ซาร่า โฮเลอร์

ซาร่า โฮเลอร์ | ชีวิตภายใต้ใบหน้าเปื้อนยิ้มและมุกแป้กที่เรียกเสียงหัวเราะให้กับผู้คนได้มากมาย

อาการไข้หวัดและน้ำเสียงที่ขึ้นจมูกของ ‘ซาร่า’ – นลิน โฮเลอร์ ทำให้เป็นกังวลว่าเธอจะมานั่งคุยกับเราไหวหรือเปล่า เพราะก่อนหน้านั้นกว่าเธอจะเสร็จจากงานพิธีกรและการอัดรายการ The Mask Singer Season 5 ก็ปาเข้าไปเกือบเช้า แต่เธอก็มาตามนัดพร้อมยิ้มให้เราอย่างอารมณ์ดี จนไม่น่าเชื่อว่าภายใต้ใบหน้าเปื้อนยิ้มและมุกแป้กๆ ที่เรียกเสียงหัวเราะให้กับผู้คนได้มากมายนั้น เบื้องหลังหัวใจกลับถูกความมืดมนเกาะกุม ความรู้สึกแย่ที่ถาโถมครั้งไม่มีงาน และจมดิ่งอยู่กับความอ่อนแอจนเกือบจะยอมแพ้ แต่ท้ายสุดเธอก็เจอหนทางที่ทำให้ชีวิตสว่างสดใส และแสงสปอตไลต์ก็ฉายมาที่ตัวเธออีกครั้ง

ซาร่า โฮเลอร์

 

     “สำหรับเรา ชีวิตคือการเลือก และเมื่อเลือกแล้ว มันก็ไม่ได้ง่ายเหมือนภาพฝันที่วางเอาไว้” เธอเอ่ยขึ้น

     “ตอนที่เราเข้า AF ใหม่ๆ มีงานในวงการที่ต้องทำและรับผิดชอบมากมาย จนถึงขั้นเปลี่ยนชีวิต แต่แล้วเมื่อเรากำลังลงตัวกับงาน เราก็เจอกับทางเลือกที่สำคัญอย่างหนึ่งในชีวิต เราได้เป็นหนึ่งในสมาชิกวงเกิร์ลกรุ๊ปที่ปักกิ่ง ประเทศจีน มีการเซ็นสัญญา 4 ปี หากเลือกงานนี้ เราจะต้องหยุดโอกาสที่เมืองไทย หยุดงานที่ทำ และอาจจะต้องหยุดเรียน ซึ่งตอนนั้นเหลืออีกแค่เทอมสุดท้ายก็จะจบ”

     ซาร่าจึงกลับไปพิจารณาและไตร่ตรองอยู่นาน จนกระทั่งเธอบอกกับตัวเองว่า

     “หากอยากรู้ก็ต้องอยากลอง และหากอยากโตขึ้นก็ต้องคว้าโอกาส หากอยากไปให้ได้ไกลก็ต้องไม่หยุดอยู่แค่นี้ ไม่หยุดเพียงเท่านี้”

 

ซาร่า โฮเลอร์

 

     เราจึงถามซาร่าต่อว่า ถ้าหากเลือกแล้วกลับไม่ได้ดีไปกว่าที่คิด? เธอยอมรับว่า เรื่องนี้ก็อยู่ในความคิด แต่เธอก็ย้ำกับตัวเองว่า อนาคตของเธอจะรุ่งหรือร่วงไม่รู้ เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที อย่างน้อยก็จะได้ไม่เสียดายทีหลัง ต่อให้สุดท้ายเลือกผิด แต่เราได้ตัดสินใจทำแล้ว ได้รู้แล้วว่ามันเป็นยังไง และนั่นทำให้เธอตัดสินใจไปประเทศจีน

     “แต่ก็ยังกังวลและติดเรื่องเรียนเทอมสุดท้าย” เธอเล่าต่อ

     “ยอมรับเลยว่าเป็นช่วงชีวิตที่ยากมากๆ เราเลยหาหนทางที่จะเรียนเทอมสุดท้ายที่เมืองจีนให้ได้ ก็คิดอยู่นานว่าจะทำยังไง จึงปรึกษาอาจารย์ แรกๆ ก็ได้รับการปฏิเสธ แต่เราก็ไม่หยุดหาทางมานำเสนออาจารย์ และพยายามสื่อสารบ่อยๆ จนได้เรียนและการส่งงานผ่านโลกออนไลน์ โต้ตอบกันทางอีเมล เพราะที่จีนจะบล็อกโซเซียลทุกอย่าง ทั้งเฟซบุ๊ก ไลน์ ไอจี สุดท้ายก็เรียนจบ”

 

ซาร่า โฮเลอร์

 

