เมื่อเดือนก่อนเพิ่งพาแม่ไปโรงพยาบาล และเหตุการณ์ในเช้าวันนั้นก็แสดงให้ตระหนักว่าผมยังไม่เข้าใจอะไรเลยในเรื่องความหมายของชีวิต ยังไม่เข้าใจอะไรเลยจริงๆ
ก่อนหน้านั้นแม่มีอาการบวมน้ำมาหลายวัน เอานิ้วกดที่หน้าแข้งแล้วเป็นรอยบุ๋มยุบลงไป พอพาไปโรงพยาบาล หมอบอกว่าแม่มีภาวะหัวใจล้มเหลว ไม่มีแรงสูบฉีดเลือด อีกทั้งไตที่เสื่อมไปตามวัย เพราะกินยาแก้ปวดติดต่อกันมาเป็นเวลานาน ทำให้เกิดน้ำขังอยู่ภายในร่างกายและกำลังท่วมปอด ต้องนอนโรงพยาบาล กินยาขับปัสสาวะ และเฝ้าดูอาการไปเรื่อยๆ จนน้ำถูกขับถ่ายออกมาหมด กว่าจะได้กลับบ้านก็เป็นอาทิตย์
หมอให้นางพยาบาลเขียนใบนัดให้กลับมาติดตามอาการอีกครั้งในสัปดาห์หน้า แม่ถามหมอว่าจะไม่ต้องมาอีกแล้วได้ไหม ตอนนี้หายดีแล้ว ไม่อยากเสียเวลามานั่งรอคิวนานๆ หมอแค่ยิ้มแล้วก็ส่งใบนัดมาให้
“ไม่ต้องแล้วล่ะ แค่ไหนก็แค่นั้น ไม่ต้องพาข้ามาแล้ว เอ็งจะได้ไม่ต้องเสียเวลาด้วย” แม่บ่นแบบนี้ตลอดทางที่เรานั่งแท็กซี่กลับบ้านด้วยกัน และเขายังคงบ่นแบบนี้ตลอดสัปดาห์หลังจากนั้น จนกระทั่งคืนก่อนวันนัดหมาย ผมบอกให้เขางดอาหาร งดน้ำ เพื่อเตรียมตัวรอเจาะเลือดตอนเช้าตรู่ รุ่งเช้ารถแท็กซี่มาจอดรอที่หน้าบ้าน แม่ยังคงบ่นงึมงำตลอดทางจากบ้านไปโรงพยาบาล “ถึงจะไปหาหมอก็แค่นั้นเอง ไม่มีทางที่มันจะดีขึ้น แก่แล้ว พอแล้ว ถ้าจะต้องลำบากมากขนาดนี้ ข้าก็ไม่ได้อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว”
คนขับแท็กซี่เหลือบตามองกระจกหลัง ส่วนผมเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถ ตัวเลขไฟแดงนับถอยหลังไปเรื่อยๆ พอถึงไฟเขียวเราก็แทบจะยังไม่ได้ขยับไปไหน ตัวเลขไฟเขียวนับถอยหลังไปจนเปลี่ยนเป็นไฟแดงอีกครั้ง รอบแล้วรอบเล่า ตัวเลขถดถอยลง เวลาหมดสิ้นลง แล้วก็เริ่มต้นใหม่ แล้วก็สิ้นสุดลงอีกครั้ง ที่กลางสี่แยกนั้นเหมือนชีวิตมันวนเวียนเป็นวัฏจักรชั่วกัปกัลป์
ที่โรงพยาบาล เส้นทางการตรวจร่างกายซับซ้อนราวเขาวงกต ผมเข็นรถพาแม่เข้าห้องโน้นออกห้องนี้ วัดความดัน ชั่งน้ำหนัก เจาะเลือด เก็บปัสสาวะ เอ็กซเรย์ และพาไปทำเอคโคหัวใจ จนหมดครบถ้วนทุกขั้นตอน แม่บ่นกับนางพยาบาลทุกคน ในทุกห้องตรวจ นางพยาบาลรับเอกสารเวชระเบียนปึกใหญ่ จดบันทึกขยุกขยิก แล้วบอกให้เราไปหาข้าวหาปลากินกันก่อนระหว่างรอพบหมอ
ถ้าไม่มาโรงพยาบาล วันๆ แม่ก็แทบจะไม่ได้อะไรอยู่แล้ว ไม่ค่อยได้ออกจากบ้านไปไหน หลังจากที่ป๊าหกล้มและนอนติดเตียงอยู่กับบ้านตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว แม่ออกจากบ้านแค่ไปซื้อของกินของใช้ที่บิ๊กซีแถวบ้าน และบางทีผมก็พาไปกินสุกี้เอ็มเคบ้างเท่านั้น นอกนั้นแต่ละวันๆ ผ่านไปด้วยการช่วยหุงหาอาหารนิดหน่อยให้ผู้ช่วยที่มาเฝ้าป๊า เวลานอกเหนือจากนั้น เขานอนเฝ้าหน้าจอทีวีอยู่ในห้องตัวเอง รายการโปรดคือพวกรายการพาชิมอาหารร้านทั่วประเทศไทย
