แม็กซ์ เจนมานะ

ก้าวข้ามความกลัว ยืนข้างความจริง จิบกาแฟคุยเรื่องชีวิตในวัยสามสิบของ แม็กซ์ เจนมานะ

แม็กซ์ เจนมานะ ก้าวเดินเข้ามาในร้าน host x AMBER ร้านกาแฟแบรนด์ดังจากฮ่องกงที่มาเปิดสาขาภายในห้างเซ็นทรัลเวิลด์ พร้อมภรรยาข้างกาย ศิลปิน นักเขียน และนักแสดง สวมแว่นดำ จัดทรงผมเนี้ยบ ใบหน้าสะอาดสะอ้าน สวมเสื้อยืดแขนสั้นสีกรมท่า กับกางเกงโอเวอร์ไซซ์สีน้ำตาล ดูเข้ากับโทนสีขาวของการตกแต่งร้านอย่างประหลาด

        หลังเราทักทายกันเล็กน้อย เขาวานภรรยาให้เป็นผู้สั่งเครื่องดื่มให้เขา ก่อนจะชักชวนผมและช่างภาพเปลี่ยนที่นั่ง ไปยังมุมที่ติดกับฝั่งกรุกระจกบานใหญ่ มองเห็นบริเวณพื้นที่สวนหย่อมด้านนอกที่มีผู้คนเดินสวนไปมา และถนนพระราม 1 ที่มีรถราไม่มากนัก แสงยามบ่ายจากด้านนอกส่องเฉียงกระทบร่างเขา ผมคิดไว้ว่าคงจะได้ภาพที่ดีกลับไปเป็นแน่

        “เราชอบเครื่องดื่มแบบซิตรัส ซ่าๆ โซดานิดๆ ใส่กับกาแฟเย็น หรือไม่ก็เป็นอเมริกาโน่เย็น เอสเพรสโซก็ได้” เขาว่า และอธิบายเพิ่มเติมให้ผมฟังถึงภรรยาว่า เธอเคยเป็นบาริสตามาก่อน และมักจะทำกาแฟปลุกเขาในตอนเช้า ส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วบ้าน เขาจึงมีโอกาสได้ฝึกทำกาแฟดริปเองด้วย 

        “แต่เธอทำอร่อยกว่าผมเยอะ” พูดจบ เขาหัวเราะ ก่อนถอดแว่นดำที่สวมอยู่ออก เผยให้เห็นดวงตาชัดๆ และหันไปมองเธอที่นั่งอยู่บนโซฟาไม่ไกลจากโต๊ะที่เรานั่งกันอยู่

แม็กซ์ เจนมานะ

1

        เขามีรอยยิ้มบางๆ เมื่อผมบอกว่าได้เห็นเขาในวงการมาเกือบสิบปีแล้ว นับตั้งแต่แจ้งเกิดจากรายการประกวดร้องเพลง The Voice Thailand Season 1 เมื่อปี 2555 และถามว่าเขายังจำความรู้สึกช่วงแรกได้หรือไม่ “เป็นอดีตที่ไม่น่าจำ” คำตอบเขาทำเอาผมประหลาดใจเล็กน้อย “มันเหมือนกับช่วงเวลาแรกที่เราเริ่มเขียนหนังสือ อะไรๆ คงไม่ได้ตกตะกอนเท่าตอนนี้ แต่ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นนะ”

        เพียงไม่นาน บริกรก็นำเครื่องดื่มมาเสิร์ฟตรงหน้า Strawberry Soda ช็อตเอสเพรสโซที่เป็นซิงเกิลออริจิน ผสมกับปาล์มชูการ์และโซดา แสงแดดภายนอกส่องกระทบแก้วมนใสเกิดสีสันที่สวยงาม เขาพิจารณามันเล็กน้อย  ผมลองให้เขาประเมินว่า ตลอดระยะเวลาเกือบสิบปีในวงการ เขาได้ผ่านจุดสูงสุด หรือต่ำสุด มาหรือยัง “ทุกอย่างมันเป็นเหมือนคลื่นสเปกตรัม คือบางครั้งสูงของเราก็อาจจะมีความต่ำบางอย่างที่เรามองไม่เห็น แม้กระทั่ง ณ โมเมนต์ที่อาจจะดูแย่จริงๆ ก็ยังมีทางไปได้ ดังนั้น อยู่กับปัจจุบันดีกว่า เราไม่ค่อยได้มองว่าอะไรสูงหรืออะไรต่ำ เพราะทุกพาร์ตที่ผ่านมาในชีวิตก็มีอะไรให้เกี่ยวตลอด”

