rainy season

ฤดูฝนคือฤดูที่โลกน่ารัก

ฤดูฝนคือฤดูที่โลกน่ารัก 

         ฝนพรำลงมา แล้วใบไม้ก็ผลิแตกตุ่มตา ระบัดออกมาเป็นสีเขียวอ่อนแสนสดชื่น

 

         จริงอยู่ – ฤดูฝนมักไม่ค่อยมีดอกไม้ ไม่เหมือนปลายฤดูร้อนนั่นหรอก ที่แพรวพริบวิบวับของดอกไม้หลากสีจะเคลื่อนผ่านดวงตาของเราไปคล้ายพรายพราวของสีน้ำ

         มองเห็นไม่ชัด – ทว่าชัดนักในความรู้สึก

         และจริงนั่นอีก ที่ฤดูฝนหาได้เยียบเย็นเหน็บหนาว ให้ผู้คนได้กระโดดโลดเต้นไปกับอุณหภูมิฉ่ำๆ กระชับแนบเสื้อกันหนาวให้เนื้อตัวอบอุ่น รับรู้การเปลี่ยนแปลงของแกนโลกที่พาเราเอียงห่างจากดวงอาทิตย์

         จะว่าไป ฤดูฝนไม่มีอะไรโดดเด่นแตกต่างนัก เว้นก็แต่ความเป็นฝน

         หรือจะพูดให้ถูก – ก็คือ ‘สวภาวะ’ แห่งฝน

         โต๊ะตัวหนึ่งเป็นโต๊ะเมื่อไหร่เล่า เมื่อมันประกอบเสร็จ มีขา มีแผ่นโต๊ะด้านบน มันจึงเปล่งประกายความเป็นโต๊ะเต็มที่ใช่ไหม

         โต๊ะที่ถูกถอดนอตยึดออกไปหนึ่งตัวเล่า มันยังเป็นโต๊ะอยู่ไหม แล้วหากถูกถอดขาออกไปหนึ่งข้าง มันจะยังเป็นโต๊ะอยู่อีกไหม สองข้างเล่า หรือหากยกแผ่นโต๊ะด้านบนทิ้งไป เหลือเพียงโครงโต๊ะ มันจะยังเป็นโต๊ะอยู่อีกหรือเปล่า

         ตรงไหนแน่ ที่ความเป็นโต๊ะเริ่มปรากฏชัด และพามันก้าวข้ามความไม่เป็นโต๊ะมาสู่ความเป็นโต๊ะ และตรงไหนแน่ ที่โต๊ะอันสมบูรณ์แบบถูกพาก้าวข้ามจากความเป็นโต๊ะไปสู่ความไม่เป็นโต๊ะอีกต่อไป

         ฤดูฝนก็อาจเป็นเช่นนั้นด้วย

         เรามักไม่รู้หรอก ว่าขอบเขตของการกลายกลืนจากสภาวะหนึ่งไปสู่อีกสภาวะหนึ่งอยู่ตรงไหน เมื่อใดกันที่ฤดูร้อนเปลี่ยนตัวเองมาเป็นฤดูฝน ใช่ – มีประกาศการเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการของกรมอุตุนิยมวิทยาอยู่, แต่บ่อยครั้งฝนก็ยังไม่ตก บ่อยครั้งที่ประกาศการเข้าสู่ฤดูหนาวทำให้เราพบพานกับอากาศร้อน บางคราวร้อนเสียยิ่งกว่าฤดูร้อนด้วยซ้ำ คำประกาศอย่างเป็นทางการจึงเป็นได้เพียงคำประกาศหมุดหมาย เป็นการคาดการณ์ เป็นความหวังตามสถิติ แต่เราไม่มีวันรู้แน่แท้หรอกว่า เหตุปัจจัยต่างๆ จะหมุนวนย้อนกลับมาเป็นเหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็นมานับร้อยนับพันปีจริงหรือเปล่า

         เป็นได้เสมอ ว่าฤดูฝนนี้จะเป็นฤดูฝนสุดท้ายสำหรับอะไรหลายอย่าง

         และกระทั่งเป็นฤดูฝนสุดท้ายสำหรับฤดูฝนเองด้วย

         เรารับรู้ฤดูฝนได้ดีที่สุด ก็เมื่อมันก้าวผ่านเส้นพรมแดนแห่งฤดูกาล กระทั่งเบ่งบานออกมาเป็นดอกฝนที่ทำระบำบนลานดินให้เห็น เมื่อเราต้องพกร่มออกไปนอกบ้านทุกๆ วัน เมื่อเราไม่อาจออกวิ่งไปในโลกกลางแจ้งได้โดยไม่ประหวั่นใจกับความครึ้มของท้องฟ้า และเมื่อเราเงยหน้าขึ้น แล้วน้ำหนึ่งหยดจากฟากฟ้าได้ร่วงใส่ดวงตาจนรานร้าว

