บี พีระพัฒน์

การหยดกำลังใจให้ตัวเองทีละนิดของ บี พีระพัฒน์ ให้ชีวิตลุกขึ้นมาสู้ได้ใหม่อีกครั้ง

เกือบสองปีที่ชีวิตของใครหลายคนเปลี่ยนแปลงไป ทั้งด้านสภาพแวดล้อมของตัวเองและความสัมพันธ์ คนที่คุ้นหน้าคุ้นตาเคยพบปะพูดคุยกันบ่อยๆ ก็ห่างหายไปตามการเว้นระยะห่างทางสังคม คอนเสิร์ตที่เคยได้ไปบ่อยๆ หนังที่ต้องดูตั้งแต่วันแรกที่เข้าฉาย กลิ่นหอมของร้านกาแฟโปรดที่ต้องแวะทุกเช้าของวันทำงาน ความคุ้นเคยเหล่านี้กลายเป็นเพียงภาพในความทรงจำที่ได้แต่รอว่าจะกลับมาให้สัมผัสโดยเร็ว

        แม้จะฟังดูเศร้าไปสักหน่อย แต่ก็ยังมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้น นั่นคือบรรยากาศของการปลดล็อกดาวน์ให้ผู้คนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตปกติกันอีกครั้ง จึงเป็นโอกาสดีให้เราชวน ‘บี’ – พีระพัฒน์ เถรว่อง ออกมาพบเจอ และพูดคุยถึงเรื่องราวของเขาในห้วงเวลาที่ผ่านมา รวมถึงเพลงล่าสุดในฐานะศิลปินอิสระ แดดเที่ยงกลางทะเลทรายในโมงยามของตอนบ่ายแก่ๆ ช่วงวันกลางสัปดาห์

บี พีระพัฒน์

1

        เขาก้าวเข้ามาในร้านด้วยท่าทางทะมัดทะแมงแบบที่คุ้นเคย สวมแจ็กเก็ตสีดำ ใส่รองเท้าผ้าใบสีขาวดูกระฉับกระเฉง อาจเป็นเพราะว่ากรุงเทพฯ เพิ่งปลดล็อกดาวน์มาได้ไม่นาน หลายเดือนที่ผ่านมาทำให้เราต่างใช้ชีวิตอยู่แต่ในบ้านจนเบื่อ พอได้ออกมาเจอบรรยากาศข้างนอกความคึกคักก็ส่งผ่านออกมาจากใบหน้าที่สดใสของเขาได้อย่างชัดเจน

        เรากล่าวทักทายและถามไถ่ว่าเขาสั่งกาแฟอะไรไป เพราะรู้ว่า บี พีระพัฒน์ นอกจากจะเป็นนักร้องเสียงทรงพลังที่หาใครเทียบเคียงได้ยากแล้ว ยังเป็นคอกาแฟตัวยงด้วย เราจึงตื่นเต้นที่จะได้รู้ว่าวันนี้เขาจะเลือกสั่งเมล็ดกาแฟจากที่ไหนมาดื่ม

        คำตอบนั้นส่งออกมาผ่านรอยยิ้มและเสียงที่นุ่มทุ้มของเขา นั่นคือกาแฟจาก Honduras ที่มีรสเปรี้ยวสดชื่น และกลิ่นหอมที่ให้ความมีชีวิตชีวาของผลไม้โซนทรอปิคอลอย่างสับปะรดและมะละกอที่ให้รสหวานติดปลายลิ้น ซึ่งคงไม่ต่างกับชีวิตของเขาช่วงที่ผ่านมา แม้จะไม่ได้เล่นคอนเสิร์ตแต่เขาก็คงไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรเท่าไหร่ เพราะดูจากสีหน้าของเขาก็ดูดีมีความสุขเหมือนคนที่นอนหลับอบ่างเต็มอิ่มและตื่นเช้ามาจิบกาแฟแก้วโปรดในทุกวัน

        แต่ที่เราคิดไว้นั้นผิดทั้งหมด เพราะเขาบอกว่าช่วงเวลาเกือบสองปีที่ผ่านมา ทำให้เราจมดิ่งกับความทุกข์จนหลายครั้งแทบทนไม่ไหว

