ครั้งฉันอายุได้เพียง 13 ปี
ฉันติดอยู่กับปีศาจตนหนึ่งในความคิดของฉัน
ฉันจึงได้แต่สวดมนต์และภาวนาให้ปีศาจนั้น
คลายปมเชือกที่ติดอยู่ที่ข้อเท้าระหว่างเราออกเสีย
ไร้รอยยิ้ม
แก้มแดงของฉันชื้นเพราะน้ำตา
เฉกเช่นสายฝนที่ไร้วันหยุดตก
เมื่อฉันได้เรียนรู้ที่จะทำความเข้าใจกับปีศาจในตน
นั่นจึงทำให้ฉันได้พบกับความจริงที่ว่า
ฉันอาจไม่ได้เลวร้ายเหมือนกับปีศาจในอกของฉันมากนัก
– ซึมเศร้าและการเติบโต
– ลูกไม้
เราทุกคนต่างมีปีศาจสถิตอยู่ภายใน ไม่ว่าจะเป็นปีศาจที่เรียกว่า ความเศร้า ความผิดหวัง ความเสียใจ หรือความกลัว วันไหนที่จิตใจเราอ่อนแอมันจะค่อยๆ คืบคลานเข้ามาครอบงำตัวเรา และไม่ง่ายเลยที่จะสยบมันลงได้ แต่ในบางครั้งการเอาชนะอาจไม่ใช่ทางออกเดียวเสมอไป แต่กลับเป็นการเข้าใจ ยอมรับ แล้วจับมือปีศาจเหล่านั้นเพื่อเดินไปด้วยกันสู่วันข้างหน้าก็ได้\
‘แซมมี่’ – ภัคธีมา ชิลเลอร์ หรือ ‘SAMMii’ ลูกสาวคนโตของนักแสดงรุ่นใหญ่ เกริก ชิลเลอร์ เธอเดบิวต์เป็นศิลปินเต็มตัวภายใต้สังกัดค่าย Universal Music Thailand มาแล้วกว่า 2 ปี เราติดตามเธอมาพักใหญ่ และรู้มาว่าเธอเองก็เผชิญกับสารพัดปีศาจภายในใจตัวเองอยู่เช่นเดียวกัน
1
เรากลับมาเยือนออฟฟิศ Universal Music Thailand อีกครั้งเพื่อพูดคุยกับแซมมี่ถึงปีศาจข้างในตัวเธอ พวกเราทักทายกันเล็กน้อยแล้วเธอก็ถามขึ้นว่า
“พี่ที่ตอบอินสตาแกรมเราบ่อยๆ ใช่ไหม”
“ใช่ จำเราได้ด้วย ดีใจจัง” เราตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เก็บอาการไม่ค่อยอยู่ ไม่น่าเชื่อว่าเห็นครึ่งหน้าเธอกลับจำเราได้ พวกเราจึงรำลึกความหลังเพื่อทำความคุ้นเคยกันก่อนจะเข้าหัวข้อสนทนาที่เราเตรียมมาคุยกับเธอในวันนี้
“เราเคยมีความคิดลบกับตัวเองมากๆ ถ้าให้บอกตามตรงเลยคือ คิดอยากฆ่าตัวตาย ตอนนั้นคือช่วงอายุ 13 ปี เด็กมาก”
แซมมี่เน้นเสียงคำว่า ‘เด็กมาก’ ช่วงท้ายประโยคเพื่อตอกย้ำว่าความคิดแบบนี้ไม่ควรที่จะเกิดขึ้นกับเด็กอายุแค่นี้เลย แต่เพราะช่วงเวลานั้นมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายในชีวิตของเธอ และด้วยความเป็นเด็กที่ยังเข้าใจโลกไม่มาก ทั้งประสบการณ์ก็น้อย เมื่อเจอปัญหามากมายเข้ามาในชีวิตจึงรู้สึกว่าทุกอย่างล้วนหนักหน่วง ใหญ่โตเกินกว่าจะรับมือไหวจนไม่อยากจะมีชีวิตต่อไปอีกแล้ว
เธอเล่าต่อว่าช่วงเวลานั้นตัวเองเป็นเด็กที่เศร้ามาก ไม่มีใครจำได้เลยว่าแซมมี่ในตอนนั้นเป็นคนอย่างไร เพราะความเศร้านั้นทำให้ดูเหมือนว่าตัวตนของเธอเลือนหายไปในอากาศอย่างไรอย่างนั้น
“ถ้าย้อนกลับไปช่วงอายุ 13 ได้ก็อยากกอดตัวเองให้แน่นๆ” เธอยิ้มแล้วยกกาแฟขึ้นมาจิบเล็กน้อย พลางเขี้ยวน้ำแข็งด้วยท่าทางสบายๆ ราวกับกำลังตอบว่าตอนนี้เธอผ่านมันมาได้แล้ว
