Greasy Cafe

สนทนาเคล้าคลอกาแฟดำกับ ‘เล็ก Greasy Cafe’ ในเรื่องราวที่ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ

เวลาบ่ายที่เงียบสงบบนเกาะสมุย เรามีนัดคุยกับชายผู้ใช้บทเพลงอันลุ่มลึก สะท้อนร้องบอกสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในใจของตัวเองมากว่า 10 ปี แม้ช่วงหลังนี้เขาจะหายหน้าหายตาไปบ้าง แต่หากพูดถึง ‘เล็ก’ – อภิชัย ตระกูลเผด็จไกร หลายคนคงร้องอ๋อกันขึ้นมาทันที เพราะเขาคือศิลปินในชื่อ Greasy Cafe ที่มีบทเพลงและเสียงกีตาร์กระแทกกระทั้นราวกับต้องการระเบิดความรู้สึกบางอย่างในใจออกมาให้เป็นอิสระ

Greasy Cafe 

1

        เราทักทายเขาคนนี้ด้วยการถามไถ่ถึงทุกข์สุขของชีวิตในตอนนี้รวมทั้งพูดคุยย้อนความหลังกันเล็กน้อย เนื่องจากเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องในรั้วโรงเรียนเดียวกันมาก่อน บรรยากาศนั้นมีทั้งความสุขในการหวนรำลึกความทรงจำ ความเศร้าในการจากลาของสรรพสิ่ง และความขมขื่นของชีวิตกับผ่านการมองเห็นความเป็นไปที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลกและประเทศไทย 

        เขากล่าวก่อนนึกย้อนกลับไปในช่วงสองปีที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาหกร้อยกว่าวันที่มีอะไรมากมายเกิดขึ้น จนเกิดเป็น ‘อิสรภาพ…ไม่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ’ เพลงที่กลั่นมาจากความรู้สึกอัดอั้นของตัวเอง จนกลายเป็นงานดนตรีที่เข้มข้นไม่แพ้กาแฟดำในมือของเขา

        “เมื่อก่อนเราชอบดื่มลาเต้ แต่ต่อมาเรารู้สึกว่ากาแฟใส่นมนั้นไม่ค่อยดีกับร่างกายเราแล้ว เลยเปลี่ยนมาดื่มกาแฟดำแทน” หนึ่งคำบอกเล่าผ่านหนึ่งจิบที่ชายคนนี้ยกขึ้นมา

2

        เพลงของ Greasy Cafe ไม่ได้มีเสน่ห์เสียงร้องที่แหบพร่าเข้ากันดีกับเสียงกีตาร์ดิบๆ  แต่มันได้ส่งสารบางอย่างถึงคนฟังผ่านทางความคิดของตัวศิลปิน ซึ่งเป็นทั้งการตกผลึกทางความคิด รวมถึงสิ่งต่างๆ รอบตัวที่เขาได้พบและทำความรู้สึกกับมัน

Greasy Cafe

        “สิ่งที่เกิดขึ้นช่วงที่ผ่านมาสร้างความสะเทือนใจจนเรารู้สึกแย่มาก จนต้องแต่งเพลงออกมาเพื่อตะโกน เพราะเรารู้สึกสะเทือนใจมากเวลาที่เห็นการกระทำที่เกิดคำถามว่าทำไมมนุษย์ทำกับมนุษย์ได้ จนเป็นแรงกระทืบในใจให้ตัวเองรู้สึกไม่ดี เราไม่ได้คิดว่าจะทำเพลง อิสรภาพ…ไม่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ออกมาเพื่อสอนใคร”

        กาแฟดำถูกยกขึ้นมาอีกหนึ่งจิบ พร้อมกับสายลมในเกาะสมุยที่โชยอ่อนแต่มีกำลังแรงพอที่จะทำให้เส้นผมที่ยาวสลวยของเขาขยับไปมาเล็กน้อย 

