ความตาย

ชีวิตคือเส้นบางๆ ที่พร้อมขาดผึง

คุณเคยมีประสบการณ์เฉียดความตายบ้างไหม

        มีอยู่สองครั้งที่ผมพบกับประสบการณ์เฉียดความตาย

        ครั้งแรกเป็นค่ำคืนมหัศจรรย์ เมื่อมีโอกาสขึ้นภูเขาไซนาย ภูเขาที่โมเสสขึ้นไปรับบัญญัติสิบประการจากพระเจ้า และชาวยิวถือว่าเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์

        ตอนนั้นต้องตื่นตั้งแต่ตีหนึ่งครึ่ง เพื่อนั่งรถไปขึ้นอูฐ อูฐจะไต่ภูเขาขึ้นไปในท่ามกลางความมืดมิด มีดวงดาวพราวพรายอยู่เต็มฟ้าเป็นฉากหลัง ร่วมกับนักแสวงบุญอีกเป็นพันๆ คนที่มีทั้งเดินเท้าทั้งนั่งอูฐ อูฐเดินเป็นสายเห็นเป็นเงาดำๆ อยู่เบื้องบน เป็นภาพที่วิเศษมหัศจรรย์มากๆ

        แต่พอไปถึงจุดหนึ่งก็ต้องอำลาอูฐ เพื่อเดินเท้าไปในความมืดมิดเพื่อขึ้นไปตรงหน้าผาดูพระอาทิตย์ขึ้น

        ตอนนั้นไม่คิดเลยว่าจะมีคนขึ้นมาตั้งแต่เมื่อวาน แล้วเอาถุงนอนมานอนกันอยู่ริมหน้าผาเพื่อจองที่ที่ดีที่สุด

        ดังนั้น เมื่อมะงุมมะงาหราเดินคลำหินไปในความมืด สุดท้ายจึงเหยียบลงไปที่คนในถุงนอนเต็มรัก คนถูกเหยียบตกใจ ผมก็ตกใจ เลยกระโจนผวาออกไป แล้วล้มลง

        ปรากฏว่า ท่าที่ล้มลงนั้น มือจับอยู่ตรงขอบหน้าผาพอดี หน้าเกยอยู่ในอากาศหวีดหวิว เบื้องล่างคือความมืดมนอนธการลึกล้ำ คือถ้ากระโจนไปไกลกว่านั้นอีกนิด ก็ไม่ต้องกลับมากันอีกแล้ว คงได้พบกับพระเจ้าของโมเสสแน่ๆ

        นั่นเป็นครั้งที่หนึ่ง

        ครั้งที่สองคือไปสัมภาษณ์นักดำน้ำชาวรัสเซียที่ดำน้ำลงไปนั่งสมาธิใต้ทะเล ได้ติดเรือออกไปดำน้ำกับเขาด้วย ซึ่งสนุกมาก เพราะเขาพาลงไปนั่งสมาธิใต้น้ำอันเงียบงันสงบ ตอนนั้นเรียนดำน้ำอยู่ด้วย ก็เลยชอบมาก

        เสร็จแล้วก็ประมาท

        คือเมื่อขึ้นจากดำน้ำสมาธิแล้ว เรือแล่นไกลออกไปอีก เป็นจุดดำน้ำลึก คลื่นปั่นป่วนพอควร แล้วก็เกิดความห้าว อยากลองว่ายน้ำลอดใต้ท้องเรือ (เรือลำไม่ได้ใหญ่มาก แต่ก็ไม่เล็กนัก) โดยไม่ใส่ชูชีพ ซึ่งก็ทำได้อยู่ แต่พอข้ามไปอีกฟากหนึ่งแล้วพบว่าบริเวณนั้นเป็นบริเวณที่คลื่นปั่นป่วนกว่าส่วนที่เรือบังเอาไว้ เลยถูกคลื่นพัดไปไกล แถมยังไม่มีชูชีพด้วย เพราะจะดำน้ำลอดใต้เรือ จึงใส่ชูชีพไม่ได้

        ผมพยายามว่ายกลับมาที่เรือ แต่คลื่นก็ยันออกไปเรื่อยๆ ว่ายจนเหนื่อย จะร้องเรียกใครก็คงไม่มีใครได้ยิน จริงๆ มันไม่ได้ห่างเรือมากเท่าไหร่ แต่ว่ายเท่าไหร่ก็ไม่ถึงเสียที

        โชคดีที่ใกล้ๆ กันมีเจ้าหมาน่ารักตัวหนึ่งที่ลงมาเล่นน้ำด้วย เป็นหมาโกลเดนรีทรีฟเวอร์ที่เจ้าของพามาด้วย มันก็ประสบปัญหาเดียวกัน คือว่ายน้ำเข้าเรือไม่ได้

        เจ้าของหมาเห็นหมาตัวเองว่ายกลับไม่ได้ จึงโยนเชือกไปให้หมา ผมเห็นสบโอกาส จึงยื่นมือไปคว้าเชือกนั่นด้วย แล้วเจ้าของหมาก็ลากเข้าฝั่งไปทั้งหมาทั้งคน เมื่อขึ้นมาเหนื่อยมาก รู้เลยว่าเวลากำลังจะตายนั้นเป็นอย่างไร ได้แต่รีบขอบคุณเจ้าของหมาที่โยนเชือกลงไป เขาบอกว่าตอนนั้นเขาไม่เห็นผมหรอก เห็นแต่หมา เพราะหมามีขนสีอ่อน ส่วนผมของผมเป็นสีดำกลมกลืนกับทะเล แล้วน้ำทะเลตรงนั้นลึก เลยสีเข้ม นั่นแปลว่าถ้าไม่มีหมามาด้วย ก็เป็นไปได้ว่าผมจะจมน้ำตายหายสาบสูญไปแล้วแน่ๆ

        ความตายอยู่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่เราคิด ชีวิตคือเส้นบางๆ ที่พร้อมขาดผึง

        ประมาทกับชีวิต จึงคือประมาทกับความตายนั่นเอง