     แต่แล้วเส้นทางที่ซาร่าเลือกก็ไม่ได้ง่ายเลยสักนิด ตลอดเวลา 3 ปีที่ทำงานที่จีน ซาร่าเอ่ยด้วยสีหน้าที่เข้าใจได้ว่า ไม่เวิร์ก เป็นอย่างไร จนเธอเผลอพูดถึงความรู้สึก
ในตอนนั้นออกมาตรงๆ ว่า “กูมาทำอะไรที่นี่วะ”

     ผ่านไป 3 ปี เธอตัดสินใจลาออกจากวงและบินกลับไทย แต่สัญญาจ้างงานที่ไทยก็หมดไปแล้ว ในปีนั้นเธอรู้สึกแย่มากจนถึงขั้นคิดจะออกจากวงการ

     “ตอนนั้นคิดว่า หากไม่มีงานจะไปเป็นพนักงานขายไอศกรีม ไม่ก็ขายลูกชิ้น คือทำอะไรก็ได้ ขอสักทาง ต่อให้ไม่ได้กลับไปในวงการบันเทิง อย่างน้อยก็ต้องทำให้มีรายได้กลับคืนมา เรามีครอบครัวต้องดูแล เราหยุดไม่ได้”

     เธอยกแก้วมัตฉะลาเต้ขึ้นจิบ ก่อนจะเล่าว่า “ทุกวันนี้ที่เรายังมีลมหายใจ เราสามารถเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ แต่ต้องไม่ลืมที่จะโฟกัสชีวิตให้ชัดเจน จากที่เมื่อก่อนชีวิตมีหลายทางที่จะไป แต่จะมีทางเดียวเท่านั้นที่เราจะไปถึง เราต้องเลือกและหาสิ่งนั้นให้เจอ โดยตัดสินใจมุ่งไปแต่ทางนั้น เชื่อเถอะว่าสิ่งแวดล้อมรอบๆ จะบีบเส้นทางจนนำไปสู่สิ่งนั้นได้จริง”

 

ซาร่า โฮเลอร์

 

     เธอทำให้เรารู้ว่า ผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างเธอไม่ได้เป็นคนยอมแพ้อะไรง่ายๆ แม้จะล้มแต่ก็ลุกขึ้นใหม่ด้วยวิธีของตัวเองและเธอก็ทำสำเร็จ

     “เราใช้วิธีเดินเข้าหาบริษัทผลิตรายการหลายๆ แห่ง เริ่มได้งานเล็กๆ น้อยๆ จ้างสองสามร้อยก็ทำ ไม่ทำไม่ได้ เราถึงขั้นพูดกับตัวเองเลยว่า ‘ไม่ได้ ต้องทำ ต่อให้คุกเข่าง้อก็ต้องทำ’ จนมีคนเห็นความกล้าของเรา คนนั้นคือพี่เสนาหอย (เกียรติศักดิ์ อุดมนาค) เขาให้เรามาทำงานเป็นพิธีกรในรายการ งานเข้าที่เล้าเป็ด จากนั้นก็เริ่มได้รู้จักพี่ๆ ในวงการตลกเรื่อยมา หลังจากนั้นก็มีงานมากขึ้น คงเพราะเราเรียกค่าตัวน้อย (หัวเราะ) จ้างร้อยทำล้าน เราจะไม่ยอมเสียโอกาสไปอีกแล้ว”

     ต่อมาเราได้เห็นเธอปรากฏตัวมากขึ้น โดยเฉพาะในฐานะพิธีกรตลกสายฮา ตลกมีมารยาท ไม่หยาบคาย ไม่สกปรก ในรายการ ตีสิบเดย์ ช่วงแพทซ่า ร่วมกับ
คุณยายแหววและ ‘แพท’ – ณปภา ตันตระกูล และมีชื่อเสียงมากขึ้นจากรายการ The Mask Singer ที่เรียกเสียงหัวเราะได้จนเกือบจบรายการ จนทำให้เธอมีฉายาต่อท้ายมากมาย ซึ่งเธอก็ขอบคุณและยิ้มอย่างมีความสุขเสมอเมื่อมีคนทักเธอว่า ซาร่า มุกแป้ก หรือ ซาร่า เซินเจิ้น

 

ซาร่า โฮเลอร์

 

     “ทุกวันนี้ก็ขอบคุณบทเรียนชีวิตต่างๆ ที่ผ่านมา ถ้าเราท้อตั้งแต่วันนั้น เราคงไปขายลูกชิ้นจริงๆ ทุกวันนี้เราทำงานไม่ได้คิดแค่ตัวเองรอด แต่เราคิดถึงพ่อและแม่
ทำงานเก็บเงินสร้างบ้านให้พวกเขา อีกไม่นานบ้านของพ่อแม่ก็จะเริ่มสร้างแล้วล่ะ” เธอกล่าวทิ้งท้ายด้วยน้ำตาที่รื้นขึ้นอย่างภาคภูมิใจ