Aragochina

Aragochina: เมื่อตัวตนและภาษาคือสิ่งที่ต้องค้นหาเพื่อพาตัวเองไปสู่ชีวิตอันแปลกใหม่

หลังจากที่ผันตัวมาเป็นศิลปินเดี่ยว ชื่อของ เป้ อารักษ์ ก็ถูกจับตามองในฐานะนักดนตรีเพลงโฟล์กซองที่มีเพลงหลุดโลกแต่สร้างชื่อให้เขาอย่าง มาเลเซีย จนกลายเป็นที่พูดถึงกันอยู่ระยะหนึ่งสำหรับบทบาทใหม่ในเส้นทางดนตรีของเขา

        “ต้องยอมรับว่าตอนนี้ผมกลับไปฟัง ออโต้อีโรติก แล้วรู้สึกไม่ค่อยสนุกกับมันเท่าไหร่เลย ผมรู้สึกว่า มึงกล้ามาก (หัวเราะ) กล้ากว่าตอนนี้อีก”

        แต่ปัจจุบันที่เขาทิ้งระยะห่างจากวันแรกที่ปล่อยเพลง มาเลเซีย นานถึง 9 ปีแล้ว เป้ยอมรับกับเราแบบเปิดอกว่า เขาคงไม่สามารถกลับไปทำเพลงแปลกประหลาดแบบนั้นได้อีกแล้ว

        ทุกวันนี้ เป้ อารักษ์ กลายเป็นศิลปินที่หลงใหลความแปลกใหม่ทางด้านภาษาที่พยายามสรรหาคำทั้งเก่าและใหม่ที่ไม่ค่อยมีใครใช้เป็นเครื่องมือบอกเล่าในดนตรีมาเป็นจุดแข็งในการทำเพลงชุดล่าสุดของเขาอย่าง ‘Aragochina’ 

        ‘ชัยชนะล่าสุด ผมได้ใส่คำว่า สัมปะชัญญะ แมงเม่า และอะมีบา ลงไปในเพลงเดียวกันได้แล้ว’ คือหนึ่งในสเตตัสของที่เขาโพสต์ผ่านทางเฟซบุ๊ก Pae Arak เพื่อป่าวประกาศว่า ยุคสมัยอันไร้พรมแดนทางด้านภาษาในงานดนตรีของเขามาถึงแล้ว

 

เป้ อารักษ์

ที่มาของชื่ออีพีอัลบั้มนี้ทำไมถึงใช้ว่า Aragochina และยังมีแนวทางดนตรีที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงขนาดนี้

        Aragochina มาจากชื่อของศิลปินสามคนที่มีส่วนร่วมในอัลบั้มนี้คือ ‘เป้’ – อารักษ์ อมรศุภศิริ (Arak) ‘ฮิวโก้’ – จุลจักร จักรพงษ์ (Hugo) และ ‘เมฆ’ – สุขุม อิ่มเอิบสิน (Machina) แต่ถ้าถามถึงที่มาคงต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ชุดที่แล้วคือ เหล็กกับไม้ ที่ผมทำกับพี่ฮิวโก้ เขามาบอกกับผมว่า “นายอย่าสนใจเรื่องเครื่องดนตรีเลยดีกว่า นายอยากเล่นอะไรก็เล่นไปเลย” ทำให้ชุดนั้นของผมเลยมีทั้งกีตาร์โปร่งและกีตาร์ไฟฟ้า เริ่มหลุดจากกรอบการเล่นกีตาร์โปร่งอย่างเดียว

        แล้วช่วงหลังผมเริ่มหันมาฟังเพลงใหม่ๆ มากขึ้น เช่น The Weeknd, Joji, Travis Scott, Frank Ocean พอเจอกับพี่ฮิวโก้อีกครั้งหนึ่ง ก็เอาเนื้อเพลงที่ผมแต่งไว้ให้เขาดูแล้วก็บอกเขาไปว่าช่วงนี้ผมฟังเพลงแบบนี้อยู่นะ พี่สามารถทำอะไรกับเนื้อเพลงของผมได้บ้าง เขาก็บอกว่า ได้สิ เขาอยากทำให้ แต่เพลงที่ออกมาต้องเป็นแบบนี้นะ แล้วเขาก็เปิดเพลงของ Pusha T ให้ฟัง

