เคยลองสังเกตกันไหมว่าหลายครั้งที่เราฝ่าฟันใช้ชีวิตหนักๆ กลับมาถึงบ้านหรือสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากฝันร้ายกลางดึก สิ่งที่เราต้องการที่สุดอาจจะเป็นเพียงอะไรง่ายๆ อย่างแค่น้ำเปล่าเย็นๆ สักแก้ว ที่ช่วยปรับอุณหภูมิใจของตัวเองให้ผ่อนคลายลงไปได้ แม้ว่าบ่อยครั้งเราจะเพลิดเพลินกับเครื่องดื่มรสชาติหลากหลาย แต่สุดท้ายก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าน้ำเปล่าสะอาดๆ คือสิ่งที่จำเป็นที่สุดต่อร่างกายของมนุษย์
น้ำสามารถแทนความหมายได้หลายอย่างเมื่อไปอยู่กับบริบทของพื้นที่ตรงนั้น มันลื่นไหลและรวมตัวเองเข้ากับเครื่องดื่มที่หลายคนโปรดปราน ดังนั้นจึงมีคำพูดที่เป็นข้อคิดเกี่ยวกับการทำตัวให้เหมือนกับน้ำมากมาย เพราะนั่นจะทำให้เราสามารถปรับตัวเข้ากับทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิตได้อย่างมีความสุข ซึ่งคนที่จะมายืนยันกับเราเรื่องนี้อีกเสียงก็คือ ‘ไอซ์’ – พาริส อินทรโกมาลย์สุต ศิลปินหนุ่มอายุแค่ 23 ปี แต่วันนี้เขาผ่านการทำงานในวงการบันเทิงมาจนแทบครบในทุกสาขาแล้ว
1
วันนี้ ไอซ์ พาริส ได้เปิดตัวในฐานะของศิลปินเดี่ยวอย่างเต็มตัว โดยมีซิงเกิลแรกของตัวเองคือ รอยยิ้มไกลไกล (Smile In The Sky) ซึ่งเขาได้เข้าไปมีส่วนร่วมในทุกๆ ด้านของเพลงนี้ รวมถึงการร่วมกำกับมิวสิกวิดีโอด้วยตัวเอง ที่มาของเพลงนี้เขานำเรื่องที่อยู่ในใจลึกๆ ของตัวเองมาถ่ายทอด นั่นคือการก้าวข้ามความเสียใจที่เกิดจากการสูญเสียคนรักไปเมื่อครั้งยังเด็ก และในมิวสิกวิดีโอก็มีนัยยะของ ‘น้ำ’ ที่ไหลท่วมเข้ามาในห้องราวกับความเสียใจนั้นได้ประเดประดังเข้ามาจนท่วมท้น
“ในฐานะเป็นเพลงแรกของผมจริงๆ ผมก็อยากพูดถึงตัวตนของตัวเอง และคงไม่มีเรื่องไหนที่ผมอยากบอกเล่ามากไปกว่าการก้าวข้ามผ่านเรื่องของการสูญเสียครั้งสำคัญของชีวิตอีกแล้ว” เขาเล่าถึงที่มาของการทำซิงเกิลแรกในฐานะศิลปินเดี่ยวของตัวเองก่อนที่จะลดสายตาลงไปมองแก้วน้ำที่อยู่ในมือ
เมื่อเราเกิดขึ้นมา เติบโต และใช้ชีวิต แน่นอนว่าต้องเจอกับปัญหาหนักๆ ที่เข้ามาให้รับมือ หนักบ้าง เบาบ้าง แล้วแต่จังหวะของแต่ละคน แต่หากเราย้อนกลับไปมองดีๆ ก็จะพบว่าสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมานั้น แม้จะทำให้ใจห่อเหี่ยวลงไปมากในตอนนั้น แต่สุดท้ายเรื่องราวร้ายๆ ก็จะผ่านไป
“ทุกคนมักบอกผมว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับผมเป็นสิ่งที่หนักมาก แต่เมื่อผมได้ก้าวผ่านมาแล้ว ผมกลับรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องที่ยากเลย”