ที่โรงอาหารของโรงพยาบาล ผมสั่งต้มเลือดหมูใส่เครื่องในและข้าวเปล่ามานั่งกินกับเขา มันน่าจะนับเป็นมื้ออาหารแปลกใหม่และพิเศษที่สุด น่าจะเป็นสถานที่ที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา
อร่อยดี หมูสับอร่อย เครื่องในก็ล้างสะอาดดี น้ำซุปหอมดี – เขาเอ่ยปากชมและก้มกินอย่างเอร็ดอร่อยจนหมดชาม ไม่รู้ว่ามันอร่อยจริงๆ หรืออร่อยเพราะหิวโซจากการอดข้าวอดน้ำมาตั้งแต่เมื่อคืน และการได้เปลี่ยนบรรยากาศออกนอกบ้านบ้างในเช้าวันนี้ ผมซื้อขนมหวานเย็นให้เขากินอีกถ้วย แล้วเข็นพาเขาไปนั่งรอพบหมออย่างน่าเบื่อหน่าย หมายเลขบัตรคิวรันไปอย่างเชื่องช้า นั่งรอกันแบบนั้นอีกเป็นชั่วโมงๆ
ทันทีที่นั่งลงตรงหน้าหมอ แม่ถามหมอว่าเหลือเวลาอีกกี่ปี
อย่างที่เคยเล่าไว้ในบทบรรณาธิการตอนหนึ่งไปเมื่อสองปีก่อน แม่ใส่เครื่องเพซเมกเกอร์มานานแล้ว เครื่องนี้ทำงานด้วยแบตเตอรี่ที่มีอายุการใช้งานประมาณสิบปี เมื่อแบตหมด ก็ต้องผ่าตัดเปลี่ยนแบตก้อนใหม่ ไม่สามารถเสียบสายชาร์จไฟได้เหมือนแบตเตอรี่โทรศัพท์หรือเครื่องโน้ตบุ๊ก การผ่าตัดแต่ละทีถือเป็นผ่าตัดใหญ่ ใช้เวลาพักฟื้นยาวนานและเจ็บปวดทรมาน แม่เคยเปลี่ยนแบตมาครั้งหนึ่ง แบตก้อนนี้เป็นก้อนที่สอง
หมอบอกแม่ว่าเหลืออีกประมาณสองปี
“ไม่ต้องทำอะไรแล้วนะ แค่ไหนก็แค่นั้นแหละ” แม่บอกกับหมอ “เอ็งไม่ต้องเสียเวลา ไม่ต้องพาข้ามาแล้ว” แม่หันมาพูดกับผมต่อหน้าหมอ หมอแค่ยิ้มๆ ให้ แล้วบอกให้พยาบาลเขียนใบนัดตรวจครั้งต่อไป เราจะมาเจอกันใหม่ในปีหน้า
ผมเข็นแม่ออกมาพร้อมกับความรู้สึกว่างเปล่าภายใน ไม่เคยรู้สึกว่างเปล่าแบบนี้มานานมากแล้ว ไม่โกรธ ไม่เศร้า ไม่มีความทุกข์โศกหรือชื่นชมยินดีอะไร มันเหมือนกำลังล่องลอย เบาโหวงอยู่ข้างใน รู้สึกว่าอะไรๆ ล้วนไม่มีอยู่จริง ไร้สาระ โรงพยาบาลแห่งนี้ ร่างกายนี้ ชีวิตนี้ ล้วนไร้ความหมาย
“ไม่ต้องแล้วนะ แค่ไหนก็แค่นั้นแหละ ไม่มีทางที่อะไรจะดีขึ้นได้ แก่แล้ว พอแล้ว ถ้ามันจะลำบากมากขนาดนี้ ข้าก็ไม่ได้อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว” แม่พูดวนเวียนไปเรื่อยๆ ตอนที่เรากำลังนั่งรออยู่ที่หน้าห้องยา หมายเลขคิวรับยารันไปเรื่อยๆ บนหน้าจอ
บางที สำหรับบางคน การดิ้นรนที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปนั้นช่างไร้สาระ เพราะชีวิตคือความเจ็บปวด ทรมาน และแสนเบื่อหน่าย การค้นหาความหมายของชีวิตจึงไม่ใช่เรื่องจำเป็นอีกต่อไป ในเมื่อชีวิตกำลังกลับคืนสู่สภาพดั้งเดิมของมัน สภาพที่จริงแท้ที่สุด เป็นธรรมชาติที่สุด ก่อนที่จะมีความรู้คิดเข้ามาปรุงแต่ง แล้วพยายามหาสาระ หาคุณค่า หาความหมายให้กับมัน ทั้งที่จริงแล้วมันคือความไร้สาระ ไร้ความหมาย
“เค้าเองก็ไม่ได้อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปหรอกนะ” ผมบอกแม่ “แม่เหลืออีกสองปี แต่เค้ายังเหลืออีกตั้งยี่สิบปี เบื่อหน่ายเหลือเกิน แต่ละวันๆ ก็ไม่ได้มีความสุขอะไรเลย นี่ถ้าตายได้ก็อยากตายเหมือนกัน” ผมบอกต่อไป