เพลงอะไรของ Pusha T ที่ฮิวโก้เปิดให้คุณฟัง แล้วเขาบอกไหมว่าทำไมต้องเป็นเพลงของศิลปินคนนี้

        เพลง If You Know You Know กับ The Games We Play เขาเล่าให้ผมฟังว่าคนที่ทำดนตรีให้ Pusha T คือ Kanye West โดยขั้นตอนการทำงานคือเขาเอาเนื้อเพลงของ Pusha T เข้าไปในสตูดิโอส่วนตัวที่ต่างจังหวัด แล้วหายไปในนั้น 10 วัน ไม่ออกไปไหนเลยนะ ปล่อยให้ Pusha T รอโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาทำอะไรอยู่ จนสุดท้ายเขาก็ออกมาพร้อมกับบีตเพลงทั้งหมด เป็นจังหวะดนตรีที่มีการตัดแปะได้ซ่าและถูกใจมาก ผมเลยมองว่าถ้าได้ทำอะไรแบบนั้นกับพี่ฮิวโก้บ้างก็คงสนุกดี

หมายความว่าวิธีการทำงานของอีพีอัลบั้มนี้จะคล้ายกับการทำเพลงของ Pusha T อย่างนั้นเหรอ

        ต้องบอกว่าผมมีเพลงอยู่แล้วประมาณ 12 เพลง แต่ในอีพีอัลบั้มนี้ได้ใช้แค่ 6 เพลง เพราะพี่ฮิวโก้เลือกเฉพาะเพลงที่มัน ‘จริงใจน้อยที่สุด’ แค่ 5 เพลงเท่านั้นตามคำพูดของเขา แต่ผมแอบเพิ่มเพลง สอนใคร ไปอีกหนึ่งเพลง ก่อนเขาจะไปใส่ดนตรีให้ใหม่แทบทั้งหมดส่งคืนมาให้ผม

อะไรคือความหมายของ ‘จริงใจน้อยที่สุด’ ที่พูดถึง

        คือการทำเพลงให้มันฉูดฉาด มีสีสัน มึนๆ กวนประสาท อกหักได้แต่ยังต้องเท่อยู่ (หัวเราะ) เราทำตามวัฒนธรรมฮิปฮอปเลย ทำให้อีก 6-7 เพลงที่เหลือที่เป็นเพลงรัก เพลงเศร้า โดนพี่ฮิวโก้โละทิ้งหมดเลย (หัวเราะ)

แต่เนื้อหาส่วนใหญ่ในเพลงที่ปล่อยออกมาก็ยังพูดถึงเรื่องความรักอยู่ดี ฟังแล้วรู้สึกว่าเหมือนคุณกำลังหาอะไรบางอย่างมาเคลือบเพลงเหล่านี้ไว้อยู่

        การแต่งเพลงให้เกี่ยวกับความรักยังเป็นสิ่งจำเป็นในการนำเสนออยู่ มันทำให้เพลงย่อยง่าย ถ้าเราพูดเรื่องบาปบุญ แล้วไม่มีความรักเลย คนจะเข้าถึงยาก ต้องยอมรับว่าเป็นข้อจำกัดที่ทำให้เพลงไทยยังต้องมีเรื่องความรักอยู่เหมือนกัน 

        แต่บางเพลงก็ไม่ได้เกี่ยวกับความรักเลย อย่างเพลง ไม่ต้องทำหรอกบุญ มันเกิดขึ้นจากเพื่อนร่วมงานที่โกรธแค้นกัน ประมาณว่า “เฮ้ย! มึงทำแบบนี้ ก็ไม่ต้องทำหรอกบุญ” แต่มันก็มีเพลงที่รักโคตรๆ เช่นเพลง สอนใคร กับ ไม่บอก ก็เป็นรักที่มาจากประสบการณ์จริง

 