         เมื่อสวภาวะแห่งฤดูฝนเติบโตถึงขีดสุด ก็ไม่มีใครอีกที่หาญกล้าปฏิเสธว่านี่ไม่ใช่ฤดูฝน

         เมื่อฝนพรำสายสวยแสน กลายร่างเป็นฝนแสนห่ากระหน่ำหนัก ถอนรากต้นไม้บนเขา พังดินให้ทลายลงมาแดงก่ำฉ่ำไหล ปรี่ทะลักล้นสองฝั่งตลิ่ง ท้นเท้อท่วมทุ่งจนข้าวที่เพิ่งตั้งท้องออกรวงพินาศฉิบหาย กักขังตัวเองอยู่ในที่ลุ่มนานเป็นเดือนๆ กระทั่งชื้นแฉะเน่าเหม็นไม่ยอมระเหยหาย ผู้คนเดือดร้อนเลือดตากระเด็นกับหายนะแห่งมวลน้ำถะถั่ง – หากเป็นเช่นนั้น, ก็จะมีใครอีกเล่าที่กล้าปฏิเสธว่า นี่ไม่ได้เป็นฤดูฝนด้วยเช่นกัน

         ฝนพรำลงมา แล้วใบไม้ก็ผลิแตกตุ่มตา ระบัดออกมาเป็นสีเขียวอ่อนแสนสดชื่น

         ฝนพรำแสนห่า แล้วไม้ใหญ่ก็ถูกขับโค่น ถอนโคนทึ้งราก ไหลลู่ลงมาตามการพังทลายของดิน

         เหล่านี้นี่เอง ที่คือสวภาวะแห่งฤดูฝน

         ฤดูฝนคือฤดูที่อุณหภูมิแสนธรรมดา อยู่ในค่ากลาง อยู่ในความคุ้นชิน

         นั่นอาจทำให้ฤดูฝนน่ารัก – เพราะมันแนบชิดกับความเป็นมนุษย์ที่ถือกำเนิดในภูมิภาคนี้มากที่สุด ไม่หนาวเกินไป ไม่ร้อนเกินไป มีมัธยฐานแห่งอุณหภูมิ ทว่าในความเรียบง่ายของค่าเฉลี่ยทางสถิติร้อนหนาวนั้น – ก็ยังมีอาการโลดโผนกระโจนขึ้นลงในปริมาณน้ำอยู่ดี

         ความน่ารักของฤดูฝนจึงทั้งงดงามและร้ายกาจ มันบอกเราว่า – ไม่มีหรอก, ฤดูใดที่งดงามหรือร้ายกาจเพียงอย่างเดียว ไร้ร้ายกาจย่อมไม่งดงาม และในงดงามย่อมมีร้ายกาจ ทั้งสองคือสิ่งที่ประกบเป็นหนึ่งอยู่ในเงาร่างของกันและกัน

         ไม่ใช่เพียงฤดูกาลภายนอกเท่านั้น แต่สภาวะเหล่านี้ก็เป็นเช่นเดียวกับมนุษย์เรา กับฤดูกาลภายในตัวเรา กับความเป็นมนุษย์ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง เราอาจชื่นชมกระพือปีกของผีเสื้อว่างดงามก็ได้ หรือในอีกชุดของเหตุปัจจัยหนึ่ง เพียงผีเสื้อกระพือปีกในอีกซีกโลก พายุใหญ่ในใจเราก็อาจก่อตัวระเบิดออก สร้างพลังทำลายล้างไม่รู้จบ

         ตามสถิติแล้ว เรามักตื่นขึ้นในทุกๆ เช้า เช่นเดียวกับที่มีประกาศการเข้าสู่ฤดูฝนในทุกๆ ปี

         แต่ไม่มีใครรู้หรอก – ว่าฤดูฝนจะมาถึงจริงๆ เช่นเดียวกับการตื่นขึ้นของเราหรือเปล่า

         นั่นเองที่ทำให้ฤดูฝนเป็นฤดูที่น่ารัก เพราะมันเรียบง่ายในอุณหภูมิ แต่ไม่เคยเรียบง่ายในปริมาณฝน