        “ช่วงแรกๆ ผมก็ยังไม่คิดอะไรมากเพราะเชื่อว่าไม่นานเดี๋ยวโรคระบาดก็ผ่านไปเขาย้อนให้ฟังถึงช่วงต้นปี 2020 ที่เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เข้ามาในประเทศไทย ตอนนั้นทุกอย่างเป็นเรื่องใหม่ และก็คิดแบบคนส่วนใหญ่ว่าเวลาผ่านไปไม่นาน ทุกอย่างก็กลับมาเหมือนเดิม

        “แต่มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเขาถอนหายใจ

        “แรกๆ ผมก็คิดว่าได้พักบ้างก็ดีนะ เพราะตัวเองเล่นคอนเสิร์ตแทบทุกวัน แต่พอสถานการณ์ไม่ดีขึ้น ผมก็ยิ่งรู้สึกแย่ลงทีละนิด เพราะยอมรับว่าตัวเองเป็นคนเสพติดความสุข ผมติดภาพของการได้ออกไปร้องเพลงแล้วเห็นคนดูอยู่ในบรรยากาศของความสุข มีคนอินกับเพลงที่ผมร้อง มีคนกินดื่มสังสรรค์ มีคนร้องไห้กับเพลง ดินแดนแห่งความรักที่ผมร้อง แล้วเขาเข้ามาโอบกอดผมด้วยความซาบซึ้ง ผมยอมรับว่าตัวเองอยู่กับความสุขแบบนี้มาเป็นยี่สิบปี จากที่เคยตื่นเต้นทุกครั้งที่รู้ว่าแต่ละวันจะได้ไปพบเจอกับเหตุการณ์แบบนี้ กลายเป็นว่าเราไม่รู้เลยว่าจะได้กลับมาเจอกับความรู้สึกแบบที่ว่านั้นอีกทีเมื่อไหร่

        ไม่เพียงแค่การได้ออกมาพบเจอผู้คนที่ต้องหยุดไปอย่างไม่มีกำหนด สิ่งหนึ่งที่เขาเคยคิดว่าเป็นสมบัติติดตัวที่มีค่าของเขา และไม่มีวันที่ใครจะเอาไปได้คือการร้องเพลงที่เป็นเหมือนพรสวรรค์ก็ถูกช่วงชิงไปด้วย เขากลายเป็นคนที่อยู่กับบ้านไปวันๆ เพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะทำอะไรต่อไป

บี พีระพัฒน์

2

        ความทุกข์ค่อยๆ หยดใส่เขาทีละนิดจนไหลรวมตัวเป็นปริมาณที่เกินต้านทานไหว เกิดเป็นความรู้สึกขื่นขมที่พาเขาจมดิ่งลงไปสู่ห้วงของความทุกข์ที่ดำมืดในใจลงทุกวัน

        “ตอนนั้นผมกลายเป็นคนที่มองทุกอย่างในแง่ลบไปหมดเลย ผมเริ่มโพสต์ข้อความที่เป็นแง่ลบลงโซเชียลเน็ตเวิร์ก เสพแต่ข่าวที่อ่านแล้วก็หดหู่ นั่งหมดอาลัยตายอยากไปวันๆ ซึ่งตรงนี้อาจจะมีคนบอกว่าแค่นี้เองไม่เห็นต้องหนักใจเลย ผมก็ยังมีรถขับ มีข้าวกิน แต่เราอาจจะลืมนึกไปว่า คำว่าความทุกข์ของแต่ละคนไม่เท่ากัน ทุกข์ของผมอาจจะดูเป็นเรื่องเล็กสำหรับคุณ ก็เหมือนที่ความทุกข์ของคุณ หากเป็นคนอื่นก็อาจจะมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยเหมือนกันก็ได้

        ความน่ากลัวของปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรากำลังเผชิญกับอะไร เพราะถ้ารู้ว่าสิ่งนั้นจะสามารถจัดการหรือแก้ไขหาทางออกได้ แม้จะยากเย็นหรือต้องฝ่าฟันอย่างหนักหน่วง สุดท้ายเราก็จะรู้ว่ายังมีทางออกให้ไปต่อ แต่กับสถานการณ์ที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ สำหรับคนที่หาเลี้ยงตัวเองด้วยการเล่นคอนเสิร์ตนั้น เรียกว่ายังแทบไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เลย นั่นจึงไม่แปลกที่เราจะถูกความทุกข์ค่อยๆ กัดเซาะจนร่างกายผ่ายผอมและมีชีวิตแค่อยู่ไปวันๆ

