เช้าวันที่ท้องฟ้ากำลังมืดครึ้ม ผู้เขียนมีนัดประชุมสำคัญที่จำเป็นต้องเดินทางไปด้วยตัวเอง ระหว่างขับรถผ่านเส้นทางคุ้นเคยเพื่อลัดเลาะไปยังที่หมาย อดคิดไม่ได้ว่า สถานที่แถวนี้เปลี่ยนไปมากจริงๆ แน่นอนไม่ใช่แค่สถานที่หรอก ผู้คน บ้านเรือน หลายสิ่งเปลี่ยนไปแทบจำภาพเดิมไม่ได้
วันนี้ มีถนนตัดใหม่เข้ามาทดแทน มีอุโมงค์ลอดใต้ถนน มีทางลัดเลาะที่ทำให้ย่นเวลาเดินทางได้ไม่น้อย ที่สำคัญ มีสถานีรถไฟฟ้าขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ริมทาง ย้อนไปเมื่อสมัยผู้เขียนย้ายเข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯ ใหม่ๆ ภาพทั้งหมดที่ว่ามา คือสิ่งที่เกินจะจินตนาการได้ เรียกว่า ในวัยเดียวกับเพื่อนๆ แทบทุกคนในยุคนั้น การใช้บริการรถเมล์ ขสมก. คือชีวิตที่แสนสามัญ เป็นคนธรรมดาที่ไม่ต้องย้ำถึงความธรรมดาให้ไวรัล เพราะมันไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นจริงๆ
แต่ไม่มากก็น้อย ถ้ามองลึกลงไปกว่านั้น ภาพคนรอที่ป้ายรถเมล์ เพื่อเร่งรีบกระโดดขึ้นรถไปหาที่นั่งเหมาะๆ แล้วถอนหายใจราวกับวิ่งเข้าเส้นชัยได้ ก็เหมือนเป็นฉากจำลองการต่อสู้ในแต่ละวันของคนกรุงเทพฯ อยู่เหมือนกัน
ชนะบ้างแพ้บ้าง แต่ไม่ตื่นมาสู้ไหวหรือ? ในเมื่อทุกคนก็ล้วนแต่ต้องการไขว่คว้าหาชีวิตที่ดีในเมืองใหญ่เมืองนี้ ไม่ว่าคนคนนั้นจะอยู่เมืองนี้มาแต่อ้อนแต่ออก หรือคนที่เดินทางเข้ามาเพื่อหาที่ทางทำมาหากิน ที่ไหนเจริญ ที่นั่นย่อมมีความหวัง
แต่เมืองไม่ได้สัญญาว่าจะทำให้ทุกคนสมหวัง ตลอดระยะเวลาของการใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ มาเกือบ 30 ปี ถ้าเทียบกับอายุของเมืองหลวงแห่งนี้ ที่เพิ่งครบรอบ 240 ปีไปหมาดๆ ผู้เขียนก็เพิ่งจะมองเห็นความเปลี่ยนแปลงของเมืองได้แค่ 10 กว่าเปอร์เซ็นต์ของอายุเมืองนี้เท่านั้นเอง
เมืองเปลี่ยน คนเปลี่ยน แต่การสู้ชีวิตไม่เคยเปลี่ยน
มีทั้งคนชนะที่ยืนหยัด มีทั้งคนแพ้ที่ยังยืนอยู่ ขณะเดียวกันก็มีคนแพ้ที่ขอเดินจากไป…
บนถนนตรงหน้า ณ เวลาไม่เกิน 10 โมงเช้า รถจำนวนมากเพิ่งเลี้ยวกันออกมาจากวงเวียนเพื่อเข้าสู่ถนนหลัก ที่ตอนนี้ทุกช่องทางถูกบีบด้วยสถานีรถไฟฟ้า ที่กำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง
เมื่อหักรถเข้าสู่ทางตรง รถทุกคันก็เริ่มใช้ความเร็ว แต่ทันใดนั้น บนพื้นถนน ปรากฏภาพของสิ่งมีชีวิตหนึ่งวิ่งปรี่เข้ามาท่ามกลางวงล้อมของล้อรถที่บดเบียดไปบนพื้นคอนกรีต สิ่งมีชีวิตนั้นคือ ‘หนู’ หนูตัวเล็กๆ ที่น่าจะผุดโผล่ออกมาจากท่อน้ำบริเวณใกล้ๆ มันวิ่งข้ามถนนเหมือนคนสละสิ้นซึ่งชีวิต แต่เอาเข้าจริง อาจตรงกันข้าม เพราะจริงๆ แล้วมันก็แค่วิ่งไปข้างหน้าเพื่อหวังว่าจะรอดชีวิต โดยมีเงื่อนไขว่า… ถ้าเพียงแต่มันจะข้ามไปอีกฝั่งของถนนได้
เจ้าหนูวิ่งแทรกผ่านล้อของรถคันหนึ่งที่หวิดเหยียบไปบนตัว ครั้นพอพ้นจากรถคันนั้นยังไม่ทันได้หยุดหายใจ ก็มีอีกคันที่พุ่งเข้าใส่ แต่แล้วมันก็รอดอีก!