        เขามีสีหน้าครุ่นคิดเล็กน้อยเมื่อผมเปลี่ยนคำถามว่า ถ้าอย่างนั้นช่วงไหนที่มีความสุขที่สุดหรือรู้สึกแย่ที่สุด “เราไม่เชื่อเรื่องความสุขแล้วนะ ขอโทษที เราเชื่อเรื่องความสงบมากกว่า” เขาพูด “แต่ถ้าถามว่าช่วงนี้สงบสุดใช่ไหม ใช่ เรารู้สึกสงบมาก ไม่ค่อยมีเสียงรบกวนทั้งจากข้างนอกและข้างใน พอข้างในสงบ ข้างนอกก็ไม่สามารถมาแกว่งอะไรในใจได้ พอมันเป็นอย่างนี้ เราเลยคิดว่าความสุขมันเป็นแนวคิดนามธรรมที่อาจจะหลอกเราได้นะ 

        “สมมติเราออกไปเดินซื้อของตอนนี้เราก็มีความสุขเลยนะ แต่พอกลับบ้านเราแม่งช็อตทันที อย่างนี้มันถูกไหม เราว่าสงบคือของจริงกว่า สมัยเด็กเรามีความสุขทุกวันเลย แต่พอโตขึ้นก็เปลี่ยนไปตามกระบวนการ ซึ่งพอเราพยายามตามหาความสุขไปเรื่อยๆ มันเหมือนเราตามหาสิ่งที่ไม่มีจริง มันก็หาไม่เจอ สุดท้ายก็ต้องหาว่า เรากลับมาสงบได้ที่ไหน”

        พูดจบเขาหันมาพิจารณาแก้วเครื่องดื่มตรงหน้าอีกครั้งพร้อมรอยยิ้ม “สวยดีนะ ไม่กล้าคนแก้วเลย” เขาพูดด้วยสายตาเป็นประกาย เหมือนเด็กน้อยที่ได้เห็นสิ่งสวยงามราวจินตนาการตรงหน้า

2

        หลังจิบเครื่องดื่มในแก้วเป็นครั้งแรก เขาดูผ่อนคลายขึ้น

        “คุณกลัวอะไรที่สุดในฐานะนักดนตรี” ผมถาม “กลัวเล่นผิด” เขาตอบผมทันทีด้วยสีหน้าราบเรียบ คำตอบเขาฟังเหมือนทีเล่นทีจริง แต่มีความจริงจังในน้ำเสียง เขาอธิบายให้ผมฟังว่า ฝันร้ายที่สุดของเขาคือการออกไปแสดงแล้วทำได้ไม่เต็มที่อย่างที่ตั้งใจ “เราเพิ่งเจอมาเมื่อวานเลย” เขาพูดและหัวเราะ

        “เมื่อวานเราไปออกรายการที่มีเล่นดนตรีสดมา ทีนี้เขามีคิวที่เราต้องถอดหมวกโยน พอตอนเล่นจริง ตอนถอดแล้วหมวกเราไปเกี่ยวกับ ear monitor และกระชากหลุดจากหูไปห้อยอยู่ข้างหลัง แถมไปเกี่ยวกีตาร์เละเทะเลย ประเด็นคือมันมีเทกเดียว ล่มไปครึ่งเพลงเลย กว่าจะตั้งสติได้ก็ยากอยู่” ถึงตรงนี้ผมสังเกตว่าสีหน้าเขาดูจริงจังขึ้น “เรากลัวมาก ตอนนี้ยังนอยด์อยู่เลย มันเป็นอารมณ์ของความเป็นมืออาชีพ เหมือนเวลาเรามาถ่ายงานแล้วมีความผิดพลาด หรือถ่ายรูปมาแล้วไฟล์เสีย อะไรแบบนั้น มันเป็นฝันร้ายของเรา” เขาย้ำอีกครั้ง

        เขาหยิบแก้วเครื่องดื่มขึ้นมาจิบ ขยับร่างกายและเบือนหน้าไปทางผนังกรุกระจก และหันกลับมาตอบคำถามที่ผมถามว่าชื่อเสียงมีความสำคัญกับเขาขนาดไหนในตอนนี้ “ชื่อเสียงมันเป็นสปอตไลต์ที่ดี” เขาพูด “แต่เราว่าสปอตไลต์แบบมีคุณภาพมันก็ดีนะ”

