ชีวิตคือการจบให้สวย

ในแต่ละช่วงของวัน ภาพที่ผู้เขียนมักจะชอบมากที่สุด และถ่ายรูปเก็บไว้มากที่สุด น่าจะเป็นภาพพระอาทิตย์ตกดิน ความที่เป็นช่วงที่ฟ้าละเลงสีสันได้สนุกที่สุด จัดจ้านที่สุด คาดเดาได้ยากที่สุด เพราะไม่รู้ว่าจะสาดสีอะไรออกมา รู้แค่ว่ามันสวยจับใจ ในเวลาแค่ไม่กี่นาที ก่อนความมืดจะมาเยือน และเมื่อรอถึงพรุ่งนี้ เวลาเดียวกันนี้ ทุกอย่างก็จะไม่เหมือนเดิม

        พระอาทิตย์ตกดิน มีความหมายกับแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนรู้สึกสงบ คลี่คลาย เพราะรู้ว่าอีกไม่นานก็จะมืดลง ปลดเปลื้องภาระของวันนั้นได้เสียที พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ แต่ก็มีบางคนเหมือนกันที่มองเห็นพระอาทิตย์ตกดินแล้วความรู้สึกจมดิ่ง หากพระอาทิตย์ยามเช้าคือการเริ่มต้น คือชีวิตใหม่ พระอาทิตย์ตกดินก็คือด้านตรงข้าม คือการจบสิ้น คือการลาจาก

        แต่เอาเข้าจริง ชีวิตไม่ได้เป็นเส้นตรงขนาดนั้น พระอาทิตย์ขึ้นของบางคน อาจคือการจบสิ้นของบางเรื่อง ขณะที่พระอาทิตย์ตก คือการเริ่มต้นของอะไรอีกหลายอย่างก็ได้…

        สองอาทิตย์ที่ผ่านมา ผู้คนและเรื่องราวที่ผู้เขียนเจอ วนเวียนอยู่กับเรื่อง ชีวิต การอยู่ การลาจาก แทบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการสัมภาษณ์คุณหมอที่พูดเกี่ยวกับเรื่องการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย หรือการสัมภาษณ์ผู้ป่วยที่มีความหวังกับทุกวันของชีวิตเสมอ แต่ท้ายที่สุด ไม่ว่าจะอยู่ในสถานภาพใด… สิ่งที่พาชีวิตไปต่อได้ คือการยอมรับความจริง ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ต้องปล่อย ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้จะฟังดูเรียบง่ายก็ตามที

        ต้นไม้บางชนิด จะออกดอกสวยงามที่สุดตอนที่ใบไม้ร่วงแล้วทั้งหมด คล้ายเป็นห้วงยามที่สง่างามที่สุดของฤดูกาลแห่งชีวิต ไม่คร่ำครวญนาน แต่เบ่งบานให้เต็มที่ โดดเด่นบนกิ่งก้านที่โดดเดี่ยวแบบที่คนที่เฝ้ามองอย่างเราๆ ได้แต่ชื่นชมอยู่ไกลๆ

        พระอาทิตย์ก็เช่นกัน สวยงามที่สุดตอนใกล้จะหมดวัน หยุดเวลาให้นานกว่านั้นก็ไม่ได้ ทำได้แค่มองและยอมรับกับความมืดที่จะตามมา

        “เราทำอะไรไม่ได้” คำนี้ก้ำกึ่งระหว่างการยอมแพ้กับการยอมรับ แต่มันชี้ขาดกันตรงที่ วิธีคิดของเรากับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า เราจะรู้สึกเศร้ากับการยอมแพ้ แต่เราจะเข้มแข็งกับการยอมรับ และคนที่ยอมรับความจริงของชีวิตได้ทุกสถานการณ์โดยไม่ตีโพยตีพายสำหรับเรา ก็ห่างไกลเกินคำว่าแพ้ไปมาก

        บางครั้งพวกเขาอาจจะเข้มแข็งจนเราต้องยอมแพ้ไปเองก็ได้

        คนให้สัมภาษณ์คนหนึ่งอยู่กับความตาย จนเข้าใจลึกซึ้งถึงคุณค่าของการมีชีวิตและการเตรียมพร้อมเพื่อจบให้งดงามที่สุด อีกคน อยู่กับชีวิตที่พร้อมจะจากไปได้ทุกเมื่อ จนเลิกจดจ่อกับความตาย และเลือกที่จะสนุกกับชีวิตให้เหมือนวันสุดท้าย สาดสีทุกอย่างให้สุด เพราะอีกไม่นาน ก็จะมืดแล้ว…