แม่มองหน้าผม แล้วก็ก้มหน้าหลุบตาลง
ทุกๆ วันที่ตื่นขึ้นมา ทันทีที่ลืมตา ความเบื่อหน่ายสุดทานทนก็ถาโถมกัดกินอยู่ภายใน ต้องคิดหาเหตุผลที่จะอยู่ต่อไปอีกวัน พยายามแบกร่างกายตัวเองขึ้นมาจากเตียง ไปอาบน้ำ แต่งตัวออกจากบ้าน ทำตัวไปตามปกติให้เหมือนกับคนทั่วไป
เรื่องเงิน เรื่องงาน ความรัก สุขภาพ อนาคตข้างหน้าอีกตั้งยี่สิบปีที่เหลือ เราจะมีชีวิตอยู่ต่อไปทำไม ในเมื่อที่สุดแล้วก็ต้องมาจบลงตรงนี้เหมือนกัน บนรถเข็นคันนี้ ในเขาวงกตแห่งนี้ ตรงหน้าช่องรับยา รอคอยหมายเลขคิวหมุนไป
เมื่อรู้สึกสับสนสิ้นหวัง บ่อยครั้งผมพยายามไปหาหนังสือปรัชญาโน่นนี่มาอ่าน เพื่อปลุกปลอบตัวเองทุกหนทาง ว่าชีวิตมีค่า มีความหมาย เรามีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งที่สูงส่งขึ้นไปบางอย่าง ต้องคอยพูดกล่อมตัวเองแบบนั้น อีกทั้งยังชอบเขียนหนังสือ ไปสอน ไปบรรยายบอกผู้คนให้สอดคล้องกันเช่นนั้นไป
เช้าวันนั้น ผมพบว่าจริงๆ แล้วมันอาจจะไม่ใช่เช่นนั้น และทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเขียนมา พูดมา ล้วนเหลวไหล ไร้สาระ ไร้ความหมายอย่างยิ่ง
“แม่ไม่น่าให้เค้าเกิดมาเลย แม่ให้เค้าเกิดมาทำไม เสียเวลาเหลือเกิน เสียเวลาเหลือเกิน” ผมบอกไป เพราะตัวเองก็รู้สึกสุดทนกับชีวิตนี้แล้วเหมือนกัน
น้ำตาหยดลงบนตัก แม่ร้องไห้ และทำให้ผมรู้สึกแย่กว่าเดิม รู้สึกผิดที่ทำให้เขาผิดหวัง เขาคงคาดหวังว่าชีวิตของลูกๆ จะงดงาม สุขสบาย เป็นการชดเชยความอดอยากแร้นแค้นและเหนื่อยยากตรากตรำมาตลอดทั้งชีวิตของเขา แต่พวกเรากลับไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย
ตัวเลขบัตรคิวรับยาเรื่อยไล่มาถึงหมายเลขของเรา ผมเดินไปต่อแถวเพื่อรับยาถุงใหญ่
พอกลับมาเห็นแม่นั่งปาดน้ำตา
“แม่จะไม่พูดแบบนี้อีกแล้ว พูดแบบนี้จะทำให้เอ็งเสียกำลังใจ แม่อยากให้เอ็งมีความสุข แม่อยากให้เอ็งมีชีวิตอยู่ต่อไป” แม่บอก
ด้วยยาที่อยู่ในถุงพลาสติกและก้อนเเบตเตอรี่ที่ฝังอยู่ในเนื้อหนัง จะช่วยคงสังขารอันอ่อนล้านี้ให้ดำรงอยู่ต่อไปได้อีกสักสองสามปี ในขณะที่พวกเราจะต้องมีชีวิตต่อไปอย่างน้อยๆ ก็อีกยี่สิบสามสิบปี ด้วยอะไรล่ะ? เราจะใช้อะไรเป็นตัวช่วยได้บ้าง และเพื่ออะไร? ในเมื่อชีวิตนี้สำมะหาอันใด
“กลางวันนี้จะกินอะไร กินต้มเลือดหมูอีกไหม แม่นั่งรออยู่ตรงนี้ เดี๋ยวเค้าจะไปซื้อให้” ผมพูดแล้วก็เดินจากมา
“ซื้อไปฝากป๊าด้วยได้ไหม เอาแต่หมูสับนะ จะได้นิ่มๆ” แม่พูดไล่หลัง
บทความคมคาย วงเสวนาครึกครื้น ทอล์กโชว์สนุกสนาน บทสัมภาษณ์ซาบซึ้ง หนังสือปรัชญาคำสอน ฯลฯ คุณคิดว่าจะหาความหมายของชีวิตได้จากอะไรพวกนี้งั้นหรือ
ไม่มี ไม่มีทาง…
จนกว่าจะถึงวันที่คุณรู้สึกถึงความว่างเปล่า ไร้ความหมายอย่างถึงที่สุด