‘สิ่งที่ควรทำก่อนอายุ 30’ … เหนื่อยกันมาเท่าไหร่แล้วกับกรอบเวลาของชีวิต

เห็นหลายๆ คนนำ quote ‘สิ่งที่ควรทำก่อนอายุ 30’ มาพูดถึงโดยถ้วนหน้าแล้วก็ต้องยอมรับว่าเหนื่อยที่จะอ่าน แต่ก็ขำๆ ขื่นๆ ไปในขณะเดียวกัน… อดคิดไม่ได้ว่า การวางกรอบให้ชีวิตตัวเองแบบนี้ เผลอๆ ก็แทบไม่ต่างอะไรกับการวางกับดักให้ตัวเองตกลงไปในความคาดหวัง ไม่ว่าจะของตัวเองหรือของใคร

        มันก็มีอยู่จริงที่บางสิ่งบางอย่างควรทำในวัยและวันที่อายุยังน้อย เพราะถือเป็นช่วงที่ดีที่สุดที่จะทำ เพราะมีทั้งความสดใหม่และเรี่ยวแรงในวัยหนุ่มสาว เป็นปัจจัยสำคัญ แต่หากผ่านพ้นช่วงนั้นไปแล้ว ก็แค่ต้องปรับเปลี่ยนวิถีทางกันใหม่ให้พอเหมาะพอดี แต่ไม่ใช่ว่าหมดโอกาสหรือหมดเวลาที่จะทำไปซะทุกเรื่อง

        วัยหนึ่ง ประตูแห่งโอกาสอาจเปิดกว้าง แต่ไม่ได้หมายความว่าประตูจะปิดใส่หน้าเราไปตลอดกาลเมื่อผ่านช่วงเวลาที่ว่ากันว่าดีที่สุดไปแล้ว

        พูดให้เห็นภาพก็เหมือนการเดินขึ้นภูเขานั่นแหละ ถ้าคุณออกเดินทางในวัยที่ร่างกายยังแข็งแกร่ง ก็ย่อมต่างจากวันที่คุณเดินทางในวัยชราภาพ ข้อเข่าลั่นกันเอี๊ยดอ๊าด ยิ่งความเหนื่อยล้าที่ร่างกายต้องแบกรับในวัย 30 กับ 60 นั้นก็ยิ่งไม่มีทางเท่ากัน แต่ท้ายที่สุด ก็ไม่ได้มีใครเขามาห้ามไม่ให้คุณเดินขึ้นภูเขาตอนอายุ 60 ตราบใดที่ร่างกายของคุณยังไหว ใจของคุณยังสู้ เพียงแต่คุณต้องประเมินและประมาณตัวเองให้เดินได้ตลอดรอดฝั่ง ไม่เป็นอันตรายจนเกินรับมือ ก็แค่นั้น

        ก่อนอายุ 30 หรือช่วงอายุเท่าไหร่ก็ตาม ทุกคนล้วนมีข้อจำกัดและรายละเอียดของชีวิตต่างกัน สิ่งที่ควรทำที่สุดในความคิดของผู้เขียนก็คือ การรู้จักตัวเอง รู้ว่าตัวเองเป็นใคร รู้ว่าอะไรเหมาะหรือไม่เหมาะกับตัวเอง อะไรอยากทำหรือไม่อยากทำ เพราะสิ่งที่เลวร้ายกว่าการไม่ได้ทำตามกรอบที่ (ใครก็ไม่รู้) วางไว้ ก็คือการทำทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าทำไปทำไม หรือทำเพราะกลัวจะตกขบวน ‘ค่านิยม’ ที่สังคม (ที่ไม่รู้ว่าใคร) กำหนด

        ย้อนกลับไปที่การรู้จักตัวเอง ยอมรับว่านี่เป็นสิ่งที่พูดง่าย แต่ทำยากที่สุดอีกเรื่องหนึ่ง ฟังดูเหมือนเป็นคำพูดเท่ๆ แต่ตอนทำมันไม่เท่เท่าไหร่นัก เพราะมันต้องผ่านขั้นตอนการทดสอบมากมายกว่าเราจะชัดเจนกับสิ่งที่เป็นเราในท้ายที่สุด

        สิ่งที่เป็นเรา กับ สิ่งที่เราเป็น สลับที่กันนิดเดียว ผลต่างกันลิบลับ เพราะสิ่งที่เป็นเราต้องผ่านกระบวนการคัดสรร สลัดออกในสิ่งที่ไม่ใช่ เหลือไว้ในสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกพอดี สบายตัว สบายใจ ไม่ฝืน แต่สิ่งที่เราเป็นก็คือสิ่งที่เราเป็นไปในทุกวัน มีหน้าที่หรือบทบาทกำกับไว้ไม่มากก็น้อย เหมือนที่มีใครบอกไว้ว่า คนเราเป็นได้สารพัดสิ่ง แต่ที่ยากที่สุดคือเป็นตัวเองนั่นละ

        กว่าคนคนหนึ่งจะกล้าเป็นในแบบที่เขาอยากเป็น ไม่ใช่เรื่องง่าย และน้อยคนที่จะทำได้เลยตั้งแต่เล็กแต่น้อย ครอบครัว เพื่อนฝูง สังคมในที่ทำงาน กฎเกณฑ์ต่างๆ ล้วนเป็นสิ่งที่เราต้องประนีประนอม ประคับประคอง ไปจนถึงฝืนทน เพื่อลดความขัดแย้งที่ไม่อยากรับมือ ผู้เขียนเองในวัยเด็กก็ไม่ใช่เด็กที่กล้าชนอะไรนัก ออกแนวใครว่าแบบไหนก็ว่าตามกัน ยอมมากกว่าไม่ยอม อาจเป็นเพราะการยอมปล่อยผ่าน เป็นทักษะการเอาตัวรอดแบบหนึ่ง ทุกสิ่งมีชีวิตย่อมทำเป็น

