ถ้านับตั้งแต่อัลบั้ม Bright Side (2008) ที่พวกเขาทำกันเอง จนถึงตอนนี้ electric.neon.lamp กลุ่มวงดนตรีป๊อปร็อกจากค่าย BEC-Tero Music ที่มีซาวนด์ดนตรีเป็นเอกลักษณ์กับสมาชิกทั้งห้า ‘เจน’ – เจนศักดิ์ดา จาระณะ (ร้องนำ), ‘เต้’ – วทัญญู สุริยวงศ์ (เบส), ‘แทน’ – แทนพันธุ์ คณะเจริญ (กีตาร์), ‘แป๊ก’ – รัชชา วัฒนจิตรานนท์ (กลอง) และ ‘อุน’ – คีตา วังขจรวุฒิศักดิ์ (กีตาร์) ได้ก้าวจากความเป็นวงดนตรีท้องถิ่นมาเป็นวงที่ประสบความสำเร็จในกรุงเทพฯ ประมาณสิบปีแล้ว ถึงแม้จะดูเป็นเวลาที่ยาวนาน แต่พวกเขากลับบอกว่ายังคงตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้ขึ้นโชว์ ยังคงสนุกกับการหาซาวนด์ใหม่ๆ ในการทำเพลง และการมีส่วนร่วมใหม่ๆ นอกจากพาร์ตของดนตรี ที่ยังคงความแสบสันในสไตล์ enl อยู่เต็มๆ
จนกระทั่งในวันนี้ที่พวกเขากำลังจะมีอัลบั้มใหม่เสียที หลังจากรอมาเนิ่นนานถึง 8 ปี กับอัลบั้ม How to disappoint your parents ที่มีดนตรีสนุกๆ พร้อมสีสันแปลกใหม่ในสไตล์ของณีอร และเอ็มวีสุดครีเอตที่ปล่อยออกมาให้ได้ยลกันเรียบร้อยแล้ว พร้อมด้วยความพิเศษสุดกับคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกของพวกเขา พ่อซึม แม่เซ็ง ในวันที่ 18 สิงหาคม นี้ที่ถือเป็นรางวัลแห่งการเดินทางไกลอันยาวนาน และเป็นการต่อยอดสู่ก้าวใหม่ๆ ของ electric.neon.lamp
เห็นบอกว่าอัลบั้มนี้รอมานาน 8 ปี กว่าจะกล้าขัดใจแม่ ทำไมก่อนนั้นถึงไม่กล้าล่ะ
เจน: จริงๆ ขัดใจมาตั้งแต่แรกที่เริ่มเล่นดนตรีแล้ว (หัวเราะ) แต่ที่นานเพราะว่าก่อนหน้านี้วงเราจะทำเพลงแบบไม่ค่อยมีวินัย ทำๆ หยุดๆ ทำสองเพลง หยุดสามเดือน อะไรแบบนี้ ความสม่ำเสมอของวงไม่ค่อยมี แต่ว่าพอมาถึงอัลบั้มนี้ วงเราก็เหมือนโดนเคี่ยวเข็ญจากพี่ๆ โปรดิวเซอร์มาแหละ ทั้งเฆี่ยน ทั้งฟาด มีทุกแบบ ด่าแล้วด่าอีก จนกระทั่งเข็นออกมาเป็นอัลบั้มได้
เล่าถึงเบื้องหลังไอเดียการถ่ายปกอัลบั้มให้เราฟังหน่อย เห็นแล้วอดฮาไม่ได้จริงๆ
เจน: จริงๆ แล้วทีมวิชวลที่ทำให้เราคือทีมของฟังใจ ซึ่งเราก็คุ้นเคยกันอยู่แล้ว เขาก็จะตีความมาจากชื่ออัลบั้มเรา (How to disappoint your parents) ซึ่งถ้าเห็นในรูปปก คนที่อยู่ตรงกลางที่ถือกีตาร์ก็จะดูเกเรใช่มั้ย แล้วจริงๆ ไอเดียมาจากพี่แทนที่อยากได้รูปปกเหมือนรูปครอบครัวเวลาเราไปถ่ายในสตูดิโอบนห้าง อารมณ์ประมาณรูปลูกรับปริญญา หรือรูปครอบครัวที่ใส่ชุดไทยกันทั้งบ้าน เราเลยรู้สึกว่ามันตลกดี ก็เลยเอาไอเดียนี้ไปคุยให้ทีมวิชวลฟัง เขาเลยตีความออกมาเป็นแบบที่เห็น คือเป็นรูปครอบครัวหลายคน แต่มีใบหน้าแค่คนคนเดียว ก็ดูมันดี ดูกวนตีนดี
