ณรุส มหัคฆพงศ์

ณรุส มหัคฆพงศ์ | อิสรภาพในชีวิตเกิดขึ้นได้ด้วยเป้าหมายและเครื่องมือที่ใช่

ปฏิเสธไม่ได้ว่าในปัจจุบันคนรุ่นใหม่ต่างมองหา ‘อิสระในชีวิต’ ที่ไม่ต้องยึดติดกรอบของการทำงาน เพียงแต่เงื่อนไขของความมั่นคงทางการเงิน อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เรายังไม่สามารถใช้ชีวิตอิสระเช่นนั้นได้ หลายคนยังคงต้องต่อสู้กับการวางแผนชีวิต วางแผนการเงิน ที่ดูยุ่งยากจนแทบไม่มีเวลาส่วนตัว รีบบึ่งไปทำงานแต่เช้า ฝ่ารถติดกลับบ้านค่ำมืด หมดแรงไปกับการทำงานเก็บเงินเพื่อสร้างรายได้ ในวันหยุดสุดสัปดาห์ก็แทบไม่มีแรงเหลือพอจะไปทำในสิ่งที่อยากทำจริงๆ คำถามคือ เราอยากได้ชีวิตแบบนี้จริงหรือ?

     ‘บ๊อบบี้’ – ณรุส มหัคฆพงศ์ นักธุรกิจหนุ่มผู้เป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ เขาคิดมาตลอดว่าอยากมีชีวิตอิสระ ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ มีรายได้เพียงพอที่จะใช้ชีวิตแบบที่ต้องการ แต่เขาอยากบอกกับหลายๆ คนว่า ชีวิตแบบนี้อาจจะเป็นเพียงแค่ฝันที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย ถ้าหากไม่มีการวางแผนชีวิต วางแผนการเงิน และมองหาเครื่องมือที่เหมาะสมให้คุ้มค่ากับการลงแรงอย่างเต็มที่เพื่อแลกกับอิสระที่ชีวิตต้องการ

     เพราะคนเราเลือกได้ เราสามารถเลือกเครื่องมือที่เหมาะกับชีวิตได้ และเครื่องมือที่ดีนั้นจะทำให้เรามีอิสระที่จะเลือกชีวิตที่ดีได้เช่นกัน

 

ณรุส มหัคฆพงศ์

 

บทสนทนาเรื่องเป้าหมายชีวิตบนโต๊ะอาหาร

     เราเกิดและเติบโตมาในครอบครัวคาทอลิก คุณพ่อเป็นคาทอลิก แต่คุณแม่เป็นพุทธ คุณพ่อเราเป็นนักวางแผน เป็นคนรอบคอบ บนโต๊ะอาหารพ่อจะคุยกับเราเสมอว่าชีวิตต้องมีเป้าหมาย ซึ่งเราจะใช้เวลาอยู่กับพ่อช่วงเสาร์-อาทิตย์ ส่วนจันทร์ถึงศุกร์เราจะอยู่กับแม่ ก็จะอยู่ในโหมดอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ตามสไตล์ผู้หญิง

     ตอนเราเกิด คุณพ่ออายุ 40 ปี ซึ่งถือว่าเป็นวัยกลางคนแล้ว พ่อก็คิดว่าจะต้องเลี้ยงลูกให้เข้าใจโลกจริงๆ พ่อเคยพูดกับเราว่า ‘พ่อกำลังเดินทางออกจากถ้ำ ส่วนลูกกำลังเดินเข้าถ้ำ’ เป็นคำเปรียบเปรยที่พ่อบอกว่าเรากำลังจะเริ่มใช้ชีวิตนะ เมื่อคนที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมามากกว่าบอกเตือนอะไร เราต้องตั้งใจฟังเขา ฉะนั้นเราก็จะอยู่ในบรรยากาศของการเตรียมพร้อมตลอด ตั้งแต่เด็กตอนประมาณ ม.3 เราก็เริ่มตัดสินใจแล้วว่าจะต้องประสบความสำเร็จในชีวิต ยังไม่รู้หรอกว่าประสบความสำเร็จในชีวิตคืออะไร รู้แต่ว่าจะไม่ใช้ชีวิตอยู่ไปเฉยๆ