เพลง ไม่บอก มาจากประสบการณ์คุณเองหรือเปล่า

        ไม่ใช่ เป็นของพี่ฮิวโก้ เคยมีคนสัมภาษณ์เขาว่าช่วงนี้เตียงหักเหรอ เขาบอกว่าเหตุผลที่เตียงหักเพราะผมใช้เยอะเกินไป ที่ผมไม่ได้โพสต์รูปคู่กับลูกกับเมีย ไม่ได้แปลว่าผมไม่รักเขา แค่ผมไม่ได้พูดถึงเท่านั้น

คุณจำกัดความได้ไหมว่าอัลบั้มนี้เป็นดนตรีแนวไหน

        ถ้าพูดถึงการทำงานคงเป็น Sampling music แต่ถ้าพูดถึงตัวเพลงก็อธิบายลำบาก ถ้าให้นิยามผมคงจะตอบว่าเป็น Singer-Songwriter-Contemporary มันเป็นเพลงที่ใช้ภาษาเล่าอย่างจริงจัง โดยอย่างอื่นมันก็เป็นตัวเคลือบที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เช่น อัลบั้ม ออโต้อีโรติก ก็ใช้กีตาร์โปร่งตัวเดียว ต่อมาก็มีวงดนตรีโฟล์ก มีกีตาร์ไฟฟ้า มีจังหวะดนตรีฮิปฮอป ผมก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทดลองไปเรื่อยๆ

แสดงว่าตัวตนของคุณในงานเพลงชุดนี้ก็คือเนื้อเพลง

        ใช่ พูดอีกก็ถูกอีก แต่ไม่เหมือนกับไรห์มในดนตรีฮิปฮอป เพราะอันนั้นเขาจะมีจังหวะมาก่อน แล้วค่อยร้องแร็ปลงไปในเพลง แต่การทำงานของผมจะมีเนื้อเพลงและทำนองมาก่อน แล้วค่อยไปสร้างจังหวะให้เข้ากับมันทีหลัง ซึ่งยากกว่ามาก เพราะทุกอย่างมันเสร็จหมดแล้ว เราเลยต้องทำให้มันเข้ากับเนื้อเพลงและจังหวะ 

เคยคิดไหมว่าเนื้อเพลงของคุณเหมือนผู้ชายที่กำลังร้องไห้แต่ใส่แว่นดำอยู่

        (หัวเราะ) ผมเป็นคนชอบเล่าเรื่องเศร้า ทั้งที่ตัวเองไม่ใช่คนเศร้าเลย แต่เหมือนเรารู้สึกเศร้าผ่านการเล่าเรื่องราวในเพลงมากกว่า อย่างเพลง สอนใคร ก็แต่งมาจากช่วงที่ผมอกหัก ตอนแต่งเพลงนี้เสร็จก็เหมือนหายเศร้าไปพักหนึ่งเลยนะ แล้วยิ่งพอแต่งเพลงอื่นๆ อีกก็รู้สึกดีขึ้นเรื่อยๆ เลยรู้ว่าการแต่งเพลงมันช่วยเยียวยาใจได้จริงๆ รู้สึกคุ้มค่ากับที่เสียใจไปแล้วได้อะไรกลับมาเล่าในเพลงมากเหมือนกัน

ทุกวันนี้คุณยังให้คำแนะนำหรือสอนใครเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์อยู่ไหม

       สอนขำๆ ก็คงได้ จริงจังก็คงไม่แล้ว เพราะคนที่ผมสอนก่อนหน้านั้นเขาประสบความสำเร็จ แต่พอเราโดนบ้างเขาก็มาสอนเรา ก็เลยรู้สึกว่าเราไม่ได้เก่งขนาดนั้น

 

Aragochina

ทำไมเพลงของคุณมักจะมีคำแปลกๆ เช่น ‘อะมีบา’ หรือ ‘อารัปคาดาฟา’ คำแปลกๆ เหล่านี้จำเป็นในเพลงมากแค่ไหน

