หนึ่งชั่วโมงแห่งการตัดทิ้ง

แม้กอวัชพืชขนาดใหญ่กอนั้นจะอยู่ข้างๆ บ้านตัวเอง แต่จนแล้วจนรอด ผู้เขียนก็เดินผ่านมันมาได้เป็นเดือนๆ 

        จากวันที่เห็นมีแค่ต้นเล็กๆ ขึ้นอยู่ในซอกปูน เล็กจิ๋วเสียจนเราจะเด็ดทิ้งตอนไหนก็ได้ แต่เราก็ปล่อยให้มันโตขึ้นเรื่อยๆ วันแล้ววันเล่า จากวันที่ไม่สังเกตก็แทบจะมองไม่เห็น ก็ปล่อยให้มันแกร่งกล้า กลายเป็นกอต้นไม้ขนาดย่อมๆ ขึ้นมาชิดกำแพง รากแทงลึกจนดึงลำบาก ลำต้นก็เกาะกันเป็นพุ่มจนหนาแน่นไปหมด 

        คราวนี้ละ เดินผ่านทีไรเป็นต้องเหลือบมองด้วยความรำคาญตา ได้แต่มองและคิดทุกวันว่า เดี๋ยวจะตัดให้เหี้ยน! แต่วันนั้นก็ไม่เกิดขึ้นซะที ต้นไม้ก็เริ่มเติบโตและแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เพราะผ่านแดดผ่านฝนไปวันแล้ววันเล่า แต่ก็นั่นแหละ สุดท้ายเราก็มักจะไม่ทำในสิ่งที่ควรทำ จะตัดก็ไม่ตัด จะทิ้งก็ไม่ทิ้ง พอวันหนึ่งจะลุกมากำจัดทิ้งแบบถอนรากถอนโคน ก็พบว่ามันไม่ง่ายเลย ต้องทำมันทุกวิถีทางตั้งแต่ดึงด้วยมือเปล่า เอาพลั่วหรือเอาเครื่องมือทำสวนเล็กๆ น้อยๆ เท่าที่มีมาขุดและแซะรากออก เรื่องที่สามารถทำจบได้ในชั่วพริบตา กลายเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาปลุกปล้ำกันไม่ต่ำกว่าชั่วโมง 

        ไม่ต่างกันเลย กับตอนที่เราสะสมสารพัดสิ่งที่ไม่จำเป็นกับชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อที่วันหนึ่งจะต้องมานั่งสะสางอย่างเหนื่อยยากโดยไม่จำเป็นแท้ๆ 

        ไอ้นิสัยประเภท ตั้งแต่แรกก็ไม่ยอมตัด ตั้งแต่ต้นก็ไม่ยอมทิ้งนี่ เชื่อเถอะว่า ถึงจุดหนึ่งมันจะเกาะเกี่ยว พันพัว ถึงขั้นทำให้ชีวิตชะงักงันไปเสียดื้อๆ ได้เลย วันที่ผู้เขียนฟาดฟันกับกอวัชพืชที่ทั้งเหนียวและแกร่ง จนท้ายที่สุดก็ไม่หลงเหลือแม้แต่ต้นเดียวให้ระคายตานั้น บางคนอาจจะเรียกสิ่งนี้ว่าเป็นความสำเร็จเล็กๆ หรือเป็นความสะใจอะไรก็แล้วแต่เถอะ 

        แต่เอาเข้าจริง ไอ้เจ้าต้นไม้ที่พยายามเติบโตแบบไม่สนลมฟ้าอากาศ ไม่ยี่หระสายตาคนเดินผ่าน ไม่แคร์ว่าใครจะรำคาญนั่นต่างหากที่เป็นผู้ชนะมาโดยตลอด เพราะมันช่วงชิงพื้นที่ข้างบ้านอยู่มาได้นานนับเดือนเลยทีเดียว และเรานี่แหละ ที่พ่ายแพ้ต่อความขี้เกียจ ความผัดวันประกันพรุ่งของตัวเอง ที่ไม่ทำอะไรที่ควรทำตั้งแต่แรก วัชพืชมันก็เลยช่วงชิงสิทธิที่จะเติบโตไปบนความอ่อนแอของเราวันแล้ววันเล่า