        ศิลปินทุกคนต้องใช้ชีวิตอยู่พร้อมกับชื่อเสียงที่ถูกสวมเข้ามา กลายเป็นคนที่ถูกเรียกว่าบุคคลสาธารณะ และถูกคาดหวังให้ทำหรือไม่ทำบางสิ่ง ซึ่งอาจทำให้ศิลปินที่เป็นมนุษย์คนหนึ่งเกิดความรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองได้ แต่ท่าทางสบายๆ ไร้มาดของเขาตรงหน้าตอนนี้ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายไปด้วย ราวกับได้สนทนากับคนรู้จักมากกว่า เขาบอกผมว่าตอนนี้เขาพยายามใช้ชีวิตแบบที่เชื่อว่าตัวเองสามารถเลือกได้ว่าอยากให้ชื่อของตนเองเป็นอย่างไร “เราอยากให้คนรู้จักชื่อเราในแบบที่เราอยากให้เขารู้จัก” เขาอธิบายให้ผมฟังเปรียบเทียบกับเรื่องลูกชายของเขา ที่เมื่อถึงวันหนึ่ง เขาก็ตัดสินใจนำเรื่องราวส่วนตัวของเขาเข้ามาใต้สปอตไลต์ให้คนเห็นด้วยตนเอง 

        “คนทุกคนมีสิทธิ์เลือกชื่อตัวเอง และมีสิทธิ์ที่จะขยายสปอตไลต์เท่าไหร่ก็ได้ แต่บางคนอาจจะพยายามขยายไปเรื่อยๆ จนมันเบลอ เราคิดว่าเราขอแสงเงาสวยๆ ที่จับเฉพาะจุดดีกว่า” เขาหัวเราะและยิ้มกว้าง

 

แม็กซ์ เจนมานะ

3

        ผมกังวลว่าเขาจะลำบากใจเมื่อต้องพูดเรื่องการเมือง เรื่องราวมันเริ่มเมื่อผมสนใจว่า การที่เขาเลือกนำเรื่องการเมืองในมุมที่เขามองเห็นและรู้สึกเข้ามาในสปอตไลต์ชีวิตของเขาให้คนอื่นเห็นด้วย ในขณะที่คนมีชื่อเสียงหลายคนกลัวการเปิดเผยจุดยืนทางการเมือง และตัดสินใจเก็บมันไว้มากกว่าจะเปิดเผย เขาบอกกับผมว่าไม่มีปัญหาอะไรเลย “เราอยากตอบเรื่องนี้อยู่แล้ว” เขาบอก

        เมื่อเขาอนุญาต ผมจึงถามเรื่องที่เห็นเขาโพสต์ภาพไปเข้าร่วมการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มเยาวชนปลดแอก เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม ที่ผ่านมา ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เขาเปรียบเปรยว่า ทุกคนมีสปอตไลต์คนละดวง “คุณเองก็มี คุณอยากจะใช้มันเต็มที่เท่าไหร่ล่ะ” เขาถามผมกลับ และพูดต่อ “แต่ส่วนตัวเราอาจจะมีไฟที่มันสว่างหน่อย ส่องหาคนได้เยอะหน่อยเท่านั้นเอง”

        เขาอธิบายว่าสิ่งที่เป็นความกลัวจนทำให้เขาต้องออกไปร่วมชุมนุมคือ การอยากลงไปในพื้นที่จริงๆ เห็นคน ได้ฟังเสียงคน เพื่อดู เพื่อฟัง ว่าที่ชุมนุมเขาพูดเรื่องอะไรกัน เพื่อจะไม่ได้เสียขี้ปากที่เขามักพูดเรื่องนี้ในโซเชียลของตนเอง “ความจริงเราอยากจะไปที่ธรรมศาสตร์มากกว่า (ชุมนุมธรรมศาสตร์จะไม่ทน เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม) เพราะวันชุมนุมใหญ่คนเยอะ เหมือนเขาจุดติดแล้ว แต่ว่าเรารู้สึกว่าประเด็นยังไม่ถูกพูดแบบตรงไปตรงมาเท่าที่ควร เราว่ามันตรงไปตรงมาได้มากกว่านี้ เราคิดว่า ไหนๆ ลมอุตส่าห์พัดมาทางนี้แล้ว ทำไมไม่พูดให้ตรงประเด็นกว่านี้ แต่เราเข้าใจนะ คือมันเพิ่งเริ่ม พอเราไปเราก็สามารถได้รู้แล้วว่าจริงๆ จุดยืนเราควรจะยืนตรงไหน เรายืนข้างความจริงก็พอ 