        “ตอนนั้นผมกินข้าวไม่ลงเลย หรือกินแค่เพื่ออยู่ไปวันๆ เพราะรู้สึกคุณค่าในตัวเองนั้นไม่มีเหลืออีกแล้ว

3

        แต่แล้วสิ่งที่เข้ามาเป็นเหมือนแผ่นกรองให้ความทุกข์นั้นออกไปจากใจของเขาก็มาจากคนใกล้ตัวนั่นคือ ฬินา ลีนุตพงษ์ ภรรยาผู้ที่อยู่เคียงข้างกันนั่นเอง

        “ผมกลายเป็นเหมือนคนแก่ที่ขี้บ่น บ่นเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเสียทุกเรื่องเขาย้อนเล่าถึงช่วงสุดท้ายของการลงไปสู่ด้านมืดที่ลึกที่สุดของความทุกข์ในใจ และอาการเจ็บป่วยทางร่างกายที่เป็นผลกระทบจากชีวิตที่เศร้าหมองในตอนนั้น

        “จนกระทั่งผมเห็นภรรยาลุกขึ้นมาเปิดร้านขายของออนไลน์ เขาก็ทำนั่นทำนี่ของเขาไปเรื่อยๆ ทุกวัน ตอนนั้นผมก็ยังเป็นตาแก่ขี้บ่นอยู่นะเขาเล่าพร้อมกับหัวเราะออกมา

        “แต่ภรรยาก็ไม่เคยบ่นอะไรผมกลับ เขาก็ทำงานของเขาต่อไป จนเขาทำให้ผมเห็นว่า ทำไมเราไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง ดีกว่าปล่อยให้ตัวเองอยู่ไปวันๆ พอผมคิดได้ก็เริ่มหาอะไรทำให้ตัวเองไม่ต้องว่างแล้วก็ฟุ้งซ่าน

        ซึ่งสิ่งที่เขาทำนั่นคือ งานเพลงของตัวเองที่เคยทำเก็บเอาไว้ในสต็อก เหตุผลก่อนหน้านี้ที่เขาไม่เคยหยิบงานเพลงขึ้นมาสานต่อ เพราะเขาบอกว่าตัวเองเป็นคนไม่ชอบการผลิตผลงาน แต่เป็นคนที่ชอบออกไปแสดงคอนเสิร์ตหรือได้ร้องเพลงให้คนฟังมากกว่า

บี พีระพัฒน์

        แต่ในเมื่อชีวิตถูกข้อจำกัดให้ต้องหยุดสิ่งที่อยากทำเอาไว้ เขาจึงเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเอง และหันมาจริงจังกับงานด้านการผลิตคอนเทนต์ลงทางยูทูบ รวมทั้งการทำเพลงใหม่ของตัวเอง ตลอดจนจัดการแสดงคอนเสิร์ตผ่าน Live ทางเฟซบุ๊ก แม้จะให้ความรู้สึกไม่ได้เหมือนกับการเจอหน้าค่าตาคนฟังเพลงจริงๆ แต่สิ่งที่เขาได้รับกลับมาคือเสียงตอบรับของแฟนเพลงที่เคยหายไป

        “ยอดไลก์ ยอดวิวที่ผมได้รับกลับมา แม้จะไม่สามารถสร้างเป็นรายได้ที่เอาไว้สำหรับเลี้ยงชีพได้ แต่สิ่งเหล่านั้นคือรางวัลที่ช่วยกอบกู้จิตใจของผมให้ดีขึ้นอีกครั้ง

        ใช่-มันชุ่มชื่นใจเหมือนกาแฟดริปที่ผ่านการหยดสกัดจากน้ำที่ร้อนในอุณหภูมิพอเหมาะกับเวลาในการไหลซึมผ่านกระดาษกรองที่สอดคล้องกัน จนได้กาแฟสีน้ำตาลที่ไม่เข้มแต่ก็ไม่ใสจนเกินไป และให้ความรู้สึกสดชื่นในทุกครั้งที่ยกขึ้นจิบ