อัลบั้มนี้มีความพิเศษอย่างไร เล่าเบื้องหลังการทำให้เราฟังหน่อย
เจน: จริงๆ แล้วเราไม่เคยพยายามจะตีกรอบตัวเองว่าเพลงจะต้องออกมาเป็นยังไง แต่ว่าอัลบั้มนี้ค่อนข้างจะมีส่วนผสมที่ไม่ได้ตั้งใจเกิดขึ้นมา นั่นก็คือความเป็น 90’s แต่ก็จะมีความ R&B, Hip Hop ที่เราตั้งใจให้เป็นองค์ประกอบหลักของอัลบั้ม แต่ความเก้าศูนย์นี่เราเพิ่งนึกขึ้นได้จากการไปสัมภาษณ์เยอะๆ นี่แหละ ว่า เออว่ะ จริงๆ แล้วเพลงเรามีองค์ประกอบของความเป็นยุคเก้าศูนย์ถึงสองพันอยู่เยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นท่อนโซโลที่เป็นนูเมทัล เนื้อกับเมโลดี้ แล้วก็มีซาวนด์ดีไซน์บางอย่างที่เป็นเก้าศูนย์มากๆ อีกอย่างเราก็มีการปรับทิศทางใหม่หลังจาก ‘ต้น’ – ณวัฒน์ จิรบุญเรือง มือกีตาร์คนเก่าออกไปด้วย
พูดถึงเพลงล่าสุดหน่อย ‘บางครั้งแค่บางครั้ง’
เจน: เพลงนี้ตอนแรกเขียนกับพี่แทน ซึ่งมันมีชุดคอร์ดอยู่แล้ว แต่เป็นคอร์ดห้องเดียว ถ้าไปดูคลิปในยูทูปจะมีคลิปที่เราอัดไว้ชื่อ Room103 ที่ตั้งล้อกับวง Room39 (หัวเราะ) ซึ่งเป็นเลขห้องของต้น มือกีตาร์คนเก่า เหมือนเราเขียนเพลง ดีดกีตาร์ ทำเมโลดี้ไปเรื่อยเปื่อย แล้วเรารู้สึกว่าคอร์ดเพราะดี น่าจะเอามาเขียนเป็นเพลงได้ หลังจากนั้นก็มาเขียนต่อกับพี่แทน ซึ่งจริงๆ input ของเรากับพี่แทนก็จะต่างกัน
แทน: ของผมจะเป็นมุมมองของความรักชายกับหญิง คือส่วนตัวแล้วเวลาเลิกกับใครสักคนไปนานๆ ก็จะมีมู้ดที่อยู่ดีๆ ก็แวบคิดถึงเขาคิดมา
เจน: ส่วนของผมจะเป็นมุมสูญเสียหรือมุมความตายมากกว่า แต่จริงๆ แล้วคอนเซ็ปต์ของเพลงก็เหมือนมนุษย์ไม่ได้เป็นเครื่องจักรหรือคอมพิวเตอร์ที่จะสามารถลบอะไรไปได้ถาวร เราไม่มีทางลืมอะไรไปได้ตลอดกาล ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์แบบความรัก ความตาย ครอบครัว เพื่อน หรืออะไรก็ตาม เราอาจจะใช้ชีวิตหลังจากนั้นที่ผ่านการแยกจากกันมาแล้ว แต่ก็ต้องมีบางโมเมนต์ที่ทำให้เรานึกไปถึงช่วงเวลานั้นขึ้นมา มันอาจจะเป็น 5 ปีครั้ง 10 ปีครั้ง หรืออาจจะทุกวันก็ได้ แต่ยังไงมันก็ต้องมีบางช่วงเวลาที่จู่ๆ ความสัมพันธ์นั้นจะโผล่ขึ้นมาในความคิดเรา ก็เลยเกิดมาเป็นเพลงนี้
เหมือนที่คุณบอกไปว่า enl ไม่ตีกรอบดนตรีให้ตัวเอง แสดงว่าคุณก็ชอบทดลองอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ ตลอดเวลาทำเพลงใช่ไหม