        สีหน้าเขาจริงจังขึ้นเล็กน้อย และอธิบายเพิ่มเติม “ถึงแม้สมมติว่าอีกสิบปีมันพลิกอีก จุดยืนเราก็คือยืนข้างความจริงเหมือนเดิม เพราะเราก็มองทุกมุมแล้ว ตอนนี้เราคิดว่าวุฒิภาวะเราพอที่จะเข้าใจอะไรเองแล้ว เพราะสิบปีก่อนเราเองยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย สื่อบอกไปอีกทาง พ่อแม่บอกไปอีกทาง มันเป็นเรื่องที่เรายังไม่มีวุฒิภาวะพอที่เราจะตัดสินใจอะไรเองได้ แต่ตอนนี้เรามีพอแล้ว เราคิดว่าความจริงก็คือความจริง เราพูดเท่าที่มันจริงก็พอ”

4

        เขาหยิบเครื่องดื่มขึ้นมาจิบ เบือนหน้าไปนอกผนังกระจกอีกครั้ง สีหน้าราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “เราไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าชาติคืออะไร” เขาพูดและเบือนหน้ากลับมาหาผม วางแก้วลงบนโต๊ะไม้ “เราคิดว่ามันคือเส้นในจินตนาการของคนที่ขีดไว้รอบๆ สถานที่หนึ่งเฉยๆ มันเป็นการรวมกลุ่มของคนที่มีเบื้องหลังเดียวกัน วัฒนธรรมเดียวกัน พื้นฐานเดียวกัน ครอบครัวประเภทเดียวกัน แล้วพออยู่ด้วยกันก็ควรจะปกป้องกัน แต่สักวันหนึ่งเราคิดว่าถ้าเรื่องความเป็นมนุษย์มันสุกปลั่งจนสุดตัวแล้วจริงๆ โลกทั้งโลกมันควรจะเป็นเอกภาพ

        “ตอนนี้เราคิดว่ามันเหมือนสงครามโลก แต่มันเป็นสงครามอีกรูปแบบ เพราะในช่วงร้อยปีมานี้ คนโตเร็วมาก มันไม่เหมือนเมื่อปี 1914 หรือ 1918 ช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ที่คนฆ่ากันจริงจัง แต่ตอนนี้เด็กเริ่มโตและมีความเป็นปัจเจกในตัวเองมากขึ้น คนที่จะบอกว่า ‘กูยอมตายเพื่อประเทศ’ มันน้อยคนลงไปเรื่อยๆ คือคนเรารู้สึกมีคุณค่าในตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ” 

        เขาบอกผมว่าตอนนี้มนุษย์กำลังเจอช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ไม่ใช่แค่ระดับประเทศ แต่เป็นระดับโลก “เราไปรีทวิตคนหนึ่งที่อยู่ในรัฐสภาของ EU แล้วเขาก็มาฟอลโลว์เรากลับ เราเลยได้ลองคุยกันในข้อความ เขาบอกว่าเขากำลังโฟกัสกับฝั่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่ ทั้งที่เบลารุส ไทย ฮ่องกง เขาบอกว่าตอนนี้มันเป็นความเคลื่อนไหวของคนเจเนอเรชัน Y หรือ Z ที่สู้กับคนเจน X หรือเบบี้บูเมอร์ ชัดเจนเลยว่ามายด์เซตต่างกัน เหมือนช่วงที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 กับ 2 มายด์เซตคนก็ต่างกัน พอต่างกัน คนจะมองเห็นกันเป็นศัตรู เขาจะมองเห็นอีกคนว่าไม่ได้เป็นคน”

 

แม็กซ์ เจนมานะ

 