     ตอนเราอยู่มัธยมต้น พ่อเคยให้การบ้านว่าอะไรคือเป้าหมายชีวิต เรารู้ว่าเป็นคำถามที่สำคัญ เราก็ตอบไปว่า ความสุข คำถามคือถ้าปลายทางคือความสุข ดังนั้น โจทย์มันเป็นอะไรก็ได้ที่ให้ความสุขใช่ไหม ฉะนั้นเราอย่าไปยึดติดว่า ต้องเรียนด้านนี้ จบมาต้องทำงานด้านนี้เท่านั้น สุดท้ายต้องมองให้ออกว่าปลายทางคือความสุข ตอนนั้นเราถึงรู้ว่าพ่อไม่ได้คาดหวังเรื่องอาชีพ พ่อไม่เคยย้ำเรื่องเกรด ขอแค่ใช้ชีวิตให้เป็นก็พอ

 

ตัดสิ่งไม่จำเป็นและโฟกัสเป้าหมาย

     เราหยิบหนังสือเกี่ยวกับธุรกิจมาอ่านตั้งแต่ ม.ต้น ตอนนั้นยังไม่เข้าใจทั้งหมดแต่ก็ตั้งใจลองเอามาอ่าน ตอนอยู่มหาวิทยาลัยก็เข้าเรียนสายบริหาร จบมาก็ตั้งใจไว้เลยว่าอยากทำธุรกิจส่วนตัว ในขณะที่บางคนก็จะเลือกเรียนต่อปริญญาโท แต่สำหรับเรา เรารู้ว่าจะต้องทำให้ชีวิตมีความสุขและประสบความสำเร็จ เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราต้องทำก็คือ ตัดงานที่ไม่จำเป็นออก เราเลือกที่จะไม่เรียนต่อ และเลือกงานที่ตอบโจทย์ชีวิตเราในแบบที่พ่อสอน คือ ‘อย่าทำสิ่งที่ตัวเองชอบ แต่ทำสิ่งที่เวิร์ก’ และต้องแยกให้ออกระหว่างแพสชั่นกับเครื่องมือในการสร้างชีวิต พ่อไม่ได้ห้ามให้ทำสิ่งที่ชอบนะ ถ้าทำแล้วมันเวิร์กและมีความสุขด้วยก็ทำเลย แต่หากไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ถึงเป้าหมายก็ไม่ควรไปเสียเวลา

 

ณรุส มหัคฆพงศ์

 

ค้นพบเครื่องมือที่พาเราไปถึงจุดที่ใช่

     เราคิดไว้ในใจตั้งแต่เด็กแล้วว่าตอนอายุ 25 หรือจบไปไม่เกิน 3 ปี เราต้องมีอิสรภาพทางการเงิน มีรายรับที่มั่นคงและต่อเนื่อง โดยที่ไม่ต้องทำงานอีกแล้ว พอตั้งโจทย์แบบนี้ เราคิดไว้ในใจว่าจะทำธุรกิจส่วนตัว แต่ช่วงก่อนที่จะอายุ 25 เราจะทำอะไรล่ะ เรามีลิสต์บริษัทในใจ 10 บริษัทว่าจะทำงานกับบริษัทเหล่านี้ ก็น่าจะมีประสบการณ์เพียงพอแล้ว

     แต่ปรากฏว่าตอนปี 2 เราไปเจอธุรกิจแอมเวย์ ซึ่งเป็นโมเดลธุรกิจที่ช่วยให้เราไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ได้ ที่สำคัญคือเราไม่ต้องไปสมัครงานแล้ว เราสามารถหาประสบการณ์ด้วยตัวเองได้ แค่เรียนรู้และมีคนที่ประสบความสำเร็จและมีประสบการณ์คอยสอนก็เพียงพอแล้ว เพราะฉะนั้น โมเดลธุรกิจนี้ทำให้เราไม่ต้องทำงานประจำ ไม่ต้องไปลงทุนทำธุรกิจเองเหมือนที่พ่อแม่ทำ และที่สำคัญ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่ไม่ชอบอยู่กับที่ของเราได้ ตอนนั้นชีวิตเราก็เลยเริ่มทำธุรกิจนี้ ควบคู่ไปกับการเรียน และคิดว่าหลังเรียนจบเราจะทำธุรกิจนี้อย่างจริงจัง

 

เงื่อนไขทางธุรกิจของงานนี้คือคุณต้องพบปะเจอคนหลากหลาย คนอื่นอาจจะติดเรื่องนี้ แต่เราไม่มีปัญหาเลย

