ธนชัย อุชชิน

สุขที่ได้แอบรักของ ป๊อด โมเดิร์นด็อก ในวันที่ชีวิตคลี่คลายกลายเป็น Balloon Boy ที่สดใส

ลึกเข้าไปในทางเดินเล็กๆ ของ Bluebird Jazz Bar เราค่อยๆ พาตัวเองเดินขึ้นไปยังชั้น 3 ของร้าน ที่วันนี้มีแขกเริ่มหนาแน่นตั้งแต่หัวค่ำ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกำลังจะมีคอนเสิร์ตเล็กๆ แบบเป็นกันเองของ Balloon Boy หรือ ธนชัย อุชชิน ฟรอนต์แมนของวงโมเดิร์นด็อก ที่จะนำเพลงจากอัลบั้มเดี่ยวของตัวเองมาโชว์ครั้งแรกให้กับเพื่อนและคนสนิทของเขาได้ชม เป็นเกียรติอันอบอุ่น สำหรับผู้ได้รับคำเชิญนัก

 

ธนชัย อุชชิน

1

        เมื่อก้าวมาจุดหมายซึ่งเป็นห้องสี่เหลี่ยมโล่งๆ ที่จุคนได้ราวๆ 30 หรือ 40 คนแบบกำลังพอดี เราพบกับก้อ (ณฐพล ศรีจอมขวัญ) กับภรรยามานั่งรอชมการแสดงอยู่ก่อนแล้ว จึงทักทายกับพี่เขาเล็กน้อยก่อนที่นภ พรชำนิ จะตามมาสมทบและนั่งลงข้างๆ และแลกเปลี่ยนเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปีนี้ด้วยกันอย่างเพลิดเพลิน รู้สึกตัวอีกทีผู้คนก็เข้ามานั่งอยู่ในห้องนี้จนเต็ม ไม่กี่อึดใจจากนั้น เด็กชาย Balloon Boy ในร่างของ ธนชัย อุชชิน ก็เดินเข้ามาทายเราและแขกเหรื่อในงานก่อนขึ้นไปแสดงโชว์เปิดอัลบั้มของเขา 

        เพลงของ Balloon Boy นั้นค่อนข้างเรียบง่าย ใช้เครื่องดนตรีน้อยชิ้น หัวใจหลักคือเสียงร้อง เนื้อเพลง และดนตรีที่เขาทำขึ้นเองหลังจากไปเรียนการทำเพลงด้วยโปรแกรมทำเพลง แต่เหนืออื่นใด สิ่งที่เขาเคยบอกไว้ก่อนหน้านี้คือ งานศิลปะเป็นแรงผลักดันที่ทำให้ชายคนนี้อยากกลับมาทำเพลงอีกครั้ง

        “ผมเหมือนพาตัวเองย้อนกลับไปตอนเรียนอยู่ช่วงมัธยมปีที่ 2 ตอนทำเพลงของ Balloon Boy” 

        คำพูดนี้ลอยขึ้นมาในหัวเราทันทีเมื่อเพลง ไปโรงเรียน เล่นขึ้นมา เสียงซินธิไซเซอร์บางๆ ที่ลอยคลออยู่ทั้งเพลง กลับเสริมให้เสียงร้องของเขามีเสน่ห์มากขึ้น บรรยากาศภายในห้องที่เต็มไปด้วยผู้คนและความร้อนที่เกิดขึ้น ทำให้เครื่องปรับอากาศตัวเขื่องต้องทำงานอย่างหนัก แต่เมื่อคอนเสิร์ตเริ่มขึ้น กลับไม่มีความรู้สึกอึดอัดหรือไม่สบายตัวเลย

        “วันนี้ฉันมีความสุข ไม่มีทุกข์ในเรื่องใด ก็เพราะว่าภายในใจ ยังคงรอใครสักคน” คือท่อนที่สะกิดใจเราทันทีตั้งแต่ได้ยินครั้งแรก และแอบอมยิ้มเล็กน้อยที่ตัวเองเหมือนจะเข้าใจความรู้สึกนี้แบบเดียวกับเจ้าของเพลง 