ไอซ์บอกเราว่าเขาให้คำนิยามของสิ่งที่เกิดขึ้นว่า A blessing in disguise หรือพรจากฟ้าที่ส่งลงมาให้เขา แม้จะเป็นวิธีที่แปลกไปสักหน่อยก็ตาม
“ผมคงไม่ได้มาคุยกับคุณเรื่องนี้หากผมไม่ได้ผ่านเรื่องนี้มาก่อน หรือผมคงไม่ได้ทำงานตรงนี้เลยก็ได้ หากเหตุการณ์นั้นไม่เกิดขึ้น ผมมองว่านี่คือบทเรียนที่ดีที่สุดที่เขาได้ทิ้งไว้ให้กับผม
“วันนี้ผมรู้แล้วว่าชีวิตของคนเราเกิดมาทั้งทีต้องไม่ไปแคร์เรื่องอื่นยกเว้นเรื่องความสุขเท่านั้น” เขากล่าวพร้อมกับยกแก้วน้ำที่มีน้ำเปล่าในอุณหภูมิห้องขึ้นมาจิบอย่างสดชื่น
2
ในวัยแค่ 23 ปี แต่มุมมองของเขานั้นกลับโตอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งแนวคิดที่เป็นเป็นความเชื่อในศาสนาคริสต์ แต่ในอีกมุมก็เป็นทางสายกลางมากๆ ในศาสนาพุทธด้วย
“ชีวิตผมเหมือนกับน้ำเปล่า ผมคิดว่าอย่างนั้น” เขาอธิบายต่อว่าน้ำเปล่าเป็นสิ่งที่อยู่ตรงกลางที่สุด สามารถไปอยู่ในรูปแบบไหนก็ได้ หรือเป็นส่วนผสมที่เกิดเป็นเครื่องดื่มต่างๆ ที่มีรสชาติหลากหลาย ซึ่งสะท้อนถึงตัวตนของเขาที่เป็นทั้งนักแสดง นักร้อง และล่าสุดคือการร่วมเป็นทีมทำเพลงที่เข้าไปมีส่วนร่วมตั้งแต่การทำเนื้อเพลง ทำนอง ไปจนถึงการช่วยกำกับมิวสิกวิดีโอ
“สิ่งที่ผมทำทุกอย่างในวันนี้เป็นสิ่งที่ผมทำเพราะอยากให้ตัวเองมีความสุข ผมอยากใช้ชีวิตให้คุ้มก่อนที่เราจะไม่มีโอกาส”
ความสุขที่เขาว่าไม่ใช่แค่มาจากการได้ทำงานที่ตัวเองรักเท่านั้น แต่เป็นทุกเรื่องที่เขามองว่าเราสามารถมีความสุขกับตัวเองได้ทุกวันหลังจากตื่นนอนขึ้นมา นั่นคือการใช้วิธีมองโลกด้วยแง่บวก
แต่การจะมองทุกสิ่งให้เป็นแต่เรื่องที่ดีในเรื่องร้ายบางอย่างก็ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ
“คนมักจะแยกว่าเรื่องนี้คือเรื่องบวก เรื่องนี้คือเรื่องลบ แต่สำหรับผม ในทุกวินาทีมีทั้งเรื่องบวกและลบ ขึ้นอยู่ที่ว่าเราจะเลือกมองแบบไหน”
อาจเป็นเพราะเวลามีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นมา อารมณ์ของเรามักจะชักนำความรู้สึกของตัวเองให้ดิ่งไปกับสิ่งที่เกิด
“ตอนที่ผมสูญเสียคนที่รักไปในวัยที่เด็กมาก ใครก็ต่างคิดว่าเป็นเรื่องที่แย่มาก แต่ถ้าลองคิดดีๆ เรื่องที่เป็นแง่บวกนั้นก็มีเหมือนกันในระดับที่เท่าๆ กันด้วย เพียงแต่ส่วนใหญ่เวลามีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้น หลายคนจะมองแบบนี้ยาก เพราะอยู่ในอารมณ์ที่กำลังเศร้า ซึ่งก็ไม่แปลกที่เราจะมองเห็นแต่สิ่งที่เป็นลบได้ชัดเจนกว่า แต่จริงๆ เรื่องที่เป็นแง่บวกก็อยู่ตรงนั้นด้วย แค่เราจะมองมันเห็นมันได้หรือเปล่าเท่านั้นเอง”