2
นอกจากเป็นนักร้องแล้ว แซมมี่ยังเป็นนักเขียนบทกวีอีกด้วย เธอเปิดไอจีอีกแอ็กเคาต์หนึ่งขึ้นมาชื่อว่า ‘lookmaiwords’ เพื่อแบ่งปันบทกวีหวานปนขมจากห้วงอารมณ์ และประสบการณ์ของตัวเอง ดั่งตัวอย่างที่เรายกมาประกอบบทสนทนานี้ด้านบน ทุกคนล้วนมี ‘ปีศาจ’ ข้างในจิตใจตัวเอง เราก็มี เธอก็มี และทุกคนเองก็มี
ปีศาจเหล่านั้นไม่ได้หมายถึงภูต ผี ปีศาจ จากความเชื่อแต่หมายถึงความคิด ความรู้สึก และอารมณ์เชิงลบที่มักจะทำให้จิตใจเราอ่อนแอลงจากปกติ
“มันเหมือนเป็นอีกพาร์ตหนึ่งของเราที่คอยดึงเราลงโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจเลย เวลาเป็นเรารู้สึกแย่กว่าที่เราจะจินตนาการได้ แม้ว่าจะผ่านมานานแล้วแต่เราไม่เคยลืมเรื่องนี้เลย”
“แล้วแซมผ่านช่วงเวลานั้นไปได้ด้วยอะไร” เราถามต่อ
“เราดีขึ้นได้ส่วนหนึ่งเพราะดนตรีด้วย แต่ว่าช่วงที่เราเป็นซึมเศร้าก็หายจากการเล่นดนตรีไปเหมือนกัน หายไป 1 ปีเลย จำได้ว่าเรียนเปียโนอยู่แล้วต้องสอบ เราไม่ได้สอบพร้อมเพื่อน แล้วเราไม่สามารถบอกเหตุผลครูได้ว่าเราเป็นอะไร เหมือนกับแพสชันเราหายไป เราไม่อยากทำอะไรเลย
“แล้วเพื่อนชวนไปทำวงตอนนั้นอายุ 14 ปี ตรงนี้เองที่ทำให้เรากลับมาเริ่มเสพเพลงมากขึ้น เริ่มเสพสิ่งที่เรียกว่าดนตรีมากขึ้น จำได้ว่ากลับมามีแพสชันเยอะมาก แล้วเราก็เขียน เขียนอะไรก็ได้ จำได้ว่าทุกเช้าเราจะตื่นขึ้นมาเขียนนิยายหนึ่งตอนทุกวันช่วงปิดเทอม ตั้งแต่เช้าจรดเย็นจนเราคลั่งไคล้ (หัวเราะ) เราชอบการเขียนมาก กระทั่งขยับมาเป็นเรื่องของการเขียนเพลง”
แซมมี่เสริมต่อว่าเวลาที่ได้จดจ่ออยู่กับสิ่งที่ชอบ เหมือนทำให้เธอหลุดเข้าไปอยู่ในอีกโลกหนึ่งซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เธอลืมไปเลยว่าตัวเองกำลังเป็นซึมเศร้าอยู่ แม้ว่าช่วงเย็นจะกลับมาจมดิ่งกับความเศร้าเหมือนเดิมก็ตาม แต่การหายไปจากช่วงเวลาปัจจุบันกับการเขียนกลับทำให้เธอดีขึ้นเรื่อยๆ จนชนะปีศาจที่เรียกว่า ‘โรคซึมเศร้า’ ได้
3
แม้ว่าปัจจุบันเธอจะเอาชนะปีศาจแห่งความซึมเศร้าที่เกิดขึ้นในช่วงวัย 13 ปีได้แล้ว แต่ตอนนี้เธอกำลังเผชิญอยู่กับความร้ายกาจของโรคแพนิก (Panic Disorder)
“ตอนแรกเราเป็นแค่ Panic Attack แต่ตอนนี้จากแค่มีอาการธรรมดากลายเป็นโรคแพนิกไปแล้ว เรามักจะกลัวแบบไม่มีเหตุผล สมมติเวลานั่งอยู่แบบนี้บางทีเราก็สามารถแพนิกได้ ทั้งที่จริงแล้วเราค่อนข้างป็นคนชิล”
เราถามต่อว่าสาเหตุการเป็นแพนิคของเธอมาจากอะไร แซมมี่ยอมรับว่าเพราะตัวเองเป็นคนที่มักจะนอนดึก หรือเรียกว่าเกือบเช้าเป็นประจำ และมักจะโดนดุบ่อยๆ ว่าไม่ค่อยดูแลตัวเอง จึงเป็นสาเหตุให้อาการแพนิกแย่ลงจนกลายเป็นโรคแพนิก