        จำเป็นมาก การสร้างคำใหม่ๆ ขึ้นมาสำหรับผมมันคือวัฒนธรรมที่ยังไม่ตาย ทุกวันนี้เพลงในปัจจุบันมีแต่คำที่ตายไปแล้วถูกใช้ซ้ำๆ วนไปมา แต่ถ้ามองไปที่ดนตรีฮิปฮอปเรามีคำแปลกๆ ให้เห็นอยู่ตลอด เขามีเนื้อเพลงอย่าง Turnt, Lit, Esskeetit ขึ้นมาได้เฉยเลย ซึ่งทำให้คำมันไม่ตาย เพลงพวกเขามันเลยสนุก พอเห็นแบบนี้ผมเลยรู้สึกว่า ‘เฮ้ย กูก็ทำอะไรแบบนี้ได้เหมือนกันนี่’ เราต้องพยายามหา ‘รู’ ในภาษาแหวกเข้าไปบ้าง ภาษาไทยมีคำเยอะมากเลยนะ แต่เราไม่ค่อยใช้กันเท่านั้นเอง โดยเฉพาะคำเก่าๆ

เวลาคุณจะเล่าถึงอะไรสักอย่างในเพลง คุณต้องสร้างเป็นเรื่องราวขึ้นมาเลยไหม

       เวลาผมจะเล่าอะไร ผมจะตั้งใจเล่าแค่เรื่องเดียว แล้วค่อยเอาท่อนอื่นมาสนับสนุนเรื่องราวมากกว่า อย่างเพลง ผีเสื้อ ที่เกี่ยวกับการพลอดรักนิดหน่อย ก็จะมีท่อนสยิวๆ เช่น ‘ใกล้พอจะดมกลิ่นยาสระผมของเธอ’ 

ก็แบบนี้ไง นี่คือความแปลกประหลาดของเนื้อเพลงของคุณ ที่คนฟังรู้สึกมึนงงว่า ‘ไอ้นี่มันร้องเพลงอะไร’

        อันนี้พี่ฮิวโก้เป็นคนบอกผม เขาบอกว่าแบบนี้มันเอ็กซ์สุดแล้ว ผมก็ไม่เข้าใจนะ แต่ก็เชื่อเขา (หัวเราะ) หรืออย่างคำว่า ‘น้ำลายกลับหอมขึ้นมา’ ก็เหมือนกัน คำเหล่านี้เริ่มมาจากแก่นของเพลงอย่างการพลอดรักก่อน แล้วเราค่อยมองมุมแคบไปเรื่อยๆ ทำให้เวลาแต่งเพลงเรื่องที่เล่าจะไม่เยอะเกินเป็นสไตล์ บ็อบ ดีแลน 

พูดถึงเรื่องดนตรีบ้าง โดยเฉพาะเพลง ผีเสื้อ และ เธอเลิกยากเหมือนบุหรี่ ที่มีความโดดเด่นมาก คุณมีวิธีการทำงานอย่างไร

        ต้องให้เครดิตพี่ฮิวโก้เต็มๆ เลย สองเพลงนี้ตอนแรกผมเข้าไปด้วยภาพในหัวอีกแบบหนึ่ง เพลง ผีเสื้อ ของผมต้องออกมาเป็นแบบ The Weeknd หรือ เธอเลิกยากเหมือนบุหรี่ ผมก็มาเป็น Nina Simone แต่เขาก็รื้อใหม่ ทำใหม่ทั้งหมด อีกคนที่ต้องพูดถึงคือ ‘บิ๊ก’ – ภานุวัฒน์ พืชกสิชลพสุธา (The Pisatband) เขามีความรู้เรื่องเพลงเยอะมาก จะปรับแต่งเพลงตรงนั้นตรงนี้ของผมตลอดเวลา 

       ถ้าให้พูดตรงๆ แบบเรื่องจริง ไม่อวดตัวเองเลย ตอนทำงานผมก็นั่งถ่าย IG Story แล้วดูเขาทำเพลง (หัวเราะ) โคตรสบาย ถ้าเป็นสมัยก่อน ผมนี่จิกไหล่โปรดิวเซอร์ให้เขาทำตามใจเราทุกอย่างไปแล้ว แต่ทุกวันนี้เราปล่อยเขาเลย นั่งอยู่ข้างหลังแล้วบ่นพึมพำกับตัวเองว่า พวกนายแม่งเจ๋งโคตร

เป็นเพราะคุณเชื่อมือเขาหรือเพราะคุณคลี่คลายกับตัวเองแล้วว่า เราไม่ต้องทำงานเองทั้งหมดคนเดียว 