4

        ‘แดดเที่ยงกลางทะเลทรายจึงเป็นเพลงแรกในฐานะศิลปินอิสระและการลุกขึ้นมาทำงานเพลงอีกครั้ง เพื่อมอบให้กับแฟนเพลงได้ฟังหลังจากที่เขาหายไปสักพักใหญ่ๆ โดยเพลงนี้แต่งเนื้อร้องโดยภรรยาของเขาเอง และเป็นหมุดหมายของการเริ่มต้นใหม่สำหรับเขาด้วย เพราะหลังจากนี้เขาจะเริ่มทยอยปล่อยเพลงที่เคยทำเก็บไว้ออกมา แม้จะเหนื่อยเพราะต้องทำเองในทุกส่วน แต่ก็เขาก็พบว่าตัวเองสนุกไปกับสิ่งที่ทำ และภูมิใจกับการที่เขาจะได้เป็นเจ้าของเพลงของตัวเองอย่างเต็มตัวด้วย

        “ผมตั้งใจว่าต่อไปนี้ บี พีระพัฒน์ จะเป็นศิลปินอิสระตลอดชีวิตเขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

        แต่การมีค่ายก็ช่วยเราได้ในหลายอย่าง และสำหรับคนที่ชอบร้องเพลงมากกว่าทำเพลงก็น่าจะเหมาะกับเขากว่าไม่ใช่เหรอ เรานั่งทำหน้างงสักพัก และลองถามเขาไปตรงๆ

        “ผมอยากยืนด้วยขาของตัวเองให้ได้เขาตอบก่อนจะนิ่งคิดอะไรอยู่สักพัก แล้วกล่าวเสริมออกมา

        “ผมต้องการให้ทุกอย่างเป็นของเราโดยสมบูรณ์แบบ ทั้งเรื่องลิขสิทธิ์เพลง มิวสิกวิดีโอ เพราะผมเคยเจอกับเรื่องลิขสิทธิ์เพลงมาตลอด จนกลายเป็นความเจ็บใจ บางเพลงผมเป็นคนแต่งแท้ๆ ตอนแต่งเพลงได้เงินมาหกพันบาท แต่ตอนเอาไปร้องต้องเสียเงินให้เขาสี่หมื่นบาท ผมไม่อยากจะร้องเพลงของตัวเองแล้วต้องไปขออนุญาตค่ายเพลงอีกแล้ว

        นั่นก็เป็นอีกรสชาติที่ขื่นขมที่เกิดขึ้นในชีวิตของศิลปินเพลงคนนี้

บี พีระพัฒน์

5

        จากวันที่รู้สึกพ่ายแพ้และล้มลง สู่วันที่กลับมาย้อนมองตัวเองแล้วลุกขึ้นได้ใหม่ จึงกลายเป็น บี พีรพัฒน์ คนที่อยู่ตรงหน้าเราที่เต็มไปด้วยความสดใส และแววตาที่กลับมาเป็นประกายอีกครั้ง ยิ่งหากมานั่งคุยกับเขาในร้านกาแฟที่มีบาริสตารอบรู้เรื่องกาแฟด้วย การสนทนาของเราก็เคล้าคลอไปด้วยกลิ่นหอมของเมล็ดกาแฟหลายพันธุ์ที่บาริสต้าแวะเวียนเอามาให้ดมและชิม โดยที่ตัวเขาก็แลกเปลี่ยนความรู้กับนักชงกาแฟอย่างสนุกสนาน ส่วนเราที่นั่งมองอยู่ห่างๆ ก็พลอยมีความสุขไปด้วย

        เราทั้งคู่ใช้เวลาอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์ชงกาแฟนานเกือบชั่วโมง พร้อมกาแฟที่แบ่งกันชิมและแลกเปลี่ยนความรู้สึก ประสบการณ์ในการจิบกาแฟดริปจนใจเต้นคึกคัก อาจจะเป็นเพราะกาเฟอีนที่ช่วยกระตุ้นให้ระบบประสาทตื่นตัวส่วนหนึ่ง แต่สิ่งที่เป็นสารแห่งความสุขหลักนั่นมาจากการได้ฟังบทเรียนที่ทำให้เราเอาไว้สอนตัวเองในวันที่ท้อแท้ได้ด้วย