วิธีคิดนี้คือการค้าหาความสุขของตัวเองในทุกวินาที หรือการมีสติ ซึ่งเป็นหลักการที่ง่ายที่สุดแต่ก็ทำยากที่สุดด้วยเหมือนกัน เพราะเรามักจะลืมและมองข้ามเรื่องนี้ไป เพราะความทุกข์นั้นมีผลต่อจิตใจและมีพลังมากกว่านั่นเอง
“แค่ผมตื่นขึ้นมาแล้วหายใจเข้าหนึ่งครั้งก็รู้สึกว่าตัวเองมีความสุขมากแล้ว” เขายิ้ม
เพราะเขาเชื่อว่าโอกาสที่ทุกคนได้รับในแต่ละวันนั้นมีคุณค่าในตัวของมันเอง แค่เรายังมีลมหายใจอยู่ มีสิ่งที่ให้ทำ มีคนที่รักอยู่รอบข้าง แค่นี้ก็เริ่มต้นได้ดีแล้ว
แล้วถ้าตื่นขึ้นมาพบว่าวันนี้ Wi-Fi ไม่วิ่งหรือเน็ตมือถือใช้ไม่ได้ล่ะ – เราถามแบบติดตลก
“ผมก็จะรีบโทร.ไปหาผู้ให้บริการอย่างด่วนจี๋เลยครับ เรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด” เขาหัวเราะลั่นขึ้นมา
“นี่ก็เป็นการมองแล้วทำให้มีความสุขขึ้นมาได้ เห็นไหม”
เราทั้งคู่หัวเราะให้กันอย่างครื้นเครง
3
แค่ไม่กี่ปีหลังจากที่เขาเข้ามาในวงการบันเทิง ก็เรียกว่าแทบจะจับงานในหลายๆ แขนงของวงการได้เกือบครบทุกอย่างแล้ว ถือเป็นการเติบโตที่เร็วมากของเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่มีพลังเหลือล้นอย่างมาก และในวันนี้เขาก็เริ่มค้นพบสิ่งที่เป็นทางของตัวเองได้ชัดขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน แต่สิ่งที่เราถามต่อก็คือ ในเมื่อเขายังเป็นคนหนุ่มไฟแรงขนาดนี้ เขามีวิธีจัดการตัวเองเวลาเกิดอารมณ์ร้อนๆ ขึ้นมาอย่างไร
“ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็ยอมรับว่าตัวเองก็มีพุ่งเหมือนกันเวลาเจอกับอะไรที่ไม่ได้ดั่งใจ” เขานิ่งไปสักพัก แล้วยกน้ำขึ้นมาจิบอีกครั้ง
“แต่พอเข้ามาทำงานแล้วผมได้เจอคนเยอะมาก ใจของเราก็เย็นลง หากเจอกับอะไรที่ควบคุมไม่ได้ผมจะใช้วิธี ‘หยุด’ ตัวเองไว้ก่อน หยุดแบบกดปุ่ม Pause ไว้เลย ไม่คิดอะไรจริงๆ แต่ถามว่าหยุดอะไรบ้างผมไม่รู้เหมือนกัน แค่หยุดไว้ก่อนเดี๋ยวอารมณ์เราจะค่อยๆ เย็นลงไปเอง เจอเรื่องอะไรเข้ามาก็หยุด ใจเย็นๆ แล้วคิด แล้วผมก็สามารถผ่านไปได้ทุกเรื่องเลย”
นั่นคือการพักเพื่อให้สติของตัวเองกลับมา หรือถอยหลังออกมาจากปัญหาสักหนึ่งหรือสองก้าว ซึ่งเขาก็พยักหน้าเห็นด้วย
“ข้อดีคือ ตอนนี้ผมเริ่มรู้แล้วว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบอะไร ยิ่งทำงานมากขึ้นก็ทำให้ผมเปลี่ยนจากเรื่องที่คิดว่าตัวเองชอบงานอะไรกันแน่เป็นการไปโฟกัสกับงานที่ตัวเองสนใจจริงๆ และทำให้งานดีขึ้นเรื่อยๆ ให้ได้