 

     เราทำธุรกิจนี้ได้ 3 ปี ก็รู้สึกว่ารายได้มันครอบคลุมทุกอย่างในจุดที่เรามีอิสรภาพทางการเงิน แต่กว่าจะถึงจุดนี้ก็ต้องผ่านอะไรมาหลายอย่าง เงื่อนไขทางธุรกิจของงานนี้คือคุณต้องพบปะเจอคนหลากหลาย คนอื่นอาจจะติดเรื่องนี้ แต่เราไม่มีปัญหาเลย เราพยายามเรียนรู้แล้วก็ปรับให้เข้ากับแบบที่เราเป็น โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว เรารู้ตัวเองว่าชอบอะไร และก็รู้ด้วยว่าไม่ชอบอะไร เรารู้ตัวเองว่าทำงานแบบมีหัวหน้าไม่ได้เลย เพราะถ้าหัวหน้าไม่เก่งจริงหรือไม่ได้เป็นผู้นำที่ถูกต้อง เราจะมีปัญหาทันที

 

หลุดจากกับดักของงานประจำ

     คนทำงานประจำกับทำธุรกิจส่วนตัวมีงานหลักที่เป็นภาระต้องรับผิดชอบเหมือนกัน เมื่อต้องทุ่มเวลาให้กับงานปัจจุบันเกือบทั้งหมด จึงอาจเกิดคำถามว่าจะเอาเวลาที่ไหนไปคิดเรื่องอนาคตหรือเรื่องอื่นที่อยากจะทำ แต่สำหรับธุรกิจแอมเวย์ที่เราทำกลับตรงกันข้าม เราสามารถบริหารจัดเวลาทำงานเองได้ ค่อยๆ จัดการไปทีละนิดเหมือนต่อจิ๊กซอว์ ถ้าวันนี้ไม่เสร็จพรุ่งนี้กลับมาทำใหม่ โมเดลธุรกิจแอมเวย์ยอมให้ทำแบบนี้ได้ ไม่มีต้นทุน แต่มีองค์กร แถมยังมีโค้ชที่คอยดูแล และธุรกิจที่เราทำไม่ได้กำหนดเรื่องเวลา จะทำงานอย่างไร คุยกับใคร หรือทำที่ไหน ก็อยู่ที่ตัวเรากำหนดเอง

 

ณรุส มหัคฆพงศ์

 

สร้าง ‘โอกาส’ เพื่อให้ได้ ‘เวลา’ สำหรับเรียนรู้ชีวิตบนโลกกว้าง

     เราเป็นคนที่รักการเดินทาง มีความฝันอยากเดินทางรอบโลกมาตั้งแต่เด็กๆ ถึงตอนนี้น่าจะไปเกิน 60 ประเทศแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นเพราะธุรกิจที่ทำมันเปิดโอกาสให้เราได้มีอิสรภาพ และที่สำคัญคือมันให้เวลาเราได้ทำในสิ่งที่อยากทำ ถ้าเราทำงานประจำ สิ่งเหล่านี้มันเป็นไปไม่ได้แน่ๆ

     เมื่อก่อนเราจะชอบไปประเทศที่ไม่เคยไป ไปถ่ายรูปอะไรก็ว่าไป แต่เดี๋ยวนี้เราอยากไปเพื่ออยู่แต่ละที่นานๆ ไปเรียนรู้ว่าคนที่นั่นเขาอยู่กันอย่างไร เป็นการเที่ยวเพื่อเปิดโลกทัศน์ แล้วมันทำให้เราได้สะท้อนมองกลับมาที่ตัวเอง หรือในบ้านเมืองเรา สังคมเรา ว่าเป็นอย่างไร เกิดอะไรขึ้นบ้าง

     เราโชคดีที่ธุรกิจนี้ให้เวลา ให้การใช้ชีวิต เราจะไปอยู่ที่ไหนก็ได้ นานแค่ไหนก็ได้ มันตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของเราและคนรุ่นใหม่ที่อยากมีเวลาและก็อยากมีรายได้สำหรับการทำอะไรสักอย่าง โดยที่ไม่ต้องยึดติดกับกรอบการทำงานแบบเดิมๆ

 

