แผลที่รักษาไม่หาย

คำพูดที่ไม่ระวัง ก็คืออาวุธที่เชือดเฉือนหัวใจคนได้ลึกล้ำที่สุด และข่าวร้ายก็คือ มันสามารถฝากรอยแผลและความเจ็บปวดให้กับคนฟังได้ยาวนานไปชั่วชีวิต บางกรณี คนพูดตายไปนานแล้ว คนฟังยังจดจำไม่มีวันลืม ต่อให้ไม่อยากจำแค่ไหนก็ตาม 

        ลองไปถามคนรอบตัวดูเถอะ เชื่อว่าร้อยทั้งร้อยต้องเคยบาดเจ็บเพราะคำพูดหรือปากคนกันมาทั้งนั้น บางคนเยียวยาตัวเองได้ แต่บางคนแทบจะติดหล่มความเจ็บปวดนั้นแบบไม่มีทางหลุดพ้น และคงต้องบอกว่าเวลาไม่ได้เยียวยาทุกคนได้เสมอไป บางคนใช้ทั้งชีวิตเพื่อกอบกู้ความมั่นใจเพียงเพราะคำพูดด้อยค่าจากปากคนอื่น… คนที่เผลอคิดไปว่าตัวเองสูงค่ากว่าใครในโลก 

        เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ทุกวัน ใช่ มันเกิดขึ้นในวันที่ผู้คนน่าจะเข้าใจความหมายของคำว่า empathy ได้มากกว่าเดิมหลายเท่า หรือเอาเข้าจริง เราใช้คำนี้เพราะมันฟังดูดี แต่จะเข้าใจไหมก็อีกเรื่อง?​

        การใช้คำพูดเชือดเฉือนกัน เป็นวิธีหนึ่งในการทำร้ายคนที่เป็นศัตรู เพราะมันจะพุ่งตรงไปทำร้ายจิตใจให้แตกสลาย เลือดไหลเป็นทางได้โดยมองไม่เห็น ส่วนใหญ่แพตเทิร์นในการทำร้ายกันก็หนีไม่พ้นการโจมตีไปที่ความภูมิใจของคนอื่น ด้อยค่าความรู้ความสามารถ กดข่มความเป็นมนุษย์ให้ต่ำต้อย ฯลฯ ถ้าอีกฝ่ายทนรับไม่ไหว ก็ต้องสู้กลับในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง เพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกเจ็บปวดบ้าง ใครเจ็บกว่า ล้มเร็วกว่า คนนั้นก็ชนะ เพียงแต่บ่อยครั้งเราอาจไม่ได้สังเกตเลยว่า คนที่ฟังอยู่นั้น เผลอๆ ก็ไม่ใช่ศัตรูคู่แค้นเรามาตั้งแต่แรก อาจเป็นคนที่เราเคยรัก เคยดีกันมาก่อนด้วยซ้ำ แต่ด้วยเหตุผลอย่างใดอย่างหนึ่ง ณ ขณะใดขณะหนึ่ง ที่เราหลงลืมสถานะนั้นไป และอยากเพียงแค่ระเบิดอารมณ์ออกมาตามประสามนุษย์ 

        พูดแล้วก็แล้วกัน 

        แต่สะเก็ดระเบิดนั้นกระเด็นไปฝังในหัวใจใคร หรือไปปักหัวใครบ้าง เราไม่เคยรับรู้ ไม่เคยนึกถึง ไม่เห็นใจในความเป็นมนุษย์ของคนอื่นเลยด้วยซ้ำ

        เพื่อนหลายคนมาคุยกับผู้เขียนว่า คนรัก คนเคยรัก เพื่อน ญาติ เจ้านาย หรือกระทั่งครูบาอาจารย์ ใช้คำพูดที่รุนแรงมากจนเกินรับไหว ทางกายภาพอาจจะเลิกคบหาหรือถอยห่างจากชีวิตคนคนนั้นมาได้ แต่ทางความรู้สึกนั้น… คำพูดดังกล่าวไม่เคยจางหาย หลับก็คิด ตื่นก็คิด เหมือนอะไรสักอย่างมากระซิบข้างหูตลอดเวลา จะว่าเป็นอาการหูแว่วของคนบาดเจ็บทางใจก็อาจจะใกล้เคียง 

        “อนาคตเธอไปไหนไม่ไกลหรอก เป็นได้แค่โจรเท่านั้นแหละ” คำพูดจากอาจารย์คนหนึ่ง

        “อยู่กับเธอแล้วชีวิตมันตกต่ำน่ะ” คำพูดจากคนเคยรักของเพื่อนคนหนึ่ง

        “ทำไมเธอทำงานเหมือนคนไม่มีสมอง เงินเดือนก็เยอะ” คำพูดของอดีตเจ้านายของเพื่อนคนหนึ่ง

        น่าแปลกที่ทุกคนมีเหตุผลในการพูดคล้ายๆ กันว่า อยากให้คิดได้ อยากให้คำพูดเป็นแรงฮึด 