        “ตอนนี้ด้วยหนัง ด้วยเพลง ด้วยสิ่งที่เราเจอในอินเทอร์เน็ต ความเป็นคนมันชัดขึ้น คนนั้นก็มีความคิด เราก็มีความคิด แต่ตอนนี้เป็นช่วงที่ตัดสินใจกันอยู่ว่าจะเอาอย่างไรกันดี แบบเสรีนิยมก็ต้องเจอกับอนุรักษ์นิยม มันเป็นเรื่องปกติมาก ถ้าไม่มีอนุรักษ์เลยก็ไม่ดี เหมือนต้นไม้ที่โตอยู่ในป่า สุดท้ายก็ต้องอยู่ด้วยกัน เราคิดแบบนั้น”

        ผมลองถามว่า เขากลัวกับการเป็นคนมีชื่อเสียงที่ออกมาแสดงจุดยืนไหม 

        “ไม่กลัวนะ แต่ไม่แน่ ถ้าด่าเราเยอะๆ อาจจะกลัวรับไม่ได้เหมือนกัน เราอาจจะงอนมาก และหนีเข้าป่าไปก็ได้” 

5

        การออกมาแสดงจุดยืนเรื่องการเมือง ทำให้ผมนึกถึงสิ่งที่เขาเล่าไปเมื่อตอนต้นเรื่องลูกชาย ปลายปีก่อนเขาออกมาโพสต์ในอินสตาแกรมถึงเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ในโพสต์เขาระบุถึงหลายเรื่อง ทั้งเรื่องลูกชาย เรื่องอายุที่ผลัดเปลี่ยนสู่วัยเลขสาม และเรื่องการก้าวข้ามความกลัว ผมบอกเขาว่า ผมสัมผัสได้ถึงการปลดปล่อยตนเองจากความกลัวบางอย่างในจิตใจของเขา เขามีรอยยิ้มทันทีและบอกผมว่า “เราคิดมาตลอดว่าจะบอกหรือไม่บอกดี เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัว 

        “เราตีกับเรื่องส่วนตัวเราตลอดสี่ปี แต่สุดท้ายก็คิดว่าเราสามสิบแล้ว เราเหนื่อยกับการที่ต้องมาบาลานซ์ความเป็นส่วนตัวของตัวเอง ในเมื่อเราเป็นเรา ความเป็นส่วนตัวของเราก็คือเราเหมือนกัน

        “สมมติเราโพสต์ไป เราอยากให้คุณรู้แค่นี้ นี่ก็คือเราแล้ว คนอื่นเขาก็รู้เท่านี้ว่าเราเป็นคนแบบนี้ก็พอแล้ว สมมติตอนนี้เราอยากจะออกไปดูดบุหรี่ เราก็จะคุยไปสักพักแล้วบอกว่า เดี๋ยวเราขอออกไปดูดบุหรี่แป๊บหนึ่งนะ ก็เป็นพื้นที่ของเรา เราเลิกคิดมากแล้ว เป็นเราไปในทุกโมเมนต์ก็พอ เราว่ามันคือความสงบนะ นี่เราพยายามเชื่อมโยงให้เห็นว่า มันคือความสงบที่เราหาได้ช่วงวัยนี้

        “พอข้ามเขตแดนความกลัว ความไม่มั่นใจ มันคือความสงบ คือยอมรับตัวเองไปเลยว่าเป็นอะไร” เขาตอบและหยิบแก้วขึ้นมาจิบอีกครั้ง ผมถามเขาไปเพิ่มถึงสิ่งที่เขาเขียนในโพสต์ดังกล่าวว่า อาชีพของเขาคือการเล่าเรื่อง เขาควรต้องกล้าแบ่งปันส่วนที่อ่อนไหวบอบบางที่สุด เพื่อให้ทุกคนที่ได้เห็นผลงานของเขาพิเศษและมีความหมายมากขึ้น “เราใช้พลังใช้แรงบันดาลใจมาจากสิ่งที่เราอ่อนไหว แล้วเราไม่บอกคนเลย เราว่ามันไม่แฟร์” เขาบอก “เราสู้ตัวเองมาสักพักเลยนะว่า เราจะทำคาแรกเตอร์แบบไหน จะเป็นใคร จะแต่งตัวอย่างไร คืออยากเป็นตัวเองให้มากที่สุด เพราะฉะนั้น มันจะต้องไม่ใช่แค่เพลง สมมติเราไปเล่าเรื่องความรัก แต่เราไม่รู้จักมันจริงๆ แล้วคนไม่ได้สัมผัสจากชีวิตเรา มันก็ไม่น่าเชื่อถือ หรือสมมติเราพูดเรื่องประชาธิปไตย แต่ชีวิตจริงเรารับส่วยใต้โต๊ะ มันก็ไม่ใช่ 