        จากเพลงที่หนึ่งไปสู่เพลงที่สองและต่อด้วยสามสี่ห้าจนเพลงสุดท้าย ช่วงต่อระหว่างเพลงเขาก็หยุดพูดคุยกับคนดูเล็กน้อย จิบชาเขียวเย็นๆ เป็นระยะ เชิญเพื่อนอย่าง ก้อ ณฐพล ขึ้นมาแจมสองเพลง บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่น เคล้าคลอกับเพลงฟังสบายที่รื่นหู ความหมายดี ดนตรีไพเราะ จนคนดูต้องร้องอังกอร์เมื่อเพลงสุดท้ายจบลง ซึ่งถ้าให้สารภาพตามตรง เราอยากจะขอให้เขาเล่นทุกเพลงให้ฟังอีกรอบด้วยซ้ำ แต่เท่านี้ก็อิ่มเอมกับใจเราพอดีแล้ว 

        นั่นสินะ อะไรที่มากไปหรือน้อยไปก็ทำให้เรารู้สึกทุกข์ได้ทั้งนั้น 

2

        หลังทักทายคนดูและเพื่อนๆ กันสักพัก เขาก็เดินมานั่งคุยกับเราพร้อมกับแก้วที่มีไวน์ขาวและละอองน้ำเย็นๆ เกาะอยู่รอบตัวแก้ว ดวงตาของเขาเปล่งประกายมีความสุขอย่างเต็มที่ เมื่อผมบอกเขาไปว่าชอบทุกเพลงของ Balloon Boy คล้ายว่างานเพลงนี้บอกเราถึงความคลี่คลายบางอย่างในชีวิต

        “เป็นไปได้ว่าเราไม่ได้คาดหวังกับอะไร ความสุขสำหรับเราจริงๆ คือ ความรักที่ไม่คาดหวังว่าเขาจะรักเราตอบ” 

        ข้อสังเกตอีกอย่างคือ เพลงของ Balloon Boy นั้นอบอวลไปด้วยความรัก แต่ในเนื้อเพลงแทบหาคำว่า ‘รัก’ ไม่เจอเลย เมื่อผมเปิดประเด็นนี้ เด็กชายลูกโป่งก็ตาโตขึ้นมาทันที และบอกเราว่านั่นสินะ เขาเองก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าแต่ละเพลงของเขาใช้คำว่ารักน้อยมาก จนอาจจะไม่มีเลยด้วยซ้ำ 

        หรือเพราะรักที่ไม่ต้องมีคำว่ารัก การที่ไม่ต้องหาคำอะไรมาจำกัดความปล่อยให้หัวใจเป็นอิสระนั่นอาจจะเป็นทางที่พาเราไปรู้จักกับความสุขจริงๆ 

 

ธนชัย อุชชิน

 

        “อาจจะเหมือนกับที่เมื่อก่อนเราคิดว่าตัวเองยังไม่พร้อมที่จะทำอัลบั้มเดี่ยว แต่ตอนนี้เราสามารถทำเพลงด้วยตัวเองได้เกือบทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเลือกซาวนด์ดนตรี แต่งทำนอง มิกซ์เพลง จนถึงขั้นตอนการจบเพลง ซึ่งเป็นความสุขคนละแบบกับการทำงานร่วมกันกับวงโมเดิร์นด็อก เป็นความสุขที่เราได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง ค่อยๆ ละเลียดค่อยๆ ทำไป ซึ่งก็ทำมาเรื่อยๆ รวมๆ แล้วก็สองปี นับตั้งแต่วันแรกที่เราไปเรียนทำเพลงด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์” 