        จนเมื่อวันที่เราค้นพบจุดที่เราจะไม่ยอมเป็นใครที่ไม่ใช่เรานั่นแหละ โลกก็เปลี่ยนไป… เชื่อเถอะว่าทุกคนมีจุดนั้น ไม่ช้าก็เร็ว

        เมื่อรู้จักตัวเอง รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร เราจะทำอะไรตอนไหน อายุเท่าไหร่ เราย่อมมีเหตุผลของเรา และบ่อยครั้งก็ไม่จำเป็นต้องอธิบาย เราจะรู้เองว่า ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่ต้องทำก่อนอายุเท่านั้นเท่านี้ตามลิสต์ของใครหรอก

        แต่คือการมีวิธีคิดที่ดี ที่จะติดตัวเราไปทุกช่วงอายุ… ตราบจนวันตายต่างหาก

        โลกใบนี้ไม่ได้อยู่ง่าย ทุกคนมีหน้าที่ต้องทำ มีภูเขาส่วนตัวที่ต้องปีนป่าย ยอดเขาแต่ละคนสูงไม่เท่ากัน เริ่มต้นป่ายปีนไม่พร้อมกัน ร่างกาย จิตใจ ล้วนมีรายละเอียดที่ต้องรับมือไม่เหมือนกัน แต่ถ้าใครเคยเดินขึ้นภูเขาสวนทางกับคนที่ไปมาแล้ว เขามักไม่ค่อยบอกกันว่าเส้นทางข้างหน้าเป็นยังไง ต้องทำอะไร หรือเผชิญกับอะไร เว้นแต่เป็นเรื่องที่อันตรายและต้องระวังจริงๆ ถึงจะบอก อย่างมากก็ยิ้มให้ แล้วบอกสั้นๆ ว่า ‘สู้นะ ค่อยๆไป’ ขนาดถามว่าวิวข้างบนสวยมั้ยยังไม่ค่อยจะบอกกัน ส่วนหนึ่งเพราะเขารู้ว่า ทุกคนกำลังสู้และพยายามในแบบของใครของมัน เพื่อจะบรรลุชัยชนะในแบบของตัวเอง

        และความสวยงามของวิวข้างบนนั้นก็สวยงามในเวลาที่แตกต่างกันได้ ไม่ว่าจะเช้า สาย บ่าย เย็น อยู่ที่ใครจะเดินขึ้นไปตอนไหน

        จำได้ว่า ตอนไปเที่ยวภูเขาไม่กี่ปีก่อน ผู้เขียนต้องตื่นมาแต่เช้ามืด รวมกลุ่มกับเพื่อนๆ เดินตะเกียกตะกายขึ้นหน้าผาสูงชันเพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้นตอน 6 โมงเช้า ที่ใครๆ ก็บอกว่าสวยจนห้ามพลาด

        เพียงเพื่อจะไปยืนหอบแฮ่กในจุดเดียวกับคนอีกครึ่งหมู่บ้าน เขย่งเก็งกอยเป็นที่น่าเวทนาต่อฝูงลิงไพร เพื่อจะได้ถ่ายภาพพระอาทิตย์ดวงเดียวกัน จุดเดียวกัน ที่เขาบอกว่าสวยจนห้ามพลาดนั่นแหละ

        แล้วมันสวยมั้ยน่ะเหรอ? ไม่อยากตอบให้อายลิง

        แค่เดินให้ถึงจุดหมายก็ยากพอแล้ว ไม่นับว่าในชีวิตจริงจุดหมายของคนเราก็ต่างกันอีก อายุ 30 สำหรับคนหนึ่งอาจพร้อมสำหรับทำในหลายๆ สิ่งก็จริง แต่สำหรับอีกคนในวัยเดียวกันอาจจะกำลังฟันฝ่าปัญหาชีวิตอย่างสุดกำลัง อย่าว่าแต่ให้ไปฉีดโบท็อกซ์หรืออะไรต่อมิอะไรที่เขาแนะนำเลย ภาระที่แบกอยู่เต็มสองบ่า ยังแทบไม่มีเวลาจะวาง…

        สิ่งที่ควรทำก่อนอายุจะเพิ่มไปอีกวัน อีกเดือน และอีกปี คือสิ่งที่เราต้องเลือกทำให้เหมาะกับชีวิตของตัวเอง เหมาะกับจังหวะและรายละเอียดในตอนนั้น

        ศิลปะในการใช้ชีวิตของแต่ละคนทำให้ภาพวาดของชีวิตเรามีสีสันที่ไม่เหมือนกัน วันหนึ่งเมื่อเราผ่านทุกสิ่งทุกอย่างมาพอสมควร และมองย้อนกลับไปเห็นตัวเองในวัยหนึ่ง เราอาจจะอยากบอกตัวเองในวัยนั้นก็ได้ว่า

        ‘สู้นะ ค่อยๆไป’ ขอให้สนุกกับการก้าวเดินก็พอ


เรื่อง: วิไลรัตน์ เอมเอี่ยม