        ใช่  อย่างพี่ฮิวโก้กับบิ๊ก ผมเชื่อใจเขามากเพราะร่วมงานกันมาจนรู้นิสัยกันหมดแล้ว เขาอยากลองอะไรเราก็ให้เขาลองหมดเลย ส่วนเมฆ เราก็เชื่อในคุณภาพงานและมาตรฐานของเขามาตลอด

 

Aragochina
instagram: @paearak

แล้วปกอัลบั้มอีพีนี้สื่อความหมายถึงอะไรบ้าง

        อัลบั้มนี้มันจะมีความเทคโน-อิเล็กทรอนิกนิดหน่อย ผมเลยนึกถึงการ์ตูนเรื่องหนึ่งที่ชอบมากๆ คือ Akira ที่ข้างหลังแจ็กเก็ตตัวเก่งเขาจะมีเม็ดยาอยู่ ประกอบกับผมมีเพลง เธอเลิกยากเหมือนบุหรี่ หรือ รักเธอคนเดียว ซึ่งมันดูเสพติด ดูมายา เป็นประสบการณ์สารเคมีมากๆ ก็เลยคิดว่าอัลบั้มนี้ควรจะเป็นแผงยาเม็ดรักษาโรค เพราะสำหรับผมยาแบบนี้มันติดยิ่งกว่ายาเสพติดอีก ยาแก้แพ้ ยาแก้ปวด ยานอนหลับ บางคนติดเหมือนติดผู้หญิงเลย พอขาดสักพักหนึ่งก็ทุรนทุรายแล้ว

ทำไมถึงเลือก ‘Tritled Creation’ ให้ออกแบบปกอัลบั้มนี้

        ผมรู้จักคนออกแบบคือ ‘เติ้ล’ – ปฏิภาณ สุวรรณสิงห์ มาระยะหนึ่งแล้ว เพราะผมเองก็เป็นแฟนคลับเขาเหมือนกัน ทั้งด้านดนตรี (The Whitest Crow, S.O.L.E) หรืองานออกแบบของเขาผมก็ชอบ อย่างที่บอกว่าเพลงอัลบั้มนี้มันคือ Sampling Music เป็นการตัดแปะดนตรี แล้วเติ้ลเขาก็ทำงานศิลปะแนวคอลลาจเหมือนกัน เลยคิดว่าน่าจะเข้ากับอัลบั้มเรา ส่วนตัวผมมองว่าเติ้ลเป็นคนเก่งมาก เก่งจนลืมไปแล้วว่านี่คือภาพตัดแปะเพราะมันเนียนมาก (หัวเราะ) คิดอยู่เลยว่าชุดหน้าต้องให้เขามาช่วยทำอีกแน่ๆ 

คุณเตรียมจะออกงานชุดต่อไปแล้วเหรอ

        ใช่ ชุดหน้าผมเริ่มทำแล้วนะ ทำไปสองเพลงแล้ว จะออกเป็นอีพีเหมือนเดิม 6 เพลง แต่ไม่รู้จะออกเมื่อไหร่

แนวทางการทำเพลงจะเหมือนเดิมไหม

         คราวนี้จะเอาเพลงรักที่พี่ฮิวโก้ไม่ได้เลือกมาทำ แต่แน่นอนว่าเราจะได้ยินคำแปลกๆ เหมือนเดิม ล่าสุดมีคำว่า ‘นกกระจอกเทศ’ ในเพลงใหม่แล้วนะ ผมทำวันเดียวเสร็จเลยอย่างที่บอก (หัวเราะ)

ทำไมถึงต้องทำเพลงแค่วันเดียว ถ้าให้เวลามากกว่านี้ อาจจะได้อะไรที่คราฟต์กว่าเดิมไหม

        ที่ผมบอกว่าทำหนึ่งวันคือเสร็จคร่าวๆ เท่านั้น แต่เราจะมีเวลาอีกกี่วันก็ได้ในการกลับมาแก้ส่วนต่างๆ ให้มันดีขึ้น พร้อมกับทำเพลงอื่นไปด้วย มันจะเป็นช่วงเวลาที่เรามาอัดร้องเพิ่มหรือดึงส่วนที่ไม่ชอบออกมากกว่าการทำเพลงขึ้นมาใหม่ 