“ตอนเริ่มทำงานครั้งแรกๆ ผมไม่เชื่อว่าตัวเองจะสามารถเต้นได้ แต่ทุกวันนี้กลายเป็นว่าการเต้นคือสิ่งที่สนุกมาก ผมมีความสุขมากในการทำงานทุกอย่างที่เกี่ยวกับการเต้น ถ้าเป็นการแสดงผมก็ชอบการเล่นภาพยนตร์ ทั้งในเรื่องของการถ่ายทำ การแสดง ซึ่งเต็มไปด้วยความสนุกและท้าทายผมได้ดีมากๆ และนั่นทำให้ผมพบว่าตัวเองจะมีความมั่นใจอย่างที่สุด คือทุกครั้งที่ได้ขึ้นไปบนเวที ผมได้พบว่าตัวเองชอบการขึ้นไปแสดงอะไรก็ได้อยู่บนเวที ความรู้สึกนี้จึงต่อยอดให้ผมอยากมีเพลงของตัวเองเพื่อไว้นำไปร้องบนเวที ทุกอย่างที่ผมชอบหรือมีความสุขกำลังเชื่อมโยงทิศทางของตัวเองต่อไปในอนาคต”
นั่นรวมถึงโปรเจกต์ที่เขาฝันว่าอยากลองทำดูนั่นคือละครเวทีหรืองานด้านมิวสิคัล ที่เขาใฝ่ฝันอยากทำเป็นสิ่งต่อไป
4
วันนี้ชีวิตของเขาที่เคยผ่านเรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันในวัยที่ยังเด็กมาก ได้รับการคลี่คลายและพร้อมเติบโตเบ่งบานอย่างสง่างาม แต่ก็ยังมีคนอีกมากมายที่กำลังเผชิญกับปัญหาชีวิต โดยเฉพาะช่วงนี้ที่ปัญหาใหญ่ๆ เกิดขึ้นมาจากทั้งปัจจัยของตัวเองและเรื่องภายนอกที่เข้ามากระทบแบบไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เราจึงฝากให้เขาลองแนะนำวิธีจัดการตัวเองในแบบที่ใครก็น่าจะเอาไปใช้ตามได้ให้กับคนอ่านสักหน่อย
เขานิ่งคิดไปสักพักอีกครั้ง มองแก้วน้ำบนโต๊ะ และตอบอย่างมั่นใจกลับมา
“คงเหมือนกับตอนที่ผมก้าวข้ามเรื่องของตัวเองมาได้ ซึ่งตอนนั้นก็หนักอยู่เหมือนกัน ตอนนั้นคุณแม่บอกกับผมว่า คนที่กำลังเสียใจ คนที่กำลังรู้สึกว่าตัวเองสูญเสียหรือคิดว่าตัวเองไม่สามารถก้าวข้ามผ่านอะไรไปได้ หรือจมอยู่กับอะไรบางอย่าง ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นจากความคิดที่ว่าสิ่งนั้นไม่อยู่แล้ว หรือสิ่งนั้นไม่มีแล้ว คุณลองเปลี่ยนจุดที่ตัวเองกำลังมองอยู่ดูไหม เหมือนตอนที่ผมเสียคนรักไป ผมก็รู้สึกว่า เรื่องนี้มันไม่จริง ทำไมเหตุการณ์นี้ต้องเกิดขึ้นกับเรา ผมโกรธชะตาชีวิตมาก ทำไมคนรอบตัวผมเขาไม่เห็นต้องเจออะไรแบบนี้เลย พระเจ้าทำไมต้องมากลั่นแกล้งผมด้วย จนผมอยากไปต่อรองหรือขอร้องว่าให้ทำอะไรก็ได้เพื่อให้เขากลับมา แต่ความจริงคือเขากลับมาไม่ได้แล้ว เราก็ยิ่งเศร้ามากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดหนึ่งผมก็คิดได้ว่า เพราะเรามัวแต่โฟกัสกับสิ่งที่เป็นความจริงว่าเขาไม่อยู่แล้ว ผมมองแต่สิ่งที่เราไม่มีแล้ว ถ้าเราหมุนกลับมาอีกด้านแล้วไปโฟกัสกับสิ่งที่เรามีล่ะ ลองเห็นคุณค่ากับสิ่งที่เรามีอยู่ตอนนี้ดูสิ แล้วคุณก็จะสามารถก้าวผ่านอะไรไปได้เยอะมาก”
จริงอยู่ที่การสูญเสียเป็นสิ่งที่ใครก็ไม่อยากให้เกิด แต่เราก็ไม่อาจหนีความจริงไปได้ แต่อย่าลืมว่าสิ่งที่เรามีอยู่นั้นก็สำคัญต่อเราด้วยเหมือนกัน