“แม้ว่าเมื่อก่อนเราไม่ค่อยชอบสังคมขนาดนั้น แต่พอเป็นแพนิคเหมือนเราชินกับการตื่นตระหนก เราเก่งเรื่องความตื่นตระหนกจนสามารถควบคุมมันได้ I know you I know you แล้วเราก็ไม่กล้านอน เพราะเรากลัวตาย แต่เพราะเราชอบฝัน บางทีก็กล่อมตัวเองนอนด้วยการพูดกับตัวเองว่าเดี๋ยวจะได้ไปเที่ยว (ในฝัน)”
4
เวลาอ่านเรื่องสุขภาพจิต และการบำบัด เรามักจะเจออีกคำหนึ่งที่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเสมอคือคำว่า ‘Spiritual’ ที่แปลว่า จิตวิญญาณ แต่หากมีหลายคำนิยามจากหลายศาสตร์มาก เราจึงถามแซมมี่ว่าในฐานะที่สนใจในเรื่องนี้เธอมีมุมมองกับคำนี้อย่างไร
“Spiritual ในมุมของเรา เราชื่อว่ามันคือการสะกดจิตตัวเอง กฎของแรงดึงดูด เหมือนเราเชื่อว่าความเป็นจริงส่วนหนึ่งเกิดขึ้นได้เพราะว่า shape of mind ของเรา เราสะกดจิตให้ตัวเองเป็นแบบนั้น อย่างสมมติถ้าเราอยากจะครีเอทีฟขึ้น เราก็จะพยายามพูดกับตัวเองไว้ว่า ฉันจะครีเอทีฟๆ แล้วเราก็จะลุกมาทำอะไรสักอย่างเองให้มันเกิดขึ้น แต่นอนอยู่เฉยๆ มันก็ไม่ใช่นะ” พวกเราต่างหัวเราะและพยักหน้าให้กันหลังจากที่เธอพูดประโยคท้ายจบ
เธออธิบายต่อว่าศาสตร์ของ spiritual เป็นเหมือนอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้เรารักตัวเองมากขึ้น ทำให้เราเป็นตัวเองในอีกเวอร์ชันหนึ่งที่ดีขึ้น
“อย่างที่แซมบอก วิธีการสะกดจิตตัวเอง เราอาจจะเคยได้ยินความหมายของหินต่างๆ แต่พอมาอยู่กับเรามันกลายเป็นอีกความหมายหนึ่งเลยนะ อย่างคนเขาบอกกันว่ากินโรสควอตซ์ (Rose Quartz) อาจจะช่วยเรื่องความรัก แต่พอมาอยู่กับแซม ไม่ได้รู้สึกว่าช่วยเรื่องความรักแต่กลับเชื่อมต่อกับเราในเรื่องของสมาธิมากกว่า สุดท้ายแล้วความหมายมันเปลี่ยนได้ตลอด ซึ่งโอเคถ้าเรารู้สึกกับมันแบบนั้นก็รู้สึกแบบนั้นกับมันต่อไป แล้วให้มันเป็นหินโปรดที่เราพกมันไปเรื่อยๆ”
5
“เมื่อกี้แซมพูดว่า shape of mind แสดงว่าอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญในการรักษาปัญหาสุขภาพจิตคือการปรับเปลี่ยนมายด์เซต ซึ่งเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ยากมากเลย” เราเน้นเสียงที่ประโยคท้ายเล็กน้อยเพื่อสื่อว่ามันยากมากจริงๆ
“เราว่ามายด์เซตสำคัญที่สุด แซมว่าต้องควบคู่กันไปกับการกินยาถึงจะดีขึ้นเรื่อยๆ อย่างคุณพ่อแซมเขาเป็นซึมเศร้า ตอนแรกเขาไม่ยอมไปหาจิตแพทย์อาจจะเพราะไม่อยากกินยา หรืออะไรสักอย่าง แต่พอเขาได้กินพร้อมกับปรับเปลี่ยนมายด์เซต ทุกอย่างก็ค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อย แต่สุดท้ายแล้วมายด์เซตคือปัจจัยที่ทรงพลังมาก