3

        ใช่–งานศิลปะไม่ควรถูกตีกรอบหรือจำกัดความใดความหนึ่งว่าต้องสื่อสารเรื่องอะไร ดังเช่นผู้กำกับภาพยนตร์ที่ยินดีมากเมื่อได้รู้ว่าหนังของเขาถูกผู้ชมนำไปตีความหลากหลายอย่าง งานเพลงของ เล็ก Greasy Cafe เองก็ทำหน้าที่ในแบบนั้นเหมือนกัน ซึ่งก่อนที่เขาจะยกแก้วขึ้นมาจิบ เราถามไปว่าเพลงล่าสุดของเขาใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะกลั่นออกมาเป็นเนื้อหาที่โดนใจคนฟังตอนนี้ 

        แน่นอนคำตอบนั้นไม่ต่างกับมีเกลันเจโล ศิลปินชื่อก้องโลก ที่เพียงมองแท่งหินอ่อนก็ล่วงรู้ได้ว่างานประติมากรรมนั้นจะถูกสกัดออกมาเป็นรูปแบบไหน 

Greasy Cafe

        “บางเพลงก็ต้องเก็บไว้สักพักหลังแต่งเสร็จ แต่กลับบางเรื่องมันชัดเจนในคตวามรู้สึกเรามาก จนถึงขั้นจับปากกาขึ้นมาแล้วเขียนจนเสร็จในเวลาไม่นาน” เขากล่าวก่อนจะยกกาแฟขึ้นมาจิบเป็นครั้งที่สาม ว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนเก่ง แต่เรื่องราวที่เจอมามันชัดเจนต่อความรู้สึกของเขา เหมือนกับที่เราดื่มกาแฟคั่วเข้มก็บอกได้ว่ามันมีรสชาติขมที่ปลายลิ้น

        แต่ใช่ว่าชีวิตจะมีแต่เรื่องหมองหม่นไปเสียทุกอย่าง เพราะแม้แต่กาแฟดำในมือของเขาในบางครั้งก็มีการเติมความหวานจากน้ำตาลลงไปบ้างในบางวัน เปรียบดังชีวิตที่เงียบสงบในวันนี้บนเกาะสมุย แม้เจ้าตัวจะบอกว่าเป็นคนที่ชอบอยู่บ้านมากกว่าออกไปตะลอนที่ไหน แต่หากเป็นการเดินทางเพื่อไปเล่นดนตรี เขาก็ยอมรับว่าโหยหาและคิดถึงการเล่นคอนเสิร์ตต่อหน้าคนดูอย่างสุดหัวใจ แต่ความสุขที่ชัดเจนสำหรับเขาตอนนี้ที่สุดคงเป็นเรื่องความสัมพันธ์ที่ชายคนนี้แอบยิ้มกริ่มหลังพูดจบ

        “เราว่าตอนนี้ตัวเองมีความรักที่ดีมากๆ เรื่องราวก่อนหน้านี้ผ่านมาก็ผ่านไป แต่สิ่งที่มีอยู่ตอนนี้ทำให้เรามีความสุข ได้อยู่กับคนรัก ได้มีอิสระในงานที่ทำได้ทำงานที่ตัวเองรัก ได้ถ่ายรูปถึงแม้ว่าบางรูปจะไม่มีความหมายอะไรในนั้น แต่นั่นคือความสุขในแต่ละวินาทีที่ได้กดชัตเตอร์ ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย และไม่คิดร้ายกับใคร ไม่ต้องมากังวลกับผลอะไรที่จะตามมา” 