        ช่วงปีสองปีที่ผ่านมานี้ ผู้เขียนครุ่นคิดกับเรื่องทำนองนี้มากเป็นพิเศษ สันนิษฐานว่าตัวการสำคัญก็คือ ความที่ชีวิตต้องวุ่นวายกับการย้ายของจากบ้านหนึ่งไปสู่อีกบ้านหนึ่งอยู่บ่อยครั้ง ตามความจำเป็นส่วนตัวก็เลยมีโอกาสได้นั่งพูดคุยบำบัดทุกข์บำรุงสุขกับเพื่อนๆ ที่ย้ายบ้านเป็นว่าเล่นเช่นกัน แล้วในที่สุดพวกเราก็ได้ข้อสรุปว่า การสะสมของที่ไม่จำเป็นถือเป็นความทุกข์ และกรรมเวรแบบหนึ่งจริงๆ นั่นแหละ เพียงแต่เป็นกรรมเวรที่เราไม่เคยเฉลียวใจว่าเราเป็นคนทำให้เกิดขึ้นเอง ถ้ากรรมคือการกระทำ ก็แกนั่นแหละที่ทำตัวเอง เพราะตลอดหลายปีที่เราสะสม เพิ่มพูนข้าวของในบ้าน เรามีเวลา มีโอกาสตั้งไม่รู้กี่พันชั่วโมงที่จะตัดสินใจทิ้ง สละ ทำลาย ข้าวของเหล่านั้นให้พ้นหูพ้นตา แต่เราก็ไว้ชีวิตมันด้วยการบอกว่า เอาไว้ก่อนๆ เพื่อที่วันหนึ่งเราจะพบว่าข้าวของพวกนั้นมีแต่จะทำให้ชีวิตเราหนักอึ้ง และการตัดใจในวันที่เห็นข้าวของชิ้นนั้นมานานจนคุ้นชิน บอกเลยว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ยากแสนยาก 

        คิดๆ ดูแล้ว มนุษย์เราก็แปลกดี ตอนแรกเริ่มที่ยังไม่ตัด ไม่คัดทิ้ง เราก็บอกตัวเองว่า ‘เสียดาย เพิ่งได้มาเอง อย่าเพิ่งทิ้งเลย เผื่ออนาคตได้ใช้’ แต่กลายเป็นว่าวันหนึ่งของชิ้นนั้นก็เก่าจนกลายเป็นอดีต หมดอนาคตที่จะได้ใช้ และมันก็ไม่เคยได้ทำหน้าที่ของมันเลยแม้แต่วันเดียว เข้าสูตรข้าวของต้องทิ้งตามตำราของเจ้าแม่แห่งการจัดของ มาริโอะ คนโดะ ‘ถ้าที่ผ่านมามันไม่เคยจำเป็นต้องใช้ อนาคตก็คงไม่น่าจะได้ใช้’ 

        การมีในสิ่งที่ไม่จำเป็นว่าแย่แล้ว แต่การรู้ตัวช้าว่ามันไม่ได้จำเป็นเลยตั้งแต่แรก ยิ่งทำให้ชีวิตเราเสียโอกาสมีในสิ่งที่จำเป็นจริงๆ กับตัวเองไปมากโข 

        ทุกครั้งที่ต้องจัดบ้าน ย้ายบ้าน ผู้เขียนรู้สึกว่าเรากำลังต้องเรียนรู้ศิลปะแห่งการตัดใจฉบับเร่งรัดอย่างไรบอกไม่ถูก เสื้อผ้าที่ซื้อมาแต่ไม่เคยใส่ หนังสือนับร้อยพันเล่มที่ถูกคัดทิ้งชนิดที่บางเล่มไม่เคยเปิดอ่าน นึกย้อนไปสมัยที่น้ำท่วมบ้านแล้วหนังสือเสียหายจนจิตตก ตอนนั้นถือว่าธรรมชาติบังคับให้ต้องทิ้ง แต่การย้ายบ้าน รื้อของที่รกบ้านมาทิ้งนั้น ถือว่าเราต้องเอาชนะธรรมชาติของตัวเองที่เป็นคนช่างเก็บ ช่างสะสม เพื่อที่จะทิ้งทุกอย่างให้ชีวิตเบาลงบ้าง 

        ตัวไม่เบา ชีวิตไม่เบา ก้าวแต่ละก้าวมันก็เหนื่อยโดยไม่จำเป็น 

        วันที่ผู้เขียนนั่งตัด แซะ ขุดรากถอนโคนกอวัชพืชข้างบ้านออกมาได้กองใหญ่ มันมีสารพัดความรู้สึก ทั้งเหนื่อย ปวดหลัง เจ็บมือที่ต้องพยายามดึงต้นที่รากฝังลงไปในซอกปูน แต่ท้ายที่สุดแล้ว ไม่มีความรู้สึกไหนชัดเจนไปกว่า ความรู้สึกของการที่ต้องมานั่งชดใช้ความผิด โทษฐานที่ปล่อยให้ต้นไม้มันโตจนรกหูรกตา และสร้างความเหนื่อยล้าได้ถึงขนาดนี้ 

        คงต้องเตือนตัวเองให้บ่อยขึ้นว่า ตัดจบลบทิ้งอะไรได้ในชีวิต ก็ทำเสียแต่เนิ่นๆ อย่าปล่อยเพลินจนมันยากที่จะตัด เพราะสิ่งที่เติบโตและแย่งพื้นที่ในชีวิตเรา มันไม่ใช่ต้นไม้ที่จะออกดอกออกผลให้เราเก็บกินสมกับความเหนื่อยยากที่ต้องดูแล แต่หันมาดูอีกที มันอาจกลายเป็นแค่วัชพืชกอหนึ่งเท่านั้น  

        และการตัดทิ้งในวันที่มันโตแล้ว มันไม่สนุกเอาเสียเลย 


เรื่อง: วิไลรัตน์ เอมเอี่ยม