        เหมือนกับคำที่หลายคนบอกว่า บางครั้งก็ต้องให้ชีวิตกับความคิดใช้เวลาในการตกตะกอนสักพักเพื่อให้เห็นว่าแท้จริงแล้วเราต้องการอะไรกันแน่

3

        ผู้คนในห้องเริ่มเบาบางลง บางคนเดินเข้ามาล่ำลา บางคนก็จับกลุ่มคุยกันอย่างสนุกสนาน บรรยากาศภายในห้องเต็มไปด้วยความผ่อนคลาย แก้วที่มีไวน์ขาวอยู่ข้างๆ พร่องไปพอสมควร แต่ความสุขที่เกิดขึ้นระหว่างคุยกันกลับยิ่งเพิ่มขึ้น เหมือนไวน์ขาวที่ผ่านการหมักบ่มจนได้ที่ เกิดเป็นรสชาติที่นุ่มนวล กลมกล่อม และสดชื่น 

        “ย้อนกลับไปนึกถึงวันแรกที่ผมไปลงเรียนทำเพลง ครูที่สอนก็ถามว่าผมจะมาเรียนทำเพลงไปทำไม” เขาเล่าเรื่องราวกลับไปในวันนั้นให้ฟังอย่างอารมณ์ดี และหัวเราะขึ้นมาเมื่อนึกถึงหน้าคุณครูที่ออกอาการไปไม่เป็นเหมือนกัน หลังจากบอกความต้องการของตัวเองว่าอยากทำเพลงง่ายๆ สบายๆ ไม่ต้องหนักหน่วงเหมือนที่คนติดภาพว่าเขาคือนักร้องนำของวงหมาทันสมัย ขวัญใจวัยรุ่นตั้งแต่ยุค 90s

        “ตอนนั้นเราจูนความคิดกับครูเยอะมากว่าอยากได้เพลงเท่านี้จริงๆ ไม่ต้องสวิงสวาย เอาแค่พอดีกับสภาวะจิตของเราในตอนนี้ แล้วก็ชวนครูให้มาช่วยทำเพลงด้วยกันเสียเลย” 

        ความมินิมอลที่ว่านั้นได้ถ่ายทอดออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนในเพลง กอดคอ เพลงที่มีเนื้อหาสั้นๆ ที่พูดถึงการคิดถึงใครสักคนชวนให้สุดเหงา แต่กลับรู้สึกมีความสุขอย่างแปลกประหลาด 

        “ที่เคยหยอกล้อด้วยกัน ที่เคยกอดคอทุกๆ วัน เพลงที่เธอร้องกับฉัน ยังคิดถึงคืนวันเหล่านั้น”

        เมื่อไม่คาดหวังให้ทุกอย่างหวนกลับมา เราจึงดื่มด่ำกับความสุขในวันวานโดยไม่ต้องจมอยู่กับทุกข์ที่เคยเกิดขึ้น นี่คือการคลี่คลายความรู้สึกออกมาแล้วเอาส่วนที่ไม่ดีนั้นออกไป คงไว้แค่สิ่งดีๆ ที่เคยผ่านมา  

4

        จะมีทางลัดที่ช่วยให้ตกตะกอนทางความคิดได้อย่างเขาไหม เพราะบางทีกับเรื่องบางเรื่องเราก็ร้อนใจจนรอให้ชีวิตล่วงเลยผ่านไปไม่ไหว ผมเอ่ยถามถึงขั้นตอนการบ่มความรู้สึกให้สุกเร็วขึ้นอีกนิด เพราะอยากมีความสุขกับชีวิตได้อย่างนี้บ้าง 

        สายตาที่เอ็นดูมองมาอย่างปลอบโยน พร้อมกับการแตะบ่าเป็นเชิงปลอบใจ 

 

ธนชัย อุชชิน

 