วิธีนี้คือการทำงานเพลงแบบใหม่ในยุคนี้ใช่ไหม

        ใช่ ผมก็ไม่เข้าใจว่าเราจะไปทำให้มันยากทำไม  แต่เมื่อก่อนผมอัดเพลงโฟล์กก็ทำแบบนี้ไม่ได้นะ (หัวเราะ) เพราะธรรมชาติของโฟล์กมันต้องอัดพร้อมกัน มันไม่เหมือนเพลง sampling ของเรา

ทุกวันนี้ระหว่างเพลง sampling กับเพลงโฟล์ก คุณชอบแบบไหนมากกว่า

        ชอบทั้งสองอย่างเลย ผมมองว่ามันเป็นหนึ่งในตัวตนของผมเหมือนกัน เพียงแค่รสนิยมของเราเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ซึ่งผมก็ยอมรับว่าตัวเองเปลี่ยนจริงนะ แต่ก็แค่แนวเพลง ผมยังชอบแนวนี้ทั้งคู่ เพียงแค่ผมสนใจต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลา ผมไม่เคยทรยศตัวเอง 

        ตอนอยู่วง Slur ผมก็ฟังเพลงของ The Strokes ชุดต่อมาผมฟัง The Crib, Passion Pit พอมาทำอัลบั้ม ออโต้อีโรติก ผมก็ฟัง Bob Dylan, Mumford & Sons แล้วพอผมเริ่มฟัง Arctic Monkeys ผมก็หันมาทำเพลงในอัลบั้ม เหล็กกับไม้ ทุกตัวตนในแต่ละอัลบั้มเริ่มจากสิ่งที่เราชอบทั้งนั้น

 

เป้ อารักษ์

คุณยังยึดติดกับการต้องเล่นกีตาร์เองอยู่ไหม

        ตอนแรกยังยึดติดนะว่าต้องเล่นกีตาร์เอง เพราะเราเป็นมือกีตาร์มาก่อน แต่พอเราปลดล็อกกับอัลบั้ม เหล็กกับไม้ ก็เลิกยึดติดไปเลย ถึงวันหนึ่งเราก็จับไมโครโฟนอย่างเดียวได้แล้ว และผมคิดว่าทุกคนไม่ควรจะมีความยึดติดแบบนั้นด้วย 

ศิลปินควรมีภาพจำของตัวเองหรือเปล่า เป้ อารักษ์ กับการสะพายกีตาร์โปร่งก็ดูเป็นภาพจำที่ชัดเจนอยู่นะ 

        ในยุคหนึ่งมันควรมี ตัวผมเองก็ยังมีภาพจำอยู่ หลายคนก็ยังจำว่าเราไว้ผมยาวอยู่เลย (หัวเราะ) หรือทุกวันนี้ที่ผมก็ยังเล่นละครอยู่ แต่กลับจำได้ว่าละครเรื่องล่าสุดที่ผมเล่นคือตั้งแต่สมัยเล่นกับ แพนเค้ก เขมนิจ (หัวเราะ) ภาพจำแบบนั้นเราไปเปลี่ยนเขาไม่ได้หรอก นอกจากเขาจะได้รับทราบสิ่งใหม่ที่เราทำอยู่  แต่ภาพที่เราจำตัวเองอันนั้นสำคัญกว่า เราต้องจำให้ได้ว่าครั้งหนึ่งเราทำอะไรบ้าง 

การเปลี่ยนแปลงตัวเองไปเรื่อยๆ ในวัยที่โตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวนั้นดีกับคุณอย่างไร

        การเล่นกับความคาดหวังผมว่าสนุก ทั้งคนอื่นและตัวเราด้วย มันไม่สำคัญว่าเราต้องเปลี่ยนแปลงความทรงจำในหัวใคร เราแค่ทำเพื่อความตื่นเต้นของเราไปเรื่อยๆ