เจน: จริงๆ เพลงของ enl จะมีความออร์แกนิกมากๆ คืออาจจะไม่ได้ทดลองขนาดนั้น เพียงแค่ว่าเวลาเราทำเพลงกันเอง มันจะเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ โดยที่เราไม่ได้รู้สึกว่า เฮ้ย จะต้องไปแบบนั้นนะ จะต้องทำแบบนี้นะ จริงๆ มันเกิดขึ้นจากเคมีของวงเลยแหละ ถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ 5 คนนี้ทำด้วยกันก็อาจจะออกมาอีกแบบหนึ่ง
แต่ว่าอย่างชุดนี้พอเรากลับมาฟังเพลงทีหลัง ก็จะเห็นว่าเราออกจากเซฟโซนของตัวเองเยอะ ปกติ enl ก็จะใช้กีตาร์แบนด์เป็นหลัก แต่อัลบั้มนี้ ยกตัวอย่างเพลงช้า เราไม่มีดนตรีเลยตอนแรก เรามีแค่เสียงร้องคลอไปกับเปียโนแค่นั้น แล้วพอผ่านไปครึ่งเพลงถึงค่อยมีดนตรีขึ้นมา ซึ่งเมื่อก่อนเราไม่เคยทำ ไม่กล้าทำด้วยแน่ๆ แล้วไลน์ดนตรีที่เด่นที่สุดในเพลงกลับเป็นเปียโน ซึ่งเมื่อก่อนคงเป็นกีตาร์ บางเพลงมีแร็ปเปอร์มาร่วมด้วย หรือมีท่อนนูเมทัลในท่อนโซโลอะไรแบบนี้
เต้: คือมันไม่ใช่ว่าเราเน้นไปที่การทดลอง แต่ด้วยที่ว่ามันเป็นจุดเปลี่ยนของวงด้วย ทำให้เราจำเป็นต้องทดลองหาทางเอาตัวรอดให้ได้ เพราะตัวตั้งตัวตีอย่างคุณต้นเขาลาออกไปดูแลธุรกิจครอบครัว เราก็เลยต้องเดินด้วยกันเอง ก็เลยเกิดเป็นการทดลองขึ้นมามากกว่า เหมือนว่าต้องคิดวิธีการทำเพลงใหม่เลย หาทางทำเพลงกันใหม่
เจน: ซึ่งเราก็มองเป็นข้อดีแหละ เพราะเมื่อก่อนเราจะค่อนข้างพึ่งพิงคุณต้นเยอะ ทุกอย่างต้องเกิดขึ้นจากเขา แต่พอไม่มีเขาแล้วทุกคนก็ต้องช่วยกันมากขึ้น การแชร์กันก็จะเยอะขึ้น มีความเป็นวงมากขึ้น
พวกคุณเคยให้สัมภาษณ์ว่าแต่ละคนมีรสนิยมในการฟังเพลงต่างกัน แล้วเวลาทำเพลงเราใช้วิธีไหนในการคุยกันให้ลงตัว
เจน: จริงๆ มันจะมีจุดกึ่งกลางที่ทุกคนชอบเหมือนกัน คือแต่ละคนอาจจะมีเพลย์ลิสต์เพลงในโทรศัพท์ต่างกัน แต่จะต้องมีอยู่สองสามเพลงที่เหมือนกัน เหมือนเป็น Mutual friend เลย มันจะต้องมีอะไรที่ชอบเหมือนกันอยู่ แล้วพอถึงเวลาที่เรามาทำเพลงด้วยกัน มันก็จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ จะไม่ค่อยมีเหตุการณ์ที่มีปัญหากันเท่าไหร่
แทน: โทรศัพท์ทุกเครื่องจะต้องมีเพลงเต่างอยเหมือนกัน
enl: (หัวเราะ)
นอกจากในพาร์ตของดนตรีแล้ว พวกคุณมีส่วนในเรื่องอื่นด้วยไหม