มันวิ่งหัวซุกหัวซุนมาได้ถึงกลางถนน แล้วก็ประจันหน้ากับล้อของคันต่อมา เจ้าหนูตัวนั้นทำท่าลังเลเหมือนจะวกกลับไปทางเดิม ซึ่งเป็นจังหวะนรกที่สุดเท่าที่จะเกิดขึ้นได้ เพราะถ้าวกกลับ แปลว่ารถที่พุ่งตามเข้ามาจะทับหัวมันบี้แบนติดถนนทันที เสี้ยววินาทีนั้น มันไม่หันหลังกลับ แต่เดินหน้าต่อ และหันหัวไปทางเดียวกับหน้ารถ พร้อมกับวิ่งจนสุดกำลังเหมือนกำลังแข่งกับรถที่ไล่หลังมา แล้วฉากนั้นก็มาถึง! รถคันหนึ่งขับตรงฝ่าเข้าไป เจ้าหนูหันกลับไปใต้ท้องรถอีกรอบ จังหวะที่มันหายเข้าไปนั่นเอง ผู้เขียนที่ขับรถตามมาก็ทำได้แค่หลับตา ปลง คิดว่าเมื่อล้อรถผ่านไป คงได้เห็นสภาพหนูไส้แตกกองอยู่บนถนนแต่เช้า
แต่แล้วมันกลับวิ่งพ้นล้อรถคันนั้น แล้วลอดใต้ท้องรถออกมาได้ บ้าไปแล้ว จะกรีดร้องบราโว่! ก็ไม่น่าจะใช่เวลา ที่สำคัญ ชีวิตยังสู้กลับเจ้าหนูตัวนั้นเหมือนยังไม่สาแก่ใจ เพราะเหลือระยะทางกว่ามันจะข้ามไปถึงทางเท้าฝั่งซ้ายอีกพอสมควร ประเมินด้วยสายตาแล้ว ถ้าเป็นคนคงก้าวแค่สองก้าว แต่สำหรับหนูตัวเล็กจ้อย ก็น่าจะไกลเป็นกิโล
รถผู้เขียนที่อยู่ฝั่งซ้ายสุด จึงใช้จังหวะนั้น ชะลอแค่ไม่กี่วินาทีเพื่อให้นักสู้บนถนนตัวนั้นได้ใช้แต้มบุญต่ออีกนิด คิดว่าถ้ามันยังได้รับอนุญาตจากชีวิตให้อยู่ต่อ มันน่าจะวิ่งได้ทัน ขณะเดียวกันเราเองก็ต้องลุ้นด้วยว่ามันจะไม่วิ่งวกกลับมาใต้ท้องรถจนมองไม่เห็นแล้วขับทับมันไส้แตกเสียเองด้วย
แต่ปรากฏว่ามันวิ่งเร็วเหลือเชื่อ พอรถคันข้างหน้าพุ่งพ้นไป ก็เป็นจังหวะที่มันวิ่งถึงขอบถนนอีกฝั่งพอดี เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นกินเวลาแค่ไม่ถึงนาที แต่สำหรับหนึ่งชีวิตที่กำลังดิ้นรนเอาชีวิตรอด น่าจะยาวนานเหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์… และโชคดี วันนั้นเจ้าหนูได้ไปต่อ
ขับผ่านเจ้าหนูสู้ชีวิตตัวนั้นมาแค่หนึ่งช่วงรถ เราเหลือบมองผ่านกระจกหลังแล้วได้แต่ถอนหายใจ… เหนื่อยเหมือนลงไปวิ่งซะเอง
ระหว่างขับไปบนสะพานข้ามแยก ฝนเริ่มลงเม็ดและในอีกไม่กี่นาทีต่อมา ฟ้าก็ปล่อยฝนเทลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตาจนต้องเปิดที่ปัดน้ำฝนเบอร์แรงสุด
การจราจรที่เพิ่งจะคล่องตัว เริ่มติดขัดสลับหยุดนิ่ง รถขยับไปอย่างช้าๆ น้ำบนพื้นผิวถนนเริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จนปริ่มขอบล้อ กว่าผู้เขียนจะขับฝ่าฝนไปถึงที่จอดรถซึ่งอยู่กลางแจ้งได้ก็เล่นเอาเหงื่อแตก ทั้งที่นั่งอยู่ในรถที่แอร์เย็นฉ่ำ รอให้ฝนซาสักพัก หยิบร่มมากาง เปิดประตูก้าวลงไป…เหยียบพื้นถนนได้ ความเย็นจากน้ำที่ท่วมพื้นก็ซึมวาบเข้ามาในรองเท้าผ้าใบ ฉ่ำเย็นไปทั่วทั้งรองเท้าโดยเสมอกัน แบบไม่เลือกปฏิบัติ
ยอมรับเถอะว่าบางวันเราก็แพ้ได้ ในขณะที่อีกหลายชีวิตเป็นผู้ชนะนั่นแหละ
การต่อสู้ในเมืองใหญ่ยังมีเส้นทางอีกยาวไกล และทุกสนามแข่งของชีวิต ก็ย่อมมีทั้งผู้แพ้และผู้ชนะ วนเวียนกันไปไม่รู้จบแบบนี้ แต่ถึงอย่างนั้น การมีชีวิตดีๆ ที่ลงตัวในกรุงเทพฯ ก็อาจเป็นแค่สโลแกนติดอยู่บนป้าย หากเมืองยังปล่อยให้เราต้องสู้กับสารพัดสิ่งที่พุ่งชน และยังคงวิ่งหัวซุกหัวซุนเอาตัวรอดเหมือนหนูตัวหนึ่ง…
เรื่อง: วิไลรัตน์ เอมเอี่ยม