ไม่กลัวว่าแฟนๆ ที่แต่ตามคุณอยู่ เขาจะตามไม่ทันหรือไม่เข้าใจบ้างเหรอ

        โชคดีที่ไม่ค่อยมีคนเข้าใจผมเยอะอยู่แล้ว (หัวเราะลั่นห้อง) พูดจริงๆ เลย ผมจำไม่ได้แล้วว่าเพลงตัวเองที่ดังมากๆ คือเพลงไหน

 

เพลง มาเลเซีย ของคุณก็ดังนะ ล่าสุดไปประกอบอยู่ในเรื่อง เฟรนด์โซน ระวังสิ้นสุดทางเพื่อน ของ GDH ด้วย

        ก็ใช่ แต่ทุกวันนี้เราเอาไปใช้หากินไม่ได้ มันหมดอายุไปแล้ว เอามาเล่นตอนนี้คนก็ไม่เฮฮาแล้ว คนไม่ได้โหยหาให้ผมเล่นเพลงโฟล์กแบบนั้น อีกอย่างผมรู้สึกว่า เราจะมัวแต่เล่นเพลงโฟล์กอยู่เหมือนเดิมทำไม เราก็เปลี่ยนไปตามตัวตนของเราสิ 

อยากมีเพลงของตัวเองที่ฮิตมากๆ เหมือนคนอื่นบ้างไหม

        อยากสิ ทำไมจะไม่อยาก นี่ความฝันเลยนะ อย่าง มาเลเซีย ที่เคยดังมากๆ ผมต้องยอมรับนะว่าตอนนี้กลับไปฟังอีกก็ยังไม่ค่อยสนุกกับมันเท่าไหร่เลย แต่ผมรู้สึกว่า ‘มึงกล้ามาก’ (หัวเราะ) กล้ากว่าตอนนี้อีก 

ตอนนี้คุณอยากร่วมงานกับศิลปินคนไหนอีก

        มีแน่นอนในชุดหน้า แต่ผมยังไม่รู้นะว่าจะได้ร่วมงานกับใครบ้าง แต่คนที่ผมอยากทำเพลงกับเขามากคือ Younggu, PEE CLOCK, Timethai, Gavin D อย่างที่บอกว่าเป็นคนชอบเรื่องภาษา แล้วพวกเขาเหล่านี้คือวงอินดี้ในด้านภาษาที่เจ๋งมากๆ รู้สึกว่าพวกเขาแปลกดี อยากลองเอาภาษาแบบนั้นมาใช้ในเพลงบ้าง 

ภาษาของศิลปินเหล่านี้ ‘เจ๋ง’ อย่างไรในสายตาคุณ

        ขอโทษนะครับ จะมีใครนอกจาก Younggu ที่เอาคำว่า ‘อม**ย’ มาใช้ในเพลงบ้างไหม ก่อนจะอธิบายต่อ ขอให้เข้าใจก่อนว่าเราพูดในแง่กรอบของภาษานะ ไม่ใช่เรื่องหยาบคาย

        ซึ่งสำหรับ Younggu อะไรคือกรอบหรือ เพลงของเขาไม่มีกรอบแล้ว อย่าง ‘พ่อมึ**าย’ คำแบบนี้ เขาเอามาใช้เป็นท่อนฮุกเลยนะ ในยุคนี้ที่ภาษามันผันเปลี่ยนไปแล้ว มันเติบโตไปตลอด ซึ่งฮิปฮอปกลุ่มนี้เขาพาเรื่องพวกนี้ไปไกลมากๆ แล้ว

คุณอยากเปิดอิสระทางด้านภาษาแบบนี้ไปสู่ดนตรีแนวอื่นนอกจากฮิปฮอปเหรอ

        ฟังก่อน ผมกำลังยกตัวอย่าง Younggu ในกรณีที่มันสุดโต่งมากๆ เพราะเขาไร้ซึ่งกรอบจริงๆ แต่ผมเองจะมีกรอบที่จะไม่ไปแตะเรื่องทะลึ่ง เรื่องผิดกฎหมาย เรื่องเหยียด ด่าความคิด อะไรแบบนี้ผมจะไม่ทำ ผมให้เกียรติความคิดทุกคน แต่ที่ชอบและอยากร่วมงานด้วย เพราะเขาทำให้รู้สึกว่าภาษามันไร้พรมแดนดี 