        ชีวิตเป็นเรื่องที่ไม่อาจรู้ตอนจบได้ ทำได้ดีที่สุดแค่ออกแบบไว้ให้ดี แต่จะจบเหมือนที่คิดไว้หรือไม่ก็คงสุดแล้วแต่ปัจจัยในเวลานั้น แต่เชื่อว่าถ้าเทียบกับการไม่ได้คิดเผื่ออะไรไว้เลย ก็น่าจะสาหัสกว่ากันมาก

        นึกไปถึงสมัยเรียนขี่ม้า การออกแบบท่าตก จึงเป็นเรื่องที่ต้องคิดทุกครั้งว่าถ้าตก จะลงยังไงให้เจ็บน้อยที่สุด ท้ายที่สุด พอร่วงลงมาจริงๆ ก็แทบไม่มีเวลาคิดอะไร อาศัยสติอย่างเดียวว่าจะเอายังไงกับตัวเองระหว่างนอนนิ่งๆ กับกลิ้งตัวหลบไม่ให้โดนเหยียบซ้ำ

        ถ้าจะถามว่าทั้งสองเรื่อง -การมีชีวิตอยู่ และการจากไป- ทำให้เศร้ามั้ย? ก็คงตอบไม่ถูก เพราะไม่เชิงว่าเป็นเรื่องเศร้าเคล้าน้ำตาขนาดนั้น แต่อาจจะสะเทือนอยู่ข้างในบ้างตรงที่ว่า บางทีคนที่น่าเศร้าที่สุดอาจจะเป็นคนที่ไม่เคยออกแบบตอนจบและปล่อยชีวิตเลยตามเลยจนแลดูเหมือนตายทั้งที่ยังอยู่ก็ได้

        ท่ามกลางความผุพังของร่างกาย หรือท่ามกลางชีวิตที่ดีบ้างร้ายบ้าง ถามไถ่กันคำต่อคำแล้ว คำตอบของหลายๆ คนล้วนแต่ยังอยากมีชีวิตอยู่ แค่จะอยู่อย่างไรให้ดีที่สุดเท่าที่ชีวิตจะให้โอกาสได้ แต่ไม่เคยคิดสักครั้งว่าไม่อยากอยู่ แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าอยู่ไม่ง่าย แต่ก็หวังว่าสุดท้าย จะเป็นการจากไปที่ดี

        อยู่ให้ดี จบให้งาม และยอมรับความจริง… ไม่ได้ขออะไรมากมายกว่านั้น

        บทสนทนาจบไปหลายวันแล้ว แต่สิ่งที่ตกค้างในความรู้สึกยังหนักหน่วง แม้จะเห็นคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ชัดเจนขึ้นก็ตาม

        มนุษย์คงไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดที่จะเลือกนาทีสุดท้ายของตัวเองได้ เพราะแม้แต่ท้องฟ้าก็ไม่ได้สัญญาว่าจะสวยทุกวัน บางวันฝนตกหนักจนมองไม่เห็นแม้แต่แสงอาทิตย์เลยก็มี ไม่มีใครรู้จริงๆ ว่าแต่ละวันของแต่ละคนจะจบอย่างไร มีก็แค่ความหวังว่าขอให้มันจบให้สวยงามเท่าที่จะสวยได้ ตราบเท่าที่มีเวลาเหลืออยู่

        ตราบเท่าที่ยังเห็นทั้งพระอาทิตย์ขึ้นและตกในแต่ละวัน

        แน่นอนว่าทุกวันนี้ผู้เขียนก็ยังสนุกและหลงใหลในการถ่ายภาพพระอาทิตย์ตกอยู่เสมอ เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของสีสันได้ชัดเจนที่สุด ถ้าเป็นวงดนตรี ช่วงเวลานั้นก็น่าจะเป็นช่วงส่งท้ายที่นักดนตรีเล่นแบบสุดหัวใจถวายชีวิต

        จบแล้ว จบเลย ไม่มีต่อเวลา

        นาทีนั้น ความเปลี่ยนแปลงนั่นแหละที่น่าเคารพที่สุด ยิ่งเห็นความเปลี่ยนแปลงมากและบ่อยเท่าไหร่ เราจะรู้เองว่าควรใช้ชีวิตอย่างไร เพื่ออะไร เราจะตอบคำถามที่สำคัญนี้ได้โดยไม่ลังเล

        บางคน บางเรื่อง ไม่มีอะไรเลยตอนเริ่มต้น แต่จบลงแบบยิ่งใหญ่ สง่างาม และยากจะลืม


เรื่อง: วิไลรัตน์ เอมเอี่ยม