        “ผมใช้ศิลปะมาเป็นเครื่องมือในการบำบัดความรู้สึกของตัวเอง” นี่คือเหตุผลว่าทำไมช่วงหลังเรามักจะเจอเขาได้ตามงานแสดงศิลปะและเวิร์กช็อปการสอนศิลปะต่างๆ บ่อยเป็นพิเศษ 

        “ศิลปะช่วยปรับสมดุลให้กับชีวิตของผม โดยเฉพาะงานศิลปะแนวแอ็บสแตร็ก นั้นช่วยพาเราออกไปจากความคิด เรื่องราว และการตัดสิน ไม่มีถูกหรือผิด สวยหรือไม่สวย เหมือนวิญญาณของผมได้รับการปลดปล่อย ให้หัวใจได้ไหลไปกับสิ่งที่เรารู้สึก แล้วก็เอาความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้นมาปลดปล่อยลงไปในผลงาน เมื่องานออกมาจนเสร็จแล้วก็เหมือนเราได้ระบายอะไรบางอย่างออกไป เราจะรู้สึกโล่งและมีความสุข” 

        ใช่ – ความสุขจากการไม่ตัดสิน สิ่งนี้แสดงออกมาให้เห็นได้ชัดเจนเวลาที่เราเจอเขาในคลาสสอนศิลปะที่ครูป๊อดจะแสดงความตื่นเต้นทุกครั้ง เมื่อนักเรียนของเขาสร้างสรรค์ผลงานอะไรสักชิ้นขึ้นมา เหมือนเขามองด้วยสายตาของเด็กที่ตื่นเต้นกับทุกอย่างตรงหน้า จนเรายังอิจฉาอยากให้ความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้นกับตัวเองตลอดเวลาทุกครั้ง ไม่ว่าตัวเองจะอายุ 28 หรือ 80 ก็ตาม 

        “การที่เราอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานเกินไป อาจจะทำให้ถึงจุดที่ความรู้สึกของตัวเองนั้นตันขึ้นมา แต่ถ้าเราหาอะไรสักอย่างมาช่วยปรับสมดุลให้ตัวเอง พาเราออกไปจากวงจรชีวิตเดิมๆ ได้ เราอาจจะจัดการกับความคิดของตัวเองได้ แล้วสิ่งใหม่ๆ จะเข้ามา” 

        เพราะการใช้ชีวิต เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงการตัดสินอะไรได้ทั้งหมด มนุษย์กับการเลือกนั้นอยู่คู่กันตั้งแต่วันที่ตัวเองยังไม่เริ่มตั้งไข่เสียด้วยซ้ำ การแบ่งฝักแบ่งฝ่ายเลือกข้างจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เราต้องเข้าใจว่าคือธรรมชาติของคนในสังคม อันนี้เอา อันนั้นไม่เอา เรื่องนั้นดี เรื่องนี้แย่ กระทั่งตัดสินตัวเองว่าเราไม่น่าทำอย่างนั้น รู้อย่างนี้ทำแบบนี้ดีกว่า และค่อยๆ เก็บความรู้สึกนี้ใส่ตัวจนล้น หนักอึ้งและทุกข์ตรม 

        “เมื่อถึงวันหนึ่งถ้าคุณยังไม่คลี่คลายความรู้สึกของตัวเอง วันนั้นใจคุณอาจจะสลายได้” 

        ฟังแล้วอาจรู้สึกหดหู่ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่อย่างนั้นเลย เพราะในที่สุดเขาก็บอกว่า เรามีสิทธิเลือกที่จะตัดสินสิ่งเหล่านั้นด้วยใจแบบไหน ถ้าเราใช้หัวใจที่มีความสุขเป็นเครื่องมือ ความรู้สึกบั่นทอนก็จะไม่เกิดขึ้นกับหัวใจของเราและใครๆ 

        คงเหมือนกับที่เขาเลือกจะกลับไปเป็นเด็กชายที่ร่าเริงและสดใสในนาม Balloon Boy นั่นเอง