เจน: คือก่อนหน้านี้เราทำเพลงอย่างเดียว อย่างอื่นเราไม่ได้แตะเลย แต่พอมาเป็นอัลบั้มนี้ ทางค่ายก็ค่อนข้างไว้ใจเรามากขึ้น เขาอยากให้วงเข้ามามีส่วนร่วมกับในทุกพาร์ตของทั้งอัลบั้ม ทั้งเรื่องปก เรื่องมู้ดสีกับโทน รวมไปถึงเอ็มวี เราก็เลือกผู้กำกับเอง แล้วก็มี input ให้ผู้กำกับว่าอยากได้เอ็มวีออกมาแบบไหน ที่เหลือผู้กำกับก็จะเอาไปคิดต่อยอดเอง เหมือนเรามีสารตั้งต้นให้ โดยที่เมื่อก่อนเราไม่เคยมีสิ่งนี้เลย
แล้วเอ็มวีสอง เจ็บแล้วไง กับ ตบปาก มาสรุปที่ไอเดียเป็นเอ็มวีล้ออังกอร์ได้ยังไง
เจน: เราเคยคุยกันในวงมานานแล้วว่าอยากทำเอ็มวีที่มันไทยๆ อยากถอดเสื้อ ขี่ควาย ดำสระบัว อะไรแบบนี้ แล้วพอดีได้คุณปกป้อง คุ้มวัน มาเป็นผู้กำกับ ก็เลยคุยกับเขาว่าอยากได้ประมาณนี้ แกก็บอกว่าเอาเลย มันแน่ แกก็ไปคิดมา กลับมาอีกทีเป็นอังกอร์เลย (หัวเราะ) หนังอาหลอง ไปไกลกว่าที่เราคิดเยอะเลย ซึ่งเราก็ชอบกันมากๆ
แทน: แล้วในเพลงจะมีเสือที่เป็น CG โผล่มาด้วย แต่ว่าเราไม่ชอบ เพราะตอนแรกเสือมันสวยมาก ผมก็บอกเขาว่ามันต้องห่วยกว่านี้
เจน: จำได้เลย คอมเมนต์ของพี่แทน ‘ไม่ติดอะไรเลยครับ แต่ขอเสือเหี้ยกว่านี้’ (หัวเราะ)
แต่ตอนนี้อังกอร์เขารีเมกใหม่แล้วนะ CG เสือสวยมาก กัญจน์ ภักดีวิจิตร เป็นผู้จัดด้วย
แป๊ก: ตอนแรกจะขอเขามาเล่นด้วยในเอ็มวี แต่พี่เขาคิวทอง
แทน: เขาเป็นรุ่นใหญ่แล้ว ไม่มาเล่นเอ็มวีเราหรอก เราเล็งเขามาเล่น แต่จังหวะยังไม่ได้
enl เองเป็นวงที่มาจากต่างจังหวัด ก็น่าจะต้องผ่านความยากลำบากมาพอสมควร เคยคิดไหมว่าวันหนึ่งเราจะมีคอนเสิร์ตของตัวเองได้
เต้: จริงๆ ไม่ยากหรอก แต่เราขี้เกียจ หลายๆ วงก็ทำได้กันเยอะแล้ว (หัวเราะ) คือถ้าพูดถึงว่ายากไหม มันยากในแง่ของความรับผิดชอบอะไรบางอย่างของวงที่ไม่ได้เอื้อให้เรามีคอนเสิร์ตใหญ่ได้ ทั้งการรวมตัวของพวกเรา การทำงานประจำ เรื่องที่อยู่อาศัย มันเลยเป็นการค่อยเป็นค่อยไป เก็บสะสมทีละเพลงสองเพลง จนรู้สึกว่าถึงเวลาที่เราต้องทำอะไรบางอย่างแล้ว อายุเรา อายุวงก็เยอะแล้วด้วย ถ้าเราไม่รีบทำตอนนี้ก็อาจจะสายไป เราก็เลยกัดฟันทำอัลบั้มให้เสร็จ แล้วก็มีคอนเสิร์ตขึ้นมา ก็ถือว่ายากในแง่นี้
เจน: ผมว่ายากด้วยวินัยในการทำเพลง ปัจจุบันการทำเพลงไม่ได้เข้าถึงยากเหมือนเมื่อก่อนแล้ว คนที่ผลิตเพลงได้มีเยอะมาก แล้วทุกคนมีฝีมือ เมื่อก่อนอาจจะถูกจำกัดด้วยงบประมาณในการเข้าห้องอัด ทุกวันนี้มีคอมพิวเตอร์ มีโปรแกรมหรืออุปกรณ์เสริมนิดหน่อยก็สามารถทำเพลงขึ้นมาได้แล้ว มันก็เลยทำให้เห็นความหลากหลายของเพลง คนฟังมีตัวเลือกให้ฟังเยอะ ศิลปินก็เกิดขึ้นเยอะ