        “ชีวิตของคนอย่างผมเป็นชีวิตที่อยู่บนความหลอกลวงอยู่แล้ว หลอกลวงในที่นี้หมายถึงไม่มีใครที่จะมีความสุขได้ตลอดเวลา แต่ผมดันไปมีชีวิตที่อยู่กับความสุขของผู้คน มีหน้าที่ในการให้ความสุขกับผู้คน ดังนั้น ผมก็อยากได้ความสุข ผมไม่สามารถเห็นว่าชีวิตหลังจากที่คนมาดูเรา พอเขากลับไปที่บ้านแล้วเขาจะเจอกับเรื่องอะไร ต้องสู้กับเรื่องที่ทุกข์ใจแค่ไหน แต่ทุกคนที่มาดูผม เพราะอยากมีความสุขจากเพลงที่ผมร้อง ดังนั้น ผมเหมือนอยู่ในความหลอกลวง ทำให้ตัวเองมีภูมิรับความทุกข์ต่ำกว่าคนอื่น พอเจอความทุกข์ประเดประดังเข้ามาก็ร่วงเลย เพราะชีวิตผมอยู่กับเรื่องแบบนี้มาตลอด ก็เลยไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมก่อนหน้านั้นตัวเองถึงได้จมทุกข์ จนมาเข้าใจได้ว่าผมถูกหล่อหลอมมาจากสิ่งเหล่านี้นั่นเอง

        นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมวันนี้เขาจึงไม่กังวลกับเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น เพราะเชื่อว่าอย่างไรก็ตาม เรื่องราวต่างๆ จะดีขึ้นกว่าที่ผ่านมาแน่นอน เพราะเขาเคยอยู่ในสภาวะที่ไม่มีความหวังอะไรเลยมาแล้ว ชีวิตวนเวียนอยู่แต่กับคำถามว่าเมื่อไหร่จะเปิดให้ออกมาเล่นคอนเสิร์ตได้วนซ้ำไปซ้ำมา

        “แต่ตอนนี้พวกเรานักดนตรีเริ่มมีความหวังกันบ้างแล้วเขาพูดด้วยสายตาที่เป็นประกายอีกครั้ง เพราะล่าสุดเขาได้รับข่าวดีว่าอาจจะสามารถกลับมาเล่นคอนเสิร์ตได้อีกครั้งในช่วงเดือนธันวาคม

        ก็ไม่ผิดที่จะมีความหวัง แต่หากไม่เผื่อใจคิดถึงแง่มุมที่ผิดหวังไว้บ้าง สมมติว่าเหตุการณ์เกิดพลิกผันขึ้นมาอีก คุณจะไม่เจ็บปวดใจไปกว่านี้อีกเหรอ-เราถามอย่างเป็นห่วง

        เขายิ้มให้เหมือนคนที่ไร้สิ้นซึ่งความกลัวอีกต่อไป

บี พีระพัฒน์

        “ผมเป็นคนที่คิดอะไรที่ดีที่สุดและเลวร้ายที่สุดอยู่แล้ว แต่ผมจะกลับมาตั้งต้นที่การถามตัวเองว่า แล้วเราอยากให้มันเป็นอย่างไร เราต้องมีชีวิตอยู่บนความเชื่อด้วย เราจะใช้ชีวิตอยู่กับความหวาดกลัวอย่างเดียวไม่ได้ เมื่อเราเชื่อให้อยากเป็นอย่างนั้น ก็ถามตัวเองว่าเรามีหน้าที่ทำอะไรให้เกิดสิ่งนั้นได้บ้าง แล้วก็ลงมือทำเราพยักหน้าตามอย่างเข้าใจ

        “เรื่องที่ควบคุมไม่ได้กังวลไปก็เท่านั้น สุดท้ายแล้วเราก็จะจิตตก และทนทุกข์กับมัน สุดท้ายก็จะเป็นอย่างที่ผมเคยเป็น

        เราทั้งสองขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนที่ท้อแท้อยู่ในตอนนี้


ขอบคุณร้าน NOC Coffee Co. Thailand ซอยสุขใจ (ระหว่างซอยสุขุมวิท 40 และสุขุมวิท 42) เอื้อเฟื้อสถานที่