        ฮึดบิดาพี่สิ อินเนอร์ภายในของหลายๆ คนคงน่าจะกล่าวคำนี้อยู่ (นี่น่าจะเป็นเวอร์ชันสุภาพที่สุดแล้วเท่าที่สามารถสื่อสารได้) 

        สมัยเรียน จะมีอาจารย์อยู่ท่านหนึ่ง ที่ผู้เขียนนึกถึงทีไรแล้วเหมือนแผลในใจมันจะเปิดทุกครั้ง ไม่รู้เหมือนกันว่าตลอดเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา ทำไมถึงไม่สามารถลืมถ้อยคำแบบนั้นได้เสียที คำพูดสั้นๆ ว่า “เขียนอะไรมา อ่านไม่รู้เรื่อง Broken English, Disaster” จากเหตุการณ์ส่ง essay ในวิชาหนึ่ง สมัยที่ยังอ่อนด้อยในวิชาการเขียนภาษาอังกฤษ

        คำพูดของอาจารย์ นอกจากจะไม่ทำให้ตัวเองฮึดแล้ว ตัวตนยังพังพาบลงมา เหมือนตึกที่พังทลายเป็นเศษหินดินทราย กว่าจะตะเกียกตะกายต่อสู้ร่ำเรียนจนผ่านพ้นมาได้ กว่าจะพลิกฟื้นกู้ซากตัวตนที่พังขึ้นมาอีกครั้งได้ก็ต้องใช้คำว่าสาหัส แต่ความสัมพันธ์กับอาจารย์ท่านนั้นไม่สามารถฟื้นคืนได้อีกเลย แม้วันนั้นโลกยังไม่ค่อยพูดถึงคำว่า empathy มากมายนัก แต่ในพจนานุกรมภาษาอังกฤษ หรือภาษาไทย มันบรรจุคำว่า ‘ความเห็นอกเห็นใจ’ มานานนับร้อยปี นานเกินกว่าที่อาจารย์ด้านภาษาจะบอกว่าไม่รู้จัก 

        แต่อาจารย์ก็ไม่รู้จักคำนั้นจริงๆ ไม่ว่าจะมองในทางใด อาจารย์ไม่เคยถามสักคำว่า เด็กคนหนึ่งผ่านอะไรมา มีพื้นฐานความรู้แค่ไหน พื้นฐานครอบครัวขาดอะไร ต้องการความช่วยเหลือตรงไหน อาจารย์ยื่นหนังสือมาให้หนึ่งเล่มถ้วน แล้วให้จดชื่อคนเขียน บอกเพียงว่า “ไปซื้อมาอ่านเอง เธอโตแล้ว ฉันขี้เกียจสอน” 

        เรียกว่าเดินออกมาจากห้องอาจารย์ด้วยความรู้สึกวินาศสันตะโร ทุกวันนี้เห็นหนังสือเล่มนั้นที่เป็นคู่มือการเรียนของคนเรียนภาษาอังกฤษทั่วโลกแล้วผู้เขียนยังต้องเบือนหน้าหนี หลายสิบปีต่อมามีโอกาสบินข้ามน้ำข้ามทะเลไปเรียนต่างประเทศ จนได้ certification วิชาภาษาอังกฤษในระดับ ‘Advance’ ผู้เขียนก็ยังไม่วายนึกถึงคำพูดในห้องอาจารย์คนดังกล่าว…

        มันไม่ใช่แรงฮึด มันไม่ใช่แรงผลักดันอะไรทั้งนั้น คำพูดที่เจ็บปวด ก็คือคำพูดที่เจ็บปวด เพียงแต่มันส่งผลร้ายแรงกับแต่ละคนไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจ วิธีคิด วิธีข้ามผ่านของแต่ละคน… ผู้เขียนอาจจะโชคดีที่เดินหน้าต่อไป ไม่ใช่เพื่อลบคำสบประมาทของคนอื่น แต่ทำเพื่อตัวเองในอนาคต และทำเพื่ออนาคตของตัวเองเท่านั้น 

        ตัวเองในอดีต คำพูดในอดีต ความเจ็บปวดในอดีต ก็ให้มันอยู่ในอดีต เราอาจจะเลิกเคารพคนที่พูดคำนั้นกับเราไปแล้ว แต่เรายังต้องเหลือความเคารพตัวเองเสมอ… ตลอดไป 

        สิ่งที่อยากบอกและตอกย้ำกับหลายๆ คนในวันนี้ก็คือ ถ้าคุณต้องพูดอะไรออกมาสักคำ อย่าใจร้ายกับคนอื่น และถ้าคุณเป็นคนที่ต้องรับฟังคำนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็อย่าใจร้ายกับตัวเองด้วยการจดจำคำพูดนั้นจนไม่เป็นอันทำอะไร 

        อย่างน้อยก็เดินหน้าใช้ชีวิตต่อไป เปลี่ยนแปลงตัวเองเพราะรักตัวเอง อย่าเปลี่ยนเพียงเพราะอยากพิสูจน์กับคนที่พูดไม่คิด…


เรื่อง: วิไลรัตน์ เอมเอี่ยม