เราเองเป็นเหมือนวงที่อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ตั้งแต่ยุคเข้าห้องอัดจนถึงยุคทำเพลงด้วยคอมพิวเตอร์ได้ เราเลยรู้สึกว่าทั้งคู่แข่ง ทั้งวินัยของเราที่ไม่ดี โลกดนตรีที่เปลี่ยนไปบอกเราว่าเราไม่สามารถจะเป็นวงดนตรีวงเดิมในตอนนั้นอีกต่อไปได้แล้ว เราจะต้องเป็นมืออาชีพมากขึ้น ถ้าอยากจะเป็นวงดนตรีที่ประสบความสำเร็จ ฉะนั้นกว่าจะมาถึงคอนเสิร์ตนี้ได้ก็ค่อนข้างจะขรุขระพอสมควร
ระยะเวลาสิบกว่าปีเคยมองว่าตัวเองเป็นวงดนตรีรุ่นใหญ่บ้างไหม
enl: ไม่เคยคิดเลย
เจน: ชอบมีคนพูดว่า เฮ้ย วงรุ่นใหญ่แล้ว แต่เราไม่เคยรู้สึกอย่างนั้นแม้แต่ครั้งเดียว ทุกวันนี้ผมยังแพนิกทุกครั้งก่อนที่จะขึ้นโชว์ ผมจะรู้สึกว่าวันนี้จะสนุกไหม จะล่มไหม เป็นความรู้สึกที่แย่ยิ่งกว่าตอนเริ่มเล่นดนตรีด้วยซ้ำ ตอนนั้นไม่มีความกังวลอะไรทั้งสิ้น แค่ออกไปสนุก แต่ทุกวันนี้นอกจากจะสนุกแล้วยังต้องมีแพสชันมากกว่าเดิม ดังนั้นถ้าถามว่าเคยคิดไหม ไม่เคยคิดเลย ทุกวันนี้เรายังเป็นวงเดิม คาแร็กเตอร์เหมือนเดิม ยังตื่นเต้นเหมือนเดิมเวลาเล่น
เต้: ยิ่งนานวันยิ่งคนเข้าใจว่าเราเป็นรุ่นใหญ่ยิ่งทำให้เรากดดันตัวเอง เพราะเราไม่เคยคิดว่าตัวเอง โห ฉันดัง หรืออะไรแบบนั้น จะรู้สึกเขินมากกว่า
เจน: ผมว่าคำนี้ไม่ว่าจะเป็นศิลปินเบอร์ไหนก็ตามพอถูกเรียกว่ารุ่นใหญ่ เขินทุกคนแหละ มันประหลาด
แล้วในแง่มุมของการเล่นดนตรีล่ะ โตขึ้นบ้างไหม
เจน: ผมว่า enl ก็ยังมีเคมีบางอย่างที่เหมือนเดิมเวลาโชว์ ยังมีพลังเหมือนเดิม แต่ว่าพัฒนาการของวงในการเล่นก็ดีขึ้น เมื่อก่อนเราไม่ได้คิดอะไรมาก ขึ้นไปเล่นแล้วจบก็ลง แต่เดี๋ยวนี้เวลาเราออกไปเล่น เราจะคิดว่ามันคือโชว์โชว์หนึ่งมากขึ้น เราจะคิดว่าวันนี้คนฟังจะสนุกกับเรายังไง ช่วงไหนที่เราจะผ่อน จะเร่ง จะมีอะไรแบบนี้มากกว่าเดิม
พูดถึงคอนเสิร์ต พ่อซึม แม่เซ็ง หน่อย จะมีอะไรเกิดขึ้นในวันนั้นบ้าง
เจน: ผมว่าเซตลิสต์ที่เราจะเล่น แล้วก็โชว์ที่จะเกิดขึ้นในวันนั้น ไม่น่าจะมีอีกแล้วในชีวิตนี้ ต่อให้เรามีคอนเสิร์ตใหญ่ของวงอีกครั้งก็จะไม่เป็นแบบครั้งนี้ มันจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นครั้งเดียวจริงๆ ในวันนั้น ทั้งแขกรับเชิญที่จะมีคุณต้นมาเล่นด้วย เพลงที่เราเลือกบางเพลงเป็นเพลงที่เราเล่นครั้งแรก แล้วก็ภาพรวมของโชว์ทั้งหมดที่เราวางไว้ มันไม่มีทางเกิดขึ้นแล้วเป็นเหมือนเดิมอีกแน่นอน นอกจากพวกเราแล้วก็จะมีปาร์ตี้คอนเสิร์ตสุดมันที่รวมตัววัยรุ่นอินดี้พี่น้องศิลปินจากค่าย macrowave อย่าง YENTED กับ The Whitest Crow ด้วย ที่สำคัญอัลบั้มใหม่ก็จะวางขายในงานนี้เป็นที่แรก