มีเวลาได้ใช้ชีวิตในด้านอื่น

     พอมีเวลาเราก็สามารถใช้ชีวิตด้านอื่นโดยที่ยังคงไลฟ์สไตล์เดิมของเราไว้ได้ เราสามารถเอาทุกเรื่องตอนเด็กที่เราไม่ได้ทำ แต่เราอยากทำ หรือเรื่องที่เคยทำแล้วยังไม่ดีพอ แต่มีความเชื่อเล็กๆ ว่าทำได้ เอากลับมาแก้แค้นตอนนี้อีกครั้ง (หัวเราะ) เอามาพิสูจน์อีกทีว่าเราทำได้ไหม ก็คล้ายๆ กับอารมณ์เก็บของเก่ามาจัดการ นอกจากนั้นเราสามารถมีเวลาในการใช้ชีวิตด้านอื่นที่อยากลองได้ เช่น ไปชิมอาหารทุกแห่งที่เราอยากชิมรอบโลก ไปลองเรียนขับเครื่องบิน มันเป็นสิ่งที่เราอยากทำแต่ยังไม่เคยทำ

     ทุกวันนี้เราฟังเสียงนาฬิกาปลุกในโทรศัพท์แบบไม่ซีเรียสเลย แต่ลองนึกถึงคนที่ต้องกังวลกับนาฬิกาปลุกมาทั้งชีวิต ต้องตื่นให้เป๊ะและตรงเวลา มันทำให้เกลียดนาฬิกาปลุกนะ ลองคิดดู ถ้าวันนี้รายได้มันครอบคลุมชีวิตแล้ว วันนั้นเราก็ไม่ต้องทำงานแบบเดิมๆ อีกแล้ว ถามว่ามันเกิดได้เพราะอะไร คำตอบคือ ‘โมเดลธุรกิจ’ ที่เราทำมันเอื้อให้ทำแบบนั้นได้

 

ณรุส มหัคฆพงศ์

 

การส่งต่อบทเรียนคือการเติมเต็มชีวิตที่มากกว่า

     เมื่อก่อนเรากระหายในการใช้ชีวิต แต่พอได้ลองทำทุกอย่างจนสำเร็จ เราก็ค้นพบว่าทั้งหมดชีวิตมันไม่ใช่แค่เรื่องนี้ เมื่อก่อนเราอยากได้บ้านในฝัน รถในฝัน อยากท่องเที่ยว มันจะตื่นเต้นอยู่ประมาณ 4 เดือนหรือช่วงแรก จากนั้นมันจะกลายเป็นเรื่องปกติ แล้วจิตใจเราก็จะเริ่มหาสิ่งใหม่เพิ่มอีก แต่พอเราได้เข้าใจเรื่องนี้แล้วก็ไม่ใช่ว่าเราจะทิ้งทุกอย่างหรือไม่ต้องการอะไรอีกต่อไปแล้วนะ แต่เราจะพยายามให้คุณค่าทุกสิ่งที่ทำในแบบที่มันเป็นอย่างเต็มที่ต่างหาก

     ในแวดวงธุรกิจ คนจะคิดว่าความสำเร็จเป็นเรื่องดี แต่ความจริงต้องคิดให้มากกว่านั้น เพราะความสำเร็จจริงๆ มันว่างเปล่ามาก คนที่เคยไปถึงจะรู้ว่ามันดีแค่วินาทีเดียว ความสำเร็จมันคือสิ่งเล็กๆ ที่ต้องสะสมไปเรื่อยๆ วันนี้เราเรียนจบก็ถือว่าประสบความสำเร็จแบบหนึ่ง มันเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จขั้นต่อไป เราต้องมองความสำเร็จเป็นกระบวนการแทนที่จะมองเป็นชิ้น การที่เรามองแบบนี้จะทำให้เราไม่เสียเวลาไปกับการลงมือผิดวิธี เพราะธุรกิจที่เราทำมันมีข้อดีคือ เปิดโอกาสให้มีสติในเรื่องนี้

 

ความสำเร็จมันคือสิ่งเล็กๆ ที่ต้องสะสมไปเรื่อยๆ

 

