขเหมือนกับแสงสว่าง ผมหลงรักประกายเปล่งปลั่งแห่งชีวิตนี้ และเชื่อว่าเราสามารถกระจายความอิ่มเอมใจนี้ให้กับคนรอบตัวได้ เหมือนแสงที่สว่างขึ้นมากลางความมืดมิด ที่ให้ทั้งความอบอุ่นและเป็นที่พักพิงใจ
หากแสงนั้นสำคัญต่อมนุษย์ฉันใด ความสุขก็สำคัญกับชีวิตเท่าๆ กัน
สิ่งที่ผู้เขียนได้ฝากทิ้งไว้ให้ผม คือสารสำคัญที่อยากให้ผมส่งต่อให้ใครสักคนในวันที่เหมาะสม สิ่งที่ผู้จากไปต้องการบอกคือ ในวันที่ชีวิตเราเป็นเหมือนนาฬิกาทรายที่จำนวนทรายในขวดแก้วค่อยๆ ไหลหมดลงไปทุกวินาที เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่านาฬิกาทรายขวดนี้มีขนาดและเวลาเท่าไหร่ เป็นปริศนาที่เราคงหาคำตอบไม่ได้จนกว่าจะถึงวันที่ทรายเม็ดสุดท้ายตกลงไป แต่สิ่งที่ต้องตอบตัวเองให้ได้ในตอนนี้คือ เรามีความสุขกับชีวิตของเราจริงๆ แล้วหรือยัง
คุณไม่ต้องตอบคำถามนี้กับผม แต่ขอแค่ตอบตัวเองให้ได้ก็พอ
ขออุทิศเรื่องทั้งหมดนี้แด่ นายทัศณุ ลมุนทรัพย์ ผู้ที่อยู่เคียงข้างกับผมมาในทุกเส้นทางเดินชีวิต ขอให้หลับสบายบนฟากฟ้า …จนกว่าจะได้พบกันใหม่
ด้วยรักและเคารพ
จาก. จินดาโชติ
(หมาป่าสีดำ)
บรรณาธิการอำนวยการ
a day BULLETIN