คอนเสิร์ตครั้งนี้มีความหมายอย่างไรบ้างกับแต่ละคน
เต้: มันเหมือนเป็นการเรียนจบปริญญาแล้วพาครอบครัวไปเลี้ยงที่ร้านอาหารสักร้าน เหมือนเฉลิมฉลองว่าสำเร็จแล้วโว้ยอัลบั้มนี้ มันไม่ใช่คอนเสิร์ตเปิดอัลบั้มนะ แต่เป็นคอนเสิร์ตเฉลิมฉลองกับสิ่งที่เรารอมานานมากกว่า รวบระยะเวลาตั้งแต่ตอนที่ทำเพลงแรกจนถึงเพลงสุดท้ายมาอยู่ในงาน
เจน: จริงๆ คิดคล้ายๆ เต้เลย เหมือนเราเรียนหนังสือมาตลอดแล้ววันนี้คือวันรับปริญญาของเรา แล้วผมจะโดนถามบ่อยว่าเมื่อไหร่อัลบั้มจะเสร็จ เมื่อไหร่จะได้ซื้อซีดี ผมก็จะตอบไปว่า ศตวรรษนี้แหละครับได้ซื้อแน่ๆ ผมเลยรู้สึกว่าวันนั้นจะเป็นวันที่ผมตอบได้เต็มปากแล้วว่า เสร็จแล้วครับ มาซื้อได้เลย เจอกันแน่นอน ซีดีที่ถามมาตลอด ไม่มีคำตอบที่เลื่อนลอยอีกต่อไปแล้ว
อุน: สำหรับผมเหมือนเป็นการพิสูจน์ตัวเองให้ครอบครัวเห็นว่า เราทำดนตรีมา เรามีอัลบั้มได้ เป็นการยืนยันกับตัวเองว่าเราอยากอยู่ในวงการนี้ต่อไป
แป๊ก: เหมือนเป็นวันที่เราได้รับรางวัลอะไรบางอย่าง จากที่พวกเราเหนื่อยกันมานานพอสมควร วันนั้นเป็นวันที่ผมได้รับรางวัลแล้วได้มอบรางวัลให้คนอื่นต่อไปด้วย
แทน: ผมมองว่าเหมือนเป็นการเข้าเรียน เพราะตอนนี้สิ่งที่เราโฟกัสคือดนตรีจะเลี้ยงเราได้จริงไหม เพราะที่ผ่านมาเราก็มีงาน แต่ก็ไม่ได้เยอะขนาดที่ว่าเราจะอยู่กับดนตรีได้อย่างเดียว เราก็ต้องทำอย่างอื่นด้วย ดังนั้นมันเหมือนเป็นจุดเริ่มต้นว่า โอเค หลังจากคอนเสิร์ตนี้ มีอัลบั้มแล้ว แล้วมันจะพาเราให้เราอยู่ได้จริงๆ หรือเปล่ากับอาชีพตรงนี้ครับ
หลังคอนเสิร์ตสิ่งแรกที่พวกคุณจะทำคือ
enl: น่าจะไปกินข้าวด้วยกัน แล้วก็คุยกันว่าเป็นยังไง ปกติเล่นเสร็จแล้วเราไม่ค่อยได้มาคุยกัน แต่ครั้งนี้ก็น่าจะได้ถอนหายใจเต็มๆ พูดว่า ‘เสร็จแล้วโว้ย’ แล้วก็ปาร์ตี้กันนุ่มๆ (หัวเราะ)
BEC-Tero Music Present : Electronic Neon Lamp “คอนเสิร์ต พ่อซึม แม่เซ็ง How To disapoint your parents”
วันที่: 18 สิงหาคม 2561 สถานที่: The Circus Studio (G Village Bangkok) ลาดพร้าว เวลา 16.00 น.
จำหน่ายบัตรที่: http://bit.ly/2NZauNH และหน้างาน ราคาบัตร: 1,200 บาท
สอบถามเพิ่มเติม: LINE @btmshop
ติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่: Youtube: BEC-Tero Music Facebook: BEC-Tero Music และ electric.neon.lamp