     บางทีคนเราจะรู้สึกมีคุณค่าเพิ่มขึ้นเมื่อได้รับอะไรบางอย่าง แต่ถ้าเป็นแบบนั้นทั้งชีวิตก็พลาดนะ เพราะเขาสำเร็จแล้วก็ต้องสำเร็จอีก คนกลุ่มนี้เอาสิ่งที่อยู่ภายนอกมากำหนดคุณค่าตัวเอง หรือตัวตนของเขาจะถูกกำหนดจากสิ่งที่ทำได้ มันไม่ควรเป็นอย่างนั้น เราคิดว่ามันไม่ใช่การวิ่งหาความสำเร็จใหม่ แต่คือการส่งต่อความรู้ ความเข้าใจของเราจะไปช่วยคนอื่นได้อย่างไรบ้าง เพื่อให้คนอื่นไม่ต้องผ่านเรื่องที่เราเจอ ธุรกิจนี้สามารถทำให้เราส่งต่อคุณค่าที่ดีกับคนอื่นได้โดยตรง

 

‘ความสุข’ คือการเติมเต็มปัจจุบัน

     เมื่อก่อนเราคิดว่าถ้าอยากจะสุขกว่านี้ต้องเติมอะไรบางอย่าง ต้องทำแบบนั้นถึงจะเป็นแบบนั้น ต้องไปที่นี่ถึงจะรู้สึกแบบนี้ ต้องกินสิ่งนั้นถึงจะเป็นอย่างนั้น ต้องมีสิ่งนี้จะเป็นแบบนี้ แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว เรารู้สึกว่าอนาคตไม่ต้องถูกเติมแล้ว มันเต็มตั้งแต่ตรงนี้เลย เราไม่ต้องไขว่คว้าหาสิ่งที่มันไม่ใช่ของจริง

     ทุกวันนี้คนเราอยู่กันเหมือนรอการเติมเต็มอะไรสักอย่าง รอแฟนที่ใช่ รองานที่ใช่ แต่พอมีครบแล้วกลับไม่เป็นแบบนั้น เพราะวันที่มันมาถึง ตัวเราก็ยังอยู่ในอนาคตอยู่ดี เช่น ตอนปี 2018 เราจะคิดว่าเดี๋ยวปี 2025 มันจะเป็นแบบนี้ เราเลยรู้สึกว่าตัวเองไม่ถูกเติมเต็มสักที คนชอบมีคำถามว่าถ้าเติมเต็มไปแล้วอะไรจะเป็นความดิ้นรนของชีวิตล่ะ แต่หารู้ไม่ว่า วันที่เราเติมเต็มในแต่ละวัน นี่ล่ะคือการใช้ศักยภาพที่มีอย่างคุ้มค่าที่สุด เพราะเรายังไม่ได้วิ่งหาอะไรจากใคร และก็ไม่มีใครทำร้ายเราได้ด้วย มันคือความรู้สึกของคำว่าความสุขที่แท้จริง ไม่ต้องคาดหวังว่าอนาคตจะเติมอะไร แต่คาดหวังเพียงแค่ว่าตอนนี้เราจะเติมอะไรกับปัจจุบัน

 

วันที่เราเติมเต็มในแต่ละวัน นี่ล่ะคือการใช้ศักยภาพที่มีอย่างคุ้มค่าที่สุด

 

I am what I am

     สำหรับเรา เชื่อว่าธุรกิจที่ดีจะเปลี่ยนชีวิต ถ้าเราไม่ได้เจอธุรกิจแอมเวย์ เราคงถลำไปตามสไตล์ของเราซึ่งก็ไม่รู้ว่าถูกต้องไหม บางธุรกิจบังคับให้เราต้องลงทุนกับผลลัพธ์ เราจะเชื่อได้ก็ต่อเมื่อได้เห็นผลลัพธ์เท่านั้น ฉะนั้นงานบางงาน เราไม่สามารถตัดสินใจอย่างที่เราคิดได้ แต่กับแอมเวย์เป็นงานที่โปร่งใสและตรงไปตรงมา อีกทั้งทำแล้วก็สามารถพัฒนาทั้งจิตใจและศักยภาพตัวเองไปพร้อมกัน สิ่งสำคัญคือเราสามารถเป็น the best version of myself ได้ เราสามารถประสบความสำเร็จไปพร้อมกับการที่ยังคงความเป็นตัวเราไว้ และไม่สูญเสียตัวตนไปกับงานได้ นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุด

 

 

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ Facebook: ชีวิตสร้างตามใจชอบ

#IAMWHATIAM #ชีวิตสร้างตามใจชอบ