 

เป้ อารักษ์

แล้วตัวคุณเองสะสมคลังคำหรือศัพท์แบบไร้กรอบไว้มากน้อยแค่ไหน

        ตอนเด็กๆ ผมก็อ่านหนังสือนะ แต่ว่ามันช่วยจริงหรือเปล่าผมก็ไม่รู้ พี่เล็ก greasy cafe (อภิชัย ตระกูลเผด็จไกร) เคยให้สัมภาษณ์ว่า เขาไม่เคยอ่านหนังสือ ทุกอย่างที่เขาเล่า เขียนออกมาจากความรู้สึกหรือประสบการณ์ล้วนๆ 

        ซึ่งผมก็คิดว่าเป็นไปได้นะ คำแปลกๆ ของผมอย่างอะมีบา ก็มาจากการที่ผมตั้งใจเรียนจนถึง ม.3 ได้อยู่ห้องคิงเลยทำให้ผมจำเรื่องวิทยาศาสตร์หรือความรู้พื้นฐานได้หมด เราเป็นเด็กเรียน ความรู้พวกนั้นเลยติดตัวมาตลอด

ไม่เคยคิดอยากใช้คำธรรมดาๆ ให้คนเข้าถึงง่าย ทำให้เพลงของคุณ ‘แมส’ สมใจบ้างเหรอ

        อยากครับ ตอนแรกผมก็คิดว่าชุดนี้จะแมสนะ แต่พอเพลงแรกชื่อ ไม่ต้องทำหรอกบุญ เลยเริ่มคิดว่ามันก็ไม่ค่อยแมสแล้ว (หัวเราะ) ผมชอบบ่นว่าเพลงไม่ดัง อยากทำเพลงฮิต แต่สุดท้ายก็ทำตามใจตัวเองอยู่ดี แล้วก็ปลอบใจตัวเองว่าไม่ฮิตหรือก็เราไม่รู้ ไม่มีสูตรทำให้มันฮิตนี่ รู้แต่ว่าชอบแบบนี้ แล้วก็ทำต่อไปเรื่อยๆ เลยกลายเป็นสูตรของผมว่างั้นแกก็ทำต่อไปเรื่อยๆ แล้วกัน

ว่ากันตามจริงถึงคุณอยากจะให้เพลงของตัวเองฮิต แต่การทำเพลงให้แมสและฮิตระเบิดยังไม่ใช่แนวทางของคุณ แล้วอะไรคือแรงผลักดันสำคัญในการทำงานเพลงของ เป้ อารักษ์ ในวันนี้

        เอาเข้าจริงการคิดว่ามัน ‘ต้อง’ แมสอาจจะไม่ถูกด้วยซ้ำ คือเราอยากแมสแต่ไม่ได้คิดว่าเราทำเพื่อให้มันแมส ถึงปากบอกว่าอยากมีงาน อยากให้เพื่อนในวงอยู่ด้วยกันได้ มีงานจ้างให้เล่นบ่อยๆ แต่เอาเข้าจริงสิ่งที่เราทำก็ตามใจตัวเองอยู่ดี คือมันจะแมสหรือไม่ก็ได้ แต่มัน ‘ต้องเจ๋งและต้องบ้าสัสๆ’ ในสายตาเรา ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสุดท้ายแมสคืออะไร ก็คงทำเพลงต่อไป เดี๋ยวปีหน้ามีอีก 6 เพลง แล้วปีต่อไปอาจจะมีอัลบั้มโฟล์ก ผมก็จะกลับมานั่งรื้อสมุดเก่าๆ ว่าเพลงไหนที่ทิ้งไปแล้ว ก็จะเอากลับมาทำเป็นอัลบั้มโฟล์กซองต่อ 

แล้วมีอะไรที่อยากทำแต่ยังไม่ได้ทำอีกไหม

        อยากทำเพลงฮิตครับ (หัวเราะ)

 


ขอขอบคุณ โซว เฮง ไถ่ So Heng Tai ที่เอื้อเฟื้อสถานที่ในการสัมภาษณ์