        “สิ่งที่เราไม่อยากจะเหนื่อยคือการปิดตัวเอง เปิดไปให้หมด ชีวิตเราก็ต้องเป็นอาร์ตเวิร์กไปด้วย นี่คือสิ่งที่เราคิดนะ คนอื่นอาจจะเก่งกว่าในการควบคุม แต่เราทำไม่ได้ เราเหนื่อย เราก็เป็นเราไปเลยดีกว่า”

        เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า สิ่งที่เปิดอาจไม่ใช่ทั้งหมด แต่เป็นสิ่งที่เกี่ยวโยงกับเรื่องงานทั้งหมด “สิ่งที่รีเลตกับงานก็คือ ทัศนคติของศิลปินแหละ” เขาบอก “มีอันหนึ่งที่เราเคยโพสต์ไปว่า สิ่งที่ทำให้ที่ศิลปินอิน ก็จะแปรผันตามจริตของศิลปินคนนั้น หมายถึงสิ่งที่ศิลปินแสดงออก มันจะแปรผันตามจริตของศิลปินคนนั้น แต่เราคิดว่าจริตของเรามันคือ…” เขานิ่งคิดไปครู่ใหญ่ เหมือนพยายามเลือกคำพูด ก่อนจะพูดออกมาว่า มันคือความไม่รู้ 

        “เป็น as it is, as I am ไปเลยดีกว่า” พูดจบเขาก็หัวเราะออกมา

 

แม็กซ์ เจนมานะ

6

        “กลัวไหมกับการที่ลูกของคุณกำลังจะเติบโตมาในสังคมที่มีแต่ปัญหาแบบนี้” ผมถาม เขาตอบผมกลับทันทีด้วยสีหน้าจริงจังว่ากลัว “เราไม่อยากให้เขาเจออะไรแบบนี้ รู้สึกว่าอยากส่งไปเรียนเมืองนอก” 

        “เราต้องต่อสู้กับสิ่งที่เราอาจจะเรียกว่าความเป็นไทยก็ได้มานานมาก มันเป็นมายด์เซตบางอย่างที่กว่าจะก้าวข้ามผ่านได้ต้องใช้ความกล้าสูง ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถทำได้ ในการที่จะสามารถล้มโปรแกรมที่เราถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก” เขาอธิบายและเริ่มพูดถึงลูกชายอีกครั้งว่า “เราต้องเป็นพ่อแม่ที่ให้ความยืดหยุ่นกับลูกให้มากที่สุด อิสระกับลูกให้มากที่สุด เพื่อให้ลูกเจอตัวเองให้มากที่สุด เราไม่อยากไปบังคับให้เขาเป็นใคร เพราะเขาเป็นคนคนหนึ่งเหมือนกับเรา”

        ถึงตอนนั้น ลูกค้าในร้านซึ่งส่วนใหญ่เป็นพนักงานในห้างที่มาจิบกาแฟคุยงานเริ่มทยอยแยกย้ายกลับไปทำงานเมื่อไหร่ไม่รู้ ในร้านจึงเริ่มโล่ง และมีบรรยากาศที่ผ่อนคลาย แดดยามบ่ายยังคงส่องเฉียงลงมาสม่ำเสมอ 

        “เราอยากให้ลูกผลิบานเต็มที่” เขาพูดขึ้นมาขณะที่เบือนหน้าออกไปมองด้านนอกอีกครั้ง ผมคิดว่าเขาคงคิดอะไรบางอย่างไปพร้อมกัน มีผู้คนเดินไปมาไม่มาก “เราบังคับเขาไม่ได้ เขาควรจะผลิบานขึ้นมาเอง มันเป็นหน้าที่ของเราที่จะเตรียมให้เขาอย่างเต็มที่ เช่นกันกับในสังคม ถ้าเราสู้ตรงนี้ไม่ได้ ทุกคนสู้ไม่ได้ หรือเตรียมกรุยดินให้กับเด็กรุ่นใหม่ๆ หว่านเมล็ดไม่ได้ ก็ถือเป็นความผิดของพวกเรา”

        เขาเบือนหน้ากลับมาที่โต๊ะสนทนาและมีรอยยิ้ม

        “ผมขอออกไปสูบบุหรี่สักหน่อยนะ”

        เขาพูดพร้อมเสียงหัวเราะสดใส