“เรายังมีคุณแม่ มีเพื่อน มีแขนขา มีลมหายใจ ยังมีอะไรมีอีกมากมาย ที่จะช่วยให้เราผ่านเรื่องราวแย่ๆ ไปได้ แค่เปลี่ยนมุมมองที่เป็น Nagative ให้เป็น Positive ดูสิ”
5
ในวันที่เติบโตขึ้นบททดสอบหรือพรจากฟ้าจะเข้มข้นขึ้นตามวัยของเราหรือไม่ นี่เป็นคำถามสุดท้ายที่เรานั่งคุยกับเขาในวันนี้
“ไม่เคยคิดว่าถ้าเราโตขึ้นแล้วปัญหาจะใหญ่ขึ้นเลย” เขาตอบอย่างมั่นใจ
“ผมเชื่อเรื่องของกฎแห่งแรงดึงดูดหรือ Law of Attraction ที่คุณแม่เคยสอน ซึ่งสมองของคนเรานั้นมีพลังสูงมากๆ แต่มนุษย์เอาพลังนั้นมาใช้ได้แค่นิดเดียว ซึ่งในความจริงทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตเรานั้นมาจากสมองของตัวเองล้วนๆ ผมเชื่อว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่คิดหรือเชื่ออะไรอย่างจริงจัง มันก็จะเกิดสิ่งนั้น เช่น คุณบอกว่าถ้ายิ่งโตขึ้นปัญหาจะมากขึ้น แล้วคุณเชื่อแบบนั้นจริงๆ สิ่งนั้นจะเกิดขึ้น แต่ถ้าคุณเชื่อว่าต่อไปจากนี้จะไม่มีอะไรหรอก ก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่คุณต้องเชื่อให้ได้จริงๆ ซึ่งการจะเชื่อว่ามันจะเป็นแบบนั้นได้จริงๆ มันยาก แต่ผมก็คิดว่าไม่เห็นจำเป็นเลยที่เราโตขึ้นแล้วจะต้องเจอกับเรื่องที่หนักหนาขึ้น หรืออาจเป็นเพราะว่าผมเอาตัวเองไปอยู่ในมุมของสิ่งที่เป็นแง่บวก มองแต่เรื่องแง่บวก คิดแต่เรื่องแง่บวก คิดแต่ในสิ่งที่เราอยากให้เกิดขึ้นจริงๆ สิ่งที่เกิดจะต้องดีขึ้น เหมือนที่ผมคิดมาเสมอว่าผมมีความฝันแบบนี้ ผมจะทำให้ได้ และผมต้องทำแบบนี้ ผมมั่นใจว่าวันหนึ่งผมจะทำได้ ชีวิตผมจะเป็นแบบนี้ ชีวิตผมจะสบายแบบนี้ ผมจะคิดอยู่แค่นี้ ถ้าเราคิดแบบนี้ได้จริงๆ เรื่องแย่ๆ ที่เกิดขึ้นก็ทำอะไรเราไม่ได้ เรื่องนี้เวลาพูดมันง่าย แต่ให้ทำจริงก็ยาก เพราะยอมรับว่าบางครั้งผมก็ยังทำได้ไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนกัน”
ถ้าอะไรที่คิดว่าหนักหรือเหนื่อยเกินไปก็วางลงหรือกดปุ่มหยุดไปก่อนนั่นเอง แต่สิ่งที่เราเชื่อว่าไม่มีทางหยุดได้ก็คือ เส้นทางการทำงานในวงการบันเทิงของชายหนุ่มคนนี้ที่ยังไปต่อได้อีกไกล เพราะเขาคือน้ำเปล่าใสสะอาดที่สามารถไหลไปกับภาชนะที่ตัวเองอยู่ได้อย่างมีความสุข และรวมเข้ากับส่วนประกอบอื่นๆ จนเกิดเป็นเครื่องดื่มรูปแบบต่างๆ ที่มีรสชาติมากมาย หรือเป็นได้ทั้งน้ำที่คอยชโลมใจให้กับคนที่กำลังเหนื่อยกับการต่อสู้ชีวิตในวันนี้
เหมือนกับสิ่งที่เขาเล่าถึงการก้าวพ้นความเจ็บปวดด้วยวิธีคิดง่ายๆ แค่ลองเลี่ยนจุดโฟกัสของความทุกข์ดู แล้วคุณอาจจะพบกับสิ่งใหม่ที่ดีกว่าและคาดไม่ถึงก็ได้
ภาพ: ณัฐกาล ฤทธิ์สมบูรณ์