4

        เวลาล่วงเลยมาจนบ่ายคล้อย แต่แววตาของเขากลับมีแววตาของความสุขเปล่งประกายออกมา นั่นคงเป็นเพราะความสุขที่เขาเล่าให้ฟังก่อนหน้าทำให้ชีวิตในวันนี้ ‘อาจจะเหน็บหนาว มืดมิดจนปวดร้าว แต่อีกไม่นานจะผ่านในทางที่เดินร่วมไป’ ดังเพลงที่เขาเขียน แต่เราก็อดสงสัยไม่ได้ว่าในเมื่อเพลงส่วนใหญ่ของ Greasy Cafe จะเป็นในโทนที่หม่นเทา เจ็บปวด บาดลึก และยอมรับความเป็นไปชีวิตอย่างจำนน แต่ในเมื่อวันนี้เขาเองพบความสุขของชีวิตแล้ว ผลงานหลังจากนี้จะมีรสชาติที่เปลี่ยนไปแบบไหนหรืออย่างไร 

Greasy Cafe

        เขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดีแล้วบอกว่ามนุษย์ยังไงก็ไม่มีทางสุขได้เสมอไป และก็ไม่สามารถจมดิ่งกับความเศร้าได้ตลอดเวลา ขอแค่เราไม่ไปขังความรู้สึกของตัวเองไว้จนขาดอิสรภาพ ซึ่งวิธีของเขาคือการเขียนเพลง 

        “เราจะพยายามเอาสิ่งที่อัดอั้นออกมาแล้วทำให้เป็นเพลงให้ได้ เอาพลังที่เป็นขั้วลบที่สุดในใจเราให้ออกมาเป็นพลังบวกให้ได้ แม้ว่าเพลงที่ได้อาจจะไม่ใช้เพลงที่พูดถึงเรื่องราวในแง่บวก แต่มันก็จะเป็นงานหนึ่งชิ้นของเราที่มีความเข้มข้น ยิ่งเรารู้สึกลบกับสิ่งที่อยู่ในใจแค่ไหนเพลงที่ออกมาก็จะยิ่งหนักแน่น เราเชื่อเช่นนั้น”

        การเขียนเพลงอาจเป็นการปลดปล่อยสิ่งอัดอั้นในใจของเขาได้ แต่สำหรับคนทั่วไปที่ไม่ได้มีทักษะทางด้านดนตรีจะต้องทำอย่างไร เราถามเรื่องนี้ทิ้งท้ายเพื่อขอคำแนะนำจากเขากลับมาฝากทุกคนที่มีเรื่องอยากระบายออกแต่ไม่รู้จะใช้วิธีไหน 

        เขาพยักหน้าเพื่อแสดงว่าเข้าใจ และบอกว่าการต้องติดอยู่ในบ้านเกือบสองปีเต็มสำหรับบางคนก็เหมือนขาดอิสรภาพบางอย่างในชีวิตไป แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะมีแต่ความสิ้นหวัง 

Greasy Cafe

        “ตัวเราเองก็พูดได้เต็มปากเหมือนกันว่ารู้สึกหดหู่กับสถานการณ์ตอนนี้เหมือนๆ กัน แต่สิ่งคำคัญคือต้องตะโกนบอกกับตัวเองว่า เฮ้ย! หมดหวังไม่ได้นะ สิ้นหวังไม่ได้นะ เราต้องสู้กันต่อ เราต้องฮึบตัวเองขึ้นมา “

        ใช่–เรื่องการสร้างพลังใจให้ตัวเอง แม้จะมีคนมากมายเป็นพันเป็นล้านคนมาบอกแต่ถ้าเราไม่พูดกับหัวใจตัวเอง ใครจะเชียร์อย่างไรก็ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ 

        นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาเขียนเพลง อิสรภาพ…ไม่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ขึ้นมา เพื่อมอบให้เป็นกำลังใจในการต่อสู้กับความท้อแท้และความรู้สึกหดหู่ในใจ ซึ่งการที่เราจะผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้สิ่งอื่นใดคือการไม่หมดหวังนั่นเอง 

        มันอาจเหน็ดเหนื่อยหัวใจ

        ปลายทางอาจอยู่แสนไกล 

        แต่มันไม่ไกลเกินถึง

Greasy Cafe


ขอบคุณ Tamarind Springs Samui เอื้อเฟื้อสถานที่