“มีคนเคยพูดกับเราว่า ‘ไม่มีความรู้สึกไหนจะอยู่กับเราตลอดไป’ ไม่ว่าจะเรื่องความรัก กลิ่นอาย บรรยากาศ สักวันหนึ่งมันก็ต้องเปลี่ยน ตัวเราก็เปลี่ยน ความรู้สึกแย่ๆ วันหนึ่งมันก็ต้องหายไป เราไมได้รู้สึกตลอด ร้องให้ 24 ชั่วโมงไปจนตาย
“เรารู้สึกว่าหลายๆ คนชอบตัดสินตัวเองจากอารมณ์ปัจจุบัน แล้วกลายเป็นว่าเหมือนสะกดจิตตัวเองว่าเราจะแย่ตลอดไป ปกติเราก็เป็นคนที่มักปล่อยให้ตัวเองรู้สึกแบบนั้นไปเลย จนเรารู้สึกว่าช่วงหลังๆ มานี้คิดว่าต้องเริ่มเปลี่ยนแล้ว เลยพยายามคิดถึงการสิ้นสุดของความเศร้ามากขึ้นว่า เราจะทำอย่างไรให้ตัวเองดีขึ้น เราจะทำอะไรต่อ เศร้าเสร็จแล้วอย่างไรต่อ ไม่จมอยู่อย่างนั้นนานมาก แม้ว่าบางทีการจมก็เหมือนเราให้เวลากับตัวเอง ไม่กดดันตัวเองขนาดนั้น แต่สุดท้ายแล้วก็อย่าลืมว่าคุณต้องกลับมาทำนู่นนี่นั่นต่อ เศร้าได้แต่อย่าเศร้านาน”
แซมมี่แชร์ต่อว่า อารมณ์ เป็นเรื่องที่จัดการยากมากเหมือนกัน แต่เธอมักจะใช้วิธีการจดบันทึก ไม่จำเป็นว่าจะต้องมีสมุดที่สวย หรือตกแต่งด้วยเทปหลายสี ไม่ต้องคำนึงว่าลายมือตัวเองจะสวยหรือไม่ แค่เขียนสิ่งที่รู้สึกหรือความคิดในหัวลงไป
“ไม่ต้องแบกอะไรทั้งหมดมาไว้ตรงนี้” เธอยกมือขึ้นชี้บนหัวแล้วกล่าวต่อ “บางคนรู้สึกเครียดเพราะว่ามีอะไรที่ต้องจำเยอะมาก มีอะไรที่ต้องรู้สึกเยอะมาก บางทีถ้าเราโยนลงไปในสมุดมันก็อาจจะดีขึ้น พยายามเขียนให้ได้เยอะๆ” เธอหันมาสบตาเราเล็กน้อยแล้วยิ้มให้เบาๆ
6
“I loved you but it was making me sick! sick!” ความรัก ความสัมพันธ์ที่ toxic ก็นับว่าเป็นปีศาจตนหนึ่งที่ แม้ว่า ณ เวลานั้นทั้งสองฝ่าย หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะยังรักอยู่ก็ตาม แต่เมื่อมีพิษเจือปนอยู่ในความสัมพันธ์ก็เหมือนกับปีศาจที่คอยกัดกินจิตใจให้คนทั้งคู่อ่อนแอลงเรื่อยๆ
“เพลงนี้เราเขียนตอนอายุ 16 ปี ตอนนั้นเพิ่งเลิกกับแฟน แต่ตอนนี้ก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่นะ แล้วตลกมากตรงที่ตอนที่เราส่งเพลงนี้ให้เขาฟัง เขาตื่นเต้นกว่าเราอีก เขาแฮปปี้ที่พอเลิกกันแล้วออกมาเป็นผลงานมาสเตอร์พีช”
แซมมี่เสริมต่อว่าที่ความสัมพันธ์ครั้งนั้นกลายเป็น Toxic Relationship ว่าเพราะตอนนั้นทั้งคู่ยังเด็กกันมากเหมือนความรักวัยรุ่นทั่วไปที่มีความคาดหวังว่า เมื่อฉันให้เธอ 100 เธอก็ต้องให้ฉันกลับมา 100 เหมือนกัน แต่เมื่อไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง
“I love you but you it was making me sick” เธอกล่าวทิ้งท้าย
เมื่อความรักทำให้คนทั้งคู่เราป่วยทางใจ ดังนั้น การแยกกันจากกันไปเพื่อเติบโตในหนทางของตัวเองอาจเป็นวิธีการรักษาความสัมพันธ์ของทั้งคู่ รวมถึงรักษาใจตัวเองได้ดีที่สุด
เรื่อง: คุลิกา แก้วนาหลวง | ภาพ: แพรวา ชัยแสงจันทร์